1 2
3 4 5 6 7 8 9
10 11 12 13 14 15 16
17 18 19 20 21 22 23
24 25 26 27 28 29 30
31
ลูกรถไฟ ๑๓ ...สิ้นสุดชีวิต...ลูกรถไฟ ตอนจบ
สิ้นสุดชีวิต...ลูกรถไฟแม่ยังคงค้าขายทางรถไฟติดต่อกันมาอีกหลายปี จนในที่สุดพ่อก็เกษียณราชการ ตอนนั้นไม่ได้เป็นรัฐวิสาหกิจเหมือนในตอนนี้ พวกเราต้องเดือดร้อนอีกครั้งเรื่องที่อยู่เพราะพ่อและแม่ไม่เคยคิดเรื่องซื้อบ้านสำรองไว้เลย โชคดีที่เจ้านายเก่าของพ่อมีบ้านอยู่ในใจกลางเมืองและไม่มีใครอยู่เพราะลูกๆ ไปอยู่ที่กรุงเทพฯ กันหมด ท่านให้ครอบครัวเราไปอยู่ฟรีๆ ไม่ต้องเสียค่าเช่า เพียงแต่ดูแลบ้านให้ท่านก็พอ จำได้ว่าวันสุดท้ายที่ขนของออกมาจากบ้านพักรถไฟ เราต้องร้องไห้อยู่นาน ด้วยความรัก ความอาลัย แม้จะไม่ใช่บ้านแท้ๆ แต่ก็เป็นที่ๆ เติบโตมา มีทั้งสุข ทุกข์ และยังมีเพื่อนๆ ที่รักกันราวกับพี่น้องคลานตามกันมาอีกด้วย ความผูกพันในสถานที่แห่งนี้มีมากกมายเกินกว่าจะบรรยายได้หมดจากความรู้สึกทั้งหมดที่มี รู้เพียงว่า ทั้งชีวิตนี้จะไม่มีวันลืมบ้านห้องแถวหลังนี้แน่นอน เสียดายเหลือเกินที่ภาพที่พี่สาวคนโตได้ถ่ายเอาไว้ หายสาบสูญไปเนื่องจากการย้ายบ้าน และเมื่อพี่สาวแยกครอบครัวออกไปพร้อมกับภาพต่างๆ ไม่อย่างนั้นเราคงมีรูปบ้านเก่าของเรามาลงให้ดูอย่างแน่นอน ต่อไปนี้จะไม่มีคลองหลังบ้าน จะไม่มีการไปเล่นในป่าจับตั๊กแตน เล่นปาลูกไม้ ไม่มีใครจับเราโยนลงไปในน้ำให้กลัวอีก อีกที่คือ ป่าหลังบ้านที่พอไปขุดฝังโกโก้เอาไว้ พวกเราจากลาบ้านหลังนี้กันด้วยความอาลัยจริงๆบ้านใหม่..ใหญ่โตเป็นบ้านไม้แบบโบราณ มี 2 ชั้น เนื้อที่ 2 ไร่กว่าๆ มีน้ำประปา น้ำบาดาลที่หลังบ้าน มีห้องอาบน้ำและสุขาในบ้าน ที่ระเบียงบ้านมีต้นองุ่นปลูกไว้ด้วย ที่สำคัญมีห้องให้ครบเกือบทุกคน ไม่ต้องต่อเติม ต้องแบ่งเหมือนที่เดิม เรายังได้นอนกับพี่คนที่ 5 เหมือนเดิมในห้องนอนที่มีเตียงแยกกัน เป็นห้องที่อยู่บนชั้นที่สองของบ้านติดกับห้องใหญ่ ที่แม่กับพ่อทำเป็นห้องพระ มีเพียงพี่สาวเราอีกคน ที่เอาฟูกไปปูนอนห่างออกไปจากหิ้งพระ ส่วนพ่อ ทุกๆ วันตอนพลบค่ำ พ่อจะอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า เอาผ้าขาวม้าพาดบ่า เดินขึ้นไปไหว้พระสวดมนต์เสียงดัง เพราะพ่อเป็นคนเสียงดังอยู่แล้ว บางวันหากไม่ร้อนมาก พ่อจะถือโอกาสนั่งเล่นตรงระเบียงเล็กๆ ที่ยืนออกไป นั่งมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมา