" เรื่องราวต่างๆเป็นดั่งทองคำในเทพนิยาย เมื่อคุณแจกจ่ายไปมากขึ้น คุณก็ได้รับกลับมามากขึ้น " พอลลี แมคไกวร์
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
30 มีนาคม 2551
 
All Blogs
 
ว่าด้วย เฟาสต์ เรื่องเล่าโดยจดหมายเก้าฉบับ by อีวาน ตูร์เกเนฟ

แหล่งข้อมูล://ecurriculum.mv.ac.th/library2/literature/wanakam/literature.asp-LiteratureID=81.htm

เฟาสต์ เรื่องเล่าโดยจดหมายเก้าฉบับ
อีวาน ตูร์เกเนฟ



Create Date : 30 มีนาคม 2551
Last Update : 30 มีนาคม 2551 12:26:35 น. 9 comments
Counter : 1655 Pageviews.

 
จดหมายฉบับที่หนึ่ง

เวล อเล็กซานโดรวิทช์ บี. ถึง ซีโมน นิโคแลวิทช์ วี.
หมู่บ้าน ม…โอ - 6 มิถุนายน 1850

ฉันมาถึงที่นี่ได้สามวันแล้ว เพื่อนรัก และหยิบปากกาขึ้นมาเขียนถึงนายตามที่ได้สัญญาไว้ ฝนเม็ดเล็กๆ ตกปรอยๆ ตั้งแต่เช้า จะออกไปข้างนอกคงไม่ได้ แล้วอีกอย่าง ฉันก็อยากคุยกับนายด้วย ฉันกลับมาที่นี่อีกครั้ง มาอยู่ในรังเดิม ในที่ซึ่งฉันไม่ได้อยู่มานานจนน่าตกใจที่จะบอกว่า - เป็นเวลาถึงเก้าปีเต็ม จริง ๆ นะเมื่อคิดถึงเวลาที่ผ่านไป ฉันได้เปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่งแล้ว ใช่แล้ว เป็นอีกคนจริงๆ นายจำได้ไหมว่าในห้องรับแขกมีกระจกบานเล็กสีเข้มที่ตรงมุมมีลายขดม้วนแปลกๆ ของคุณทวดฉันอยู่ บานที่นายเคยครุ่นคิดเสมอว่าเมื่อร้อยปีก่อนมันเคยได้เห็นอะไรมาบ้าง ทันทีที่มาถึง ฉันก็รีบไปที่หน้ากระจกบานนั้นแล้วก็ให้รู้สึกประหลาดใจ ฉันสังเกตเห็นได้ในฉับพลันว่าตนเองได้แก่ลงและเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใดในระยะหลังนี้ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ฉันคนเดียวหรอกที่แก่ลง บ้านหลังน้อยของฉัน ซึ่งอยู่ในสภาพทรุดโทรมมานาน บัดนี้แทบจะทรงตัวตั้งตรงอยู่ไม่ได้อีกแล้ว มันเอียงและทรุดลงไปในดิน วาสีเลียฟนาแม่บ้านที่แสนดีของฉัน (ฉันแน่ใจว่านายไม่ลืมวาสีเลียฟนาหรอก ก็แกมีผลไม้แช่อิ่มที่อร่อยนักหนาไว้ต้อนรับนายทุกครั้งนี่) เดี๋ยวนี้แกผอมแห้งและหลังงองุ้ม พอเห็นฉัน แกไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้และไม่ได้ร้องไห้ ได้แต่ครางอยู่ในคอแล้วก็ไอ นั่งเหนื่อยอยู่บนเก้าอี้และโบกมือไปมาอย่างสิ้นหวัง เฒ่าเทอเรนตี้ยังกระฉับกระเฉง ยังทรงตัวได้ตรง เวลาเดินก็แบะเท้า และกางเกงผ้าฝ้ายสีเหลืองตัวเดิม แกใส่รองเท้าหนังแพะแบบหลังเท้าหนาและเชือกผูกรองเท้าผูกเป็นปุ่มปมยุ่งเหยิงที่มีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดคู่เก่า คู่ที่มักจะทำให้นายหงุดหงิดอยู่บ่อยๆ แต่สวรรค์โปรดเถอะ เดี๋ยวนี้กางเกงตัวนั้นช่างดูหลวมโพรก แขวนอยู่บนขาผอมๆ ของแก เส้นผมของเฒ่าเทอเรนตี้ก็หงอกขาวโพลนอะไรเช่นนั้น ใบหน้าของแกหดเหี่ยวลงจนเหลือเท่ากำปั้นของนาย เวลาแกพูดกับฉัน หรือยามที่แกพยายามจะจัดการเรื่องต่างๆ และสั่งการอยู่ในห้องข้างๆ ฉันรู้สึกว่าแกดูน่าขันซ้ำยังน่าสงสาร แกไม่มีฟันเหลืออยู่แล้วและพูดพึมพำด้วยเสียงอู้อี้งึมงำ
ตรงกันข้าม สวนกลับเจริญงอกงามอย่างน่าอัศจรรย์ พุ่มไลแลค อะคาเซีย และต้นสายน้ำผึ้ง (นายกับฉันช่วยกันปลูกไว้ จำได้ไหม) ได้เติบโตขึ้นเป็นพุ่มไม้ใบดกหนางดงามมาก ต้นเบิร์ชและต้นเมเปิลสูงชะลูดแผ่กิ่งก้านกว้างใหญ่ โดยเฉพาะต้นมะนาวที่ขึ้นเป็นแนวยาวสองข้างทางนั้นงามเหลือเกิน ฉันรักแนวไม้นี้ รักสีเขียวอมเทาอันนุ่มนวลของมัน รวมทั้งกลิ่นหอมจางในอากาศเมื่อยืนอยู่ใต้ซุ้มไม้ ฉันรักวงกลมเล็กๆ จากแสงสว่างที่ส่องลอดพุ่มใบลงมากระจายพร่างพรายอยู่บนพื้นดินสีเข้ม - นายก็รู้ว่าฉันไม่มีทราย ต้นโอ๊คน้อยต้นโปรดของฉันได้เติบโตขึ้นเป็นต้นโอ๊คหนุ่มแล้ว เมื่อวานนี้ตอนเที่ยงวัน ฉันนั่งอยู่บนม้านั่งใต้ร่มเงาของมันเป็นชั่วโมง รู้สึกสบายเสียเหลือเกิน มีต้นหญ้าเป็นสีเขียวสว่างสดใสอยู่รอบๆ ตัว แสงสีทองจัดจ้าและนุ่มนวลสาดส่องไปทั่วทุกหนทุกแห่ง อีกทั้งยังแทรกผ่านเข้าไปในร่มเงาไม้… และฉันได้ยินเสียงนกกี่ตัวก็ไม่รู้ ฉันเชื่อว่านายคงจะไม่ลืมว่าฉันเป็นคนหลงใหลนก นกเขาคูขันไม่ขาดเสียง สอดแทรกด้วยเสียงผิวปากของนกขมิ้นเป็นระยะๆ นกแชฟฟินช์ร้องเพลงประจำตัวอย่างไพเราะ และนกเดินดงส่งเสียงเหมือนกำลังโกรธเกรี้ยวและทะเลาะกันจ้อกแจ้ก นกดุเหว่าขานรับอยู่แต่ไกล และจู่ๆ นกหัวขวานก็เปล่งเสียงกรีดร้องแทรกขึ้นมาราวกับคนบ้า ฉันนั่งฟัง สดับเสียงผสมผสานอันนุ่มนวลที่ดังอยู่ไม่รู้จบเหล่านี้ ไม่อยากจะขยับเขยื้อนไปไหน ความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในหัวใจ ไม่ได้สงบนิ่งแต่ก็ใช่ว่าจะมีอารมณ์ใด
และไม่ใช่แต่สวนเท่านั้นที่เติบโตขึ้น ยังมีพวกเด็กหนุ่มร่างกายแข็งแรงกำยำ ซึ่งแทบจะจำไม่ได้เลยว่าเป็นเด็กๆ จอมซนที่เคยรู้จัก ฉันก็ได้เจอเป็นประจำ ทิมอชา คนโปรดของนาย ตอนนี้กลายเป็น ทิมอฟิเย ที่นายเองก็คงจะนึกภาพไม่ออก ในสมัยโน้นนายเคยเป็นห่วงสุขภาพของเขา เกรงว่าเขาจะเป็นวัณโรค ตอนนี้ นายน่าจะได้มาเห็นมือสีแดงใหญ่โตของเขาที่ยื่นออกมาจากแขนคับติ้วของเสื้อคลุมผ้าฝ้ายที่สวมอยู่ อีกยังร่างกายที่มีแต่กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ต้นคอของเขาหนาอย่างกับคอวัว ศีรษะมีเส้นผมสีทองหยิกขอดเป็นก้อนกลมปกคลุมเหมือนเฮอร์คิวลิสของฟาร์นเนส ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปบ้างแต่ก็ไม่มากเหมือนคนอื่นๆ ไม่ได้มีขนาดโตขึ้นสักเท่าไร และรอยยิ้มกว้างโชว์ฟันห่างๆ ตามที่นายเคยบรรยายเอาไว้ก็ยังคงเหมือนเดิม ฉันเอาเขามารับใช้ ฉันปล่อยคนใช้จากปีเตอร์สเบิร์กไว้ที่มอสโคว์ เพราะเขาชอบทำให้ฉันขายหน้าและทำให้ฉันรู้สึกเป็นคนบ้านนอก
ฉันไม่ได้เห็นหมาของฉันเลยแม้แต่ตัวเดียว พวกมันตายกันไปหมดแล้ว มีแต่เนฟตาที่มีอายุยืนกว่าตัวอื่นๆ แต่มันก็ไม่ได้อยู่รอจนฉันมาถึง เหมือนเช่นที่อาร์กอสอยู่รอคอยยูลิซิส มันไม่มีวาสนาได้เห็นนายเก่าและอดีตสหายนักล่าด้วยดวงตาที่ฝ้ามัวของมัน แต่ชาฟกายังมีเสียงและยังเห่าเสียงแหบๆ อยู่ หูข้างหนึ่งฉีกเหมือนเคย แถมมีเห็บเต็มหางราวกับเป็นที่ที่เหมาะสำหรับมัน
ฉันเข้าไปพักในห้องนอนเดิมของนาย ห้องนี้แดดส่องเข้ามาเต็มที่ ซ้ำยังมีแมลงวันเต็มไปหมด แต่กระนั้นมันก็เป็นห้องที่มีกลิ่นไอของบ้านเก่าน้อยกว่าห้องอื่นๆ กลิ่นอับนั่นมันแปลกจริงๆ กลิ่นที่เหมือนกับของเปรี้ยวๆ และเฉาๆ นั่นมีพลังต่อจินตนาการของฉันมากทีเดียว ฉันไม่ได้บอกว่ามันเป็นกลิ่นที่น่ารังเกียจสำหรับฉันหรอกนะ ตรงกันข้าม มันทำให้ฉันรู้สึกเศร้าและสุดท้ายกลายเป็นความหดหู่ ฉันก็เหมือนกับนาย คือพอใจนักหนากับเจ้าตู้ลิ้นชักที่ด้านหน้าโค้งนูนและมีหูจับทองเหลืองนั่น เก้าอี้นวมสีขาวที่มีเท้าแขนและมีพนักพิงรีๆ เหมือนไข่ กับมีขาโค้งมน โคมไฟแก้วระย้าที่มีรอยขี้แมลงวันจุดเล็กๆ ประอยู่ทั่ว มีไข่ใบใหญ่ทำด้วยโลหะแวววาวสีม่วงอยู่ตรงกลาง พูดง่าย ๆ ว่าฉันก็ชอบเครื่องเรือนทุกชิ้นที่เป็นสมบัติสมัยปู่ของเรานั่นแหละ แต่ฉันมองของทั้งหลายทั้งแหล่นี่ตลอดเวลาไม่ไหวหรอก เพราะฉันรู้สึกเหมือนกับหมดแรง (เป็นแบบนั้นจริงๆ) ในห้องที่ฉันเข้าไปอยู่ตกแต่งด้วยเครื่องเรือนแบบธรรมดาเป็นที่สุดและเป็นสิ่งที่ทำขึ้นใช้เองในบ้าน แต่ฉันยังเก็บตู้สูงที่มีชั้นแคบๆ ไว้มุมหนึ่งของห้อง ฝุ่นบนนั้นทำให้แทบมองไม่เห็นแจกันแก้วแบบโบราณจำนวนมากที่มีรูปทรงป่องตรงกลางและมีสีฟ้าและสีเขียว ฉันยังได้สั่งให้แขวนภาพเขียนบนผนัง ซึ่งนายคงจำภาพผู้หญิงในกรอบสีดำที่นายเคยเรียกว่า ภาพของแมนอน เลสคอตได้ มันดูหมองลงเล็กน้อยเมื่อเวลาผ่านไปเก้าปี แต่ดวงตายังจ้องมองมาอย่างครุ่นคิด มีนัยและอ่อนโยนเช่นเคย ริมฝีปากแย้มยิ้มอย่างขี้เล่นแฝงไว้ด้วยความอาลัยเหมือนแต่เก่าก่อน ดอกกุหลาบที่กลีบหลุดร่วงไปบ้างแล้วห้อยอยู่หลวมๆ ระหว่างนิ้วเรียว ม่านบังตาในห้องนอนของฉันสิตลกที่สุด ครั้งหนึ่งนานมาแล้วมันเคยมีสีเขียว แต่ตอนนี้ถูกแดดจนกลายเป็นสีเหลือง บนม่านมีลายเขียนสีดำเป็นภาพต่างๆ จากเรื่อง “นักพรต” ของดาร์ลินคอร์ท บนม่านผืนหนึ่งมีรูปนักพรตคนนี้จ้องมองมา หนวดเคราดกหนา ดวงตาโปนโต สวมรองเท้าแตะ กำลังลากหญิงสาวหัวกระเซิงสักคนไปยังภูเขา บนม่านอีกผืนหนึ่งเป็นฉากการต่อสู้อันดุเดือดของอัศวินสี่คนที่สวมหมวกกลมใบเล็กตรงกลางศีรษะ และสวมเสื้อหนุนไหล่ คนหนึ่งนอนอยู่ ปลายเท้าพับแตะเข่าอีกข้างคล้ายท่าบัลเลต์ ออง รากูร์ซี สรุปก็คือถูกสังหารไปแล้ว ความสยดสยองทั้งมวลปรากฏให้เห็นในภาพ ท่ามกลางบรรยากาศแสนสงบเงียบปราศจากสิ่งรบกวน ทั้งแสงแดดที่ส่องต้องม่านบังตาเหล่านั้นทำให้เกิดเงาสะท้อนอันนุ่มนวลบนเพดาน ฉันเพิ่งรู้สึกว่าจิตใจได้เข้าถึงความสุขสงบเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กลับมาอยู่ที่นี่ ฉันไม่รู้สึกอยากจะทำอะไร ไม่อยากจะพบใคร ไม่อยากจะคิดถึงอะไรทั้งสิ้น ฉันรู้สึกขี้เกียจเกินกว่าจะคาดเดาได้ แต่ก็ไม่ถึงกับขี้เกียจมากจนไม่อยากใช้ความคิด เพราะการคิดไม่ใช่ความเกียจคร้าน สองอย่างนี้ไม่เกี่ยวกัน ซึ่งนายก็คงจะรู้ดี
ในตอนแรก ความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในวัยเด็กได้ถาโถมเข้ามา ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ไม่ว่าจะมองเห็นอะไร มันผุดขึ้นมาทุกทิศทุกทางอย่างชัดเจน ชัดเจนลงไปจนถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแทบทุกนาที เป็นภาพนิ่งที่ไม่มีการเคลื่อนไหวราวกับมันตราตรึงจำหลักอยู่ไม่เคลื่อนคลาย แล้วความทรงจำในเรื่องอื่นๆ ก็ตามมา จากเรื่องนั้นไปเรื่องโน้น แล้ว…แล้วฉันก็ค่อยๆ เลิกนึกถึงอดีต และการที่ไม่มีเรื่องติดค้างอยู่ในอกทำให้เกิดความเพ้อฝัน คิดดูสิ ฉันกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นวิลโลว์ที่เขื่อน แล้วก็ร้องไห้ออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย และคงจะร้องอยู่อีกนานทั้งที่อายุปานนี้แล้ว หากไม่รู้สึกอายเมียชาวนาที่เดินผ่านมา และจ้องมองดูฉันอย่างสนใจใคร่รู้ นางค้อมตัวลงคำนับแล้วเดินผ่านไปโดยไม่ได้หันมามอง ฉันน่าจะพอใจเป็นอย่างยิ่งที่จะจมอยู่ในความคิดคำนึงเหล่านั้น (ฉันจะไม่ร้องไห้อีกแน่นอน) จนกว่าจะถึงเวลาจากไป นั่นก็คือจนกว่าจะถึงเดือนกันยายน และฉันก็คงจะหงุดหงิดมากหากมีเพื่อนบ้านคนไหนคิดจะมาเยี่ยมเยือนฉัน อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนฉันไม่ต้องกลัวว่าจะมีเรื่องเช่นนั้นเพราะฉันไม่มีเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียง ฉันเชื่อว่านายจะเข้าใจฉัน นายก็รู้จากประสบการณ์ของนายเองว่า การอยู่โดยลำพังนั้นมันวิเศษเพียงใด…ฉันต้องการอยู่ลำพังหลังจากที่ได้เดินทางร่อนเร่มามาก
แต่ฉันจะไม่รู้สึกเบื่อแน่นอน เพราะฉันเอาหนังสือมาด้วยหลายเล่มทีเดียว และฉันก็มีห้องสมุดอย่างดีที่นี่ เมื่อวานนี้ฉันเปิดตู้และงมกองหนังสือกลิ่นอับๆ พวกนั้นอยู่นาน ฉันได้พบหนังสือน่าสนใจหลายอย่างที่ไม่เคยสังเกตมาก่อน เช่น ต้นฉบับแปลเรื่อง ‘ผู้บริสุทธิ์’ ในช่วงปี ’70-’79 หนังสือพิมพ์และวารสารในสมัยนั้น มี กิ้งก่าผู้ชนะ (ของมีราโบไง) ชาวนาผู้โชคร้าย และอื่นๆ ฉันได้เจอหนังสือเด็ก ทั้งของฉันเอง ของพ่อและของย่า เชื่อไหมว่ามีแม้กระทั่งหนังสือของทวด บนหนังสือที่มีปกสีสดใสเล่มหนึ่ง มีข้อความที่ใช้ไวยากรณ์ภาษาฝรั่งเศสแบบโบราณ เขียนไว้ด้วยอักษรตัวโตว่า “เซอ ลีฟร์ อปาร์เตียง อา มาดมัวแซล ยูโดซี เดอ แลฟรีน” (หนังสือเล่มนี้เป็นของเด็กหญิงยูโดซี เดอ แลฟรีน)” และลงท้ายด้วยปี ค.ศ.1741 ฉันเจอหนังสือที่ฉันซื้อมาจากต่างประเทศบ้างในครั้งบางคราว อย่างเล่มหนึ่งก็เฟาสต์ ของเกอเธ บางทีนายอาจจะไม่ทันได้นึกว่ามีอยู่พักหนึ่งฉันท่อง ‘เฟาสต์’ ได้ขึ้นใจ (เฉพาะภาคแรก ใช่แล้ว) ทุกถ้อยทุกคำนั้นอ่านเท่าไรก็ไม่อิ่มหนำหัวใจ…ทว่า ในช่วงเวลาอื่นก็มีความฝันอื่น และในช่วงเก้าปีที่ผ่านมา ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันไม่ได้หยิบเรื่องของเกอเธขึ้นมาอ่านเลยแม้แต่ครั้งเดียว ฉันมีความรู้สึกที่สุดจะอธิบายได้เมื่อเห็นหนังสือเล่มเล็กนั้น แต่ว่ามันช่างดูคุ้นเคยเสียเหลือเกิน (เป็นฉบับที่พิมพ์แย่ที่สุดเมื่อปี ค.ศ. 1828) ฉันหยิบมันออกมาจากห้องหนังสือ กลับมานอนลงบนเตียงแล้วก็เริ่มอ่าน ฉากแรกนั้นมีผลกับฉันมากจริงๆ ฉากการปรากฏตัวของปีศาจ นายจำคำพูดของเขาได้ใช่ไหม “บนกระแสคลื่นแห่งชีวิต ในวูบหนึ่งของการกระทำ” มันทำให้ฉันเกิดความรู้สึกตื่นเต้นและเย็นยะเยือกด้วยความปีติซึ่งฉันไม่ค่อยรู้สึกบ่อยนัก ฉันจำได้ทุกอย่าง ทั้งเบอร์ลินและชีวิตสมัยเป็นนักเรียน รวมทั้งนางสาวคลารา ชติก และไซเดลมานน์ ในส่วนของเมฟิสโตฟีลิสและทุกสิ่งและทุกคน ฉันไม่อาจหลับลงได้เป็นเวลานานทีเดียว วัยเยาว์ได้คืนกลับมาและปรากฏอยู่ตรงหน้าฉัน ราวกับผี เหมือนไฟ ดั่งยาพิษ มันแล่นพล่านอยู่ในเส้นเลือด หัวใจของฉันฟูฟ่องและพองฟู บางสิ่งบางอย่างท่วมท้นเส้นสายของมันและความปรารถนาก็เริ่มผุดขึ้นมา
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นความคิดคำนึงที่เพื่อนของนายผู้ซึ่งมีอายุใกล้สี่สิบปีปล่อยตัวให้หมกมุ่น ยามนั่งอยู่ลำพังในบ้านหลังเล็กที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีคนเห็นฉัน จริงสิ จะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเขาเห็น ฉันไม่ควรจะละอายแม้แต่น้อยนิด การรู้สึกละอายก็เป็นเครื่องหมายอย่างหนึ่งของความเป็นเด็ก แต่ฉันเริ่มสังเกตว่าฉันชักจะแก่ตัวลง และนายรู้ไหมว่าทำไม เหตุผลก็คือ ตอนนี้ฉันพยายามจะทำให้ตัวเองมองโลกให้สนุกร่าเริงมากขึ้นและคิดถึงความเศร้าโศกให้น้อยลง ขณะที่ตอนยังเป็นหนุ่ม ฉันกลับทำในทางตรงข้าม คนเราในวัยนั้นมักจะก่นโศกเศร้าราวกับเป็นสิ่งล้ำค่าและกลับละอายที่จะแสดงความร่าเริง
แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับฉันแล้วดูเหมือนว่า แม้จะมีประสบการณ์มากมายในชีวิตแต่โลกนี้ยังมีอะไรอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ฉันไม่เคยได้สัมผัสนะสหายโฮราชิโอ และอะไร “บางอย่าง” นั่น มีความสำคัญเหนือกว่าทุกสิ่ง
เออ ทำไมฉันถึงเขียนเล่าไปได้เรื่อย ๆ ขอลาไปก่อนนะ ค่อยคุยกันใหม่คราวหน้า แล้วนายล่ะ ทำอะไรอยู่ที่ปีเตอร์สเบิร์ก อ้อ ซาเวไล พ่อครัวของฉันที่นี่ฝากความระลึกถึงมาถึงนายด้วย เขาเองก็แก่ลงเหมือนกันแต่ก็ไม่มากนัก เริ่มมีไขมันพอกแล้วก็พุงอ้วนกลม เขายังทำอาหารอร่อยเหมือนเดิม ทั้งซุปไก่กับหัวหอมต้ม เต้าหู้ก้อนที่แต่งขอบรอบๆ อย่างสวยงามและซุปเปรี้ยวปิกูส์ใส่แตงกวา อาหารขึ้นชื่อของย่านสเตปป์ ซึ่งจะทำให้ลิ้นนายขาวและช่วยย่อยอาหาร แล้วก็จะออกฤทธิ์อยู่ในตัวนายนานถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง หรือไม่อย่างนั้นเขาก็จะทำเนื้อย่างแห้งแบบเดิมๆ แบบที่แข็งเสียจนกระทั่งนายเคาะกับจานได้เลย มันเป็นกระดานเราดีๆ นี่เอง ลาไปก่อนล่ะนะ


เพื่อนของนาย

พี.บี.



