|
|
|
- 03.10.2564 กาอัล ดอร์นิค (Gaal Donick) การเดินทางสู่ ทรานทอร์ (Trantor)
- 03.10.2564 ฮาริ เซลด็อน (Hari Seldon) นักอนาคตประวัติศาสตร์
- 14.04.2560 วัดหนอง สีคูณเมือง หรือ วัดหนองศรีคูนเมือง, หลวงพระบาง, สปป.ลาว.
- 11.04.2560 การประกวดนางสังขาร หลวงพระบาง สปป.ลาว ประจำปี พ.ศ.2017 (วันแรก)
- 11.04.2560 วัดป่าฮวก (Wat Pa Houak) หรือ วัดป่ารวก หลวงพระบาง เมืองมรดกโลก สปป.ลาว
- 16.04.2560 การแสดงโขน พะลัก.พะลาม @หอคำหลวงพระบาง หรือ หอพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง สปป.ลาว.
- 301. บัญญัติ 10 ประการของโทมัส เจฟเฟอร์สัน ประธานาธิบดีคนที่ 3 ของประเทศสหรัฐอเมริกา (ค.ศ.1801-1809)
- 300. วันอาสาฬหบูชา
- มีความสุขที่สุดในโลก
- สัมภาษณ์: "เดโช ไชยทัพ" ท้องถิ่นโตเองไม่ได้
- รูปแบบของกรอบมาตรฐานคุณวุฒิแห่งชาติ
- เดี่ยวไมโครโฟน 8
- You Tube: บทอาขยาน เช่น วิชาเหมือนสินค้า
- มหาวิทยาลัยรามคำแหง
- Bangkok Thailand
- Manila City, Philippines
- Kuala Lumpur, Malaysia
- The Fastest Growing Economic Countries in Asia : ไม่มีประเทศไทยแลนด์ ดินแดนแห่ง....
- Jakarta City : กรุงจาการ์ต้า เมืองหลวงแห่ง อินโดนีเซีย
- Tokyo City : กรุงโตเกียว
- New York City
- หนังสั้น หรือ ภาพยนต์เรื่องสั้น หรือ Short Movie หรือ Short Story
- นักเรียน และ นักศึกษา
- เพลงที่เคยชอบในอดีต และ ปัจจุบันก็ยังคงชอบฟังอยู่ดี : Christie San Bernadino
- loveis 26 : You Tube ของ loveis 26
- Only in Vietnam
- กฎ 3 ข้อของหุ่นยนต์ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
- เมื่อจะไปเฝ้า พระราชา อุปฌาย์ ตุลาการ หญิงสาว และ หญิงแก่ผู้มีลูกสาวซี่งเรารักใคร่
- มายาคือความมั่งคั่ง และ มายาคือความรักนี้มีคุณดีที่ไหนบ้าง ?
- นิทานเวตาล เรื่องที่ 3. เรื่องของนกแก้วชื่อ วิทัคธจูฑามณี ของพระเจ้าวิกรมเกศริน กับนกขุนทอง
- นิทานเวตาล เรื่องที่ 2. เรื่องของนางมันทารวดี กับ พราหมณ์หนุ่ม 3 คน
- นิทานเวตาล เรื่องที่ ๑. เรื่องของเจ้าชายวัชรมกุฏ กับพระสหายชื่อ พุทธิศรีระ
- เริ่มเรื่อง เวตาลปัญจวิงศติ
- คำนำ นิทานเวตาล
- พระเจ้าจันทรคุปต์ที่ 2 จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
- นิทานเวตาล จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
- อาหารมื้อเช้าภายใต้เส้นงบประมาณ 10 บาท
- นกน้อยทำรังแต่พอตัว แต่ต้องมีความมั่นคงและแข็งแรงด้วยมิฉะนั้นสมาชิกในครอบครัวจะได้รับอันตรายดังนี้
- งานที่ไม่ได้เริ่มต้น คือ งานที่ใช้เวลายาวนานที่สุดกว่าจะสำเร็จ
- วันคุ้มครองโลก 22 เมษายน พ.ศ. 2553 : พิธีบวชอุบาสิกาแก้วรุ่น 500,000 คน และหล่อพระธรรมกาย
- วันคุ้มครองโลก 22 เมษายน พ.ศ. 2553 : พิธีมอบผ้าสไบแก้ว แก่ อุบาสิกาแก้วรุ่น 500,000 คน
- 1. วิวรณ์ของพระเยซูคริสต์
- ความชั่วช้าของมนุษยชาติ : พระเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วช้าของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน จึงเสียพระทัยที่ได้...
- ๓. จักกวัตติสูตร
- 204. ทอมัส เจฟเฟอร์สัน
- 203.Power Shift : หมอ พระเจ้าในเสื้อคลุมสีขาว
- 202. Power Shift : ยุคสมัยแห่งการเคลื่อนย้ายของอำนาจ
- 201.อำนาจใหม่ หรือ POWER SHIFT
- ความพอประมาณ คือ อะไร ? ปัญญา คือ อะไร ?