ซึ่งส่วนมากเป็นคนเวียดนามที่เข้ามาอาศัยอยู่ที่อุดรฯ สมัยนั้น และเพราะสาเหตุที่เราเกิดมามีผิวขาวจัด เหมือนคนเวียดนามเมื่อต้องเดินออกไปจากซอย จึงถูกเหมาเอาว่า เราเป็นคนเวียดนามที่อาศัยอยู่ในซอยนี้ไปโดยปริยาย ความแตกต่างอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ พอถึงตอนนี้จากการค้าขายไปๆ มาๆ ระหว่างกรุงเทพฯ-อุดรฯ ที่แม่ยังทำต่ออยู่อีกหลายปี และค่อยๆ ลดลงเพราะอายุที่มากขึ้น อีกอย่างพี่สาว 2 คน เป็นครู พี่ชายทำงานรถไฟต่อจากพ่อ พี่สาวคนที่ 5 และเราเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ในอีกไม่กี่ปีต่อมา น้องเล็กอีก 2 คนเข้าเรียนในโรงเรียนประจำจังหวัด พ่อกับแม่เราเห็นความสำคัญของการศึกษามาก จึงยอมลำบากเพื่อให้ลูก ๆ ได้เล่าเรียนถึงชั้นสูงสุดเท่าที่จะทำได้ และต่อมาแม่ก็ได้เลิกทำอาชีพนี้ อย่างที่เราเล่าไปเมื่อครั้งที่แล้วบ้านหลังใหม่ สร้างความสะดวกสบายให้พวกเราที่ต้องไปโรงเรียนเป็นอย่างมาก เราสามารถเดินไปโรงเรียนได้โดยไม่ต้องขึ้นรถเมล์เหมือนแต่ก่อน มีทั้งรถสองแถวที่วิ่งผ่านไปมา ห้องแถวหน้าบ้านอีกฝั่งของถนน เป็นห้องแถวยาวๆ บางครั้งเป็นตึกแถวบ้าง คนเวียดนามที่อาศัยอยู่ในซอยนี้ ผู้คนมักจะเรียกว่า คนญวน หรือ เรียกแบบภาษาพูดว่า แกว เราเองก็ถูกพ่อเรียกว่า แกวเช่นกัน ปกติตอนตีสาม เป็นเวลาที่ทุกคนต่างหลับใหล แต่คนญวนหน้าบ้านกลับตื่นมาทำลูกชิ้น หมูยอ ไว้ขายตอนเช้า เสียงเพลงภาษาญี่ปุ่นที่เปิดดังลั่นทำให้บางครั้งเราตื่นลุกขึ้นมาส่องหน้าต่างดู ช่างขยันกันจริงๆ ตลอดระยะเวลาที่เราอาศัยอยู่ที่นั่น มีเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องตื่นเต้นกันที่สุดในชีวิตคือ บริเวณห้องแถวรอบๆ บ้านเราซึ่งเป็นที่อยู่ของคนญวนเกิดเพลิงลุกไหม้ขึ้นกลางดึก เสียงพูด เสียงตะโกน วิ่งหาน้ำมารดกันอย่างน่าตกใจ บ้านของเราตั้งอยู่ตรงกลางท่ามกลางห้องแถวที่กำลังไหม้ เสียงรถไซเลน รถน้ำวิ่งเข้าออกเพื่อมารดน้ำดับไฟดังก้องกังวานไปทั่วซอย โชคดีมากที่ช่วงนั้นพี่สาวเราเข้าทำงานกับกรมทหาร จึงมีรถทหารที่มีทหารนั่งมาด้วยมากมายมาช่วยกันสาดน้ำ โคลน ที่อยู่หน้าบ้าน เข้าใส่ตัวบ้านเพื่อไม่ให้ไฟลุกไหม้ พี่สาวเราคนที่ห้า ยกตู้เย็นขนาด ๗ คิวคนเดียวออกไปวางไว้ที่ลานบ้านโดยไม่รู้ตัวว่าทำได้อย่างไร จนเมื่อไฟดับจึงมารู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัวและแขน เพราะยกของหนัก พวกเราต่างขวัญหนีดีฝ่อกันไปหมด บ้านห้องแถวรายรอบถูกเพลิงไหม้ไปจนเกือบหมด ปาฏิหาริย์แท้ๆ ที่บ้านเรารอดมาได้โดยไม่ถูกไฟไหม้เหมือนบ้านหลังอื่น จากนั้นแม่กับพ่อจึงนิมนต์พระมาทำพิธี ทำบุญบ้านครั้งใหญ่ และที่บ้านหลังนี้ เรามีลูกหมาที่มีคนเอามาให้เลี้ยงอีกสองตัว ทำให้หายคิดถึงโกโก้ไปได้ ส่วนจูดี้ กลายเป็นหมารุ่นพี่ ที่คอยดูแลน้องๆ สองตัว และคอยเฝ้าระวังอาหารไม่ให้น้องหมามาดม ก่อนที่พวกเราจะกิน และที่นี่เอง ที่จูดี้วิ่งออกไปหน้าบ้านโดยไม่มีใครเห็นและถูกรถชนจนตายไปอีกตัว ท่ามกลางความเศร้าโศกของพวกเราอีกครั้งชีวิตของเรา...ลูกรถไฟ ได้จบสิ้นลงอย่างถาวรในที่สุด แต่หลังจากนั้นเวลาที่พวกเราต้องไปกรุงเทพฯ ก็ยังคงไปใช้บริการรถไฟอยู่เสมอ แม้ว่าจะไม่ได้ใช้ใบเบิกทาง ไม่ได้ใช้สิทธิ์ของการเป็นลุกพนักงานรถไฟเหมือนเมื่อก่อน คนที่ทำงานรุ่นเก่าๆ จะยังจำพวกเราได้และทักทายอย่างดีใจที่เห็นลูกหลานไปขึ้นรถไฟ ต่อมาเมื่อมีรถทัวร์ที่ให้บริการและสะดวกมากขึ้น บางครั้งเราก็ใช้บริการรถทัวร์เช่นกัน แต่ความรู้สึกผูกพันนั้นดูจะมีมากกับรถไฟ พี่ชายของเราเมื่อครั้งยังรุ่นหนุ่ม เมื่อกลับมาบ้าน เขามักจะออกไปช่วยพ่อทำงาน และวาดภาพรถไฟได้อย่างไม่มีที่ติ ต่อมาจนถึงลูกชายของเขาที่สามารถวาด และลงรายละเอียดได้อย่างน่าทึ่งเช่นกัน หากจะเรียกว่า เชื้อไม่ทิ้งแถว ตามคำโบราณคงไม่ผิด หลายครั้งในวันแม่ เราเห็นคนแก่ๆ หลายคนได้รับเหรียญตราคุณแม่ดีเด่น เราอดคิดไม่ได้ว่าแล้วแม่เราเล่า ...ลูก 8 คน ทุกคนได้รับการศึกษาสูงสุดเท่าที่ตนเองจะเรียนได้ กับการทำงานอย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยทั้งกาย และใจ ของทั้ง 2 ท่านที่ เราอยากบอกกับทุกๆ คนว่าแม่เราก็สมควรที่จะได้รับเหรียญตราเช่นกัน แต่ความภูมิใจของทั้งสองท่านที่อดทนเพื่อให้ลูกทุกคนได้เล่าเรียน เพื่อจะได้ช่วยเหลือตนเองได้ในวันข้างหน้าคือสิ่งที่ท่านต้องการมากกว่าเหรียญตราใด ๆวันคืนเก่าๆ หวนคืนกลับมา เมื่อครั้งที่เราเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย และโดยสารรถไฟกลับบ้าน เวลาปิดเทอม ได้แต่มองบ้านหลังเก่าที่เคยอยู่ ได้ย้อนคิดถึงอดีตที่ผ่านมา “ อ้าว....กลับบ้านอีกแล้วเหรอ “ เสียงถาม จากพนักงานตรวจตั๋วดังขึ้นไม่ห่างนัก “ รู้จักน้องเขาด้วยเหรอพี่ “ อีกเสียงที่ถามตามมา “ ทำไมจะไม่รู้จัก พ่อ กับพี่ชายเขาก็ทำงานรถไฟเหมือนกัน คนกันเองแท้ ๆ “ เสียงของคนเดิมตอบออกไป “ อ๋อ...