โดย: จดหมายฉบับที่หนึ่ง (moonfleet ) วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:12:29:01 น.  

 
จดหมายฉบับที่สอง

จากคนเดิม ถึง คนเดิม
หมู่บ้าน ม…โอ - 12 มิถุนายน 1850

ฉันมีข่าวค่อนข้างสำคัญจะบอกนายล่ะ เพื่อนรักของฉัน นี่นะ เมื่อวานนี้ตอนก่อนเวลาอาหารค่ำ ฉันเกิดอยากจะออกไปเดินเล่น เพียงแต่ไม่ได้เข้าไปในสวนเท่านั้น ฉันเดินไปตามถนนเข้าเมือง มันช่างรู้สึกดีจริงๆ ที่ได้เดินเรื่อยเปื่อย ก้าวยาวๆ ไปตามถนนที่ทอดยาวตรงไป ท่าทางเหมือนมีธุระและกำลังเร่งรีบจะไปที่ใดสักแห่งหนึ่ง ฉันมองไปรอบๆ และเห็นรถเทียมม้ากำลังวิ่งตรงมาหาฉัน “กำลังมาที่บ้านฉันใช่ไหมนั่นน่ะ” ฉันคิดด้วยความตกใจ
แต่ไม่ใช่หรอก ในรถเทียมม้าคันนั้นมีสุภาพบุรุษมีหนวดที่ฉันไม่รู้จักนั่งอยู่ ฉันค่อยรู้สึกเบาใจลง แต่ในทันใดนั้น ขณะที่รถวิ่งเลียบมาข้างฉัน สุภาพบุรุษผู้นี้ก็ได้สั่งให้คนขับรถหยุดม้า ยกหมวกขึ้นแสดงการทักทายอย่างมีมารยาท และถามฉันด้วยความสุภาพยิ่งกว่านั้นอีกว่าฉันคือคนนั้น... ใช่หรือไม่ เขาเอ่ยชื่อฉันออกมา ทำให้ฉันกลับต้องเป็นฝ่ายหยุดและตอบเหมือนกับอาชญากรให้การในการไต่สวนว่า “ผมคือคนนั้น…” แล้วก็จ้องมองดูสุภาพบุรุษมีหนวดคนนั้นอย่างงงงวย ถามตัวเองว่า ‘เอ ฉันต้องเคยเห็นเขาที่ไหนสักแห่งมาก่อนแน่’
“คุณจำผมไม่ได้หรือ” เขาถามด้วยเสียงชัดเจนขณะที่ก้าวลงจากรถ
“ผมจำไม่ได้จริง ๆ ครับ”
“แต่ผมจำคุณได้ทันทีเลย”
เขาพูดต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งปรากฏต่อมาว่าเขาคือพริมคอฟ นายจำเขาได้หรือเปล่า สหายเก่าของเราสมัยเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยยังไงล่ะ นายคงจะคิดอยู่ตอนนี้ละสิว่า “ข่าวนี้มีความสำคัญอะไรกันเชียว” ซีโมน นิโคแลช ที่รักของฉัน “พริมคอฟน่ะ เท่าที่ฉันจำได้ เป็นคนที่ค่อนข้างล่องลอยไร้สาระ ไม่จริงจังกับอะไร แม้ว่าจะไม่ใช่คนที่มีจิตใจชั่วร้ายหรือโง่ทึ่ม” นั่นล่ะ เขาล่ะ เพื่อนรัก แต่ลองฟังเรื่องของฉันต่อไปสิ
“ผมยินดีเป็นอย่างยิ่ง” เขากล่าว “เมื่อผมได้ยินข่าวว่าคุณกลับมาอยู่ที่หมู่บ้านของคุณ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับบ้านของผม แต่ไม่ใช่ผมคนเดียวหรอกนะครับที่ดีใจ”
“ไม่ทราบว่า” ฉันถาม “ใครอีกหรือครับที่ยินดี…”
“ภรรยาของผม”
“ภรรยาของคุณหรือครับ”
“ใช่ครับ ภรรยาของผม เธอเป็นเพื่อนเก่าของคุณ”
“ผมขอทราบนามของภรรยาของคุณได้ไหมครับ”
“เธอชื่อ เวรา นิโคแลฟนา นามสกุลเดิมของเธอคือ เอลท์ซอฟ…”
“เวรา นิโคแลฟนา” ฉันอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว
และนี่คือข่าวชิ้นสำคัญที่ฉันบอกนายในตอนต้นของจดหมาย แต่บางทีนายอาจจะไม่เข้าใจชัดเจนว่าเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างไร ฉันจะต้องเล่าให้นายรู้เรื่องในอดีตของฉันเสียก่อน อดีตที่ผ่านมาเนิ่นนาน…
เมื่อตอนที่เรา คือนายกับฉันจบจากมหาวิทยาลัย ฉันอายุยี่สิบสอง นายไปเข้าทำงานกับรัฐบาล ส่วนฉันก็อย่างที่นายรู้ ได้ตัดสินใจว่าจะเดินทางไปเบอร์ลิน แต่ไม่มีอะไรจะทำที่เบอร์ลินจนกว่าจะถึงเดือนตุลาคม ฉันจึงต้องการจะใช้เวลาในช่วงฤดูร้อนอยู่ในรัสเซีย ในแถบชนบทเพื่อจะได้พักผ่อนให้สบายอย่างเต็มที่เป็นครั้งสุดท้าย แล้วจะได้ไปเริ่มต้นทำงานหนักอย่างจริงจังต่อไป ส่วนที่ว่าโครงการสุดท้ายนี้ได้ดำเนินการไปแค่ไหนอย่างไรนั้น ฉันจะยังไม่เล่ารายละเอียดในตอนนี้… “แต่ฉันจะไปพักร้อนที่ไหนดีเล่า” ฉันถามตัวเอง ฉันไม่อยากกลับไปบ้านที่นอกเมือง พ่อของฉันเพิ่งตายไป ญาติใกล้ชิดก็ไม่มี ฉันกลัวการอยู่คนเดียว กลัวความเบื่อ… และด้วยเหตุนั้น ฉันจึงตอบรับคำชักชวนของญาติผู้ใหญ่ คือปู่คนหนึ่งของฉันด้วยความลิงโลด เมื่อท่านเอ่ยปากว่าฉันควรไปเยี่ยมเยียนท่าน ณ ที่พำนักในเขตการปกครอง ท…. ท่านเป็นเศรษฐี ใจดี แล้วก็เป็นคนง่ายๆ มีชีวิตแบบคนรวย และมีคฤหาสน์ใหญ่โตพอๆ กับพวกขุนนาง ฉันเข้าไปพักอยู่ในบ้านของท่าน ปู่ของฉันมีครอบครัวใหญ่ มีลูกชายสองคนและลูกสาวห้าคน นอกจากนี้ยังมีผู้คนอีกจำนวนมากอยู่ในบ้าน มีแขกมาเยือนตลอดเวลา และแม้กระนั้น สิ่งต่างๆ ก็ยังไม่น่าสนุก แต่ละวันผ่านไปอย่างอึกทึกครึกโครม ไม่มีทางเลยที่ใครจะคิดปลีกตัวอยู่ตามลำพังได้ ทุกอย่างต้องทำกันเป็นกลุ่มเป็นพวก ทุกคนพยายามจะหาความบันเทิงด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง คิดสร้างสรรค์อะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง และพอตกเย็นทุกคนก็เหนื่อยล้าเต็มที ชีวิตแบบนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย ฉันเริ่มคิดจะไปจากที่นี่ รอแต่เพียงให้ปู่บอกว่าวันไหนเท่านั้น หากในวันนั้นเอง วันที่ถึงกำหนด ฉันก็ได้พบเวรา นิโคแลฟนา เอลท์ซอฟฟ์ ในงานเต้นรำ - แล้วก็เลยอยู่ที่นั่นต่อ
ตอนนั้นหล่อนอายุสิบหกปี อยู่กับแม่ในบ้านบนที่ดินผืนเล็กๆ ห่างจากอาณาเขตบ้านของลุงไปประมาณห้ากิโลเมตรเศษ พ่อของหล่อนเป็นคนน่านับถือ ว่ากันว่าเขาขึ้นถึงยศพันเอกได้เร็วมาก และคงจะมียศสูงขึ้นอีกหากไม่เสียชีวิตลงเสียก่อนด้วยอุบัติเหตุถูกกระสุนปืนของสหายในขณะล่าสัตว์ เวรา นิโคแลฟนายังเล็กอยู่ตอนที่พ่อของหล่อนเสียชีวิต แม่ของหล่อนก็เป็นคนที่โดดเด่นเช่นเดียวกัน เป็นคนเก่งพูดได้หลายภาษาและมีความรู้เรื่องต่าง ๆ มากมาย นางมีอายุมากกว่าสามีเจ็ดหรือแปดปี นางแต่งงานกับเขาด้วยความรักโดยเขาแอบพานางหนีออกมาจากบ้านพ่อของนาง นางแทบจะทนมีชีวิตอยู่ไม่ได้เมื่อต้องสูญเสียเขาไป จึงแต่งกายด้วยชุดสีดำตราบจนสิ้นชีวิต (ตามคำบอกเล่าของพริมคอฟ นางตายหลังจากที่บุตรสาวแต่งงานไม่นาน) ฉันนึกถึงใบหน้าของนางได้อย่างแจ่มแจ้ง เป็นใบหน้าที่แสดงความรู้สึกอย่างชัดเจน เคร่งขรึม ผมดกมีสีเทาประปราย ดวงตาโตใหญ่กระด้างเหมือนไม่มีชีวิต และจมูกเรียวเป็นสันตรง พ่อของนางมีชื่อว่าลาดานอฟ เคยอยู่ในอิตาลีนานถึงสิบห้าปี แม่ของเวรา นิโคแลฟนา เป็นลูกสาวของหญิงชาวนาธรรมดาๆ ในอัลบาโน ซึ่งแม่ถูกฆ่าตายในหลังวันที่ให้กำเนิดลูกสาวหนึ่งวัน คนฆ่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งจากทรานสเทอเวเรที่นางเคยสัญญาว่าจะแต่งงานด้วย แต่ลาดานอฟได้แย่งนางมาจากเขา เรื่องนี้ดังมากในยุคนั้น และเมื่อลาดานอฟกลับมารัสเซีย เขาไม่เพียงแต่จะเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านเท่านั้น เขายังไม่ออกมาจากห้องทำงานเสียด้วยซ้ำ วุ่นๆ อยู่แต่กับเรื่องเคมี กายวิภาคศาสตร์ และไสยศาสตร์ พยายามจะยืดเวลาของชีวิตมนุษย์และคิดว่าตัวเองสามารถติดต่อกับวิญญาณและปลุกคนตายให้ฟื้นคืนชีพได้ เพื่อนบ้านพากันมองว่าเขาเป็นพ่อมด เขารักลูกสาวมากเหลือเกิน สอนนางทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่ไม่ยอมยกโทษให้ที่นางหนีตามเอลท์ซอฟไป และไม่ยอมพบนางอีกไม่ว่าจะเป็นนางหรือสามีของนาง แถมยังสาปแช่งให้คนทั้งสองมีชีวิตที่ไร้ความสุข เขาตายไปเพียงลำพัง หลังจากที่มาดามเอลท์ซอฟต้องตกเป็นม่าย นางได้อุทิศเวลาทั้งหมดให้กับการศึกษาของลูกสาวและแทบจะไม่คบหาสมาคมกับใครอีก ตอนที่ฉันเข้าไปสนิทสนมกับเวรา นิโคแลฟนา นายเชื่อไหมว่า หล่อนไม่เคยเข้าไปในเมืองใหญ่ๆ มาก่อนเลยในชีวิต ไม่เคยไปแม้แต่เมืองประจำมณฑลที่หล่อนอยู่
เวรา นิโคแลฟนาไม่เหมือนกับสุภาพสตรีวัยรุ่นชาวรัสเซียทั่วไป หล่อนมีอะไรบางอย่างที่พิเศษอยู่ในตัว สิ่งที่ฉันรู้สึกประทับใจในตัวหล่อนทันทีก็คือ ท่าทีอันสงบสำรวมไม่ว่าเวลาเคลื่อนไหวหรือพูดจาอะไร เห็นได้เลยว่าหล่อนไม่มีเรื่องใดต้องกังวล ไม่มีสิ่งให้ตื่นเต้น หล่อนตอบคำถามอย่างง่ายๆ และมีเหตุมีผล ตั้งใจฟังเวลาคนอื่นพูด สีหน้าของหล่อนแสดงถึงความจริงใจและใสซื่อเหมือนเด็กๆ แต่มีความเยือกเย็นและเฉยชา แม้จะไม่เคร่งขรึม ดูไม่ค่อยร่าเริงและไม่เหมือนคนอื่น ความแจ่มใสของจิตใจที่บริสุทธิ์ที่ดูจะเป็นความพอใจมากกว่าความร่าเริง ทำให้หล่อนดูสว่างกระจ่างไปทั่วทั้งตัว หล่อนไม่สูงเท่าไหร่ รูปร่างได้สัดส่วนกำลังดี ค่อนข้างผอม ใบหน้าได้รูปและอ่อนโยน หน้าผากลาดเนียน ผมสีน้ำตาลทอง จมูกเป็นสันตรงเหมือนแม่ และริมฝีปากอิ่มเต็ม ดวงตาของหล่อนเป็นสีเทาและมีแก้วตาเป็นประกายสีดำที่จ้องมองตรงออกมาจากใต้กรอบขนตาดกหนาและงอนช้อย มือของหล่อนเล็กแต่ไม่เรียวงาม คนที่มีความสามารถพิเศษมักจะไม่มีมือเช่นนั้น และถ้าจะพูดกันตามจริง เวรา นิโคแลฟนาก็ไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไร เสียงของหล่อนแหลมใสเหมือนเด็กเจ็ดขวบ ฉันได้รับการแนะนำให้รู้จักกับแม่ของหล่อนในงานเลี้ยงที่บ้านปู่ และอีกไม่กี่วันต่อมาฉันก็ได้ขับรถไปเยี่ยมสุภาพสตรีทั้งสองเป็นครั้งแรก
มาดามเอลท์ซอฟเป็นคนแปลกมากและมีบุคลิกโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง เป็นคนที่ไม่ยอมแพ้และมีความมุ่งมั่น นางมีอำนาจเหนือฉันมาก ฉันทั้งเกรงและกลัวนาง ทุกอย่างที่เกี่ยวกับนางมีความเป็นระเบียบ และนางเลี้ยงลูกสาวอย่างเป็นระบบ หากไม่ได้จำกัดเสรีภาพของลูก ลูกสาวของนางรักนางและเชื่อฟังนางอย่างไม่ลืมหูลืมตา สำหรับมาดามเอลท์ซอฟแล้ว เพียงแค่ให้หนังสือลูกสาวสักเล่มหนึ่งแล้วบอกว่า “เอ้านี่ อย่าอ่านหน้านี้นะ” ลูกของนางอาจจะอ่านหน้าก่อนนั้นแบบข้ามๆ แต่จะไม่เหลือบแลดูหน้าต้องห้ามนั้นเลย มาดามเอลท์ซอฟยังเป็นคนที่ชอบกำหนดกรอบความคิดอันเป็นงานอดิเรกของนาง เช่น นางกลัวทุกอย่างที่อาจกระตุ้นให้เกิดจินตนาการ เหมือนกับที่นางกลัวการจุดไฟ ดังนั้น ลูกสาวของนาง แม้จะมีอายุถึงสิบเจ็ดปีแล้วแต่ก็ยังไม่เคยได้อ่านโคลงกลอนแม้แต่บทเดียว ขณะที่หล่อนทำให้ฉันทึ่งอยู่บ่อยๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์และแม้แต่เรื่องธรรมชาติวิทยา ทั้งที่ฉันเรียนจบจากมหาวิทยาลัยและไม่ใช่คนท้ายๆ ในชั้นเสียด้วย เรื่องนี้นายคงจะจำได้ ครั้งหนึ่งฉันเคยพูดคุยกับมาดามเอลท์ซอฟเกี่ยวกับงานอดิเรกของนาง แม้ว่ามันจะยากที่จะชักจูงนางเข้ามาสู่การสนทนาได้เพราะนางเป็นคนที่ไม่ชอบพูดเอาเสียเลยจริงๆ นางเอาแต่สั่นศีรษะ
“คุณบอกว่า” นางเอ่ยขึ้นในที่สุด – “อ่านบทประพันธ์ โคลงกลอนได้ทั้งประโยชน์และความรื่นรมย์…ฉันคิดว่าคนเราควรจะเลือกตั้งแต่แรกว่าจะเอาประโยชน์หรือจะเอาความรื่นรมย์ แล้วก็ตัดสินใจลงไปเลยทีเดียว ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ฉันเคย… พยายามจะรวมเอาสองอย่างนี้ไว้ด้วยกัน… มันเป็นไปไม่ได้ มีแต่จะพาไปสู่หายนะหรือไม่ก็เป็นความไร้ค่า”
จริงอยู่ที่สตรีผู้นั้นช่างน่าอัศจรรย์ มีเกียรติและศักดิ์ศรี แต่ก็ยังมีความคลั่งไคล้และเชื่อถือโชคลางในแบบหนึ่งด้วย “ฉันกลัวชีวิต” วันหนึ่งนางบอกกับฉัน และเป็นความจริงที่ว่านางกลัวมัน นางกลัวพลังลึกลับที่กำหนดชาตาชีวิต ซึ่งแม้ว่าจะไม่ค่อยปรากฏให้เห็นนัก แต่ถ้าเกิดขึ้นก็มักจะเป็นไปอย่างรวดเร็วไม่รู้เนื้อรู้ตัว สร้างความโศกเศร้าให้กับผู้รับเคราะห์ พลังเหล่านี้ได้ปรากฏต่อมาดามเอลท์ซอฟในลักษณะที่น่าสะพึงกลัว ความทรงจำเกี่ยวกับความตายของมารดา สามี บิดา…ก็น่าจะมากพอที่จะทำให้หวาดกลัวได้ ฉันไม่เคยเห็นนางยิ้ม ดูเหมือนนางจะปิดขังตัวเองแล้วโยนกุญแจทิ้งน้ำ นางคงจะต้องเคยเสียใจอย่างใหญ่หลวงและไม่เคยระบายให้ใครก็ตามรับรู้เลย นางฝึกตัวเองไม่ยอมให้อารมณ์มีอิทธิพลเหนือนางได้ จนกระทั่งนางละอายแม้แต่จะแสดงความรักกับลูกสาวของตัวเอง นางไม่เคยที่จะจูบลูกสาวต่อหน้าฉัน ไม่เคยเรียกลูกด้วยชื่อเล่น มักเรียกแต่ “เวรา” ฉันจำคำพูดประโยคหนึ่งของนางได้ ฉันบังเอิญบอกกับนางว่า “คนเราทุกวันนี้เหมือนจะถูกทำลายไปแล้วครึ่งหนึ่ง…“ไม่มีประโยชน์ที่คนเราจะทำลายตัวเองอย่างนั้น” นางกล่าว “คนเราควรจะต้องควบคุมตัวเองให้ได้ หรือไม่อย่างนั้นก็อย่าไปแตะต้องมัน...”
มีคนมาที่บ้านมาดามเอลท์ซอฟไม่กี่คน แต่ฉันไปเยี่ยมนางบ่อยมาก ฉันมีความรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่านางเมตตาฉัน และฉันชอบเวรา นิโคแลฟนามาก หล่อนกับฉันคุยกันและเดินเล่นด้วยกัน แม่ของหล่อนไม่มายุ่งกับเรา และตัวลูกสาวเองก็ไม่ชอบอยู่ห่างจากแม่กับฉัน ส่วนตัวฉันเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องการจะสนทนาตามลำพัง…เวรา นิโคแลฟนานั้นมีนิสัยแปลกอย่างหนึ่งคือชอบคิดดังๆ ยามที่นอนหลับในตอนกลางคืน หล่อนจะพูดเป็นเรื่องเป็นราวเสียงดังถึงสิ่งที่ได้ประสบมาเมื่อตอนกลางวัน วันหนึ่ง หลังจากที่ตั้งอกตั้งใจมองสำรวจดูฉัน และเมื่อรู้สึกพอใจแล้ว หล่อนก็ยกมือขึ้นเท้าคางและพูดขึ้นว่า “ฉันคิดว่า บ...เป็นคนดี แต่พึ่งพาเขาไม่ได้” ความสัมพันธ์ของเรานับได้ว่าเป็นแบบเพื่อนที่ดีต่อกันและอาจจะไม่มีเรื่องให้เสียอารมณ์ เพียงแต่ว่าวันหนึ่งฉันเกิดความรู้สึกเหมือนกับว่าฉันสังเกตเห็นได้ลางๆ ตรงไหนสักแห่งหนึ่งในห้วงลึกของแววตาสดใสของหล่อน บางสิ่งบางอย่างที่แปลกประหลาด เป็นความนุ่มนวลและอ่อนโยน… แต่บางที ฉันอาจจะเข้าใจผิดไปเองก็ได้
ขณะเดียวกัน เวลาก็ผ่านไป แล้วก็ถึงวันที่ฉันต้องเตรียมตัวจากไปแต่ฉันก็ยังลังเล เท่าที่ฉันจำได้ ฉันเฝ้าวนเวียนคิดอยู่เพียงว่า อีกไม่ช้าฉันจะไม่ได้พบกับสาวน้อยที่น่ารักคนนั้นอีก คนที่ฉันรู้สึกผูกพันมากขึ้นทุกทีและฉันก็คงจะไม่มีความสุข… เบอร์ลินเริ่มจะหมดอำนาจดึงดูดใจ ฉันไม่กล้ายอมรับกับตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นในตัวฉัน และฉันไม่เข้าใจว่าอะไรที่เกิดขึ้นในตัวฉัน มันเหมือนกับมีละอองเมฆบางๆ เคลื่อนเข้ามาปกคลุมจิตวิญญาณของฉัน ในที่สุดเช้าวันหนึ่ง ฉันก็เกิดเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจนขึ้นในฉับพลัน “จะมีประโยชน์อะไรที่จะค้นหาต่อไป” ฉันคิด “ทำไมต้องดิ้นรนต่อไปอีก เพราะความจริงคงจะไม่ยอมศิโรราบในมือของฉันเป็นแน่ จะอย่างไรทุกอย่างก็เหมือนๆ กันนั้นแหละ อยู่ที่นี่ต่อไปจะไม่ดีกว่ารึ ฉันไม่ควรจะแต่งงานหรอกหรือ” และก็เพียงแต่ลองคิดๆ ดูเท่านั้น ในตอนนั้นความคิดเรื่องการแต่งงานไม่ได้ทำให้ฉันตกใจเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามฉันรู้สึกยินดีเสียด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นในวันเดียวกันนั้นเอง ฉันได้ประกาศเจตนารมณ์ของฉันออกไป เพียงแต่ไม่ใช่กับเวรา แต่กับมาดามเอลท์ซอฟเอง หญิงชรามองฉัน
“อย่า” นางกล่าว “พ่อหนุ่มน้อยที่รักของฉัน ไปเบอร์ลินเถอะ แล้วก็ใช้ชีวิตของเธออีกสักหน่อย เธอเป็นคนดี แต่เธอไม่ใช่สามีแบบที่เวราต้องการ”
ฉันหลบตา เลือดขึ้นหน้าแดงก่ำ และสิ่งที่อาจทำให้นายแปลกใจยิ่งไปกว่านั้นคือ ตอนนั้นในใจของฉันก็เห็นด้วยกับมาดามเอลท์ซอฟ อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ฉันก็ไปจากที่นั่นและนับแต่นั้นมาก็ไม่ได้พบนางและเวราอีกเลย
ฉันได้เล่าให้นายรู้เรื่องการผจญภัยของฉันอย่างย่นย่อ เพราะฉันรู้ว่านายไม่ชอบอะไรที่ “ยืดยาว เยิ่นเย้อ” พอถึงเบอร์ลิน ฉันก็แทบจะลืมเวรา นิโคแลฟนา ไปในทันที แต่ฉันต้องสารภาพว่าการที่ได้ทราบข่าวของหล่อนอย่างไม่คาดคิดทำให้ฉันหงุดหงิดรำคาญใจ ฉันเอาแต่คิดตลอดเวลาว่าหล่อนอยู่ใกล้ๆ ตัวนี่เอง คิดว่าหล่อนเป็นเพื่อนบ้านของฉัน คิดว่าฉันจะไปหาหล่อนในสองสามวันนี้ จู่ๆ อดีตก็หวนกลับมาราวกับว่าผุดขึ้นมาจากดินแล้วก็ตะครุบตัวฉันเอาไว้กระนั้น พริมคอฟบอกว่าเขามาหาฉันด้วยมีความประสงค์อย่างเร่งด่วนที่จะฟื้นฟูความคุ้นเคยแต่เก่าก่อน
และว่าเขาหวังจะได้ต้อนรับฉันที่บ้านของเขาโดยเร็วที่สุด เขาบอกฉันว่าเขาเคยเป็นทหารม้าและได้ลาออกเมื่อมียศร้อยโท เขาได้ซื้อที่ดินอยู่ห่างจากบ้านฉันไปราวแปดกิโลเมตรเศษและตั้งใจจะทำไร่ทำนา เขาบอกว่าเขามีลูกสามคนแต่ตายไปแล้วสองคน คงเหลือแต่ลูกสาวอายุห้าขวบ
“แล้วภรรยาของคุณจำผมได้หรือเปล่า” ฉันถาม
“จำได้สิ” เขาตอบอย่างลังเลเล็กน้อย “แน่ละ ตอนนั้นเธอยังเด็กอยู่ จะว่ายังงั้นก็คงได้ แต่แม่ของเธอชมคุณให้ฟังอยู่เสมอและคุณก็รู้ว่าเธอให้ความสำคัญกับทุกถ้อยคำของแม่ผู้ล่วงลับไปแล้วมากเพียงใด”
ถ้อยคำของมาดามเอลท์ซอฟที่ว่าฉันไม่เหมาะจะเป็นสามีของเวราผุดขึ้นมาในความทรงจำ … ‘ถ้าอย่างนั้น คุณก็คือคนที่เหมาะสมล่ะสิ’ …ฉันคิด เหลือบสายตามองดูพริมคอฟ เขาอยู่ที่บ้านฉันนานเป็นชั่วโมงๆ เขาเป็นคนดีมีมารยาทมาก พูดจาด้วยอาการสำรวมยิ่งนัก มีแววตาที่ซื่อบริสุทธิ์เหลือเกิน ใครๆ จึงมักจะชอบเขา แต่สติปัญญาของเขาไม่ได้พัฒนาขึ้นจากสมัยที่เรารู้จักคุ้นเคยกับเขาเลย ฉันจะไปหาเขาที่บ้านแน่นอน บางทีอาจจะไปพรุ่งนี้ ฉันว่าคงจะน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งที่จะได้เห็นว่าเวรา นิโคแลฟนา เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
ตอนนี้นายอาจจะกำลังหัวเราะเยาะฉันอยู่ พ่อคนเจ้าเล่ห์ ขณะที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของนายนั่น แต่อย่างไรก็ตามฉันจะเขียนถึงนาย และเล่าว่าฉันเห็นเวราเป็นอย่างไร ลาก่อนจนกว่าจะถึงจดหมายฉบับหน้า