- ตำนานพระญาธัมมิกราช
- ธันวาคม เดือนแห่งการสรุปบทเรียน
- The Little Match Girl
- CARMEN :"ความรัก คือ นกป่า" ที่ "ไม่มีวัน เชื่อง"
- ทำอย่างไรจึงจะมีความสุข ไม่ว่าจะมั่งมี หรือ ยากจน
- หนังสือที่ใครไม่ได้อ่านจะต้องเสียใจ: การเดินทางของส่วนที่หายไป : The Missing Piece Meet the Big O
- เยาวชน มีความปราถนาอันสูงส่ง ในอันที่จะไปสร้าง ความใฝ่ฝันอันยิ่งใหญ่ ของตน
- พระผู้ทรงปกเกล้าฯ ประชาธิปไตย
- 16 ข้อแห่งความยิ่งใหญ่ของเวียดนามเหนือไทย ศักยภาพที่น่ากลัวของเวียดนาม . . . ไทยควรอ่านเพื่อสังวร
- การเลือก"แฟน" มีความเสี่ยง ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นหลักประกันผลการดำเนินงานในอนาคต
- 1 ใน โครงการตักบาตรพระ 500,000 รูป
- เด็กเท้าเปลือย
- จากเจ้าพระยาถึงฝั่งโขง ของ สนธิกาญจน์ กาญจนาสน์
- The Greatest Salesman In the World by Og Mandino
- ว่าด้วย เฟาสต์ เรื่องเล่าโดยจดหมายเก้าฉบับ by อีวาน ตูร์เกเนฟ
- ว่าด้วย กฏแห่งกรรม The Law of Karma ( หน้าที่ของกรรม)
- Trust Models
- คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
. ผู้บันดาลให้มนุษย์ขึ้นไปเยือนดวงดาวได้สำเร็จ
- รายชื่อ นายกรัฐมนตรี ประเทศไทย
- THE ROAD NOT TAKEN : ทางที่ไม่ได้เลือก
- ปรัชญาการบริหารเวลา ทำงานให้ฉลาดขึ้น ไม่ใช่ให้หนักขึ้น"
- OF VISION ... ว่าด้วย วิสัยทัศน์
- OF...DREAM
- 7. โอหัง ( pride / hubris ) 1 ในบาป 7 ประการ
- 6. อิจฉา ( envy ) 1 ในบาป 7 ประการ
- 5. โทสะ ( wrath ) 1 ในบาป 7 ประการ
- 4. เกียจคร้าน (sloth / laziness ) 1 ในบาป 7 บาป
- 3. โลภะ ( greed / avarice ) 1 ในบาป 7 ประการ
- 2. ตะกละ (ภาษาลาติน: gula กูลา ; ภาษาอังกฤษ: gluttony) 1 ในบาป 7 ประการ
- บาป 7 ประการ (seven deadly sins)
- 1. ราคะ (ภาษาลาติน: luxuria ลุกซุเรีย ; ภาษาอังกฤษ: lust) 1 ในบาป 7 ประการ
- Of Carmen ว่าเพลง คาร์เมน
- OF ว่าด้วย คุณ น้ำมนต์ ธีรนัยน์ ณ หนองคาย
- OF Carmen .... ความรัก คือ นกป่า
- สิบสองเรื่องอุปรากร
- Of Carmen ว่าด้วย เรื่อง คาร์เมน
- Of Re-imagine by tom peters ว่าด้วย คิดใหม่
- Of Sins & Hells ว่าด้วย บาป และ นรก 8 ขุม ?
- Of....Hermann Hesse ว่าด้วย เฮอร์มานน์ เฮสเส ประพันธกรเอกเยอรมันผู้ได้รับรางวัลโนเบล
- Of http://plaza.harmonix.ne.jp/~onizuka/galgaE.html
- Of Imaginary Worlds ว่าด้วย โลกจินตนาการ
- Of มุ่งสู่รอบพันปีที่สามแห่งคริสต์กาล
- Of MEGATRENDS 2000 by John Naisbitt & Patricia Aburdene
- Of The Secret Power by Marie Corelli ว่าด้วยเรื่อง อานุภาพพิศวง แปลและเรียบเรียงโดย อมราวดี
- Of THE MURDER OF DELICIA by Merie Corelli นางแก้ว แปลและเรียบเรียงโดย อมราวดี
- Of INNOCENT by Marie Corelli ว่าด้วย ผู้บริสุทธิ์ แปล/เรียบเรียง อมราวดี
- Of The Trench Comrade by Marie Corelli ว่าด้วย เพื่อนร่วมสนามเพลาะ แปล/เรียบเรียง อมราวดี
- Of The Signal by Marie Corelli ว่าด้วย แสงสัญญาณ แปล/เรียบเรียง อมราวดี
- Of The Lady with the Carnations by Marie Corelli ว่าด้วยเรื่อง นางในภาพ แปล/เรียบเรียงโดย อมราวดี
- Of "Sunny" by Marie Corelli ว่าด้วยเรื่อง "ซันนี่" แปล/เรียบเรียง อมราวดี
- Of The Song of Miriam by Marie Corelli ว่าด้วยเรื่อง เพลงพยาบาท แปล/เรียบเรียง อมราวดี
- Of Angel's Wickedness by Marie Corelli ว่าด้วยเรื่อง ผู้ที่พระเจ้ารัก แปล/เรียบเรียง อมราวดี
- Of The Boy by Marie Corelli ว่าด้วยเรื่อง สาวสำนึก แปล/เรียบเรียง อมราวดี
- Of Rejected by Marie Corelli ว่าด้วย โลกศิลปะ แปล/เรียบเรียง อมราวดี
- Of The Panther by Marie Corelli ว่าด้วย สัตว์กับคน แปล/เรียบเรียง อมราวดี
- Of Lolita by Marie Corelli ว่าด้วยเรื่อง โลลิตา แปล/เรียบเรียง อมราวดี
- Of Why She was Glad by Marie Corelli ว่าด้วยเรื่อง ผู้ที่หล่อนไม่ปรารถนา แปล/เรียบเรียง อมราวดี