ที่แท้ก็ ลูกรถไฟ..นี่เอง “ จบบริบูรณ์หมายเหตุ ไม้หมอน คือไม้ที่ใช้รองเหล็กรางรถไฟสำหรับรับน้ำหนักเวลารถวิ่ง สมัยก่อนป่าไม้ในเมืองไทยมีมาก ไม้ที่ใช้เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีความแข็งแรงทนทาน บางครั้งเมื่อเสื่อมสภาพ พนักงานบำรุงทางฯ จะไปเปลี่ยนออกแล้วใช้ไม้หมอนใหม่รองแทน แต่ก่อนทุกสถานีรถไฟจะมีไม้หมอนวางซ้อนกันเป็นชั้นๆ อยู่เป็นระยะๆ เพื่อใช้เปลี่ยนกับไม้เก่าที่ผุแล้ว แต่สมัยนี้เปลี่ยนเป็นแท่งซิเมนต์แทนเพราะใช้งานได้นานและไม่มีการเปลี่ยนสภาพเมื่อใช้เป็นเวลานาน อีกอย่างเพื่อเป็นการอนุรักษ์ป่าไม้ที่นับวันจะหดหายไปกับการทำลายป่าแม่บุญเคยกลับไปดูบ้านหลังเก่า หลังจากมาอยู่ต่างแดน เมื่อกลับไป แม่บุญแทบจะจำบ้านเก่าไม่ได้ เพราะมันเปลี่ยนแปลงไปหมด จะเหลือเพียงเลขที่บ้านที่บอกว่า เป็นบ้านที่เราเคยอยู่เท่านั้นเอง อย่างไรก็ตามความทรงจำดีๆ ที่ยังคงอยู่ในใจของแม่บุญนั้น เหนือกว่าภาพที่เห็นข้างหน้า แม่บุญเดินจากมาด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ท่ามกลางสายตาของคนที่อาศัยอยู่ตอนนี้ และชีวิตใหม่ในตอนนี้ของแม่บุญ ดูเหมือนจะวนเวียนไม่ห่างจากอดีตเมื่อครั้งยังเด็ก เพราะมิเชลมาซื้อบ้านหลังเล็กๆ อยู่ไกลจากเมืองหลวง และบ้านน้อยหลังนี้ยังอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟซึ่งเดินไปถึงภายในไม่ถึง ๕ นาที แม่บุญจะได้เห็น ได้ยินเสียงรถไฟที่วิ่งผ่านบ้านแทบทั้งวัน แต่ไม่ได้รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด กลับรู้สึกเหมือนเมื่อครั้งที่อยู่บ้านหลังเดิม คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ คิดถึงผู้คนที่รู้จัก และได้เล่าให้สามีฟังอย่างมีความสุขทุกครั้ง ...ยังไง แม่บุญก็ไม่ห่างจากการเป็น...ลูกรถไฟ..ตลอดไป. กราบขอบพระคุณทุกๆ ท่าน ที่เข้ามาอ่าน มาให้กำลังแม่บุญ ในการเขียนบันทึกเรื่องราวเมื่อครั้งยังเด็ก จนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ความดีใดๆ ที่จะปรากฏขึ้นเพราะเรื่องราวเหล่านี้ ขอให้กลับกลายเป็นบุญ กุศล ให้ดวงวิญญาณของแม่และพ่อ ได้รับและได้ไปสู่สุคติด้วยเทอญ กราบแทบเท้าของทั้งสองท่านด้วยความรักยิ่งชีวิต แม่บุญ
Create Date : 06 พฤษภาคม 2558
46 comments
Last Update : 30 กันยายน 2563 12:27:32 น.