เพื่อนของนาย

พี.บี.


โดย: จดหมายฉบับที่สอง (moonfleet ) วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:12:30:21 น.  

 
จดหมายฉบับที่สาม

จากคนเดิมถึงคนเดิม
หมู่บ้าน ม…โอ -16 มิถุนายน 1850

เอาละ เพื่อนรัก ฉันไปบ้านของหล่อนมาและฉันก็ได้พบหล่อนแล้ว ก่อนอื่น ฉันต้องบอกเรื่องสำคัญกับนาย เชื่อไหม ซึ่งนายจะต้องเชื่อ ว่าหล่อนแทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย ไม่ว่าจะใบหน้าหรือรูปร่าง เมื่อหล่อนออกมาต้อนรับ ฉันแทบจะอุทานออกมาดัง ๆ - นี่เป็นเด็กสาวอายุสิบเจ็ดแท้ๆ และคงจะพูดได้เพียงเท่านั้นจริง ๆ จะมีแต่ดวงตาของหล่อนเท่านั้นที่ไม่ใช่ดวงตาของเด็กสาวแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้เมื่อยังเยาว์ หล่อนก็ไม่ได้มีแววตาอย่างเด็กเพราะดวงตาหล่อนสว่างสดใสเกินไป หากยังมีท่าทีสงบเหมือนเดิม เคร่งขรึมอย่างเดิมและมีเสียงเช่นเดิม ไม่มีรอยย่นบนหน้าผากแม้แต่เส้นเดียว เหมือนกับหล่อนได้นอนแช่น้ำแข็งอยู่ที่ไหนสักแห่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และตอนนี้หล่อนอายุยี่สิบแปดปีและมีลูกสามคน ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ คุณพระคุณเจ้า อย่าได้คิดว่าฉันพูดเกินความจริงเพราะมีใจลำเอียง ตรงกันข้าม ฉันมิได้พอใจที่หล่อนไม่เปลี่ยนแปลง ผู้หญิงอายุยี่สิบแปดปี เป็นเมียและเป็นแม่ ไม่ควรจะมีรูปลักษณ์เหมือนเด็กสาวเพราะหล่อนมิได้มีชีวิตไร้ค่า หล่อนต้อนรับฉันอย่างมีไมตรีจิตยิ่งนัก การที่ฉันมาเยี่ยมทำให้พริมคอฟแสนจะยินดี สหายคนดีทำท่าเหมือนกับอยากจะเกี่ยวข้องกับใครสักคน บ้านของพวกเขาแสนสบายและสะอาด เวรา นิโคแลฟนายังแต่งกายเหมือนเด็กสาวอีกด้วย หล่อนสวมชุดสีขาวมีผ้าคาดเอวสีฟ้าสดใส ที่คอสวมสร้อยทองแบบบาง ลูกสาวตัวน้อยของหล่อนช่างน่ารักและไม่เหมือนแม่เลยแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้คนนึกถึงยายของแม่หนูน้อย ในห้องรับแขก มีภาพของผู้หญิงแปลกๆ คนนั้นอยู่เหนือเก้าอี้ยาว ช่างเหมือนจริงอย่างสะดุดตา ฉันเห็นภาพนั้นทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้อง ดูราวกับว่านางกำลังจ้องมองมาที่ฉันอย่างเคร่งเครียดจริงจัง เรานั่งลง พูดเรื่องความหลังและค่อยๆ เข้าสู่การสนทนา ฉันคอยแต่จะเหลือบมองไปที่ภาพหม่นมัวของมาดามเอลท์ซอฟอย่างไม่ตั้งใจ เวรา นิโคแลฟนานั่งอยู่ใต้ภาพนั้นพอดี ตรงนั้นเป็นที่ประจำของหล่อน และฉันต้องประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งว่าจนถึงวันนี้ เวรา นิโคแลฟนายังไม่เคยอ่านนวนิยายรักสักเล่มหรือบทกวีสักบท พูดสั้นๆ ตามที่หล่อนบอกก็คือ ไม่ได้อ่านงานประพันธ์สักชิ้น ความไม่สนใจที่จะหาความรื่นรมย์อันสูงส่งทางใจอย่างเหลือเชื่อนี้ทำให้ฉันรู้สึกโกรธ สำหรับผู้หญิงที่มีเหตุผลและเป็นคนที่...เท่าที่ฉันสามารถบอกได้คือ… มีความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน เรื่องแบบนี้ให้อภัยไม่ได้เลยจริง ๆ
“ทำไมล่ะ” ฉันเอ่ยถามขึ้น “คุณตั้งเป็นกฎไว้หรือว่าจะไม่ยอมอ่านหนังสือพวกนี้”
“ดิฉันบังเอิญไม่เคยได้อ่าน” หล่อนตอบ “ดิฉันไม่มีเวลา”
“ไม่มีเวลางั้นรึ ผมประหลาดใจจริงๆ อย่างน้อยคุณน่าจะชักจูงภรรยาของคุณให้อยากอ่านหนังสือบ้างนะ” ฉันกล่าวต่อกับพริมคอฟ
“ผมจะยินดีเป็นอย่างยิ่ง…” พริมคอฟเอ่ยปาก แต่เวรา นิโคแลฟนาขัดขึ้น
“อย่ามาเสแสร้งหน่อยเลย คุณเองก็ไม่ได้พิสมัยการอ่านโคลงกลอนสักหน่อย”
“บทกวีน่ะ” เขาพูดขึ้น “ผมไม่ชอบก็จริง แต่พวกนวนิยาย อย่างเรื่อง…”
“แล้วพวกคุณทำอะไรกันล่ะ พวกคุณใช้เวลาตอนหัวค่ำทำอะไรหรือ” ฉันถาม “เล่นไพ่กันหรือ”
“บางครั้งเราเล่นไพ่กัน” หล่อนตอบ “แต่จะมีอะไรที่เราจะต้องทำกันมากนักเล่า เราอ่านหนังสือด้วยเหมือนกัน มีหนังสือดี ๆ ตั้งมากมายนอกจากบทกวี”
“ทำไมคุณถึงโจมตีบทกวีอย่างนั้นเล่า”
“ดิฉันไม่ได้โจมตี ดิฉันเพียงแต่เคยชินมาตั้งแต่เด็กที่จะไม่อ่านพวกนวนิยาย คุณแม่ของดิฉันท่านคิดว่าเป็นการสมควรอย่างนั้น และยิ่งมีอายุมากขึ้นดิฉันก็ยิ่งเชื่อว่าทุกอย่างที่คุณแม่ทำ ทุกอย่างที่ท่านพูดล้วนเป็นความจริง เป็นเรื่องจริงอย่างที่สุด”
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ แต่ผมยังคงไม่เห็นด้วยกับคุณ ผมยังเชื่อว่าคุณทำผิดที่ปิดกั้นตัวเองจากความรื่นรมย์อันบริสุทธิ์และถูกต้องตามกฎหมายที่สุด แน่นอนว่าคุณไม่ได้รังเกียจดนตรี การวาดรูป แล้วทำไมคุณถึงปฏิเสธบทกวีล่ะ”
“ฉันไม่ได้ปฏิเสธ ฉันเพียงแต่ไม่เคยได้อ่านมันจนทุกวันนี้ ก็เท่านั้นเอง”
“ถ้าอย่างนั้นผมจะจัดการเรื่องนี้เอง คิดว่าคุณแม่ของคุณคงไม่ได้ห้ามให้คุณรู้จักคุ้นเคยกับผลงานวรรณกรรมดีๆ จนตลอดชีวิตหรอกนะ”
“เปล่า พอดิฉันแต่งงาน คุณแม่ก็เลิกกฎข้อบังคับต่างๆ ทั้งหมด เพียงแต่ดิฉันไม่เคยคิดที่จะอ่าน….คุณเรียกมันว่าอะไรนะ…เอาเถอะ...พูดง่ายๆ ว่า เรื่องรักๆ ใคร่ๆ นั่น”
ฉันฟังถ้อยคำของเวรา นิโคแลฟนาด้วยความประหลาดใจ ฉันไม่ได้คาดคิดว่าจะได้ยินดังนั้น
หล่อนจ้องมองฉันด้วยสายตาสงบนิ่ง เป็นวิธีจ้องมองแบบนก ยามที่มันไม่กริ่งเกรง
“ผมจะเอาหนังสือมาให้คุณ” ฉันลั่นวาจา (เกิดมีความคิดวาบขึ้นมาถึง ‘เฟาสต์’ ที่ฉันเพิ่งหยิบมาอ่านก่อนหน้านี้ไม่นาน)
เวรา นิโคแลฟนาถอนหายใจเบา ๆ
“ไม่ใช่เรื่องของจอร์จ ซองด์นะ” หล่อนถามแฝงด้วยความหวาดหวั่น
“อา คุณเคยได้ยินชื่อเธอล่ะซี เอาละ แล้วจะเป็นอย่างไรหรือถ้าเป็นเธอ มันเป็นอันตรายตรงไหน…ไม่หรอก ผมจะเอาเรื่องของนักเขียนอื่นมาให้ ผมคิดว่าคุณยังไม่ลืมภาษาเยอรมันนะ
“ไม่หรอกค่ะ ดิฉันยังไม่ลืม”
“เธอพูดได้เหมือนคนเยอรมันเลยละ” พริมคอฟพูดแทรกขึ้นมา
“เอาล่ะ ดีแล้ว ผมจะหามาให้คุณ แต่เดี๋ยวคุณจะเห็นเองว่าหนังสือที่ผมจะเอามาให้คุณนั้นยอดเยี่ยมขนาดไหน”
“ได้ค่ะ ดีมาก ดิฉันจะรอดู แต่ตอนนี้เราลงไปในสวนกันเถอะ เพราะนาตาชานั่งนิ่ง ๆ ไม่เป็น”
หล่อนหยิบหมวกฟางทรงกลมขึ้นมาสวม เป็นหมวกเด็กเหมือนกับที่ลูกสาวของหล่อนสวมอยู่ไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย แล้วพวกเราก็พากันลงไปในสวน ฉันเดินเคียงข้างหล่อนท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์และในร่มเงาของต้นมะนาวที่สูงชะลูด ฉันรู้สึกว่าหล่อนสวยอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน โดยเฉพาะตอนที่หล่อนเอี้ยวตัวมาและเงยหน้าขึ้นมองลอดใต้ขอบหมวกมาที่ฉัน ถ้าหากไม่ใช่เพราะพริมคอฟ ถ้าหากไม่ใช่เพราะแม่หนูน้อยที่กระโดดอยู่ข้างหน้าเรา ฉันก็อาจจะคิดว่าฉันไม่ได้อายุสามสิบเจ็ดหากแต่เป็นยี่สิบสามและกำลังจะเตรียมตัวไปเบอร์ลิน ยิ่งไปกว่านั้นสวนที่เราเดินอยู่ในขณะนั้นก็ช่างคล้ายคลึงกับสวนที่บ้านของมาดามเอลท์ซอฟ ฉันอดไม่ได้ที่จะบรรยายความรู้สึกของฉันให้เวรา นิโคแลฟนาได้รับรู้ด้วย
“ใครๆ ก็บอกว่าฉันเปลี่ยนแปลงน้อยมากเมื่อดูจากรูปลักษณ์ภายนอก” หล่อนตอบ “ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ความรู้สึกภายในของฉันก็ยังเหมือนเดิมอีกด้วย”
เราเดินเข้าไปใกล้เก๋งจีนหลังเล็ก
“นี่ไงคะ เราไม่มีบ้านเล็กๆ แบบนี้ในโอสินอฟโก” หล่อนพูด “แต่คุณต้องไม่ใส่ใจที่มันดูทรุดโทรมและสีซีดจาง เพราะข้างในน่ะดูดีมากแล้วก็เย็นสบาย”
เราเข้าไปในบ้านหลังน้อย ฉันกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ตัว
“รู้อะไรไหม เวรา นิโคแลฟนา” ฉันเอ่ยขึ้น "ก่อนผมมา สั่งให้เอาโต๊ะกับเก้าอี้สักสองสามตัวมาไว้ที่นี่นะ ในนี้สวยมากจริง ๆ ด้วย ผมจะอ่านหนังสือเรื่อง ‘เฟาสต์’ ของเกอเธให้คุณฟังที่นี่ ผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะอ่านให้คุณฟัง"
“ตกลงค่ะ ในนี้ไม่มีแมลงวันด้วย” หล่อนตั้งข้อสังเกตเป็นเชิงเสนอความเห็น “แต่คุณจะมาเมื่อไหร่คะ”
“มะรืนนี้”
“ดีจริง” หล่อนบอก “ดิฉันจะสั่งให้เอาของพวกนั้นมาไว้”
นาตาชาซึ่งเข้ามาในบ้านพร้อมกับเรากรีดร้องขึ้นมา หน้าซีดกระโดดไปข้างหลัง
“มีอะไรรึ” เวรา นิโคแลฟนาถาม
“อี๊ แม่ขา” เด็กหญิงเรียก ชี้ไปที่มุมห้องด้านหนึ่ง “ ดูสิคะ แมงมุมน่ากลัวจริง ๆ”
เวรา นิโคแลฟนามองไปที่มุมห้อง แมงมุมลายตัวใหญ่กำลังคลานเงียบๆ ไปตามผนัง
“มีอะไรต้องกลัว” หล่อนกล่าว “มันไม่กัดหรอก ดูนี่สิ”
และก่อนที่ฉันจะห้ามได้ทัน หล่อนก็หยิบเจ้าแมงมุมน่าเกลียดตัวนั้นขึ้นมาไว้ในมือ ปล่อยให้มันวิ่งวนอยู่บนฝ่ามือแล้วก็โยนมันไปทางหนึ่ง
“อือ คุณเป็นผู้หญิงที่กล้าหาญจริงๆ” ฉันบอก
“จะต้องมีความกล้าหาญที่ไหนกัน นั่นไม่ใช่แมงมุมมีพิษสักหน่อย”
“เห็นได้ชัดตั้งแต่ไหนแต่ไรมาว่าคุณเก่งเรื่องธรรมชาติวิทยา เป็นผมคงไม่กล้าจับมันมาไว้ในมือ”
“ไม่เห็นจะต้องกลัวมันเลย” เวรา นิโคแลฟนาย้ำ
นาตาชาจ้องมองเราเงียบๆ แล้วก็ยิ้ม
“แกช่างเหมือนคุณแม่ของคุณเหลือเกิน”
“ใช่ค่ะ” เวรา นิโคแลฟนาตอบพร้อมกับยิ้มอย่างพอใจ “ฉันยินดีในเรื่องนี้ยิ่งนัก ขอพระเจ้าทรงโปรดไม่ให้แกเหมือนเพียงแค่ใบหน้าเท่านั้น”
มีคนมาเรียกเราไปรับประทานอาหารค่ำ พอหลังอาหารฉันก็ลากลับ (หมายเหตุ - อาหารค่ำมื้อนั้นเยี่ยมมากและอร่อยจริงๆ) ฉันแจ้งข้อสังเกตไว้ในวงเล็บตรงนี้เพื่อประโยชน์ของนายหรอกนะ พ่อคนเอาเปรียบ พรุ่งนี้ฉันจะเอา ‘เฟาสต์’ ไปให้พวกเขา ฉันกลัวว่าพ่อเฒ่าเกอเธและฉันจะประสบความพ่ายแพ้ แล้วฉันจะเล่าให้นายรู้ในทุกรายละเอียด
บอกมานะว่านายคิดอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ นายอาจจะคิดว่าหล่อนทำให้ฉันรู้สึกประทับใจมากหรือว่าฉันพร้อมจะมีความรัก แล้วอะไรอีกล่ะ เหลวไหลน่าเพื่อนรัก ตอนนี้เป็นช่วงเวลาดีที่ฉันควรจะทำตัวให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียที ฉันทำตัวไร้สาระมานานพอแล้ว พอกันที ในวัยฉัน ไม่มีใครตั้งต้นชีวิตใหม่ได้อีก ยิ่งไปกว่านั้น แม้จะเป็นเมื่อก่อน ฉันก็ไม่ได้เคยนึกชอบผู้หญิงแบบนั้น แต่ผู้หญิงแบบไหนหรือที่ฉันชอบ
ฉันสั่นสะท้าน เจ็บปวดหัวใจ
ฉันละอายที่จะบอกว่าชอบใคร
จะอย่างไรก็ตาม ฉันดีใจมากที่มีเพื่อนบ้านเป็นคนพวกนี้ ฉันดีใจที่มีโอกาสได้พบคนที่มีเหตุผล มีชีวิตธรรมดาๆ และไร้เล่ห์กลมารยา แต่อะไรจะเกิดขึ้นต่อไปนั้นนายจะได้ทราบในอีกไม่ช้า


เพื่อนของนาย
พี.บี.