- Nehemiah P. Hoskins, Artist by Marie Corelli ว่าด้วย ศิลปินเอก แปล/เรียบเรียง อมราวดี
- Of The Silence of the Maharajah by Marie Corelli ว่าด้วย เรื่อง คนละโลก
- Of The DISTANT VOICE by Marie Corelli ว่าด้วย หนังสือเรื่อง เสียงสวรรค์ แปล โดย อมราวดี
- Of The Mighty Atom (1890) ว่าด้วย อำนาจพลังปรมณู
- Of God's Good Man (1894)
- Of The Silver Domino
- Of Twin Souls: The Strange Experiences of Mr Rameses
- Of Cameos by Marie Corelli
- Of The Sorrows of Satan by Marie Corelli
- Of Barabbas : A Dream of the World's Tragedy (1893) by Marie Corelli
- Of The Soul of Lilith by Marie Corelli
- Of Ardath by Marie Corelli
- Of Wormwood ( เถ้าสวาท) : A Drama of Paris by Marie Corelli
- Of Vendetta ( ความพยาบาท) by Marie Corelli
- Of A Romance of Two Worlds by Marie Corelli
- Of Thelma by Marie Corelli ว่าด้วย หนังสือเรื่อง เต็ลมา
- Of Shardik by Richard Adams ว่าด้วย ชาร์ดิก หมียักษ์ แปลโดย สุดจิตต์ ภิญโญยิ่ง
- Of WATERSHIP DOWN by Richard Adams ว่าด้วย เรื่อง ทุ่งวอเตอร์ชิพ
- Of ..The Currents of Space by Isacc Asimov ว่าด้วย ลาแล้วโลก
- Of ...Against the Fall of Night ว่าด้วย..ประหนึ่งจะเย้ยรัตติกาล ของ Arthur C. Clarke
- Of...The Achieving Society ว่าด้วย...สังคมแห่งความสำเร็จ
- Of ....The Limits to Growth. ว่าด้วย ขีดจำกัดความเจริญ
- Of One Hundred Countries, Two Billion People: by Robert S. McNamara ว่าด้วย ร้อยประเทศสองพันล้านคน
- ว่าด้วย ..ที่น่าสนใจ ในเรื่อง Foundation
- Of ...Hermann Hesse ว่าด้วย เรื่องของ เฮอร์มานน์ เฮสเส
- Of Robots and Empire ว่าด้วย นครห่นยนต์ โดย Isacc Asimov
- Of The Robots of Dawn ว่าด้วย นครอรุณรุ่ง โดย Isacc Asimov
- Of The Naked Sun ว่าด้วย เรื่อง นครสุริยะ โดย Isacc Asimov
- Of The Cave of Steel ว่าด้วย เรื่อง โลหะนคร ของ Isacc Asimov
- ว่าด้วย เรื่อง นักสืบหุ่นยนต์ (ชุดหนังสือ)
- Of I Robot ว่าด้วย เรื่อง ข้า คือ หุ่นยนต์
- ว่าด้วย กฎ 3 ข้อของหุ่นยนต์
- 089. Of Foundation's Triumph ว่าด้วย เรื่อง ชัยชนะของสถาบันสถาปนา โดย เดวิด บริน
- 088. Of Foundation and Chaos ว่าด้วย ฝ่าวิกฤตสถาบันสถาปนา ของ เกรก แบร์
- 087. Of Foundationงs Fear ว่าด้วย เรื่อง สุดหนทาง สถาบันสถาปนา โดย เกรกอรี เบนฟอร์ด
- 086. Of Forward the Foundation ว่าด้วย เรื่อง สู่เส้นทาง สถาบันสถาปนา ของ Isacc Asimov
- 085. Of Prelude to Foundation ว่าด้วย เรื่อง กำเนิดสถาบันสถาปนา โดย Isacc Asimov
- 084. Of Foundation and Earth ว่าด้วย สถาบันสถาปนา และ โลก ของ Isacc Asimov
- 83. Of...Foundation's Edge ว่าด้วย เรื่อง สถาบันสถาปนา และ ปฐมภพ ของ Isacc Asimov
- 082. Of..Second Foundation ว่าด้วย เรื่อง สถาบันสถาปนา แห่งที่สอง ของ Isacc Asimov
- 081. Of..Foundation and Empire ว่าด้วย เรื่อง สถาบันสถาปนา และ จักวรรดิ ของ Isacc Asimov
- 080. Of...Foundation ว่าด้วย เรื่อง สถาบันสถาปนา ของ Isaac Asimov
- 079. Of Children's End ว่าด้วย เรื่อง สุดสิ้นกลิ่นน้ำนม ของ Arthur C. Clarke
- 078. Of ...Love in the mist 1. ว่าด้วยความรักระหว่าง Cupid and Psyche
- 077. Of Schim Shimmel
- 076. Of INQUIRY IN TO THE NATURE AND CAUSES OF THE WEALTH OF NATION ของ ADAM SMITH
- 075. Of The Federalist Papers ว่าด้วย...เอกสารความคิดทางการเมืองอเมริกัน
- 074. Of The Post-Corporate World ว่าด้วย..โลกยุคหลังบรรษัท
- 073. Of When Corporations Rule the World เมื่อบรรษัทครองโลก
- 072. Of Love and Death in the American Novel
- 071.Of The Prince ของ Niccolo Macchiavelli ว่าด้วย...เจ้าผู้ปกครอง
- 070. Of Power ว่าด้วย อำนาจ
- 069. Of 101 Golden Keys to Success!
