3 กพ 2554 เคารพรักพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตามหาบัวญาณสัมปันโน
บันทึกภาพถ่าย 30มค 2554 - 1กพ 2554 เคารพอาลัยรักองค์หลวงตามหาบัวญาณสัมปันโน
พระราชพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพแด่องค์หลวงตามหาบัวญาณสัมปันโน
โกศโถและพวงมาลาพระราชทานแด่ "พระธรรมวิสุทธิมงคล"
สังขารองค์หลวงตานอนอยู่ในโลงเย็นทางด้านหลังโกศโถพระราชทาน
สถานที่ที่องค์หลวงตาเคยนั่งฉันจังหันและเทศนาเป็นประจำทุกเช้า
ภาพหลวงตาที่คุ้นตาบรรดาศิษย์ รอยยิ้มและอารมณ์ขัน
ประชาชนใส่บาตรขององค์หลวงตาที่พระอาจารย์สุดใจสะพายมา
กุฏิขององค์หลวงตา
บันทึกต่อท้าย หลวงตามหาบัวญาณสัมปันโน เป็นพระอรหันต์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ในชีวิตของข้าพเจ้าได้ทันเกิดมาพบเห็นและเคารพรัก นั่นเพราะท่านฝืนครองสังขารต่ออย่างยาวนานถึง 97 ปี และยังมีเมตตาต่อศิษย์ที่จะดำรงธาตุขันธ์เพื่อเป็นกำลังใจ แรงบันดาลใจ ขวัญตาขวัญใจและร่มโพธิ์ร่มไทรให้แก่ศิษยานุศิษย์ เมื่อมีโอกาสอำนวยข้าพเจ้าจะพยายามรับฟังคำเทศน์ของท่านมิให้ขาดตกบกพร่อง - คำเทศน์ของท่านเหมือนกำลังพูดสอนแก่ข้าพเจ้าเป็นส่วนตัว และเมื่อถามผู้อื่นหลายคนมีความคิดเช่นนั้น ทั้งที่เป็นคนละเรื่องเดียวกัน - ครั้งหนึ่งระหว่างรอทำบุญ ภายหลังท่านเทศน์ ข้าพเจ้ารู้สึกเสียดายปัจจัยบางส่วนที่ก่อนมานั้นได้ตั้งใจมาเต็มที่ แต่ระหว่างรอนั้นมีความคิดเกิดว่า อาจมีความจำเป็นที่อาจต้องใช้ปัจจัยเหล่านั้นในภายหน้า หลวงตาเทศน์ลงกลางใจ ว่าการทำทานนั้นไม่เคยทำให้ใครจนผู้ทำออกเปิดกว้าง ก็เข้ากว้างเนื่องจากทางเข้าออกสะดวก ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามที่ท่านสอน และได้เห็นผลประจักษ์ว่า การทำบุญทำทานนั้นไม่ได้ทำให้ยากจน แต่กลับทำให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น แม้ข้าพเจ้าไม่ได้มีเจตนาทำบุญเพื่อหวังผลกลับคืนก็ตาม - เมื่อหวาดกลัวโจรภัย หรือสิ่งที่จิตสัมผัสได้ หลวงตาเทศนาสอนให้น้อมระลึกถึงคุณของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ท่านสามารถกำจัดปัดเป่าทุกข์และภยันตรายให้แก่เราได้ - เมื่อใส่เครื่องประดับมากมายไปฟังเทศน์ ท่านเทศนาสอนว่าเครื่องประดับบนโลกมนุษย์ที่เห็นวิจิตรนั้น เมื่อเทียบกับเทวบุตร นางฟ้ามีแล้วราวกับก้อนกรวด ความสวยงามเทียบกันไม่ได้ ขออย่าได้ติดหลงเพลิดเพลินไปกับเครื่องประดับของโลกเลย -เมื่อเศร้าสลดใจในจิต ที่หลวงตาชราภาพลงทุกวัน น้อยครั้งที่จะได้อยู่กราบฟังเทศน์ท่านหลายๆวัน ท่านเล่าถึงเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าจะดับขันธปรินิพพานและพระอานนท์เศร้าเสียใจ พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า “ดูก่อนอานนท์ ภิกษุจะพากันหวังอะไรจากเราอีกเล่า เราได้กล่าวธรรมวินัยโดยหมดจดสิ้นเชิง ไม่มีเหลือแล้ว ข้อปฏิบัติอันใด ที่ภิกษุสงฆ์ควรจะรู้เพื่อการลุถึงนิพพานนั้น เรามิได้ปกปิดซ่อนเร้นเหลือเอาไว้แต่ข้อใดเลย เราเป็นผู้หวังดีโดยบริสุทธิ์ใจต่อภิกษุสงฆ์อย่างสิ้นเชิง เราได้กล่าวสอนทุกสิ่งทุกอย่างที่ภิกษุสงฆ์ควรจะรู้ เพื่อการทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ " นั่นหมายความว่า ท่านได้สอนทุกสิ่งทุกอย่างแก่ศิษย์ไปจนหมด ต่อไปเมื่อท่านละสังขารไปแล้วขอให้ยึดถือธรรมและวินัยเป็นใหญ่ เป็นที่พึ่งแทนองค์ท่าน เช่นเดียวกับที่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเคยตรัสแก่พระอานนท์ -เมื่อข้าพเจ้าสงสัยในจิตใจว่ามีความเกี่ยวเนื่องอย่างไรกับองค์ท่านข้าพเจ้าจึงศรัทธาและอยากมากราบมาฟังธรรมของท่านอย่างมาก ท่านเทศน์สอนว่า อย่าสงสัยเลย แต่ละคนที่มารวมกันนี้ ล้วนแต่เคยเกี่ยวเนื่องกันมาไม่เป็นญาติพี่น้อง ลูกหลาน ก็เป็นลูกน้อง กันมาทั้งสิ้น จึงได้มาพบกันอีก - เมื่อข้าพเจ้าจะไปฟังธรรม ข้าพเจ้าระลึกชวนเทพเทวดาให้ไปร่วมรับฟัง ท่านเทศน์สอนว่า เทพเทวาก็มารับฟังเทศน์ แต่ตาเรามองไม่เห็น มีอยู่ทั่วไป ทั้งเปรตผีต่างๆ เมื่อทำบุญเสร็จให้อธิษฐานแบ่งผลบุญให้แก่เขาหล่านั้นด้วย คนใดญาติไม่อธิษฐานแบ่งบุญให้ ก็เสียใจร้องไห้กลับไปก็มี -แม้เพียงตั้งความปรารถนาไว้ในใจว่า อยากรับฟังเรื่องใดท่านก็จะเทศนาเล่าเรื่องเหล่านั้นให้ฟัง เช่น เรื่องราวครูบาอาจารย์ในอดีตในยุคของหลวงปู่มั่น ที่ข้าพเจ้าไม่ทันสมัยท่านดำรงชีวิต หลวงตาก็จะเล่าให้ฟังอย่างเพลิดเพลิน -ไม่ว่าจะตั้งความสงสัยในสิ่งใด หรือ ถ้อยคำใดๆ หลวงตาจะเทศนาเรื่องเหล่านั้นให้ได้รับฟังสมใจปรารถนาอยู่ทุกครั้ง แม้ข้าพเจ้าจะเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ เมื่อกราบและนั่งฟังเทศนาของท่าน จะได้รับความอบอุ่นและความเมตตา เสมือนว่าท่านได้เฝ้ามองถึงจิตใจอยู่ตลอดเวลา เมื่อท่านยังพลกำลังแข็งแรง ท่านมักจะเทศนาให้ได้ฟังอยู่หลายจบ จบเรื่องแล้ว ท่านก็ยังเล่าต่ออีกบางครั้งถึงสามทุ่ม ด้วยความเพลิดเพลินในธรรม -เมื่อข้าพเจ้านั่งเผลอสติ ดูผู้คนที่มาร่วมงานด้วยความสนุกสนาน ท่านกล่าวเตือนสติให้ข้าพเจ้า สนุกดูโลกและดูธรรม ด้วย - ท่านทำให้เกิดปาฏิหาริย์แก่ข้าพเจ้าทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม อย่างไม่สามารถบรรยายในที่นี้ได้ทั้งหมด - ข้าพเจ้ารู้สึกว่าท่านรับทราบและเมตตาแก่ข้าพเจ้าอยู่เสมอ แม้ว่าอาจจะคิดไปเอง แต่เมื่อท่านอาพาธหนักไม่ออกจากกุฏิอยู่หลายวัน ข้าพเจ้าตั้งจิตระลึกว่าจะไปกราบเยี่ยมท่าน เพราะข้าพเจ้าไม่ทราบจะมีโอกาสได้เห็นองค์ท่านอีกหรือไม่ วันนั้น เป็นวันแรกที่ท่านนั่งรถออกมาให้ศิษย์ได้ชมบารมีทุกคนรู้สึกปลื้มปิติ ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าองค์ท่านอาพาธด้วยโรคใด ทราบแต่ว่าท่านอาพาธหนักแล้ว และหมอไม่ให้ท่านฉัน
วันนั้นท่านก็ยังแสดงเป็นตัวอย่างให้ข้าพเจ้าได้เห็นความอดทน ที่ควรทำให้มีเกิดขึ้น ท่านมิได้เป็นกังวลกับอาการอาพาธของท่าน แม้ด้วยวัย และการไม่ได้ฉันเป็นเวลานาน สายน้ำเกลือต่างๆ ท่านก็มิได้แสดงท่าทางเจ็บปวดหรืออ่อนแอให้ได้เห็นเลย สายตาของท่านยังสดใส มีสติอยู่เต็มและมีเมตตา ให้ข้าพเจ้าได้ถ่ายภาพองค์ท่านเป็นที่ระลึกได้ตามที่ต้องการ เพราะครั้งนี้ด้วยคิดว่าข้าพเจ้าคงได้พบท่านเป็นครั้งสุดท้าย หลวงตาท่านคงทราบถึงจิตใจและสบสายตาข้าพเจ้าด้วยความเมตตาในขณะที่ข้าพเจ้าและศิษย์หลายคนน้ำตาไหลด้วยความอาลัยจากใจ แม้เมื่อทราบภายหลังถึงสาเหตุของการอาพาธ ข้าพเจ้ายิ่งอัศจรรย์ในปฏิปทาและจริยาวัตรขององค์ท่าน ข้าพเจ้าไม่แปลกใจ ที่อดีตชาติ ท่านเคยเป็นแม่ทัพนายกองใหญ่ นำกองทัพสู้เพื่ออิสรภาพของชาติ ในชาติสุดท้ายของท่านนี้ท่านจึงสง่างามและกล้าหาญเป็นแบบอย่างตัวอย่างที่ดีแก่บริวารทั้งหลาย และข้าพเจ้ารู้สึกปลื้มปิติที่ได้มีวาสนาเกิดทันพบเห็นและรับฟังคำเทศนาสั่งสอนจากปากท่านด้วยตนเอง นับเป็นมงคลอย่างที่สุดสำหรับชีวิตข้าพเจ้า
Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2554 |
|
3 comments |
Last Update : 30 มกราคม 2565 10:12:17 น. |
Counter : 3800 Pageviews. |
|
|
|