โดย: จดหมายฉบับที่สาม (moonfleet ) วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:12:31:02 น.  

 
จดหมายฉบับที่สี่

จากคนเดิม ถึงคนเดิม
หมู่บ้าน ม…โอ - 20 มิถุนายน 1850

เราอ่านหนังสือกันเมื่อวานนี้ เพื่อนรัก และมันเป็นอย่างไรนั้น รายละเอียดมีดังต่อไปนี้ ก่อนอื่นฉันอยากจะบอกเสียเลยว่า มันเป็นความสำเร็จโดยมิได้คาดหมาย อันที่จริง “ความสำเร็จ” ไม่ใช่คำที่ถูกต้อง มาฟังได้แล้ว ฉันไปรับประทานอาหารค่ำ ที่โต๊ะอาหารมีคนหกคน มีหล่อน พริมคอฟ ลูกสาวตัวน้อยของหล่อน ครูพี่เลี้ยงเด็ก (คนขาวตัวเล็กๆ ที่ไม่สำคัญอะไร) ตัวฉันเองและชายสูงอายุชาวเยอรมันอีกคนหนึ่ง เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีน้ำตาลอ่อน สะอาดสะอ้าน โกนหนวดเคราเกลี้ยงเกลา รู้จักชีวิต มีใบหน้าที่สงบและซื่อสัตย์ที่สุด เวลายิ้มเห็นฟันหลอและมีกลิ่นกาแฟชิคคะรี …คนแก่เยอรมันมีกลิ่นแบบนี้กันทั้งนั้น ฉันได้รับการแนะนำให้รู้จักเขา เขาชื่อชิมเมล เป็นครูสอนภาษาเยอรมันประจำตระกูลเจ้าชายเอ๊กซ์... เพื่อนบ้านของพริมคอฟ ปรากฏว่าเขาเป็นบุคคลที่สนิทสนมกับเวรา นิโคแลฟนาและหล่อนเชิญเขามาร่วมฟังการอ่านหนังสือด้วย เรารับประทานอาหารกันดึกและนั่งอยู่ที่โต๊ะอยู่นานมาก แล้วก็ออกไปเดินเล่นกัน อากาศดีเหลือเกิน ฝนตกเมื่อตอนเช้าและมีลมพัดแรง แต่เมื่อย่างเข้ายามเย็นทุกอย่างก็สงบเงียบลง หล่อนกับฉันได้เดินมาถึงลานหญ้าโล่ง เหนือลานมีเมฆก้อนใหญ่สีชมพู ลอยอยู่สูงและดูเบาหวิว มีเส้นสายสีเทาเหมือนควันพาดขวางอยู่ เห็นประกายระยิบระยับของดาวดวงเล็กๆ เดี๋ยวโผล่เดี๋ยวผลุบที่ริมขอบฟ้า ห่างออกไปเล็กน้อยมีจันทร์รูปเคียวสีขาวปรากฏอยู่บนผืนฟ้าสีแดงจางๆ ฉันชี้ให้เวรา นิโคแลฟนาดูก้อนเมฆ
“จริงด้วย” หล่อนกล่าว “สวยมาก แต่มองทางโน้นสิ” ฉันมองตาม เห็นเมฆพายุสีน้ำเงินเข้ม ก้อนใหญ่มหึมากำลังลอยตัวขึ้นเหมือนกลุ่มควันและบดบังแสงตะวันยามพลบ มองดูเหมือนกับภูเขากำลังพ่นไฟ ตรงปลายยอดแผ่กระจายทะแยงออกไปในท้องฟ้าเป็นแนวเหมือนแผ่นกระดาษกว้าง มีแสงสีแดงอย่างกับลางร้ายสว่างโพลงอยู่โดยรอบและตรงขอบสว่างจ้า และ ณ จุดหนึ่งซึ่งอยู่ตรงกึ่งกลางพอดี ก้อนเมฆนั้นได้พยายามแทรกฝ่ากลุ่มควันอันหนาทึบราวต้องการแยกตัวเองให้หลุดพ้นจากหลุมสีแดงอันร้อนแรง
“พายุกำลังจะมา” พริมคอฟตั้งข้อสังเกต
แต่ฉันกำลังจะออกนอกเรื่อง ในจดหมายฉบับสุดท้ายฉันลืมบอกนายว่า เมื่อกลับมาจากบ้านของพริมคอฟ ฉันรู้สึกเสียใจที่ไปเจาะจงถึง ‘เฟาสต์’ ชิลเลอร์อาจจะเหมาะกว่าสำหรับการอ่านครั้งแรก ถ้าหากว่ามันจะต้องเป็นหนังสือภาษาเยอรมันน่ะนะ ฉันกลัวฉากแรกตอนก่อนที่จะได้รู้จักกับเกรทเชนมาก ฉันรู้สึกอึดอัดเกี่ยวกับเมฟิสโตฟีลิสด้วยเช่นกัน แต่ฉันตกอยู่ใต้อิทธิพลของ ‘เฟาสต์’ และไม่สามารถอ่านอะไรอื่นด้วยความตั้งใจดีเช่นนี้ได้ เมื่อเราไปถึงที่เก๋งจีนก็มืดสนิทแล้ว ได้มีการจัดสถานที่ไว้ในวันก่อนหน้านั้น ตรงข้ามกับประตู เบื้องหน้าตั่งตัวเล็ก มีโต๊ะกลมคลุมด้วยผ้าปูโต๊ะ มีเก้าอี้และเก้าอี้นวมตั้งอยู่รอบ ๆ บนโต๊ะมีตะเกียงจุดไฟสว่าง ฉันนั่งลงบนตั่งและหยิบหนังสือออกมา เวรา นิโคแลฟนานั่งลงบนเก้าอี้นวมซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปเล็กน้อยไม่ไกลจากประตู พ้นประตูออกไปในความมืด แสงไฟจากตะเกียงส่องให้เห็นกิ่งเขียวของอะคาเซียแกว่งไกวอยู่อย่างอ่อนโยน กระแสลมยามค่ำคืนพัดผ่านเข้ามาแผ่กระจายไปทั่วห้องเป็นครั้งคราว พริมคอฟทรุดตัวลงนั่งใกล้ฉันที่โต๊ะ ชายเยอรมันนั่งลงข้างเขา ครูพี่เลี้ยงคงอยู่กับนาตาชาในบ้านหลังใหญ่ ฉันกล่าวนำขึ้นเล็กน้อยและได้พาดพิงไปถึงเรื่องเล่าแต่โบราณคือ ดร. เฟาสตุส ถึงความสำคัญของเมฟิสโตฟิลิสและถึงตัวเกอเธเอง และขอให้พวกเขาบอกให้ฉันหยุดถ้าหากมีตอนไหนที่ไม่เข้าใจ แล้วฉันก็กลืนน้ำลาย พริมคอฟถามว่าฉันจะเอาน้ำตาลกับน้ำสักหน่อยไหม และเท่าที่ฉันสังเกตเห็นได้นั้น ดูเขาจะภูมิใจมากที่ได้ถามฉันดังนั้น ฉันปฏิเสธ ความเงียบสงัดครอบงำอยู่ชั่วครู่ ฉันเริ่มอ่าน หลุบตาลง รู้สึกประหม่า หัวใจเต้นแรงและเสียงสั่น เสียงอุทานแสดงความเห็นใจเป็นครั้งแรกดังมาจากชายเยอรมัน และมีแต่เขาคนเดียวที่ทำลายความเงียบในระหว่างการอ่าน… “วิเศษเหลือเกิน ยอดเยี่ยมจริงๆ ” เขาพูดซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น บางครั้งก็เสริมว่า “ตรงนี้สิ ลึกซึ้งมาก” พริมคอฟมีท่าทางเบื่ออย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ค่อยเข้าใจภาษาเยอรมันเท่าไรนักและยอมรับว่าเขาไม่ค่อยชอบบทกวี เป็นความผิดของเขาเอง ฉันอยากจะบอกความนัยที่โต๊ะนั่นว่าเราสามารถอ่านต่อไปได้โดยไม่ต้องมีเขา แต่ก็ละอายใจที่จะทำอย่างนั้น เวรา นิโคแลฟนามิได้เคลื่อนไหว ฉันลอบมองดูหล่อนสองสามครั้ง สายตาของหล่อนจ้องมองนิ่งมาที่ฉันอย่างตั้งใจ ใบหน้านั้นดูจะซีดขาวในความรู้สึกของฉัน หลังจากที่เฟาสต์ได้พบกับเกรทเชนเป็นครั้งแรก หล่อนโน้มตัวออกมาข้างหน้า หลังพ้นพนักพิงของเก้าอี้ ประสานมือเข้าด้วยกันและนิ่งอยู่ในท่านั้นจนกระทั่งฉันอ่านจบ ฉันรู้สึกได้ว่าพริมคอฟเกลียดมันและมันทำให้ฉันรู้สึกเย็นยะเยือกในตอนแรก แต่ในไม่ช้าฉันก็ลืมเขาโดยสิ้นเชิง กลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นแล้วก็อ่านต่ออย่างออกรสชาดด้วยความกระตือรือร้น ฉันอ่านให้เวรา นิโคแลฟนาฟังคนเดียว เสียงในตัวฉันบอกว่า ‘เฟาสต์’ มีอิทธิพลต่อหล่อนมาก เมื่อฉันอ่านจบ (ฉันข้ามบทคั่นส่วนนั้นซึ่งโดยลีลาของมันแล้วน่าจะอยู่ในภาคสอง และฉันยังเว้นบางส่วนจากตอน “ราตรีบนยอดเขาบรอคเคน” ด้วย) ...เมื่อฉันอ่านจบ เมื่อคำสุดท้าย “ไฮน์ริช” สิ้นกังวาน ชายเยอรมันก็ได้หลั่งอารมณ์ออกมา “สวรรค์ ช่างงดงามอะไรเช่นนี้” พริมคอฟกระโดดลุกขึ้นยืนราวกับยินดี (พ่อคนน่าสงสาร) ถอนหายใจและเริ่มขอบคุณฉันที่ให้ความบันเทิงแก่เขา แต่ฉันไม่ได้ตอบว่ากระไร ฉันมองเวรา นิโคแลฟนา อยากได้ยินว่าหล่อนจะว่าอย่างไรบ้าง หล่อนลุกขึ้นเดินไปที่ประตูด้วยท่าทีอ่อนระโหย หยุดยืนอยู่ตรงช่องประตูนั้นชั่วครู่ แล้วก็ก้าวออกไปสู่สวนเงียบๆ ฉันรีบตามหล่อนไป หล่อนเดินออกไปไกลแล้ว เสื้อชุดสีขาวของหล่อนแทบจะกลืนหายไปในเงามืด
“เป็นยังไงบ้าง” ฉันร้อง “คุณไม่ชอบมันหรอกรึ”
หล่อนหยุดเดิน
“ขอหนังสือเล่มนั้นให้ฉันได้ไหมคะ” หล่อนส่งเสียงมา
“ผมจะให้คุณเป็นของขวัญ เวรา นิโคแลฟนา ถ้าคุณอยากได้”
“ขอบคุณค่ะ” หล่อนตอบ แล้วก็หายไป
พริมคอฟและชายเยอรมันเดินเข้ามาหาฉัน
“อากาศอุ่นอย่างน่าอัศจรรย์จริงๆ ” พริมคอฟตั้งข้อสังเกต “ออกจะชื้นด้วย แต่ภรรยาผมหายไปไหนเสียล่ะ”
“กลับไปบ้านแล้ว ผมว่า” ฉันตอบ
“ผมว่าจวนถึงเวลาอาหารว่างรอบดึกแล้ว” เขาตอบกลับมา “คุณอ่านได้ดีจริงๆ ดีจริง ๆ เลย” เขาพูดต่อหลังจากที่นิ่งไปอึดใจหนึ่ง
“เวรา นิโคแลฟนาดูเหมือนจะชอบเฟาสต์” ฉันออกความเห็น
“ไม่ต้องสงสัยเลย” พริมคอฟอุทาน
“โอ แน่ละ” ชิมเมลผสมโรง
เราเดินเข้าไปในบ้าน
“คุณผู้หญิงไปไหน” พริมคอฟถามสาวใช้ที่ออกมารับ
“อยู่ในห้องนอนค่ะ”
พริมคอฟเดินไปที่ห้องนอน
ฉันออกไปที่ลานเฉลียงกับชิมเมล ชายชราแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
“มีดาวสักกี่ดวงกันนะ” เขากล่าวช้าๆ ขณะที่สูบกล้องยาเส้น “และทุกดวงล้วนเป็นโลก” เขากล่าวต่อ สูบยาอีกครั้ง
ฉันไม่คิดว่าจำเป็นต้องตอบเขาและได้แต่จ้องมองขึ้นไปเงียบๆ จิตใจหนักอึ้งอยู่ด้วยความสับสนอันลึกลับ ฉันรู้สึกเหมือนดวงดาวจ้องมองดูเราอย่างจริงจัง ห้านาทีต่อมา พริมคอฟก็ปรากฏตัวและเรียกเราไปที่ห้องอาหาร เวรา นิโคแลฟนาก็ออกมาด้วยในไม่ช้า เรานั่งลง
“ดูเวรอทชกาซิ” พริมคอฟเอ่ยกับฉัน
ฉันเหลือบดูหล่อน
“ว่ายังไง คุณไม่สังเกตเห็นอะไรบ้างเลยหรือ”
ฉันสังเกตเห็นว่าสีหน้าหล่อนเปลี่ยนไปจริงๆ แต่ฉันไม่รู้ว่าทำไมจึงตอบว่า
“ไม่นี่ ผมไม่เห็นอะไรเลย”
“ตาเธอแดง” พริมคอฟกล่าวต่อไป
ฉันนิ่งฟังอย่างสงบเงียบ
“นึกดูก็แล้วกัน ผมขึ้นไปหาเธอข้างบนและเจอเธอกำลังร้องไห้อยู่ เธอไม่ได้ร้องไห้มานานแล้ว ผมบอกได้เลยว่าเธอร้องไห้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เมื่อตอนที่ซาชาของเราตาย เพราะฉะนั้นครั้งนี้เป็นผลงานของเฟาสต์ของคุณ” เขาเสริมพร้อมกับยิ้ม
“คราวนี้คุณรู้แล้วละซี เวรา นิโคแลฟนา” ฉันเอ่ยออกมา “ว่าผมพูดถูกว่า…”
“ฉันไม่ได้คิดว่าจะเป็นอย่างนั้น” หล่อนขัดขึ้น “แต่พระเจ้าทรงทราบว่าคุณพูดถูกหรือเปล่า บางทีที่แม่ของฉันห้ามอ่านหนังสือพวกนี้คงจะเป็นเพราะท่านทราบ…”
เวรา นิโคแลฟนาหยุดชะงักไป
“เพราะท่านทราบหรือ” ฉันกล่าวทวน “เล่าให้ผมฟังหน่อยสิ”
“จะมีประโยชน์อะไร เท่านี้ฉันก็รู้สึกอายแล้วว่าฉันร้องไห้เรื่องอะไร เอาเถอะค่ะ คุณกับฉันจะคุยกันเรื่องนี้อีก มีหลายอย่างที่ฉันไม่ค่อยเข้าใจ”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณไม่บอกให้ผมหยุดล่ะ”
“ฉันเข้าใจถ้อยคำและความหมาย แต่…”
หล่อนไม่ได้พูดให้จบประโยค แล้วก็นิ่งไปเหมือนใช้ความคิด ในนาทีนั้นมีเสียงใบไม้สั่นไหวเหมือนถูกเขย่าด้วยกระแสลมแรงกะทันหันพัดกวาดไปทั่วทั้งสวน เวรา นิโคแลฟนาสะดุ้งหันไปมองทางหน้าต่างที่เปิดอยู่
“ฉันบอกแล้วว่าจะมีลมพายุ” พริมคอฟร้องขึ้น “แต่อะไรทำให้เธอตัวสั่นอย่างนั้นเล่า เวรอทชกา”
เธอเหลือบมองเขาโดยไม่ตอบคำ สายฟ้าที่สว่างวาบขึ้นแต่ไกลสาดแสงสะท้อนบนใบหน้าเรียบเฉยของเธอ
“ทุกอย่างนี่เป็นเพราะ ‘เฟาสต์’ ทีเดียว” พริมคอฟกล่าวต่อ
“หลังอาหารว่างรอบดึกเราจะต้องลากันในทันที ใช่ไหมครับคุณชิมเมล”
“หลังจากความรื่นรมย์ทางใจแล้ว การพักผ่อนร่างกายจะดีกับเราและเป็นประโยชน์ด้วย” เป็นคำตอบจากชายเยอรมันคนดีก่อนจะยกแก้ววอดก้าขึ้นดื่ม
เราแยกจากกันทันทีหลังอาหารว่างก่อนนอน ขณะกล่าวราตรีสวัสดิ์กับเวรา นิโคแลฟนานั้น ฉันจับมือลาหล่อน มือหล่อนเย็น ฉันไปยังห้องนอนที่จัดไว้ให้ฉัน และยืนอยู่นานตรงหน้าต่าง ก่อนที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้านอน
คำทำนายของพริมคอฟเป็นความจริง พายุฝนก่อตัวและพัดกระโชก ฉันฟังเสียงลมคำราม เสียงสายฝนตกกระหน่ำ ทุกครั้งที่ฟ้าแลบ ฉันมองเห็นโบสถ์ที่อยู่ติดกับทะเลสาบถัดรั้วออกไป เห็นเป็นเงาดำบนพื้นสีขาวแล้วก็เป็นสีขาวบนพื้นสีดำ แล้วก็ถูกกลืนไปในความมืดมัวอีกครั้ง หากความคิดของฉันล่องลอยไปไกล ฉันกำลังคิดถึงเวรา นิโคแลฟนา ฉันกำลังคิดว่าหล่อนจะพูดอะไรกับฉันเมื่อหล่อนได้อ่าน ‘เฟาสต์’ ด้วยตนเอง ฉันนึกถึงน้ำตาของหล่อน นึกถึงยามที่หล่อนนิ่งฟัง…
พายุฝนสงบลงนานแล้ว ดวงดาวกำลังส่องแสง ทุกอย่างโดยรอบตกอยู่ในความเงียบ นกที่ฉันไม่รู้จักกำลังส่งเสียงร้องเพลงด้วยเสียงต่างๆ กัน ร้องซ้ำท่อนเดิมครั้งแล้วครั้งเล่าไม่หยุดหย่อน เสียงสะท้อนเสียงหนึ่งที่ไม่เหมือนเสียงอื่นดังแหวกความเงียบสงัดออกมา แต่ฉันก็ยังหลับตาไม่ลง
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันเข้าไปในห้องรับแขกก่อนคนอื่นๆ และหยุดตรงหน้าภาพของมาดามเอลท์ซอฟ ‘คุณทำอะไรลงไป’ ฉันคิด มีความรู้สึกลำพองใจด้วยชัยชนะ ‘เห็นไหมล่ะ ผมอ่านหนังสือต้องห้ามให้ลูกสาวคุณฟังแล้ว’ ในทันทีนั้น ฉันรู้สึกเหมือนว่า… บางทีนายอาจจะเคยสังเกตเห็นว่า ดวงตาของภาพวาดหน้าตรงมักจะมองตรงมาที่คนดู แต่ในครั้งนี้ ฉันรู้สึกจริงๆ ว่า สายตาของสุภาพสตรีชราได้มองมาที่ฉันอย่างตำหนิติเตียน
ฉันหันกลับ เดินไปที่หน้าต่าง และเห็นเวรา นิโคแลฟนากำลังเดินอยู่ในสวน มีร่มพาดอยู่บนบ่าและโพกศีรษะด้วยผ้าเช็ดหน้าผืนบางสีขาว ฉันรีบออกไปทันทีและกล่าวอรุณสวัสดิ์กับหล่อน…
“ดิฉันนอนไม่หลับทั้งคืน” หล่อนบอกกับฉัน “รู้สึกปวดศีรษะ ดิฉันออกมาสูดอากาศ เผื่อว่ามันจะหาย”
“เป็นเพราะหนังสือที่อ่านเมื่อคืนหรือเปล่าครับ” ฉันถาม
“ใช่อยู่แล้วล่ะค่ะ ดิฉันไม่เคยชินกับมันนี่คะ มีอะไรหลายอย่างในหนังสือเล่มนั้นของคุณที่ดิฉันลืมไม่ลง ดิฉันรู้สึกเหมือนมันเสียดแทงอยู่ในสมองของดิฉัน” หล่อนกล่าว วางมือลงบนหน้าผาก
“ดีจริงๆ ครับ” ฉันบอก “แต่นี่เป็นส่วนที่ไม่ดีของมัน ผมกลัวว่าการนอนไม่หลับและอาการปวดหัวจะทำให้คุณไม่อยากอ่านเรื่องพวกนี้อีก”
“คุณคิดอย่างนั้นหรือคะ” หล่อนย้อนถาม หักกิ่งมะลิป่าตอนเดินผ่าน “พระเจ้าทรงทราบดี ดิฉันรู้สึกว่าใครก็ตามที่ผ่านถนนนั้นเข้ามาแล้วจะไม่สามารถกลับออกไปได้”
ทันทีนั้น หล่อนก็โยนกิ่งไม้ทิ้งไป
“เราไปนั่งที่ซุ้มไม้นั้นกันเถอะค่ะ” หล่อนกล่าวต่อไปว่า “และถ้าฉันไม่พูดถึงมันละก็ กรุณาอย่าเตือนให้ฉันต้องนึกถึง…หนังสือเล่มนั้นอีก” (ดูเหมือนว่าหล่อนกลัวที่จะเอ่ยนาม ‘เฟาสต์’ ออกมาดังๆ )
เราเข้าไปในซุ้มต้นไม้และนั่งลง
“ผมจะไม่คุยกับคุณเรื่อง ‘เฟาสต์’ ” ฉันเริ่ม “แต่คุณต้องยอมให้ผมแสดงความยินดีกับคุณ และขอบอกคุณว่าผมอิจฉาคุณ”
“คุณอิจฉาฉันหรือคะ”
“ใช่ เมื่อผมได้รู้จักคุณแล้วเช่นนี้ ด้วยจิตวิญญาณอย่างคุณ คุณสามารถจะมีความสุขได้อย่างล้นเหลือ มีกวีที่มีชื่อเสียงอีกหลายคนนอกจากเกอเธ อย่างเชคสเปียร์ ชิลเลอร์ ใช่แล้ว ไหนจะพุชกินของเราอีก คุณควรจะได้รู้จักคนเหล่านี้เช่นกัน”
หล่อนยังคงนิ่งเงียบและใช้ร่มขีดเขียนเป็นภาพต่างๆ บนพื้นทราย
โอ ซีโมน นิโคแลช เพื่อนของฉัน ถ้านายได้เห็นว่าหล่อนมีเสน่ห์แค่ไหนในนาทีนี้ ผิวของหล่อนขาวจนเกือบจะใส อาการโน้มตัวมาข้างหน้าน้อยๆ ด้วยท่าทีอิดโรยและว้าวุ่นอยู่ภายใน แม้กระนั้นก็ยังแจ่มใสเหมือนท้องฟ้า ฉันพูด พูดอยู่นานแล้วก็เงียบ และนั่งอยู่ตรงนั้นเฝ้ามองดูหล่อนเงียบๆ …
หล่อนไม่ได้เงยหน้าขึ้นและยังคงใช้ร่มขีดเขียนภาพบนพื้น เสร็จแล้วก็ลบภาพที่เขียนนั้นทิ้ง ฉับพลันนั้นเสียงฝีเท้าเด็กดังกระชั้นขึ้น นาตาชาวิ่งเข้ามาในซุ้มต้นไม้ เวรา นิโคแลฟนายืดตัวตรง ลุกขึ้นยืน และฉันต้องประหลาดใจที่เห็นหล่อนโอบกอดลูกด้วยความอ่อนโยนโดยมิได้ขัดเขิน การทำแบบนี้ไม่ใช่วิสัยของหล่อน แล้วพริมคอฟก็ปรากฏตัวขึ้น สหายชิมเมลคนดีผู้มีผมสีเทาและตรงต่อเวลาได้จากไปตั้งแต่ก่อนรุ่งสางเพื่อจะได้ไม่ต้องขาดชั่วโมงสอน เราพากันไปดื่มน้ำชา
แต่ฉันเหนื่อยแล้วล่ะ ถึงเวลาจบจดหมายฉบับนี้แล้ว คงจะดูโง่และสับสนสำหรับนาย ฉันเองก็รู้สึกสับสน ฉันไม่สบาย ฉันไม่รู้ว่าอะไรทำให้ฉันป่วย ฉันคอยแต่จะเห็นภาพห้องเล็กๆ ที่ผนังว่างเปล่า แสงตะเกียง ประตูที่เปิดอ้า ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่แสดงความตั้งใจ เสื้อผ้าชุดขาวบางเบา… ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า ทำไมฉันจึงเคยอยากแต่งงานกับหล่อน เห็นได้ชัดว่าฉันไม่ได้โง่นักก่อนที่จะเดินทางไปเบอร์ลินเหมือนอย่างที่เคยคิด ใช่แล้วล่ะ ซีโมน นิโคแลช เพื่อนของนายคนนี้กำลังมีความคิดแปลกๆ ทั้งหมดนี้จะผ่านไป ฉันรู้… แต่ถ้ามันไม่ควรจะผ่านไปล่ะจะเกิดอะไรขึ้น อือ แล้วยังไง ถึงอย่างไรฉันก็พอใจอย่างที่เป็นอยู่ละ ประการแรก ฉันมีเวลาค่ำคืนที่แสนสุข และประการที่สอง ถ้าฉันสามารถปลุกวิญญาณนั้นขึ้นมาได้ ใครจะมาโทษฉันได้ มาดามเอลท์ซอฟผู้ชราก็ถูกตรึงไว้บนผนังและไม่สามารถมีปากมีเสียงได้ สุภาพสตรีชราผู้นั้น... ฉันไม่รู้เรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตของนาง แต่ฉันรู้ว่านางออกจากบ้านพ่อหนีตามผู้ชายมา เห็นได้ชัดว่านางมิเสียทีที่มีแม่เป็นชาวอิตาลี นางต้องการที่จะปกป้องลูกสาวของนาง แล้วเราจะได้เห็นกัน
ฉันวางปากกาแล้ว ส่วนนาย พ่อคนช่างเยาะ อยากจะคิดถึงฉันยังไงก็เชิญ แต่อย่าเขียนมาเยาะเย้ยกัน นายกับฉันเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่และควรจะต้องถนอมน้ำใจกันไว้ ลาก่อน