- 068. ว่าด้วย การพัฒนาตนเองด้วยการอ่านหนังสือของ Napoleon Hill
- 067. ว่าด้วย หนังสือของ หลวงวิจิตรวาทการ
- 066.ว่าด้วย ธรรมชาติของคนในสังคม และ อุปนิสัยและจริตของแต่ละบุคคล
- 065.ว่าด้วย จิต มโน วิญญาณ เกิดดับ
- 064. ว่าด้วย เรื่องของกิเลส (เครื่องใจให้เศร้าหมอง) ๑๐ อย่าง
- 063. ว่าด้วย ธรรมที่มีความทะยานอยากเป็นมูล ๙ อย่าง
- 062.ว่าด้วย ธรรม
- 061.ว่าด้วย ศัตรูภายใน (โลภะ, โทสะ, โมหะ)
- 060. ว่าด้วย...ทักษะการดำรงชีวิต
- 059. Of sloth / laziness ว่าด้วย ความเกียจคร้าน 1 ใน 7 บาป
- 058. ว่าด้วย...เด็กเอ๋ย เด็กดี ต้องมีหน้าที่10อย่างด้วยกัน
- 057. คนที่เกิดมีขวานมาในปากด้วย
- 056. ว่าด้วย ธรรม 10 อย่าง บุคคลละธรรม ๑๐ อย่างได้จึงควรเป็นพระอรหันต์
- 055. ว่าด้วยเรื่อง ไม่ฉลาดในเรื่องจิตของผู้อื่นก็ควรฉลาดในเรื่องจิตของตน
- 054. ว่าด้วย ตัณหา
- 053. Of Ignorance ว่าด้วย โมหะ (ความหลง) หรือ อวิชชา
- 052. Of Anger หรือ Wrath ว่าด้วย ความโกรธ (R.2)
- 051. Of Creed ว่าด้วย ความโลภ (R.2)
- 050. ว่าด้วย กิเลส
- 043. ว่าด้วย มงคลชีวิต 38 ประการ
- 049. ว่าด้วย อิทธิบาท ๔ : ธรรมแห่งความสำเร็จในการทำงาน
- 048. Of "Ten Commandments" ว่าด้วย "บัญญัติ 10 ประการ"
- 047. Of seven deadly sins ว่าด้วย บาป 7 ประการ
- 046. Of Pride / Hubris ว่าด้วย ความโอหัง 1 ใน 7 บาป
- 045. Of Envy ว่าด้วย ความอิจฉา 1 ใน 7 บาป
- 044. Of Wrath หรือ Ira ว่าด้วย โทสะ ความโกรธเคือง และ พยาบาท 1 ใน 7 บาป
- 042. Of Greed / Avarice โลภะ (ภาษาลาติน: avaritia อวาริเทีย ) 1 ใน 7 บาป
- 041.. Of Discoure ว่าด้วย วาทกรรม
- 040. Of Death ว่าด้วย ความตาย
- 039. Of Gluttony ว่าด้วย ตะกละ (ภาษาลาติน: gula กูลา ; ภาษาอังกฤษ: gluttony)
- 038. Of Lust / Luxuria ว่าด้วย ราคะ (ภาษาลาติน: luxuria ลุกซุเรีย)
- 037. Of Education ว่าด้วย การศึกษา
- 036. Of Custom ว่าด้วย ประเพณีนิยม
- 035. Of Cunning : ว่าด้วย เลห์กล
- 034. Of Counsel ว่าด้วย การปรึกษาหารือ
- 033. Of Suntzu ว่าด้วย ตำราพิชัยสงครามของ ซุนหวู่
- 032. Of Ceremonies and Respects ว่าด้วย พิธีกรรม และ การยอมรับนับถือ
- 031. Of Boldness ว่าด้วยความอาจหาญ
- 030. Of Beauty ว่าด้วย ความงาม
- 029. Of Adversity ว่าด้วย ความลำเค็ญ
- 028. Of Worry, anxious, apprehensive, uneasy ว่าด้วย ความกังวล ..... ความวิตกกังวล
- 027. Of Fear, afraid, apprehensive ว่าด้วย ความกลัว
- 026. ว่าด้วย นิวรณ์ ๕
- 025. ว่าด้วย กิเลส
- 024. ว่าด้วย สังโยชน์ ๑๐
- 023. ว่าด้วย กามราคะ
- 022. ว่าด้วย วิจิกิจฉา
- 021. ว่าด้วย อุทธัจจกุกกุจจะ
- 020. Of Revenge ว่าด้วย ความอาฆาต ความพยาบาท
- 019. Of Envy ว่าด้วย ความอิจฉา .... ความริษยา
- 018. Of Bias ว่าด้วย ความลำเอียง
- 017. ว่าด้วย โทสะ ความโกรธ แค้น ฉุนเฉียว ขุ่นมัว Of Anger หรือ Wrath
- 016.ว่าด้วย ความโลภ
- 015. Love ว่าด้วย ความรัก
- 014. Ambition ว่าด้วย ความทะเยอทะยาน
- 013. Of Dream ว่าด้วย ความใฝ่ฝัน
- 012. Of Hope ว่าด้วย ความหวัง
- 011. Of Family ว่าด้วย ครอบครัว
- 010. Of Good Friend ว่าด้วย เพื่อนที่ดีงาม "กัลยาณมิตร"
- 009. ว่าด้วย คุณลักษณะของผู้นำ (Leader Traits) ที่ประสบความสำเร็จ.
- 008. ว่าด้วย บุคลิกภาพ Of Personality
- 007. ว่าด้วย อุปนิสัย (อุปนิสัย 7 ของ Stephen R. Covey ) Of Habit
- 006. ว่าด้วย ความเห็น ( สัมมาทิฏฐิ และ มิจฉาทิฏฐิ ) Of Opinion
- 005. ว่าด้วย ทัศนคติ Of Attitude
- 004. ว่าด้วย หน้าที่ของ พ่อ แม่ ลูก และ ครอบครัว Of Parent Children and Family
- 003. ว่าด้วย การสมรส Of Marriage
- 002. ว่าด้วย มิตรภาพ Of Friendship
- 001. ว่าด้วย เพื่อน Of Friend
|
|
|
|
|
|
|
โดย วิทยากร บุญเรือง
สวัสดี - เศรษฐกิจพอเพียง
แฟชั่นกระแสนิยมที่ขับเคลื่อนด้วยแรงศรัทธา เกี่ยวกับหลักเศรษฐศาสตร์ (เศรษฐกิจ) ในปัจจุบัน ถ้าไม่กล่าวถึงเรื่อง 'เศรษฐกิจแบบพอเพียง' (sufficiency economics) ก็อาจจะดูเหมือนเป็นคนตกยุค หรือไม่มีจิตใจอันที่จะบ่งบอกถึงการเป็นพลเมืองที่ดี เพราะในปัจจุบัน ถือว่าเรื่องของเศรษฐกิจแบบพอเพียงนี้ เป็น 'วาระแห่งชาติ' ที่ทุกคนในบ้านนี้เมืองนี้ จำเป็นจะต้อง 'สมาทาน' ไว้โดยพร้อมเพรียงกัน และก็ดูเหมือนว่า คงจะเป็นการไม่เหมาะสม สำหรับการวิพากษ์-วิจารณ์แนวคิดนี้
สำหรับกรณีนี้ ถือว่าเป็นปรากฎการณ์สำคัญอันหนึ่ง ที่ทำให้คนไทยเราส่วนใหญ่ หันมาขบคิดเกี่ยวกับเรื่องที่มีอิทธิพลต่อสังคมมากที่สุดในปัจจุบันและต่อจากนี้ไป ทั้งๆที่แต่เมื่อครั้งอดีตนั้น การกล่าวถึงมันดูเหมือนที่จะเป็นเรื่องไกลตัวเกินไป --- นั่นก็คือเรื่องของ เศรษฐกิจ (economics)
แต่ก็จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เศรษฐกิจแบบพอเพียง ไม่ได้มี หรือ ไม่ได้เป็นแนวทางของหลักการและเป้าหมายในองค์ความรู้หมวดหมู่เศรษฐศาสตร์ อันที่จะทำให้เกิดการบริหาร-จัดการทรัพยากรของโลกอย่างคุ้มค่ามากที่สุด แต่คำถามที่ไม่น่าจะให้ผ่านเลยไปโดยปราศจากการวิพากษ์-วิจารณ์ ก็คือ ใครบ้างที่สมควรจะพอเพียง และจะทำอย่างไรให้มีความพอเพียงแบบเท่าเทียมกันโดยถ้วนหน้า?