เพื่อนของนาย
พี.บี.


โดย: จดหมายฉบับที่สี่ (moonfleet ) วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:12:32:11 น.  

 
จดหมายฉบับที่ห้า

จากคนเดิมถึงคนเดิม
หมู่บ้าน ม…โอ - 26 กรกฎาคม 1850

ฉันไม่ได้เขียนถึงนายนานแล้ว ซีโมน นิโคแลทช์ที่รัก ฉันคิดว่านานมากกว่าหนึ่งเดือน มีเรื่องให้เขียนถึงมากมายแต่ฉันก็ขี้เกียจเกินไป ขอบอกตามความจริงว่าฉันไม่ค่อยได้คิดถึงนายสักเท่าไรในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ อาจจะเป็นเพราะฉันคิดว่าในจดหมายฉบับสุดท้ายของนายที่เขียนถึงฉันนั้น นายมีสมมุติฐานเกี่ยวกับตัวฉันแบบอยุติธรรม หรือจะพูดว่าไม่ค่อยจะยุติธรรมก็ได้ นายคิดว่าฉันหลงใหลเวรา (ถึงอย่างไร ฉันก็รู้สึกขัดเขินที่จะเรียกหล่อนว่าเวรา นิโคแลฟนา) นายเข้าใจผิดแล้ว จริงอยู่ว่าฉันไปหาหล่อนบ่อยๆ ฉันชอบหล่อนมาก… แต่ใครเล่าจะไม่ชอบหล่อน ฉันอยากให้นายมาเป็นฉันนัก หล่อนเป็นคนที่วิเศษจริงๆ ได้มาอยู่กับหล่อนผู้บริสุทธิ์ ไร้มารยาดั่งทารก จิตใจใสสะอาดและมีเหตุผล และมีความรู้สึกภายในที่เข้าถึงความงามได้ มีแรงผลักดันที่จะต่อสู้เพื่อความจริง เพื่ออุดมคติและความเข้าใจในทุกสิ่ง ถึงจะเป็นเรื่องเลวร้าย แม้แต่ในเรื่องตลก และที่เหนือกว่าทุกสิ่งก็คือเสน่ห์หญิงอันนิ่มนวลประดุจปีกสีขาวของนางฟ้า แต่จะมีประโยชน์อะไรที่จะพูด หล่อนกับฉัน เราอ่านหนังสือกันเยอะแยะ สนทนากันมากมาย ตลอดช่วงเดือนนี้ การได้อ่านหนังสือกับหล่อนเป็นความสุขที่ฉันไม่เคยได้รู้สึกมาก่อน เหมือนกับได้เปิดอ่านหนังสือเล่มใหม่ หล่อนไม่เคยแสดงอาการยินดีอย่างออกนอกหน้ากับสิ่งใด การส่งเสียงดังเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมชาติของหล่อน หล่อนจะเปล่งประกายอย่างเงียบๆ ไปทั่วทั้งตัวเมื่อมีสิ่งที่พึงพอใจ และใบหน้าของหล่อนจะดูงามสง่า และแสดงความรู้สึกที่ดี...นั่นละใช่แล้ว นับตั้งแต่จำความได้ เวราไม่เคยรู้จักว่าอะไรคือการโกหก หล่อนเป็นคนที่รู้จักแต่ความจริง หล่อนได้รับการอบรมสั่งสอนมาด้วยสิ่งนั้น และด้วยเหตุนี้หล่อนจึงเห็นแต่ความจริงในบทกวี หล่อนจำมันได้ในทันที โดยไม่ยากเย็นเหมือนคนรู้จักคุ้นเคย เป็นทั้งข้อดีและความสุข คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่นึกถึงแม่ของหล่อนในแง่ดีสำหรับสิ่งนี้ หลายครั้งหลายหนฉันคิดเวลามองดูเวรา ‘ใช่แล้ว เกอเธพูดถูก ผู้ชายดีๆ ที่มีความปรารถนาไม่แน่ชัดมักจะรู้ได้ว่าหนทางที่ถูกต้องอยู่ที่ไหน’ (เฟาสต์ บทนำของภาคหนึ่ง) สิ่งหนึ่งที่น่ารำคาญก็คือสามีของหล่อนมักจะป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ (กรุณาอย่าหลุดหัวเราะออกมา อย่าทำลายมิตรภาพของเราด้วยการทำเช่นนั้น หรือแม้แต่จะคิดก็ไม่ได้) เขามีความสามารถจะเข้าใจบทกวีได้พอๆ กับที่ฉันสามารถเป่าขลุ่ยได้นั่นแหละ และเขาจะไม่ยอมปล่อยภรรยาของเขาไว้ลำพัง เขาต้องการจะได้รู้เรื่องด้วยเหมือนกัน แต่บางครั้งหล่อนเองก็ทำให้ฉันหมดความอดทน อยู่ดีๆ หล่อนจะมีอารมณ์แปลกๆ ไม่อ่านหนังสือ ไม่พูดไม่จา เอาแต่นั่งเย็บปักการฝีมือและหงุดหงิดกับนาตาชากับคนดูแลบ้าน แล้วจู่ๆ ก็วิ่งเข้าครัวหรือไม่ก็เอาแต่นั่งประสานมือ และจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างหรือเล่นไพ่ฟุลกับพยาบาล…ฉันรู้ว่าในยามเช่นนั้นฉันต้องไม่กวนใจหล่อน และจะเป็นการดีที่สุดที่จะรอจนกว่าหล่อนจะเข้ามาหาฉันและเริ่มการสนทนาเองหรือหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน หล่อนมีความเป็นตัวของตัวเองมากทีเดียว และฉันก็ดีใจมากที่หล่อนเป็นเช่นนั้น นายจำได้ไหมว่าในสมัยที่เรายังหนุ่มมันเป็นยังไง จะมีสาวน้อยบางคนหรือใครสักคนเอาคำพูดที่นายเคยพูดกับพวกหล่อนมาพูดให้นายฟังอีกที โดยทำท่าว่าเป็นความเปรื่องปราดเสียเหลือเกินของตัวเอง ส่วนนายก็จะพอใจอย่างยิ่งยวดกับเรื่องที่เอามาเล่าใหม่นั้น บางทีอาจจะถึงขั้นยอมศิโรราบให้ด้วยซ้ำ จนกระทั่งนายเกิดสะกิดใจขึ้นมาว่าเรื่องจริงมันเป็นมายังไงนั่นแหละ แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่อย่างนั้น หล่อนคิดของหล่อนเอง หล่อนไม่ยอมรับอะไรเพราะศรัทธา ไม่มีใครแสดงอำนาจให้หล่อนกลัวเกรงได้ หล่อนจะไม่ทะเลาะวิวาทแต่ก็จะไม่ยอมจำนน หล่อนกับฉันเคยโต้เถียงกันเรื่องเฟาสต์กันหลายครั้ง แต่พูดไปก็แปลก หล่อนไม่เคยเอ่ยถึงเกรทเชนเลย หากได้แต่คอยฟังว่าฉันจะพูดอะไรเกี่ยวกับตัวละครตัวนั้น เมฟิสโตฟีลิสทำให้หล่อนกลัว ไม่ใช่เพราะมันเป็นปีศาจ แต่เพราะเป็น “อะไรบางอย่างที่อาจอยู่ในตัวคนทุกคน...” นั่นเป็นคำพูดของหล่อนเองทุกถ้อยคำนะ ฉันได้แจกแจงให้หล่อนเข้าใจว่าเราเรียก ‘อะไรบางอย่าง’ นั้นว่า ปฏิกิริยา แต่ดูเหมือนหล่อนจะไม่เข้าใจคำว่า ‘ปฏิกิริยา’ ตามความหมายในภาษาเยอรมัน หล่อนรู้แต่คำว่า เรเฟลกซิยงในภาษาฝรั่งเศสซึ่งหมายถึง ‘การสะท้อนกลับ’ แล้วก็เชื่อว่ามันใช้ได้
ความสัมพันธ์ของเรานั้นไม่ธรรมดา จากมุมมองหนึ่งฉันพูดได้ว่าฉันมีอิทธิพลเหนือหล่อนมากทีเดียว และสอนให้หล่อนได้เรียนรู้ดั่งที่ได้เป็นมา โดยไม่ให้หล่อนรู้ว่าหล่อนเองก็ได้เปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่างในตัวฉันให้ดีขึ้น เช่น เพราะหล่อนแท้ๆ ฉันจึงได้ค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ว่า ยังมีแบบแผนอันสุนทรีย์มากมายในบทกวีนิพนธ์ดีๆ ที่เราเคยรู้จัก ทำให้ฉันเกิดความไม่เชื่อในทันทีว่าหล่อนไม่สนใจกวีนิพนธ์เหล่านี้ ใช่แล้ว ฉันเก่งขึ้น อารมณ์เย็นลง พอได้มาสนิทสนมกับหล่อน ได้พบกับหล่อนแล้วจะให้ฉันยังคงเป็นชายคนเดิมเช่นแต่ก่อนนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้หรอก
“เรื่องทั้งหมดนี้จะไปจบลงตรงไหนกันนี่” นายคงจะถาม จริงๆ แล้วฉันคิดว่าก็ไม่มีอะไรมากมายนะ ฉันกำลังใช้เวลาอย่างมีความสุขจนกว่าจะถึงเดือนกันยายนแล้วฉันก็จะจากไป ในช่วงไม่กี่เดือนแรกชีวิตคงจะมืดมนและน่าเบื่อ แต่ฉันก็จะเคยชินกับมัน ฉันรู้ว่าการที่ผู้ชายกับผู้หญิงมีความผูกพันต่อกันไม่ว่าจะในรูปแบบใดนั้นมันอันตรายยังไง รู้ว่าความรู้สึกอย่างหนึ่งจะค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นอีกอย่างหนึ่งโดยไม่รู้ตัวได้อย่างไร ฉันควรจะต้องดึงตัวเองออกมาเสียในทันทีหากไม่ได้คิดว่าเราทั้งสองเป็นคนที่เก็บความรู้สึกเก่ง ฉันมีความจริงจะบอก วันหนึ่งได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดกับเรา ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ผลของมัน ก็คือ... ฉันจำได้ว่าเรากำลังอ่านบทกวี “โอเนกิน” กันอยู่ และฉันก็จุมพิตมือของหล่อน หล่อนผงะเล็กน้อย ตวัดสายตาขึ้นมองฉัน (ฉันไม่เคยเห็นใครมองฉันอย่างนั้นมาก่อนนอกจากหล่อน สายตานั้นมีทั้งแววครุ่นคิดและสนอกสนใจ รวมทั้งความเด็ดเดี่ยวบางอย่าง)...แล้วหล่อนก็พลันหน้าแดง ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง วันนั้นฉันไม่มีโอกาสได้อยู่กับหล่อนตามลำพังอีกเลย หล่อนหลบหน้าฉันไปนั่งเล่นไพ่ตองอย่างเอาเป็นเอาตายถึงสี่ชั่วโมงเต็มกับสามี พยาบาลและครูพี่เลี้ยง เช้าวันรุ่งขึ้น หล่อนเอ่ยชวนไปเดินเล่นในสวน เราเดินไปจนสุดปลายสวนซึ่งเป็นทางโล่งไปสู่ทะเลสาบ ในชั่วฉับพลันนั้น หล่อนก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบาโดยไม่หันมามองฉันว่า “โปรดอย่าทำอย่างนั้นอีก” และหลังจากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องพูดเสียทันที …ฉันรู้สึกละอายยิ่งนัก
ฉันต้องขอสารภาพว่าภาพของหล่อนไม่เคยจางหายไปจากใจของฉันเลย และฉันอาจจะเริ่มเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงนายก็เพราะอยากจะคิดถึงหล่อนและพูดถึงหล่อนมากกว่าเหตุผลอื่น ฉันได้ยินเสียงร้องและฝีเท้าของม้า รถของฉันมาแล้ว ฉันกำลังจะไปบ้านพวกเขา คนขับรถม้าของฉันไม่ถามอีกแล้วว่าจะให้เขาขับไปไหน เมื่อฉันเข้าไปนั่งในรถ เขาก็ขับตรงไปที่บ้านของพวกพริมคอฟ ณ หัวโค้งหักศอกของถนน อีกประมาณสองกิโลเมตรก่อนจะถึง จะมองเห็นคฤหาสน์ของพวกเขาโผล่พ้นยอดไม้ หัวใจของฉันจะโลดขึ้นด้วยความยินดีทุกครั้งในทันทีที่ได้เห็นแสงจากหน้าต่างบ้านของหล่อน ชิมเมล (ตาเฒ่าไร้พิษสงคนนั้นจะมาหาพวกเขาเป็นครั้งคราว พวกเขาเคยได้เฝ้าเจ้าชายเอ็กซ์...เพียงครั้งเดียว ขอบคุณพระเจ้า)...ชิมเมลพูดไว้…ซึ่งเขาคงจะมีเหตุผล...ด้วยท่าทางยินดีน้อยนิดซึ่งดูพิลึก เมื่อเขาชี้ให้ดูบ้านที่เวราอาศัยอยู่ว่า “นั่นเป็นบ้านสันติสุข” เทพธิดาแห่งสันติภาพสถิตอยู่ในบ้านหลังนั้น
ห่มฉันไว้ด้วยปีกของเธอ
อารมณ์ในหัวใจของฉันจักสงบลง
และร่มเงานั้นจักเป็นสิ่งปกป้อง
สำหรับวิญญาณอันปีติของฉัน
แต่เอาเถอะ พอได้แล้ว หรือมิฉะนั้น พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงทราบว่านายจะคิดอย่างไร คุยกันต่อคราวหน้า ฉันจะเขียนอะไรในจดหมายฉบับหน้านะ สวัสดี อ้อ หล่อนไม่เคยพูดคำว่า “สวัสดี” แต่มักจะบอกว่า “เอาละ สวัสดี” ฉันชอบคำนั้นชะมัด


เพื่อนของนาย
พี.บี.
ป.ล. ฉันจำไม่ได้ว่าบอกนายไปหรือยังว่าหล่อนรู้ว่าฉันเคยขอหล่อนแต่งงาน


โดย: จดหมายฉบับที่ห้า (moonfleet ) วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:12:33:03 น.  

 
จดหมายฉบับที่หก

จากคนเดิมถึงคนเดิม
หมู่บ้าน ม…โอ - 10 สิงหาคม 1850

ยอมรับมาเถอะว่านายหวังจะได้รับจดหมายที่แสดงความผิดหวังหรือไม่ก็ยินดีจากฉัน ไม่มีอะไรอย่างนั้นหรอก จดหมายของฉันฉบับนี้ก็จะเหมือนกับทุกฉบับนั่นแหละคือไม่มีสิ่งใหม่เกิดขึ้น และฉันคิดว่าไม่มีอะไรจะเกิดขึ้นได้ด้วย เมื่อวันก่อนเราไปพายเรือในทะเลสาบกัน ฉันจะเล่าเรื่องไปเที่ยวคราวนั้นให้นายฟัง เราไปกันสามคน หล่อน ชิมเมลและฉัน ฉันไม่เข้าใจเลยว่าอะไรเข้าครอบงำหล่อนให้เชิญตาแก่คนนั้นมาบ่อย ๆ พวกเอ๊กซ์...ก็ระอาเขากันแล้ว พวกนั้นบอกว่าเป็นเพราะเขาเริ่มจะขาดสอนบ่อยๆ แต่ในเวลาอย่างนี้ เขาก็ตลกดี พริมคอฟไม่ได้มากับเราด้วย เขาปวดศีรษะ วันนั้นอากาศดีมาก ชวนให้สดชื่น เมฆสีขาวก้อนใหญ่ๆ กระจัดกระจายอยู่เต็มท้องฟ้าสีคราม มองไปทางไหนก็จะเห็นประกายแสง มีเสียงจากใบไม้ที่ถูกลมพัดเสียดสีกัน เสียงน้ำสาดกระเพื่อมกระทบฝั่ง ลำแสงสีทองกระทบน้ำเป็นแนวยาวเหมือนงูเลื้อยเหนือทิวคลื่น อากาศเย็นสบายและมีแดด ในตอนแรก ฉันกับชายเยอรมันเป็นคนพายเรือ หลังจากนั้นก็ชักใบขึ้นพามันล่องฉิวไปข้างหน้า หัวเรือเกือบจะมุดฝ่าคลื่นและด้านท้ายเรือน้ำแตกกระจายซ่าเป็นฟองขาว ส่วนหล่อนนั่งอยู่ใกล้คันบังคับและถือหางเสือ หล่อนใช้ผ้าผืนเล็กๆ โพกศีรษะไว้ เพราะถ้าเป็นหมวกคงจะถูกลมพัดปลิวไปเป็นแน่ ขมวดปอยผมโผล่ออกมาให้เห็นจากใต้ผืนผ้าและลอยละล่องอย่างนุ่มนวลอยู่ในสายลม หล่อนยึดคันบังคับไว้แน่นด้วยมือเล็กๆ ที่คล้ำแดด และยิ้มออกมาเมื่อน้ำแตกกระจายกระเด็นเข้าหน้าเป็นครั้งคราว ฉันนั่งชันเข่าอยู่ที่พื้นท้องเรือไม่ห่างจากปลายเท้าของหล่อนเท่าไรนัก ชายเยอรมันดึงกล้องยาเส้นออกมา จุดไฟที่ยาสูบเส้นหยาบ และนึกดูซิ เขาเริ่มร้องเพลงด้วยเสียงทุ้มต่ำชวนฟังทีเดียว ทีแรกเขาร้องเพลงพื้นเมือง ฟลอยท์ อุช เดส์ เลเบนส์ (Freut ' euch des Lebens) ต่อด้วยเพลงจากเรื่อง เดอะ เมจิก ฟลุต แล้วก็เพลงรักชื่อ เลิฟส์ อัลฟาเบ็ท ในเพลงนี้จะขานอักษรทุกตัว และมีเนื้อเพลงไพเราะคั่นเป็นจังหวะ เริ่มด้วย อา เบ เซ เด เวน อิช ดิช เซฮ์ (A – B – C – D - Wenn ich dich seh) และจบลงด้วย อู เฟา เว อิกซ์ มัก เอน คิกส์ (U - V – W - X – Mach einen Knicks) เขาร้องบทกลอนคู่นี้ไปจนจบด้วยกังวานเสียงนุ่มนวล แต่นายน่าจะได้เห็นตอนที่เขาหลิ่วตาข้างซ้ายอย่างมีเล่ห์เมื่อออกเสียงคำสุดท้ายว่า คิกส์ (แทน คนิกส์) เวราส่งเสียงหัวเราะชอบใจและแกว่งนิ้วขณะชี้ไปที่เขา ฉันเอ่ยขึ้นว่าฉันเข้าใจว่าคุณชิมเมลสมัยหนุ่มๆ ก็คงจะไม่ใช่เล่นเหมือนกัน “อ๋อ แน่นอน ผมยืนยันได้เลย” เขาตอบอย่างภาคภูมิ เคาะเถ้ายาเส้นจากกล้องยาสูบลงบนฝ่ามือแล้วเอานิ้วล้วงลงไปในกระเป๋าใส่ยาเส้น คาบกล้องไว้ที่มุมปากข้างหนึ่ง "สมัยที่ผมยังเป็นเรียนอยู่น่ะนะ" เขากล่าวต่อ "โอ๊ะ โฮ โฮ" แล้วเขาก็ไม่พูดอะไรอีก แต่ไอ้ “โอ๊ะ โฮ โฮ” นั่นน่ะมีความหมาย เวราขอร้องให้เขาร้องเพลงสมัยเป็นนักศึกษา และเขาร้องเพลง คนาสเตอร์ เด็น แกลเบ็น (Knaster, Den Gelben) แต่เกิดเสียงหลงเอาตอนจบ
ในขณะนั้นลมได้พัดแรงขึ้น ระลอกคลื่นเริ่มโยนตัวสูง เรือโคลงเคลงไปมา นกนางนวลบินถลาต่ำลงมารอบตัวเรา เราหมุนใบเรือกลับและเริ่มบังคับทิศทาง ทันทีนั้นลมเหมือนจะหวนกลับ เรายังกลับใบเรือไม่สำเร็จตอนที่คลื่นกระแทกข้างลำเรือและน้ำทะลักเข้ามาในเรือจำนวนมาก ตรงนี้ก็เหมือนกัน คนเยอรมันได้แสดงตนเป็นคนดี เขาฉกเอาเชือกไปจากมือฉันแล้วก็เริ่มดึงอย่างทะมัดทะแมง พร้อมกับบอกขณะที่ทำดังนั้นว่า “ที่คุกซ์ฮาเฟนเขาทำกันอย่างนี้”
เวราคงจะตกใจเพราะหน้าของหล่อนซีดเผือด แต่โดยนิสัย หล่อนไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียวหากรวบเสื้อเข้ากระชับตัว และวางเท้าไว้บนคานเรือ ทันใดนั้นฉันก็เกิดความคิดวาบขึ้นมาถึงโคลงของเกอเธ (ฉันเคยคลั่งไคล้เกอเธหัวปักหัวปำเป็นปีๆ มาก่อน) นายจำได้ไหม บทที่ว่า "บนเกลียวคลื่น ดวงดาวนับพันเปล่งประกายระยิบระยับ" และฉันได้ท่องออกมาดังๆ เมื่อมาถึงวรรคที่ว่า "ดวงตาของข้าฯ เหตุไฉนเจ้าจึงหลบลง" หล่อนก็ได้ช้อนสายตาขึ้นเล็กน้อย (ฉันนั่งอยู่ต่ำกว่าหล่อน ทำให้หล่อนต้องมองลงมาที่ฉัน) และจ้องมองออกไปแสนไกลเป็นเวลานาน หรี่ตาลงเพื่อหลบจากกระแสลม สายฝนบางเบาตกลงมาในทันใด กระทบพื้นน้ำเป็นฟอง ฉันส่งเสื้อคลุมกันหนาวของฉันให้หล่อนและหล่อนก็รับไปสวมทับ เรือแล่นเข้าเกยฝั่ง ไม่ได้จอดเทียบที่ท่า และเราก็พากันเดินกลับบ้าน ฉันเดินเกาะเกี่ยวแขนไปกับหล่อน ตลอดเวลาตอนนั้นฉันรู้สึกอยากจะบอกบางอย่างกับหล่อน แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป แต่ฉันจำได้ว่าได้ถามหล่อนว่าทำไมเวลาอยู่บ้าน หล่อนจึงชอบนั่งใต้ภาพของมาดามเอลท์ซอฟตลอดเวลาเหมือนกับลูกนกที่ซุกอยู่ใต้ปีกของแม่
“คุณเปรียบได้ถูกต้องทีเดียว” หล่อนตอบ “ฉันไม่ควรจะคิดอยากออกไปจากใต้ปีกของคุณแม่”
“คุณไม่อยากออกไปสู่อิสรภาพบ้างหรือ” ฉันถามต่อแต่หล่อนไม่ตอบ
ฉันไม่รู้ว่าเหตุใดฉันจึงเล่าเรื่องการไปเที่ยวครั้งนี้ให้นายฟัง บางทีอาจจะเป็นเพราะมันอยู่ในความทรงจำของฉันเหมือนเหตุการณ์ที่ดีที่สุดที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงจะเรียกว่าเป็นเหตุการณ์อย่างไรได้ ฉันมีความปีติเสียเหลือเกินและมีความสุขจนพูดไม่ออก อีกทั้งน้ำตา หยาดน้ำตาบางเบาแห่งความสุขที่คลอเอ่อและท่วมท้นดวงตาของฉัน
ใช่ล่ะ แล้วรู้ไหมว่าในวันรุ่งขึ้น ขณะที่ฉันกำลังเดินผ่านซุ้มไม้เลาะลงไปในสวน ฉับพลันนั้นฉันก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องเพลงอย่างไพเราะดังขึ้นมา “ฟลอยท์ อุช เดส์ เลเบนส์”...ฉันมองเข้าไปในซุ้มต้นไม้ เวรานั่นเอง
“ยอดเยี่ยมจริงๆ” ฉันอุทาน “ผมไม่ทราบเลยว่าคุณมีเสียงเพราะเช่นนี้” หล่อนเขินอายและหยุดร้องเพลง จริงๆ นะ หล่อนมีเสียงแหลมสูงที่มีกังวานยอดเยี่ยม แต่ฉันไม่คิดว่าหล่อนจะรู้ตัวว่าตัวเองเสียงดี มีคุณสมบัติอีกมากมายเพียงใดหนอที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวหล่อน หล่อนเองก็ไม่รู้ แต่ผู้หญิงอย่างนี้ก็หาได้ยากแล้วในยุคสมัยของเรานี้ มิใช่หรือ


12 สิงหาคม

เมื่อวานนี้เรามีการสนทนาที่แปลกประหลาดมาก ตอนแรกเราพูดกันเรื่องมโนภาพ คิดดูสิหล่อนเชื่อเรื่องแบบนี้และบอกว่าหล่อนมีเหตุผลที่เชื่ออย่างนั้น พริมคอฟซึ่งนั่งอยู่กับเราหลบตาลงและสั่นศีรษะ ราวกับจะยืนยันถ้อยคำของภรรยา ฉันพยายามจะซักถามหล่อนแต่ก็รู้สึกได้ในทันทีว่าหล่อนไม่อยากจะสนทนาในเรื่องนี้ เราเริ่มพูดกันถึงเรื่องมโนภาพ เรื่องพลังของความนึกคิด ฉันเล่าว่าเมื่อยังวัยรุ่น ฉันชอบฝันถึงเรื่องที่เป็นความสุขมากทีเดียว (เป็นกิจวัตรประจำของคนที่ไม่เคยมี หรือจะไม่มีโชคลาภในชีวิต) เรื่องหนึ่งที่ฉันชอบนึกถึงก็คือ จะมีความสุขเพียงใดถ้าได้ไปอยู่ในเวนิสสักสองสามสัปดาห์กับผู้หญิงที่ฉันรัก ฉันคิดถึงเรื่องนี้บ่อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามค่ำคืน ฉันจะค่อยๆ รวบรวมความคิดจนเป็นภาพที่สมบูรณ์ ซึ่งฉันจะนึกถึงเมื่อไรก็ได้เพียงแค่หลับตาลงเท่านั้น... ยามค่ำคืน ดวงจันทร์ แสงจันทร์ขาวนวลและอ่อนโยน กลิ่นหอม...หอมอย่างดอกส้ม นายว่าไหม ไม่ใช่สิ กลิ่นกล้วยไม้ กลิ่นสดของต้นกระบองเพชร ผืนน้ำที่กว้างไกล เกาะที่มีพื้นราบและมีดงมะกอกหนาทึบ บนเกาะนั้น ที่ริมฝั่งน้ำมีบ้านหินอ่อนหลังเล็กที่มีหน้าต่างเปิดกว้าง ได้ยินเสียงดนตรีแว่วมา ...จะมาจากไหนนั้น พระเจ้าทรงทราบ ในบ้านมีต้นไม้ที่มีใบสีเข้มและแสงสว่างจากตะเกียงที่คลุมไว้ครึ่งหนึ่ง เสื้อคลุมผ้ากำมะหยี่หนาหนักขลิบด้วยขอบสีทองพาดอยู่บนขอบหน้าต่าง ชายเสื้อข้างหนึ่งห้อยลงไปในน้ำ ขณะที่สองร่างที่นั่งแขนทอดอยู่บนผืนผ้า อิงแอบอยู่เคียงข้างกันนั้นคือ เขากับเธอ ซึ่งกำลังนั่งมองออกไป ณ จุดที่เห็นเมืองเวนิสอยู่ไกลโพ้น ภาพทั้งหมดนี้ปรากฏขึ้นในความคิดของฉันเสมือนกับว่าได้เห็นด้วยตาของตัวเองทีเดียว
หล่อนนิ่งฟังเรื่องเพ้อฝันของฉัน และบอกว่าหล่อนเองก็เคยปล่อยความคิดไปตามอารมณ์เช่นนั้นเหมือนกัน แต่ความฝันของหล่อนแตกต่างออกไป หล่อนมักจะเห็นตัวเองอยู่ในทุ่งราบในแอฟริกากับนักเดินทางคนอื่น หรือไม่ก็กำลังค้นหาร่องรอยของแฟรงคลินในขั้วโลกเหนือ หล่อนจะวาดภาพให้ตัวเองเห็นเป็นจริงเป็นจังถึงความยากลำบากต่างๆ ที่ต้องเผชิญ และอุปสรรคทั้งหลายแหล่ที่ต้องต่อสู้ฟาดฟัน
“เธออ่านหนังสือเรื่องการเดินทางมากไปแล้ว” สามีของหล่อนแสดงความเห็น
“อาจจะใช่” หล่อนตอบโต้ “แต่ถ้าคนเราจะฝันแล้ว ทำไมถึงได้ฝันถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้นะ”
“แต่ทำไมล่ะ” ฉันพูดแทรกขึ้น “ฝันถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้น่ะผิดตรงไหน”
“ฉันอาจจะอธิบายไม่ชัดเจน” หล่อนกล่าว “ฉันตั้งใจจะบอกว่า คนเราจะฝันถึงเรื่องของตัวเอง ถึงความสุขของตัวไปทำไม มันไม่มีประโยชน์ที่จะนึกถึงมันถ้าจะไม่มีวันเป็นจริง จะไปไล่ตามมันทำไม มันเหมือนกับสุขภาพ ตราบใดที่เราไม่ได้นึกถึงมัน ก็แปลว่าเราสบายดี”
ถ้อยคำเหล่านี้ทำให้ฉันประหลาดใจมาก ผู้หญิงคนนั้นมีจิตวิญญาณที่เหนือกว่าคนทั่วไป เชื่อฉันเถอะ และจากเวนิส หัวข้อสนทนาได้โยงไปถึงเรื่องอิตาลี แล้วก็ชาวอิตาลี พริมคอฟออกไปจากห้องปล่อยเวรากับฉันห้อยู่ด้วยกันตามลำพัง
“คุณก็มีสายเลือดอิตาลีอยู่ด้วยนี่” ฉันตั้งข้อสังเกต
“ใช่” หล่อนตอบ “ฉันจะให้คุณดูรูปคุณยายของฉัน ถ้าคุณอยากดู”
“อยากดูสิ”
หล่อนเข้าไปในห้องนั่งเล่นส่วนตัว และถือจี้ห้อยคอทองคำที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ออกมา เมื่อเปิดฝาจี้ทองคำนี้ขึ้น ฉันก็ได้เห็นภาพเขียนขนาดเล็กสีสวยงามของบิดาของมาดามเอลท์ซอฟและภรรยาของเขาซึ่งเป็นหญิงชาวนาจากอัลบาโนคนนั้น ฉันประหลาดใจที่คุณตาของเวราเหมือนกับลูกสาวมากทีเดียว เพียงแต่ลักษณะของเขาที่เห็นจากภาพที่ล้อมกรอบด้วยละอองเส้นสีขาวนั้นดูจริงจังกว่า เฉียบคม และมุ่งมั่นยิ่งกว่า ในดวงตาเล็กๆ สีเหลืองนั้นมีแววทิฐิแรงกล้า หากใบหน้าของสาวอิตาลีคนนั้นสิ ดูเย้ายวน เปล่งปลั่งเหมือนดอกกุหลาบที่ขยายกลีบบานเต็มที่ ดวงตาคมโตและหยาดเยิ้ม ริมฝีปากสีชมพูที่แย้มยิ้มอย่างทะนงตน จมูกเรียวงามเหมือนจะเคลื่อนไหวยุบพองตัวประดุจเพิ่งผ่านการจุมพิตมาไม่นาน แก้มสีคล้ำทั้งสองข้างทำให้รู้สึกได้ถึงความร้อนชื้นในอากาศและสุขภาพที่สมบูรณ์ ความงดงามของวัยสาวและพลังของความเป็นหญิง เนินหน้าผากดูราวกับไม่เคยต้องครุ่นคิดกังวลกับเรื่องใดๆ และต้องขอบคุณพระเจ้าสำหรับเรื่องนั้น ในภาพนั้นเธอสวมชุดสาวอัลเบเนีย จิตรกรได้แต่งแต้มก้านใบองุ่นเสียบไว้ที่เรือนผมซึ่งมีสีดำเหมือนยางมะตอยและส่งแสงสะท้อนเป็นสีเทาสว่าง ไม่มีคำบรรยายใดที่จะเหมาะกับสีหน้าของเจ้าหล่อนผู้นั้นอีกแล้วนอกจากจะบอกว่าหล่อนช่างเปล่งประกายสว่างสุกใสเหมือนสิ่งประดับในงานฉลองเทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นยังไงยังงั้น แล้วนายรู้ไหมว่าใบหน้านั้นทำให้ฉันนึกถึงใคร ก็แมนอน เลสคอตที่อยู่ในกรอบรูปสีดำของฉันนั่นยังไง และสิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดก็คือ เมื่อฉันมองดูภาพนั้น ฉันก็นึกขึ้นได้ว่า มีอะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกับรอยยิ้มนั้น สายตานั้นปรากฏแวบขึ้นบนใบหน้าของเวราในบางครั้ง ทั้งที่ในรูปลักษณ์ภายนอกแล้วไม่เหมือนกันเลยก็ตาม
ใช่ ฉันขอย้ำ ทั้งตัวหล่อนเองและใครก็ตามในโลกนี้ไม่รู้หรอกว่าในตัวของหล่อนยังมีอะไรที่ซ่อนเร้นอยู่อีก
อีกอย่างหนึ่ง ก่อนที่ลูกสาวจะแต่งงานไป มาดามเอลท์ซอฟได้เล่าเรื่องชีวิตของนาง การตายของมารดาของนางและเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกัน โดยอาจจะมีความประสงค์ที่จะอบรมสั่งสอนให้เป็นตัวอย่าง ซึ่งเรื่องที่มีผลต่อชีวิตของเวรามากก็คือเรื่องราวเกี่ยวกับตาของหล่อนที่หล่อนได้ยินมา เรื่องของลาดานอฟผู้ลึกลับคนนั้น หล่อนได้รับถ่ายทอดความเชื่อเรื่องภาพนิมิตมาจากเขาหรือเปล่าหนอ แปลกจริงๆ ตัวหล่อนเองนั้นบริสุทธิ์และเฉลียวฉลาด แต่หล่อนก็ยังกลัวความมืด สิ่งลึกลับและเชื่อในเรื่องนี้
แต่ พอแค่นี้ดีกว่า ทำไมฉันถึงเขียนถึงเรื่องพวกนี้นะ แต่เอาเถอะ ไหนๆ ก็เขียนแล้ว ฉันจะส่งไปให้นายอ่านก็แล้วกัน


เพื่อนของนาย
พี.บี.



โดย: จดหมายฉบับที่หก (moonfleet ) วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:12:34:05 น.  