ดังที่ ผศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล เคยกล่าวไว้ในงานสัมมนาวิชาการเรื่อง ทิศทางใหม่ของการปฏิรูปการเมืองไทย ณ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ว่า คำว่า เศรษฐกิจพอเพียง ในปัจจุบัน คล้ายๆ กับคำว่า สวัสดี คือสามารถนำมาพูดกันได้ทุกคน เพื่อให้รู้สึกดี พูดกันได้ง่ายๆ แล้วความหมายของมันล่ะ?
สวัสดีครับ แล้วยังไงต่อล่ะ? คุณสบายดีไหม? ผมสบายดี? ถ้าคุณมีเรื่องทุกข์ร้อนแล้วผมจะสามารถช่วยอะไรได้บ้างรึเปล่า? ฯลฯ --- เช่นเดียวกันกับการนำ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ไปต่อยอดอย่างจริงๆ จังๆ อาจจะเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามที่ได้กล่าวไป และก็หาหนทางนำมันมาใช้อย่างยุติธรรมกับคนหมู่มากของสังคม
เมื่อมีหนทางบางสิ่งบางอย่างที่พอจะนำไปต่อยอด-แสวงหาจุดร่วมเพื่อที่จะนำพาให้พวกเราเดินไปสู่วันข้างหน้าที่ดีกว่าวันนี้ คงจะเป็นการดี ถ้าเราใช้มันให้เป็นและใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่คนหมู่มาก เท่าที่สิ่งนั้นจะนำพาเราไปได้ ดีกว่าอยู่เฉยๆ เปล่าๆ เปลี้ยๆ จมปรักอคติ แล้วก็เพียงแต่รอให้อะไรบางสิ่งบางอย่าง มันหล่นหาใส่เราเองด้วยความบังเอิญ!
Noahs Ark : การกลับไปที่จุดประสงค์ของเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น
บางที สิ่งที่จะชี้ให้เห็นถึงหนทางในการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ อาจจะถูกยัดอยู่ในวัตถุประสงค์การเรียนรู้ ในบทที่หนึ่งของตำราเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์รหัส 101 ก็เป็นได้ --- นั่นก็คือการจัดสรร-จัดการทรัพยากรให้คุ้มค่ามากที่สุด ซึ่งหมายถึงการนำทรัพยากรนั้นๆ ไปใช้ในกิจกรรมการผลิตให้เหมาะสม ระหว่างปริมาณของมัน ต่อความคุ้มค่าในการผลิต และต่อผู้ที่จะได้รับประโยชน์ ทั้งสามส่วนนี้จะต้องมีสัดส่วนเกี่ยวโยงสัมพันธ์กันอย่างยุติธรรม นี่คือแนวคิดที่ง่ายต่อการนำเสนอ แต่ก็ยังคงเป็นเรื่องยากในการนำมาปฏิบัติในทุกยุคทุกสมัย
แต่จากนี้ไป ข้อเสนอง่ายๆ นี้ จำเป็นจะต้องถูกนำมาปัดฝุ่นใช้อย่างเร่งด่วนที่สุด ผู้ผลิต-ธุรกิจรายย่อยและภาคประชาชนจะต้องร่วมมือกันกดดัน อำนาจนิยมที่บิดเบี้ยวบนโลกใบนี้ ให้กระจายความ มั่งคั่ง สู่ส่วนรวมโดยเร็วที่สุด
โดยรวบรวมเหตุผลและข้อเสนอได้ ดังนี้
มองโลกในแง่ร้ายแบบ Malthus
หลังจากที่ Adam Smith ตีพิมพ์หนังสือ An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations ได้ 22 ปี หนังสือเล่มเล็กๆ เกี่ยวกับหลักเศรษฐศาสตร์และสัญชาตญาณของมนุษย์เล่มหนึ่งก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา นั่นก็คือ An Essay on the Principle of Population
ในแรกเริ่มไม่มีการเปิดเผยตัวของผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ แต่เป็นที่ทราบกันในภายหลังว่ามันคือผลงานของสาธุคุณหนุ่ม Thomas Robert Maltthus
An Essay on the Principle of Population ถือว่าเป็นหนังสือที่โดนตำหนิเป็นอย่างมากในยุคนั้น เนื่องจากเนื้อหาของมันนำเสนอแนวคิดแบบ การมองโลกในแง่ร้าย (Pessimism) พอสมควร นั่นก็คือ Maltthus อธิบายถึงยุคเข็ญของมนุษย์ที่จะเกิดเพราะการเพิ่มตัวของจำนวนประชากรที่ไม่มีสิ้นสุด (eternal misery)