 
จดหมายฉบับที่เจ็ด

จากคนเดิมถึงคนเดิม
หมู่บ้าน ม…โอ - 22 สิงหาคม

ฉันหยิบปากกาขึ้นมาเขียนอีกหลังจากที่เขียนฉบับสุดท้ายไปได้สิบวัน โอ เพื่อน ฉันไม่อาจจะปิดบังไว้ได้อีกต่อไปแล้ว มันช่างเจ็บปวดเสียจริงๆ ฉันรักหล่อนมากเหลือเกิน นายนึกไม่ถึงหรอกว่าฉันต้องเขียนคำนี้ออกมาด้วยความขมขื่นยิ่งนัก ฉันไม่ใช่เด็กๆ แม้แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ใช่ ฉันพ้นวัยที่แทบจะหลอกคนอื่นไม่ได้แต่หลอกตัวเองได้โดยไม่ต้องพยายามสักนิด ฉันรู้ทุกสิ่งและมองเห็นทุกอย่างชัดเจน ฉันรู้ว่าฉันอายุย่างสี่สิบ รู้ว่าหล่อนเป็นภรรยาของคนอื่น รู้ว่าหล่อนรักสามีของหล่อน ฉันรู้ดีทีเดียวว่าฉันไม่อาจจะหวังอะไรได้จากความรู้สึกอันไม่สมควรที่เข้าครอบงำ ทรมานฉันอยู่เงียบๆ และทำลายพลังชีวิตของฉัน ฉันรู้ทุกอย่าง ฉันไม่ได้หวังอะไรและไม่ปรารถนาอะไร แต่ถึงรู้อย่างนั้นฉันก็ไม่อาจอยู่อย่างเป็นสุขได้อีกต่อไป
สักเดือนหนึ่งมาแล้วที่ฉันเริ่มสังเกตว่าความผูกพันที่ฉันมีต่อหล่อนลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งมันทำให้ฉันไม่สบายใจ แต่อีกส่วนหนึ่งก็ยินดี...แต่ฉันจะหวังได้หรือว่าทุกอย่างจากเมื่อสมัยที่ยังหนุ่มจะเกิดขึ้นซ้ำอีก มันจะหวนกลับมาไม่ได้หรือ แต่ฉันกำลังจะบอกอะไรนี่ ฉันไม่เคยมีความรักเช่นนี้มาก่อน ไม่เคยเลย ฉันชื่นชมทั้งแมนอน เลสคอตและเฟรติลยอง แต่การเลิกนิยมชมชอบสาวๆ พวกนั้นก็ทำได้ง่ายๆ ทว่าในตอนนี้และเดี๋ยวนี้เท่านั้น ที่ฉันได้รู้ว่าการรักผู้หญิงสักคนนั้นมีความหมายอย่างไร ฉันรู้สึกละอายแม้แต่จะพูดถึงเรื่องนี้ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ฉันรู้สึกละอาย… ไม่ว่าอย่างไรความรักก็คือการเห็นแก่ตัว ทว่าในวัยเช่นฉันความเห็นแก่ตัวเป็นสิ่งที่ให้อภัยไม่ได้ คนเราจะมีชีวิตอยู่อย่างเห็นแก่ตัวไม่ได้เมื่อมีอายุถึงสามสิบเจ็ดปีแล้ว เราควรจะมีชีวิตอยู่อย่างมีประโยชน์ โดยมีเป้าหมายว่าจะทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ ดำเนินชีวิตของตนให้ดี และฉันได้พยายามที่จะตั้งต้นทำงาน และแล้วทุกอย่างก็จะกระจายหายไปอีกราวกับถูกพายุไต้ฝุ่น ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าฉันเขียนอะไรถึงนายในจดหมายฉบับแรก ฉันเข้าใจแล้วว่าฉันขาดข้อพิสูจน์อะไร มันเหมือนฉันถูกทุบหัวโดยไม่รู้ตัว ฉันยืนจ้องมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายเหมือนมีม่านดำบังตาอยู่ วิญญาณของฉันเจ็บปวดและหวาดกลัว ฉันยับยั้งตัวเองได้ จากภายนอกฉันดูสงบนิ่ง ไม่เพียงแต่เมื่อมีคนอื่นอยู่ด้วยเท่านั้น แม้เมื่อยามที่ฉันอยู่คนเดียวตามลำพังก็ตาม จริงๆ แล้ว ฉันไม่อาจจะแสดงความโกรธได้เช่นเด็กๆ แต่มันเหมือนกับมีหนอนคลานเข้าไปกัดกินหัวใจของฉันอยู่ทั้งวันทั้งคืน สิ่งนี้จะจบลงได้อย่างไร แต่ก่อนนี้ฉันเคยรู้สึกไม่มีชีวิตชีวาและกระวนกระวายเวลาที่ไม่เห็นหล่อน เมื่อใดที่หล่อนปรากฏตัว ฉันจะสงบลงได้ทันที... แต่เดี๋ยวนี้ ฉันกลับกระสับกระส่ายเมื่อมีหล่อนอยู่ด้วย ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ฉันตระหนก โอ เพื่อน มันช่างเจ็บปวดเสียนี่กระไรสำหรับคนที่อายที่จะร้องไห้และต้องซ่อนน้ำตาไว้ เด็กๆ เท่านั้นที่มีสิทธิ์จะร้องไห้ได้ มีเพียงในวัยเยาว์เท่านั้นที่เราทำทุกอย่างได้
ฉันไม่สามารถอ่านทวนจดหมายฉบับนี้ได้ มันระเบิดออกมาจากฉันราวเสียงโอดครวญ ฉันเขียนต่อไม่ไหว เล่าอะไรไม่ออกแล้ว ขอเวลาให้ฉันสักหน่อย ฉันจะรวบรวมสติอารมณ์ ฉันจะควบคุมจิตใจ ฉันจะคุยกับนายอย่างลูกผู้ชาย แต่ตอนนี้ฉันอยากจะเอนอิงศีรษะลงบนอกของนาย และ...
โอ เมฟิสโตฟิลิส แม้แต่ท่านก็จะไม่ช่วยข้าฯ ข้าฯเองเจตนาที่จะรั้งรอ ข้าฯเองที่ก่อกวนนิสัยช่างเหน็บแนมของตนเอง ข้าฯบอกกับตัวเองว่าอีกปีหนึ่งหรือครึ่งปี คำอุทธรณ์ คำโอดครวญเหล่านี้จะดูเสแสร้งน่าขบขัน ...ไม่หรอก เมฟิสโตฟิลิสไม่มีอำนาจอะไร เขี้ยวเล็บของเขามีแต่จะทื่อลงทุกวัน... ลาก่อน


เพื่อนของนาย
พี.บี.


โดย: จดหมายฉบับที่เจ็ด (moonfleet ) วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:12:35:10 น.  

 
จดหมายฉบับที่แปด

จากคนเดิมถึงคนเดิม
หมู่บ้าน ม…โอ - 8 กันยายน 1850

ซีโมน นิโคแลทช์ เพื่อนรักของฉัน
นายจริงจังกับจดหมายฉบับสุดท้ายของฉันมากเกินไปแล้ว นายก็รู้ดีว่าฉันเป็นคนที่ชอบบรรยายความรู้สึกของตัวเองเกินความจริง ฉันทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจอันเป็นวิสัยเหมือนผู้หญิง ซึ่งแท้ที่จริงก็คงจะหายไปเมื่อมีอายุมากขึ้น แต่ฉันต้องยอมรับพร้อมกับถอนหายใจว่าจนถึงบัดนี้ ฉันยังไม่ได้ปรับปรุงตัวเองเลย เพราะฉะนั้นจงเลิกกังวลได้ ฉันจะไม่ปฏิเสธว่าเวราได้ทำให้ฉันเกิดความประทับใจ แต่อย่างไรก็ตาม ฉันจะบอกว่ามันไม่ได้มีอะไรน่าทึ่งในเรื่องทั้งหมดนั่น และไม่จำเป็นแม้แต่น้อยที่นายจะมาตามที่นายเขียนมาบอก การขี่ม้ามาไกลกว่าพันไมล์ พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเพื่ออะไร นั่นมันบ้าชัดๆ แต่ฉันก็ขอขอบคุณนายมากสำหรับบทพิสูจน์อีกครั้งของความเป็นเพื่อน และเชื่อเถอะว่าฉันจะไม่มีวันลืมแน่ๆ อีกอย่างการที่นายจะเดินทางมาที่นี่ก็ไม่ใช่การตัดสินใจที่ดี เพราะตัวฉันเองตั้งใจจะเดินทางไปปีเตอร์สเบิร์กในเร็ว ๆ นี้ ถ้าได้ไปนั่งอยู่บนเก้าอี้นอนของนาย ฉันคงจะเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้นายฟังได้มากมาย แต่ในตอนนี้ จริง ๆ นะ ฉันไม่รู้สึกอยากจะเล่า พอนายได้รู้เรื่องหนึ่ง ฉันก็จะเริ่มพูดมาก แล้วก็จะพัวพันไม่จบ ฉันจะเขียนถึงนายอีกครั้งก่อนไปจากที่นี่ เพราะฉะนั้น ลาก่อนจนกว่าจะพบกันอีกในไม่ช้า ขอให้นายมีสุขภาพดี และสนุกสนาน ร่าเริง และอย่ากังวลมากนักในโชคชาตาของ …เพื่อนของนาย ด้วยความจริงใจ


พี.บี.


โดย: จดหมายฉบับที่แปด (moonfleet ) วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:12:35:45 น.  

 
จดหมายฉบับที่เก้า

จากคนเดิมถึงคนเดิม
หมู่บ้าน ม…โอ - 10 มีนาคม 1853

ฉันได้ตอบจดหมายนายเมื่อนานมาแล้ว ฉันคิดถึงนายอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ ฉันมีความรู้สึกว่าที่นายซักถามนั้นไม่ใช่เพราะความอยากรู้โดยไม่มีเหตุผลหากด้วยความห่วงใยฉันมิตรแท้ แต่กระนั้นฉันก็ยังลังเลไม่รู้ว่าควรจะทำตามคำแนะนำของนายดีหรือไม่ ไม่รู้ว่าควรจะทำตามที่นายต้องการดีไหม แต่ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจได้ ฉันจะบอกนายทุกเรื่อง ฉันไม่รู้ว่าคำสารภาพของฉันจะทำให้ฉันสบายใจขึ้นอย่างที่นายคิดหรือไม่ แต่ฉันคิดว่าฉันควรจะต้องเป็นผู้ถูกตำหนิอยู่ดี...โธ่เอ๋ย ยิ่งสมควรจะต้องถูกตำหนิมากขึ้นอีกสำหรับดวงวิญญาณที่งดงามและไม่อาจลืมเลือนได้ดวงนั้น ถ้าฉันไม่เปิดเผยความลับที่แสนเศร้าของเราให้คนเดียวที่ฉันไว้ใจที่สุดได้รับทราบ อาจจะมีนายคนเดียวเท่านั้นในโลกนี้ที่ยังจำเวราได้ และการที่นายจะเห็นว่าหล่อนไม่มีความสำคัญและเข้าใจหล่อนอย่างผิด ๆ นั้นเป็นเรื่องที่ฉันยอมไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็จงรับรู้เรื่องทั้งหมดนี้เถิด อนิจจา เรื่องทั้งหมดนี้อธิบายได้ด้วยคำสองคำเท่านั้นว่า สิ่งที่มีอยู่ระหว่างเราได้เกิดขึ้นเหมือนดั่งสายฟ้าฟาดในชั่วนาทีเดียว และเหมือนดั่งสายฟ้าที่นำความตายและการทำลายล้างมาด้วย
นับตั้งแต่หล่อนได้ตายจากไป นับตั้งแต่ฉันได้มาอยู่ ณ เนาสถานอันแสนไกลแห่งนี้ ที่ซึ่งฉันจะไม่จากไปไหนอีกจนวันตาย จนถึงบัดนี้ เวลาได้ผ่านไปนานกว่าสองปีแล้ว แต่ทุกสิ่งทุกอย่างยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำของฉัน บาดแผลของฉันยังสดเหมือนใหม่ ความโศกเศร้าของฉันยิ่งขมขื่นไม่มีใดเปรียบ
ฉันจะไม่คร่ำครวญ การคร่ำครวญ การก่อความรำคาญอาจช่วยบรรเทาความรู้สึกโศกเศร้าได้ แต่ไม่ใช่ความโศกเศร้าเช่นของฉัน… ฉันจะเริ่มเล่าเรื่องเดี๋ยวนี้ละ
นายจำจดหมายฉบับสุดท้ายของฉันได้ไหม จดหมายฉบับนั้นที่ฉันตั้งใจจะทำให้นายหายกลัวและขอไม่ให้นายต้องเดินทางมาจากปีเตอร์สเบอร์ก นายยังสงสัยว่ามันดูผ่อนคลายอย่างผิดปรกติจนนายเชื่อว่าเราไม่จำเป็นต้องพบกันในเร็ววัน นายเข้าใจถูกต้องแล้ว เพราะในวันก่อนหน้าที่ฉันจะเขียนถึงนาย ฉันได้รู้ว่ามีคนรักฉัน
ขณะที่ย้อนนึกถึงถ้อยคำเหล่านี้ ฉันก็ได้รู้ว่ามันคงจะยากหนักหนาสำหรับฉันเสียแล้วที่จะเล่าเรื่องต่อจนจบได้ การเฝ้าคิดถึงเรื่องความตายของหล่อนจะทรมานฉันเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ความทรงจำเหล่านั้นจะแผดเผาฉัน…แต่ฉันจะพยายามควบคุมตัวเอง ฉันจะวางปากกาลง หรือไม่ก็จะไม่เขียนถ้อยคำพร่ำเพ้อจนเกินไป
ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวว่าฉันรู้ได้อย่างไรว่าเวรารักฉัน ก่อนอื่น ฉันต้องบอกนาย (และนายจะเชื่อฉัน) ว่าจนถึงวันนั้น ฉันไม่เคยสงสัยเรื่องนี้มาก่อนเลย จริงอยู่ที่หล่อนเริ่มมีอาการครุ่นคิดให้เห็นหลายครั้ง ซึ่งหล่อนไม่เคยเป็นเช่นนั้นมาก่อน แต่ฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องนี้จึงเกิดขึ้นกับหล่อน ในที่สุดก็มีวันหนึ่ง วันที่เจ็ดกันยายน วันที่ฉันต้องจดจำจนวันตาย เรื่องมันเกิดขึ้นอย่างนี้ นายก็รู้ว่าฉันรักหล่อนเพียงใด รู้ว่าฉันทุกข์ทรมานเพียงไหน ฉันล่องลอยเหมือนผี ไม่อาจหาที่อยู่อย่างสงบได้ ฉันพยายามจะอยู่บ้านแต่ก็ทนอยู่ไม่ได้ ฉันจึงไปหาหล่อนและได้พบหล่อนอยู่ตามลำพังในห้องนั่งเล่นส่วนตัว พริมคอฟไม่อยู่บ้าน เขาออกไปล่าสัตว์ เมื่อฉันก้าวเข้าไปในห้องของเวรา หล่อนจ้องมองมาที่ฉันนิ่งๆ และไม่ตอบคำทักทายของฉัน หล่อนนั่งอยู่ริมหน้าต่าง บนตักมีหนังสือวางอยู่เล่มหนึ่ง เป็น ‘เฟาสต์’ ของฉันนั่นเอง สีหน้าของหล่อนฉายแววเหนื่อยล้า หล่อนขอให้ฉันอ่านฉากที่เฟาสต์อยู่กับเกรทเชนดังๆ ตอนที่เกรทเชนได้ถามเฟาสต์ว่าเขาเชื่อในพระเจ้าหรือไม่ ฉันรับเอาหนังสือมาและเริ่มอ่าน เวรานั่งเอนศีรษะพิงพนักเก้าอี้ มือวางประสานไว้บนอกและจ้องมองดูฉันด้วยสายตาแน่วนิ่งเหมือนเช่นเคย ฉันไม่รู้ว่าทำไมหัวใจของฉันจึงเกิดเต้นแรงระรัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“คุณทำอะไรกับดิฉันนี่” หล่อนเอ่ยเอื้อน
“อะไรนะครับ” ฉันถามออกมาอย่างงุนงง
“คุณได้ยินถูกต้องแล้วค่ะ คุณทำอะไรกับดิฉันไว้” หล่อนกล่าวซ้ำ
“คุณตั้งใจจะถามว่า” ฉันเอ่ย “ทำไมผมถึงขอให้คุณอ่านหนังสือพวกนี้ใช่ไหม”
หล่อนลุกขึ้นโดยไม่พูดอะไรและเดินจะออกไปจากห้อง ฉันจ้องมองตามไป
เมื่อไปถึงประตู หล่อนหยุดเดินและหันกลับมามองฉัน
“ดิฉันรักคุณ” หล่อนบอก “นั่นคือสิ่งที่คุณได้ทำไว้กับดิฉัน”
เลือดฉีดพุ่งขึ้นสู่หัวของฉัน….
“ดิฉันรักคุณ ดิฉันหลงรักคุณ” เวราย้ำ
หล่อนจากไปและปิดประตูตามหลังด้วย ฉันจะไม่อธิบายกับนายหรอกว่าฉันรู้สึกอย่างไรในตอนนั้น ฉันจำได้ว่าฉันเดินออกไปในสวน เข้าไปในส่วนที่มีต้นไม้หนาทึบที่สุดแล้วก็หยุดนิ่งพิงต้นไม้ต้นหนึ่ง ฉันยืนอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหนไม่ทราบได้ มันเหมือนกับฉันได้หมดสติไป ความรู้สึกเบิกบานใจเข้าท่วมท้นหัวใจของฉันเป็นระลอกคลื่น ระลอกแล้วระลอกเล่า.... ไม่เอา ฉันจะไม่พูดเรื่องนี้ เสียงของพริมคอฟปลุกฉันขึ้นมาจากความมึนงง มีคนไปบอกเขาว่าฉันมาที่นี่ เขาจึงละจากการวิ่งไล่สัตว์ และกลับมาตามล่าฉัน เขาดูประหลาดใจที่เห็นฉันไม่สวมหมวกยืนอยู่คนเดียวในสวนและพาฉันไปที่บ้าน "ภรรยาผมอยู่ในห้องรับแขก" เขาบอก "เราไปหาเธอที่นั่นกันเถอะ" นายเดาไม่ออกหรอกว่าฉันมีความรู้สึกอย่างไรตอนที่ก้าวผ่านประตูเข้าไปในห้องรับแขก เวรากำลังนั่งปักสะดึงอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง ฉันกวาดสายตาที่อำพรางความรู้สึกไว้มองไปที่หล่อนแวบหนึ่ง และฉันไม่ได้เหลือบสายตาขึ้นมาอยู่นานเลยหลังจากนั้น ฉันรู้สึกทึ่งที่เห็นหล่อนดูสงบ ไม่มีความผิดปรกติปรากฏให้เห็นไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือน้ำเสียงของหล่อน ในที่สุดฉันก็รวบรวมจิตใจให้มองดูหล่อน สายตาของเราประสานกัน หล่อนหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยจนแทบไม่สังเกตเห็น แล้วก็โน้มตัวไปที่ผืนผ้าปัก ฉันเริ่มจ้องดูหล่อน หล่อนดูจะสับสนกระวนกระวายอยู่นิดหน่อย มีรอยยิ้มฝืนๆ ปรากฏบนริมฝีปากของหล่อนเป็นครั้งเป็นคราว
พริมคอฟเดินออกไปจากห้อง หล่อนเงยหน้าขึ้นในทันทีและถามฉันด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง
“คุณตั้งใจจะทำอะไรต่อไป”
ฉันอึกอักและรีบตอบด้วยเสียงแผ่วเบาว่า ฉันตั้งใจจะทำหน้าที่ของชายผู้มีเกียรติคือไปเสียจากที่นี่ “เพราะว่า” ฉันกล่าวต่อไป “ผมรักคุณ เวรา นิโคแลฟนา ซึ่งบางทีคุณอาจจะรู้มานานแล้วก็ได้”
“ดิฉันมีเรื่องจะต้องคุยกับคุณค่ะ” หล่อนบอก “พรุ่งนี้ตอนเย็น หลังเวลาน้ำชา มาที่บ้านเล็กของเรา...คุณก็รู้ว่าที่ไหน ที่ที่คุณอ่าน ‘เฟาสต์’ ไงคะ”
หล่อนกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมาด้วยเสียงดังฟังชัด จนแม้ถึงบัดนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจว่า ไม่มีทางที่พริมคอฟซึ่งเดินเข้ามาในห้องตอนนั้นพอดีจะไม่ได้ยินอะไรเลย วันนั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้า เป็นความเชื่องช้าที่แสนเจ็บปวด เวรามองไปรอบๆ ตัวเป็นครั้งคราวด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนหล่อนจะถามตัวเองว่า ‘เราไม่ได้กำลังฝันไปใช่ไหม’ และในเวลาเดียวกันก็บ่งถึงการได้ตัดสินใจไปแล้ว ขณะที่ตัวฉันเองกลับสงบใจไม่ได้ เวรารักฉัน ถ้อยคำนี้วนเวียนอยู่ในใจฉันตลอดเวลาแต่ฉันไม่เข้าใจ ฉันไม่เข้าใจทั้งตัวเองและตัวหล่อน ฉันไม่เชื่อในเรื่องความสุขที่เกินคาด ทำให้จิตใจกระวนกระวายเช่นนี้ ฉันพยายามคิดถึงอดีต ฉันยังมีท่าทางและคำพูดที่เหมือนอยู่ในความฝัน
หลังเวลาน้ำชา ขณะที่ฉันเริ่มคิดแล้วว่าฉันจะแอบออกไปจากบ้านโดยไม่มีคนเห็นได้อย่างไร หล่อนก็ประกาศโพล่งขึ้นมาเองว่าหล่อนต้องการออกไปเดินเล่น และเสนอว่าฉันน่าจะไปเดินเป็นเพื่อนหล่อน ฉันไม่กล้าเริ่มการสนทนา ฉันแทบจะไม่กล้าหายใจด้วยซ้ำ ฉันรอให้หล่อนพูดก่อน ฉันรอคำอธิบาย แต่หล่อนยังคงเงียบอยู่ เราไปถึงเก๋งจีนหลังเล็กโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมา เราก้าวเข้าไปในบ้านอย่างเงียบ ๆ และตรงนั้นนั่นเอง...ซึ่งจนถึงวันนี้ฉันก็ยังไม่รู้ ไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่จู่ๆ เราก็มาอยู่ในอ้อมแขนของกันและกัน พลังที่มองไม่เห็นผลักฉันเข้าไปหาหล่อนและผลักหล่อนให้เข้ามาหาฉัน แสงตะวันยามพลบส่องให้เห็นใบหน้าที่มีปอยผมขมวดเสยไปข้างหลังของหล่อน เปล่งประกายในชั่วนาทีนั้นด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนที่เผลอตัวแย้มออกมา และริมฝีปากของเราหล่อหลอมเข้าด้วยกันในจุมพิต...
จุมพิตครั้งนี้เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย
เวราผงะออกจากอ้อมแขนของฉันในฉับพลัน และซวนเซถอยหลังไป ในดวงตาที่เบิกกว้างฉายแววตระหนก
“มองดูรอบๆ สิ” หล่อนเอ่ยกับฉันด้วยเสียงสั่นรัว "คุณไม่เห็นอะไรเลยหรือคะ"
ฉันหมุนตัวไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว
“ไม่เห็น ไม่มีอะไรนี่ แต่คุณเห็นใครหรือ”
“ตอนนี้ไม่เห็นแล้วค่ะ แต่เมื่อกี้ดิฉันเห็น”
หล่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างช้าๆ
“เห็นใคร เห็นอะไรหรือ”
“แม่ของดิฉัน” หล่อนพูดช้า ๆ ร่างสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
ฉันก็ตัวสั่นด้วยเช่นกัน ราวกับความเย็นยะเยือกเข้ามาเกาะกุม ฉันเกิดตระหนกขึ้นมาในทันที อย่างกับตัวเองเป็นอาชญากร แล้วในตอนนั้นฉันไม่ใช่อาชญากรหรอกหรือ
“พอที” ฉันเอ่ย “คุณเป็นอะไรไปน่ะ บอกผมมาดีกว่า...”
“ไม่นะ เห็นแก่พระเจ้าเถอะ ไม่” หล่อนร้องขัดขึ้น ยกมือขึ้นกุมศีรษะ “นี่มันบ้าชัดๆ ...ฉันคงเป็นบ้าไปแล้ว...นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะมาล้อเล่น...แย่แล้วล่ะ...ลาก่อน...”
ฉันยื่นแขนออกไปหาหล่อน
“อยู่ต่ออีกสักครู่เถอะ เพื่อเห็นแก่พระเจ้า” ฉันร้องออกไปในทันทีโดยไม่ต้องหยุดคิด ฉันไม่รู้จะพูดอะไรและแทบจะทรงตัวยืนอยู่ไม่ได้ “เห็นแก่พระเจ้าเถอะ... ทำอย่างนี้มันโหดร้ายนะ...”
หล่อนมองฉัน
“พรุ่งนี้ค่ะ พรุ่งนี้ตอนเย็นนะคะ” หล่อนบอก “ไม่ใช่วันนี้ ดิฉันขอร้องละ... วันนี้ไปก่อนนะคะ... เย็นวันพรุ่งนี้มาที่ประตูเล็กในสวน ใกล้ทะเลสาบ ดิฉันจะอยู่ที่นั่น ดิฉันจะมา... ดิฉันสัญญาว่าดิฉันจะมา” หล่อนฝืนเอ่ยปากกล่าวต่อไป ดวงตาของหล่อนมีประกายวาบขึ้น “ไม่ว่าจะมีใครพยายามห้ามก็ตาม ดิฉันฉันสาบานค่ะ ดิฉันจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณฟัง ขอเพียงวันนี้ให้ฉันไปก่อนนะคะ”
และก่อนที่ฉันจะทันได้พูดอะไรออกมา หล่อนก็ผละจากไป
ฉันยืนอยู่ตรงนั้นโดยสั่นไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า สมองมึนงง ความรู้สึกปริวิตกคืบแทรกเข้ามาท่ามกลางความยินดีอย่างล้นเหลือที่ท่วมท้นอยู่ในตัวฉัน ฉันเหลียวมองไปรอบๆ ห้องที่ฉันกำลังยืนอยู่มีหลังคาคุ้มเตี้ยและผนังที่มืดรอบด้านทำให้ดูน่ากลัว ฉันเดินออกมาข้างนอกและเร่งฝีเท้าตรงไปที่บ้านหลังใหญ่ เวรายืนรออยู่ที่ลานเฉลียงหน้าตึก ทันทีที่เห็นว่าฉันเดินตามออกมาแล้ว หล่อนก็เข้าไปในบ้านตรงไปที่ห้องนอนในทันที
ฉันจึงจากมา
ฉันอธิบายไม่ได้ว่าฉันใช้เวลาในคืนนั้นและในวันต่อมาจนถึงเวลาเย็นได้อย่างไร ฉันจำได้แต่ว่าฉันได้แต่นอนนิ่งๆ เอาหน้าซุกไว้ในมือ นึกถึงยิ้มของหล่อนก่อนการจุมพิต และกระซิบว่า “สุดท้าย หล่อนก็ยอมพูดจนได้...”
ฉันยังนึกไปถึงถ้อยคำของมาดามเอลท์ซอฟด้วย เวราเล่าให้ฉันฟังว่า มารดาของหล่อนได้พูดกับหล่อนในวันหนึ่งว่า “ลูกเป็นดั่งน้ำแข็ง ตราบที่ยังไม่ละลายก็จะแข็งแรงดุจหินผา แต่เมื่อใดที่ละลายหมดก็จะไม่เหลือร่องรอยของตัวลูกอีกต่อไป”
และอีกเรื่องหนึ่งที่ฉันนึกขึ้นได้ คือตอนที่เวรากับฉันสนทนากันด้วยเรื่องที่ว่าอะไรคือความรู้และอะไรคือความสามารถ
“ดิฉันรู้อยู่อย่างเดียว” หล่อนกล่าว “ว่าดิฉันจะอดทนได้อย่างไรจนกว่าจะถึงขีดสุด”
ในตอนนั้นฉันไม่เข้าใจอะไรเลย
“แต่ว่า หล่อนตกใจกลัวอะไรเล่า” ฉันถามตัวเอง...“หล่อนเห็นมาดามเอลท์ซอฟจริงๆ น่ะหรือ คิดไปเองกระมัง” ฉันคิดแล้วก็ปล่อยตัวให้คิดเดาเรื่องราวไปต่างๆ นานา
ฉันเขียนถึงนายในวันนั้นเอง ด้วยความคิดอย่างไรฉันไม่อยากจะนึกถึง ก็ฉบับที่เสกสรรค์ขึ้นมานั่นแหละ
ในตอนเย็น ก่อนตะวันจะลับขอบฟ้า ฉันยืนอยู่ห่างจากประตูสวนห้าสิบก้าว ท่ามกลางหมู่ไม้สูงที่มีกิ่งก้านเถาวัลย์พันเกี่ยวหนาทึบในบริเวณใกล้ฝั่งทะเลสาบ ฉันเดินมาจากบ้าน ฉันขอสารภาพอย่างน่าอายว่าฉันกลัว มีแต่ความหวาดหวั่นอัดแน่นอยู่เต็มอก ฉันตัวสั่นไม่คลายแต่ไม่ได้รู้สึกเสียใจ ฉันกำบังกายอยู่ในพุ่มไม้ สายตาจับจ้องอยู่ที่ประตูสวน มันไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวเลย ดวงอาทิตย์ลับไปแล้ว ความมืดเข้าครอบคลุม ดวงดาวปรากฏออกมาและท้องฟ้าเริ่มมืดมิด ไม่มีใครปรากฏตัวออกมาเลย ฉันรู้สึกเหมือนเป็นไข้ พอตกค่ำ ฉันก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปและค่อยๆ ออกมาจากซุ้มไม้ คลำทางไปยังประตู ในสวนเงียบสงัด ฉันเรียกชื่อเวราด้วยเสียงกระซิบ ฉันเรียกเป็นครั้งที่สอง ที่สาม... ไม่มีเสียงตอบกลับมา อีกครึ่งชั่วโมงและหนึ่งชั่วโมงผ่านไปจนกระทั่งมืดสนิท ฉันคาดเดาไปต่างๆ นานาจนอ่อนล้า ฉันดึงประตูเข้ามา เปิดออกและย่องราวกับหัวขโมยตรงเข้าไปที่ตัวบ้าน หยุดยืนอยู่ในเงามืดของต้นมะนาว หน้าต่างแทบทุกบานมีแสงไฟสว่างลอดออกมา ผู้คนเคลื่อนไหวไปมาอยู่ในห้องต่างๆ ซึ่งทำให้ฉันประหลาดใจมาก นาฬิกาของฉันเท่าที่มองเห็นด้วยแสงริบหรี่ของดวงดาวบ่งบอกเวลาห้าทุ่มครึ่งแล้ว และทันใดนั้นก็มีเสียงดังกึกก้องมาจากอีกด้านหนึ่งของตัวบ้าน มีรถม้ากำลังวิ่งเข้ามาในลานสนามหน้าบ้าน
“มีแขกมาเยือนแน่แล้ว” ฉันคิด ล้มเลิกความหวังว่าจะได้พบเวรา ฉันเดินกลับออกมาจากสวนและเดินมุ่งกลับบ้านอย่างเร็ว คืนนั้นเป็นคืนข้างแรมในเดือนกันยายน อากาศอุ่นแต่ไม่มีแสงดาวแล้ว ความรู้สึกกึ่งกังวลกึ่งเสียใจที่เกือบจะเข้าครอบงำฉันจางลงไปบ้าง และฉันได้กลับมาถึงบ้านของตัวเองด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการก้าวเดินเร็ว ๆ แต่ก็ผ่อนคลายลงด้วยความสงบเงียบของกลางคืน มีความสุขและแทบจะร่าเริงเลยทีเดียว ฉันเข้าไปในห้องนอน อนุญาตให้ทิมอฟิเยไปพักผ่อนได้ แล้วก็ล้มตัวลงนอนโดยไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากนั้นก็จมอยู่ในความคิดคำนึงอันแสนหวาน
ตอนแรกๆ ความคิดของฉันมีแต่เรื่องที่สำราญใจ แต่แล้วจู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นในตัวฉัน ฉันเริ่มรู้สึกโศกเศร้าเสียใจขึ้นมาอย่างมากโดยไม่รู้สาเหตุ เป็นความไม่สบายใจอย่างลึกๆ อยู่ภายในอย่างอธิบายไม่ได้ ฉันไม่เข้าใจว่ามันเกิดจากอะไร แต่มันทำให้ฉันกลัวและรู้สึกหดหู่เหมือนกับว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับฉัน ราวกับว่าใครบางคนที่เป็นที่รักของฉันกำลังทุกข์ทรมานอยู่ในเวลานั้นและกำลังร้องขอให้ฉันช่วย บนโต๊ะมีเปลวไฟเล็กๆ ที่จุดอยู่ตรงปลายเทียนส่องแสงสงบนิ่งไม่สั่นไหว ลูกตุ้มนาฬิกาแกว่งเป็นจังหวะหนักหน่วงสม่ำเสมอ ฉันเอามือหนุนศีรษะและนั่งจ้องมองไปในความว่างเปล่าที่มีแสงสลัวน้อยนิดภายในห้องอันอ้างว้างของฉัน ฉันคิดถึงเวราและเจ็บปวดหัวใจอยู่ภายใน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันเคยชื่นชมยินดีปรากฏชัดขึ้นในแบบที่ควรจะเป็น เป็นความหายนะ เป็นความสูญสลายที่ไม่มีทางหนีพ้น ความรู้สึกเจ็บปวดยังคงทวีขึ้นในหัวใจ ฉันไม่อาจนอนต่อไปได้ แล้วในฉับพลันนั้น ฉันก็รู้สึกขึ้นมาอีกครั้ง รู้สึกเหมือนกับมีใครกำลังส่งเสียงครวญครางเรียกให้ฉันช่วย ฉันยกศีรษะขึ้น ตัวสั่นสะท้าน ฉันไม่ได้เข้าใจผิด มีเสียงร้องโหยหวนดังมาแต่ไกลและกังวานไหวแผ่วมาหยุดอยู่ที่บานกระจกหน้าต่าง ฉันตื่นตระหนกกระโดดลุกขึ้นจากเตียงถลันไปเปิดหน้าต่าง เสียงครางพุ่งเข้ามาในห้องและดูเหมือนจะล่องลอยอยู่เหนือตัวฉัน ราวกับมีใครถูกเชือดคออยู่ไม่ไกลและมีคนทนทุกข์กำลังคร่ำครวญขอความเมตตาอย่างสิ้นหวัง ตอนนั้นฉันไม่ทันได้คิดว่ามันอาจไม่ใช่นกฮูกส่งเสียงร้องอยู่ในพุ่มไม้หรือว่าเป็นสัตว์ชนิดอื่นที่ส่งเสียงครางอย่างนั้น แต่ก็เฉกเช่นมาเซปปาขานรับคอทชูเบ ฉันส่งเสียงร้องตอบเสียงแห่งโชคร้ายนั้นออกไป
“เวรา เวรา” ฉันร้องออกไป “นายหรือเปล่าที่ร้องเรียกฉัน” ทิมอฟิเยโผล่มายืนอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางง่วงงุนสะลึมสะลือฉันรู้สึกตัว ดื่มน้ำเข้าไปหนึ่งแก้วแล้วเข้าไปอยู่อีกห้องหนึ่งแต่ก็นอนไม่หลับ หัวใจเต้นอย่างเจ็บปวด แม้จะไม่เต้นระรัวก็ตาม ฉันไม่อาจปล่อยใจไปกับความฝัน ความสุข ฉันไม่กล้าเชื่อมั่นในเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว
วันต่อมา ก่อนมื้อค่ำฉันออกไปหาพริมคอฟ เขาออกมาต้อนรับฉันด้วยใบหน้าซูบซีดเป็นกังวล
“ภรรยาของผมไม่สบาย” เขาเอ่ย “เธอนอนอยู่ ผมให้คนไปตามหมอแล้ว”
“เธอเป็นอะไรไป”
“ผมก็ไม่เข้าใจ เมื่อเย็นวานเธอทำท่าว่าจะลงไปในสวน แต่แล้วก็ผลุนผลันกลับเข้ามา ท่าทางตกใจมากจนควบคุมสติไม่ได้ สาวใช้ของเธอวิ่งมาเรียกผม ผมก็รีบออกมาถามเธอว่าเป็นอะไรไป เธอก็ไม่ตอบแล้วก็รีบเข้าไปนอนทันที พอตกดึกก็มีอาการเพ้อ พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงทราบว่าเธอเพ้อถึงอะไรบ้าง เธอเอ่ยชื่อคุณด้วย สาวใช้เล่าเรื่องประหลาดให้ผมฟัง ดูเหมือนว่าเวรอทชกาได้เห็นแม่ของเธอที่เสียชีวิตไปแล้วอยู่ในสวนนั่น คล้ายกับว่าแม่ของเธอเดินอ้าแขนตรงเข้ามาหาเธอ”
นายคงนึกออกว่าฉันรู้สึกอย่างไรที่ได้ยินเช่นนั้น
“ใช่ละ มันเป็นเรื่องเหลวไหล” พรีมคอฟกล่าวต่อไป “แต่ผมต้องยอมรับว่า ได้มีสิ่งที่ผิดสังเกตเกิดขึ้นกับภรรยาของผมจริงๆ ตามนั้น”
“แล้วเวรา นิโคแลฟนาป่วยหนักหรือเปล่า โปรดบอกผมด้วย”
“หนัก อาการของเธอทรุดลงมากเมื่อคืนนี้ ตอนนี้เธอยังไม่รู้สึกตัวเลย”
“แล้วหมอว่าอย่างไรบ้าง”
“เขาบอกว่าสาเหตุของโรคยังไม่ปรากฏชัด”