Maltthus ยังได้นำทฤษฎี ค่าจ้างพอเพียงประทังชีวิต (subsistence wage theory) หรือ กฎเหล็กแห่งค่าจ้างแรงงาน (the iron law of wage) มาอธิบายถึงความชอบธรรมในการกดค่าแรง เพื่อให้คนงานมีพอมื้อกินมื้อไป แต่หากเมื่อไหร่ที่คนงานได้ค่าแรงสูงจะทำให้แรงงานมีลูกมาก ทำให้ประชากรเพิ่มมากเพิ่มจนค่าจ้างไม่พอเลี้ยง ค่าจ้างแรงงานจึงจะตกลงมา ทำให้คุณภาพชีวิตของแรงงานก็จะต่ำตาม อันเป็นผลให้เกิดโรคระบาดและการล้มตาย ทำให้ประชากรลดลงเหลือพอจำนวนค่าจ้างเลี้ยงดูได้ ทฤษฎีนี้ยังอธิบายถึงการไม่สนับสนุนให้มีการบรรเทาทุกข์แก่คนยากจน เพราะว่าในการต่อสู้ผู้ที่แข็งแรงที่สุดเท่านั้น ที่สมควรจะอยู่รอด และการกำกับการเพิ่มจำนวนของประชากรนั้น สงคราม-ความอดอยาก-และการชะลอการสมรส ถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นตามความคิดของ Multhus นอกจากนี้ Multhus ยังแสดงความไม่เชื่อมั่นว่าการผลิตสินค้าจะจำหน่ายได้หมดเสมอไป เพราะว่าความต้องสินค้า (Effective Demand) อาจจะมีน้อยกว่าที่จำเป็น ซึ่งจะทำให้ขายสินค้าไม่หมดและส่งผลกระทบสู่ภาวะเศรษฐกิจ
โดยภาพรวมแล้ว ข้อเสนอของ Multhus เป็นข้อเสนอที่ไม่สมควรนำมาใช้เป็นอย่างยิ่ง ในการสร้างระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรม แต่ในทางกลับกัน ข้อเสนอของ Multhus นั้น กลับเป็นข้อเสนอที่ทำให้เห็นภาพปัญหาจริงๆจังๆ ของระบบเศรษฐกิจสังคม ที่เกิดขึ้นมาแล้ว-และที่กำลังจะเกิด
ถึงแม้ว่าในหลายประเทศกำลังมีปัญหาการลดลงของอัตราประชากร แต่โดยรวมแล้ว อัตราการเพิ่มของประชากรรวมทั้งโลกในปัจจุบันมีเท่ากับร้อยละ 1.5 ต่อปี และด้วยอัตรานี้สหประชาชาติคาดการณ์ว่า ในปี ค.ศ. 2100 ประชากรโลกจะมีถึง 11000 ล้านคน และจำนวนประชากรของประเทศด้อยพัฒนาจะเพิ่มสูงกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วเป็นจำนวนมาก
สิ่งหนึ่งที่คาดการณ์ได้เลยว่า หากระบบเศรษฐกิจยังคงไม่เป็นธรรมต่อคนหมู่มาก พลโลกที่กำเนิดขึ้นมาใหม่จำนวนมากจะต้องกลายเป็นเพียง แรงงานทาส-ผู้บริโภคผู้ซื่อสัตย์ ภายในจำนวน 11000 ล้านคนนั้น กลุ่มคนผู้มีอิทธิพลต่อโลกอาจจะไม่ถึงหลักหมื่นด้วยซ้ำ! หากการขยายตัวแบบจักรวรรดินิยมบรรษัทยังคอยจ้องกลืนกินธุรกิจเล็กๆ , หากยังไม่มีการจัดสรรที่ดินที่เป็นธรรม ,หากยังไม่มีการปรับเปลี่ยนกฎหมายเกี่ยวกับมรดก , และหากยังไม่มีการสร้างรัฐสวัสดิการขึ้นมารองรับคนในสังคม
สิ่งที่ Multhus ชี้ให้เห็นนั้นคือความน่ากลัวที่เคยเกิดขึ้นแล้ว และในอนาคตมันจะเกิดขึ้นอีก หากเรายังไม่สร้างระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมขึ้นมา
ระบบตลาดแบบสมบูรณ์
สิ่งที่ถูกต้องในการ จัดสรร-บริหาร ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์คุ้มค่าสูงสุดนั่นก็คือ การวางแผน ทั้งในการผลิต และกิจกรรมทางเศรษฐกิจทุกอย่าง แต่ภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนนั้น ระบบตลาดที่เป็นธรรม ก็สามารถเกิดขึ้นได้ และเช่นเดียวกันหนทางที่จะนำไปสู่การเศรษฐกิจแบบวางแผนนั้น ระบบตลาดที่เป็นธรรมก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยนำไปสู่เป้าหมายนั้น
มนุษย์มีความสามารถในการสร้างสรรค์ ถึงแม้ว่าจะต้องถูกจำกัดอยู่ในกรอบใดกรอบหนึ่งก็ตาม พลังในการสร้างสรรค์ก็จักต้องมีการแลกเปลี่ยนเพื่อพัฒนามันให้ดียิ่งขึ้นไปอีก
ขนมปังเพียงก้อนเดียวอาจถูกเปลี่ยนรูปแบบและรสชาติ จากนั้นก็แลกเปลี่ยนกับขนมปังก้อนอื่น!
Adam Smith คือบิดาแห่งระบบตลาด ที่ถูกลูกหลานและศาธานุศิษย์รุ่นต่อมาจำนวนหนึ่ง และเป็นจำนวนหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อโลก ด้วยลัทธิเสรีนิยมใหม่ (Neo-Liberalism) อย่างในปัจจุบันหักหลัง! (แต่ก่อนหน้านั้น เขาทำการหักหลังตัวเองด้วยการเป็นหัวหน้าศุลกากรในสกอตแลนด์ ทำหน้าที่ดูแลการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้า และตรวจสอบสินค้าหนีภาษี อย่างขยันขันแข็ง ;-)
ใน An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations บรรยายถึงเสรีภาพ-ประชาธิปไตยในระบบเศรษฐกิจ ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งจริยธรรมในการจัดระเบียบตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการจัดสรรทรัพยากรการผลิตของสังคมด้วยความเท่าเทียมและพอเหมาะ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อ-ผู้ขายตั้งอยู่บนพื้นฐานการตัดสินใจที่ได้รับข้อมูลอย่างครบถ้วน โดยลักษณะตลาดที่สมบูรณ์ของ Smith นั้นจะต้องประกอบไปด้วยลักษณะดังนี้
· ผู้ซื้อและผู้ขายมีขนาดเล็กหลายราย (Numerous buyers and sellers) และจักต้องไม่มีอิทธิพลต่อตลาด
· ผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องรับรู้ข้อมูลอย่างสมบูรณ์ (All buyers and sellers are about market and price) และจักต้องไม่มีความลับทางการค้า
· ผู้ขายจะต้องแบกภาระทางต้นทุนไว้เองทั้งหมด แล้วจึงส่งผ่านไปในราคาขาย
· เงินลงทุนจักต้องอยู่ภายในท้องถิ่น การค้าระหว่างประเทศจึงจะมีความสมดุล
· เงินออมจะต้องถูกนำไปลงทุนในการผลิตสินค้าใหม่ๆ
แต่ภายใต้การกำกับเศรษฐกิจโลกของจักรวรรดิบรรษัทนิยม กลับบิดเบือนและนำพาระบบตลาดไปสู่การผูกขาด (Monopoly Market) ซึ่งในระบบตลาดแบบผูกขาดนี้ ย่อมไม่เป็นการสรรค์สร้างระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมขึ้นมาได้เลย
การค้าเสรีระหว่างท้องถิ่น ภายใต้ทฤษฎี Comparative advantage
การสร้างการแข่งขันแบบผูกขาดโดยจักรวรรดิบรรษัทนิยม ไม่ใช่เฉพาะเป็นการกระทำในตลาดใดตลาดหนึ่ง หรือท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่ง แต่กลับจะทำให้โลกทั้งโลกกลายเป็นตลาดเดียว และเป็นตลาดที่ผูกขาดโดยพวกเขา ผ่านสิ่งที่เรียกว่า การค้าเสรีระหว่างประเทศ หรือ โลกาภิวัฒน์
ความพยายามที่จะทำให้โลกกลายเป็นตลาดเดียวของจักรวรรดิบรรษัทนิยม นอกเหนือที่จะทำให้ความหมายของระบบตลาดถูกบิดเบือนไปอย่างมหาศาลแล้ว วัฒนธรรมและเอกลักษณ์อันหลากหลายก็จะถูกทำลายลงไปด้วยวัฒธรรมและเอกลักษณ์ที่จักรวรรดิบรรษัทนิยมยัดเยียดให้แก่ท้องถิ่นนั้นๆ --- Hip-Hop จะกลายเป็นวัฒนธรรมของโลก เช่นเดียวกับน้ำอัดลมเพียงสองยี่ห้อเท่านั้น ที่ชาวโลกจะได้ดื่มมัน!
ใน Theory of comparative Advantage ของ David Ricardo ได้เสนอไว้ว่า การค้าแบบเปิดระหว่างสองชาติย่อมเอื้อต่อผลประโยชน์ของทั้งสอง ตราบเท่าที่มีการปฏิบัติตามเงื่อนไขเฉพาะจำนวนหนึ่ง คือจะต้องมีการสร้างความสมดุล มีการจ้างงานอย่างเต็มที่เต็มอัตราในประเทศทั้งสอง
โลกในความจริงที่เป็นอยู่นั้นก็คือศักยภาพของแต่ละแห่งนั้นยังไม่เท่าเทียมกัน การก้าวกระโดดโดย โลกาภิวัฒน์ของนายทุน ตามแบบอย่างลัทธิเสรีนิยมใหม่ในปัจจุบัน ที่มีนโยบาย - ย้ายฐานการผลิตสู่ถิ่นที่แรงงานราคาถูก , ย้ายทุนทางการเงินเพื่อการเก็งกำไรชั่วคราว , สร้างตลาดผู้บริโภคใหม่ๆ ในแต่ละภูมิภาคในโลกโดยที่ศูนย์กลางในการ เก็บเกี่ยวกำไร ยังอยู่ในส่วนที่เจริญที่สุดของโลกอยู่ ฯลฯ เหล่านี้ย่อมไม่ส่งผลให้การค้าเสรีระหว่างประเทศ ที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพมวลรวมในท้องถิ่นนั้นจริงๆ จังๆ ผลประโยชน์ก็คงจะตกแก่นายทุน-นายหน้า-พ่อค้าคนกลาง ท้องถิ่นเท่านั้น และความได้เปรียบอย่างเด็ดขาด (absolute advantage) จะเกิดแก่ท้องถิ่นที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจที่เหนือกว่าท้องถิ่นอื่นๆ เท่านั้น
เศรษฐกิจที่เป็นธรรมมิได้ปฏิเสธการค้าระหว่างท้องถิ่น แต่จะต้องทำให้ท้องถิ่นนั้นๆ ดูแลตนเองได้ก่อน การเปิดเสรีในทันทีทันใดโดยไม่คำนึงถึง ปัจจัยพื้นฐาน ในแต่ละท้องถิ่น ย่อมจะส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อคนในท้องถิ่นที่ขาด อำนาจ-การตัดสินใจ ในเรื่องเศรษฐกิจ คนเหล่านี้ (แรงงาน,เกษตรกร,ธุรกิจรายย่อย) จะเป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่ล้มหายตายจากไปก่อนเพื่อนจากโลกาภิวัฒน์ที่บิดเบือนนี้
การค้าระหว่างท้องถิ่นที่เป็นธรรม จะต้องเริ่มต้นด้วยการสร้างระบบเศรษฐกิจในท้องถิ่นให้เข้มแข็ง การค้าเสรีอาจจะเป็นการร่วมมือกันระหว่างท้องถิ่นที่ยังด้อยพัฒนาแต่ละแห่ง สร้างความสัมพันธ์ทางการค้าในสิ่งที่แต่ละท้องถิ่นขาดแคลน ผลิตในสิ่งที่ตนเชี่ยวชาญและมีคุณภาพ (greater relative efficiency) แล้วก็แลกเปลี่ยนกันกับท้องถิ่นอื่นๆ ตามหลักการแบ่งงานกันทำระหว่างท้องถิ่น(Local division of labor) --- โลกาภิวัฒน์แบบนี้ต่างหากที่โลกกำลังต้องการ มิใช่การเข้าไปหาผลประโยชน์จากท้องถิ่นอื่นๆ อย่างตะกละตะกลาม โดยจักรวรรดิบรรษัทนิยม อย่างในปัจจุบัน!