12 มีนาคม

ฉันไม่อาจเขียนต่อจากที่เริ่มไว้ได้ เพื่อนรัก ฉันต้องใช้ความพยายามในการเขียนมากเหลือเกินและทำให้อาการเจ็บปวดกำเริบเป็นอย่างยิ่ง ตามคำของหมอ อาการของโรคได้ปรากฏชัดแล้ว และทำให้เวราต้องตาย หล่อนมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงสองสัปดาห์หลังจากวันเกิดเหตุที่เราได้พบกันเพียงชั่วครู่ ฉันได้เห็นหล่อนอีกครั้งก่อนที่หล่อนจะสิ้นใจ เป็นความทรงจำอันโหดร้ายที่สุดที่ฉันมี ฉันได้รับทราบจากหมอแล้วว่าไม่มีหวัง ในตอนดึกเมื่อทุกคนในบ้านเข้านอนหมดแล้ว ฉันย่องไปที่ประตูห้องนอนของหล่อนและมองดูหล่อน เวรานอนอยู่ในเตียง ดวงตาปิดสนิท ตัวผอมลีบเล็ก แก้มแดงด้วยพิษไข้ ฉันจ้องดูหล่อนนิ่งงันเหมือนถูกสาปให้เป็นหิน แล้วทันทีนั้นหล่อนก็ลืมตาขึ้นมา จ้องมองมาที่ฉัน เพ่งสายตาเหมือนจะมองให้ชัด แล้วก็ยื่นมือผอมบางออกมา
“เขาต้องการอะไรบนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้น
“ผู้ชายคนนั้น…ผู้ชายทางโน้น…” (เฟาสต์ ภาคหนึ่ง ฉากสุดท้าย) หล่อนเปล่งถ้อยคำชัดเจนด้วยเสียงที่ไม่น่าฟังเลยจริงๆ ทำให้ฉันต้องวิ่งหนีออกมาอย่างเร็ว หล่อนเพ้อถึง "เฟาสต์" ตลอดเวลาที่นอนป่วยอยู่และเพ้อถึงมารดาของหล่อน ซึ่งบางทีเธอก็เรียกชื่อว่า มาร์ธา บางทีก็เรียกว่า แม่ของเกรทเชน
เวราตายไปแล้ว ฉันได้ไปงานศพของหล่อน นับจากวันนั้นเป็นต้นมาฉันก็เลิกสนใจทุกสิ่งทุกอย่าง และได้ตั้งรกรากอยู่ที่นี่ตลอดกาล
ตอนนี้ลองคิดถึงเรื่องที่ฉันบอกนายไปทั้งหมด คิดถึงหล่อน คิดถึงผู้หญิงที่ตายเร็วเกินไปคนนั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร จะอธิบายเกี่ยวกับที่คนตายเข้ามาแทรกแซงความรักของคนเป็นได้อย่างไร ฉันไม่รู้และจะไม่มีวันรู้ แต่นายต้องเห็นด้วยกับฉันว่ามันไม่ใช่เรื่องจิตหลอนที่เกิดตามอารมณ์อย่างที่นายอธิบาย ซึ่งทำให้ฉันปลีกตัวออกจากสังคม ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันคิดเกี่ยวกับผู้หญิงที่ไม่มีความสุขคนนั้นมากมาย (ฉันเกือบจะใช้คำว่า เด็กสาว) เกี่ยวกับชาติกำเนิดของหล่อน การเล่นตลกของโชคชะตาซึ่งเราไม่อาจรู้ได้และมีชีวิตอย่างไม่มีทางเลือก ใครจะรู้ได้ว่าแต่ละคนที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้หว่านเมล็ดพันธุ์ที่จะผุดเกิดขึ้นมาก็ต่อเมื่อหลังจากที่เขาตายไปแล้วไว้มากแค่ไหน ใครจะบอกได้ว่าชะตาชีวิตของคนคน หนึ่งจะไปผูกพันกับชะตาชีวิตของลูกหลานผู้สืบตระกูลของเขาและนำไปสู่จุดจบอันลี้ลับอย่างไร และพลังจิตของเขาจะปรากฏในคนเหล่านั้นได้อย่างไร ความผิดพลาดที่เขาก่อจะมาถึงลูกหลานได้อย่างไร เราทุกคนต้องยอมจำนนต่อสิ่งที่มองไม่เห็น
ใช่ เวราตายไปแล้ว แต่ฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันจำได้ว่าเมื่อยังเด็ก ในบ้านของเรามีแจกันแก้วขาวใสแสนสวยอยู่ใบหนึ่ง ไม่มีรอยตำหนิแม้แต่น้อยนิดบนความขาวบริสุทธ์นั้น วันหนึ่ง ฉันถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง ฉันเริ่มโยกแท่นที่วางแจกัน ทำให้แจกันตกลงบนพื้นและแตกละเอียดในทันที ฉันแทบเป็นลมด้วยความตกใจและยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่หน้ากองเศษแก้ว พ่อเดินเข้ามาในห้องเห็นฉันอยู่ตรงนั้นและพูดขึ้นว่า “ดูซิ ลูกทำอะไรลงไป เราจะไม่มีแจกันสวยอย่างนี้อีก จะซ่อมแซมมันก็ไม่ได้แล้ว” ฉันร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา รู้สึกราวกับว่าได้ก่ออาชญากรรมขึ้นกระนั้น
ฉันเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ และด้วยความไม่ระมัดระวัง ฉันทำแจกันที่มีค่ามากกว่าใบเก่าหลายพันเท่าตกแตก ฉันได้แต่บอกกับตัวเองโดยไม่เกิดประโยชน์อันใดว่าฉันไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุร้ายที่ไม่คาดคิดเช่นนี้ ว่ามันทำให้แม้แต่ตัวฉันเองก็ตกใจในเหตุที่ขึ้นเกิดกะทันหัน ว่าฉันไม่เคยได้สังเกตมาก่อนเลยว่าเวราเป็นคนอย่างไร ว่าหล่อนรู้จริงๆ ว่าจะอดทนจนถึงนาทีสุดท้ายได้อย่างไร ฉันควรจะหนีไปเสียตั้งแต่ที่รู้ตัวว่ารักหล่อน รักผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว แต่ฉันก็ยังอยู่และทำให้สิ่งมีชีวิตที่แสนสวยแตกเป็นเสี่ยงๆ และในตอนนี้ ฉันกำลังจ้องมองดูผลงานของตัวเองด้วยความเงียบงันอย่างสิ้นหวัง ใช่แล้ว มาดามเอลท์ซอฟคอยปกป้องลูกสาวของนางอย่างหวงแหน นางคอยดูแลลูกสาวของตนจนถึงวาระสุดท้าย และในก้าวแรกที่หล่อนพลั้งเผลอ นางก็เอาตัวหล่อนไปสู่หลุมฝังศพเสียด้วยกัน
ถึงเวลาที่ฉันจะต้องจบเรื่องเสียที ฉันไม่ได้ล่ารายละเอียดทั้งหมดให้นายทราบเสียทีเดียว แต่เท่านี้ก็มากพอแล้วสำหรับฉัน ปล่อยให้ทุกอย่างที่พลุ่งขึ้นมาในจิตวิญญาณของฉันกลับจมลงสู่ก้นบึ้งอีกสักครั้ง สุดท้ายนี้ ฉันจะบอกนายว่า จากประสบการณ์ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ทำให้ฉันเกิดความเชื่อว่า ชีวิตไม่เพียงแต่จะไม่ใช่ความรื่นรมย์ ชีวิตนั้นคือภาระหนัก การละปล่อยวางอย่างถาวร นั่นแหละคือความลับของชีวิต คือทางออกของชีวิต มนุษย์ไม่ควรดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อทำให้ความฝันเป็นความจริง หากเพื่อทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ คนเราควรสำนึกในเรื่องนี้ไว้ เมื่อผูกมัดตัวเองไว้ด้วยโซ่ตรวนแห่งหน้าที่ มนุษย์จึงจะบรรลุจุดหมายได้โดยไม่พลาดล้ม แต่ในสมัยที่เรายังเป็นเด็ก เรามักจะคิดว่า ‘ยิ่งมีเสรีภาพมากเท่าไรจะยิ่งดี เราจะได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่’ เด็กๆ เท่านั้นที่จะคิดอย่างนั้นได้ หากมันช่างน่าละอายที่จะปลอบใจตนโดยการหลอกตัวเอง ในเมื่อความจริงอันจริงแท้ก็ปรากฏอยู่ชัดเจนอยู่แล้ว
ลาก่อน ถ้าเป็นแต่ก่อน ฉันคงต่อด้วยคำว่า ‘ขอให้มีความสุข’ แต่ตอนนี้ ฉันขอบอกนายว่า จงใช้ความพยายามในการมีชีวิต มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด คิดถึงฉัน ไม่ใช่ในยามที่รู้สึกเศร้าโศก แต่จงคิดถึงในยามที่นายมีสติ และรักษาภาพของเวราไว้ให้บริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ในใจของนายเสมอ และขอกล่าวอำลาอีกครั้ง ลาก่อน

ทัดสุภา แปล
อธิชา มัญชุนากร บรรณาธิการต้นฉบับ



โดย: จดหมายฉบับที่เก้า (moonfleet ) วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:12:36:45 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

moonfleet
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 25 คน [?]




ไม่มีสิ่งใดจะเกิดขึ้นมาได้ หากไม่เคยเป็นความฝันมาก่อน
New Comments
Friends' blogs
[Add moonfleet's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.