ทุนนิยมผูกขาดคือหายนะ
Fernand Braudel ได้ให้ความหมายของคำว่า Capitalism ไว้ว่า ทุนนิยมคือระบบเศรษฐกิจและสังคมที่คนส่วนน้อยกีดกันความเป็นเจ้าของและผลประโยชน์ของทุนจากคนส่วนใหญ่ซึ่งซึ่งใช้แรงงานทำให้ทุนสร้างผลผลิต ---การสะสมทุนและการกีดกันจึงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ระบบทุนนิยมไม่เคยสร้างความเสมอภาคทางเศรษฐกิจมาทุกยุคทุกสมัย
ระบบทุนนิยมได้นำเพียงเศษเสี้ยวของวิธีการในระบบตลาดมาใช้ แล้วก็บิดเบือนมัน ทั้งๆที่หนทางในการสร้างระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมผ่านกลไกของตลาดสมบูรณ์นั้นเป็นหนทางหนึ่งที่เป็นไปได้
ตารางเปรียบเทียบระหว่างทุนนิยม กับ ตลาด ของ David C. Korten
ระบบเศรษฐกิจบนความเสมอภาคของมนุษย์
ทั้งนี้ระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของ สิทธิเสรีภาพของมนุษย์ ความเสมอภาคทางเพศ , แนวคิด , และวิถีทางในการเลือกที่จะดำรงชีวิตเอง ตามแบบต่างๆ ที่อยู่ในกรอบของการใช้ทรัพยากรอย่างถ้วนหน้าและคุ้มค่าที่สุด --- จะต้องไม่มีลักษณะอำนาจนิยมที่บีบบังคับให้เรา พอเพียง หรือ พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ ทั้งๆ ที่ความเสมอภาคในสังคมเหล่านั้น ยังไม่เกิดขึ้น
และต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า ในโลกที่เราดิ้นรนต่อสู่อยู่ทุกวันนี้ ผลประโยชน์จากการบริโภค การทำงาน รวมถึงการขายเราเป็นสินค้า มันอยู่ในมือของชนชั้นนำและนายทุนทั้งหมดทั้งสิ้น --- และเราจะไม่มีวันได้ ระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรม จากกลุ่มคนเหล่านี้
ระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมจะต้องสร้างรากฐานจากล่างสู่บน คนธรรมดา,แรงงาน,เกษตรกร,วิสาหกิจรายย่อย จะต้องท้าทายกับอำนาจนิยมเหล่านั้น ด้วยวิถีทางใหม่ๆ เช่น สร้างสหกรณ์การผลิต-การค้า , ปฎิเสธโลกาภิวัฒน์ของนายทุน , สร้างการศึกษาทางเศรษฐศาสตร์-บริหารธุรกิจ ทางเลือกขึ้นมา เป็นต้น
ถ้าระบบเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันงี่เง่าและไม่ได้เรื่อง ก็จงช่วยกันออกแบบใหม่ และก็ลงมือสร้างมันขึ้นมาซ๊ะ! ด้วยน้ำมือของ คนเล็กๆ อย่างพวกเรา!
อคติและคำตอบ เกี่ยวกับ การสร้างเศรษฐกิจที่เป็นธรรม
อคติ : ระบบทุนนิยมเกี่ยวโยงกับระบบตลาดอย่างเป็นโครงสร้างที่แยกกันไม่ออก ไม่สามารถที่จะแยกส่วนในการวิเคราะห์ได้
คำตอบ : ความต้องการของมนุษย์และสภาพแวดล้อมที่เป็นโครงสร้างต่างหากที่เป็นปัญหา ระบบตลาดเป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนสร้างสรรค์ผลงานการผลิตของมนุษย์ ซึ่งสามารถสร้างโครงสร้างความยุติธรรมและประชาธิปไตยเข้าครอบวิธีการนี้ได้
อคติ : การทำลายระบบตลาดคือคำตอบของเศรษฐกิจที่เป็นธรรม
คำตอบ : ถูกต้อง นั่นคืออีกหนทางในการสร้างระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรม แต่การคงไว้ซึ่งระบบตลาดที่ปราศจากความโลภของมนุษย์ เพื่อการแลกเปลี่ยนสร้างสรรค์ ก็เป็นอีกหนทางหนึ่ง การจะปฎิเสธว่ามนุษย์ไม่สามารถพัฒนาจริยธรรมของตนไปถึงขั้นที่ไม่เอาเปรียบคนอื่นๆได้นั้น เป็นการดูถูกมนุษย์มิใช่น้อย
อคติ : ไม่มีทางที่จะสร้างระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมนี้ได้ในเร็ววัน
คำตอบ : ถูกต้องอีกเช่นกัน แต่การละทิ้งความหวัง หรือได้แต่วิจารณ์โดยไม่ทำให้อะไรดีๆ เกิดขึ้น น่าที่จะเป็นการกระทำที่ดูสิ้นหวังเสียกว่า ;-)
Resource:
//www.prachatai.com/05web/th/home/index.php