Counter : 5280 Pageviews.
โดย: พรหมญาณี 6 พฤษภาคม 2558 11:25:45 น.
โดย: phunsud 6 พฤษภาคม 2558 11:47:33 น.
โดย: เนินน้ำ 6 พฤษภาคม 2558 12:02:34 น.
โดย: อุ้มสี 6 พฤษภาคม 2558 16:09:07 น.
โดย: พิรุณร่ำ 6 พฤษภาคม 2558 18:32:50 น.
โดย: ก้อนเงิน 6 พฤษภาคม 2558 20:02:55 น.
โดย: กาบริเอล 8 พฤษภาคม 2558 10:16:17 น.
โดย: ก้อนเงิน 9 พฤษภาคม 2558 14:12:59 น.
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) 9 พฤษภาคม 2558 17:13:05 น.
โดย: เนินน้ำ 10 พฤษภาคม 2558 1:10:14 น.
โดย: ก้อนเงิน 11 พฤษภาคม 2558 19:41:25 น.
โดย: เนินน้ำ 11 พฤษภาคม 2558 21:17:59 น.
โดย: พรหมญาณี 11 พฤษภาคม 2558 22:53:49 น.
โดย: ก้อนเงิน 14 พฤษภาคม 2558 21:50:45 น.
โดย: ตรี IP: 106.0.199.224 18 พฤษภาคม 2558 15:38:54 น.
โดย: sawkitty 18 พฤษภาคม 2558 17:43:25 น.
โดย: พรหมญาณี 21 พฤษภาคม 2558 12:23:12 น.
โดย: พรหมญาณี 23 พฤษภาคม 2558 14:06:19 น.
โดย: ก้อนเงิน 24 พฤษภาคม 2558 16:08:49 น.
โดย: พรหมญาณี 27 พฤษภาคม 2558 15:41:29 น.
โดย: พรหมญาณี 30 พฤษภาคม 2558 11:51:02 น.
โดย: Kluaytub 30 พฤษภาคม 2558 16:27:14 น.
โดย: ก้อนเงิน 1 มิถุนายน 2558 14:32:07 น.
โดย: ZHEZAN1 IP: 124.122.211.79 5 มิถุนายน 2558 11:09:21 น.
Location :
กรุงเทพฯ Belgium
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 87 คน [? ]
แม่บุญ..เป็นหญิงไทยอายุเลยวัยรุ่นไปไกล จับพลัดจับพลูได้สามีเป็นฝรั่งแล้วก็หอบผ้าตามกันไปอยู่เมืองนอกเมืองนา พอได้เวลาหยุดงานก็กระเตงกันไปเที่ยวตามประสาตายาย ไม่มีลูกกวนตัวกวนใจ แม่บุญนั้นชอบเขียน ชอบเล่า ชอบถ่ายรูป เป็นที่สุด จะเก็บไว้คนเดียวก็กระไรอยู่ เอามาแบ่งบันกันให้ลูก ๆ หลาน ๆ ได้อ่าน ได้ดูกันดีกว่า ส่วนฝีมือด้านอื่น ๆ นั้นก็พอจะมีอยู่บ้าง เช่น ทำอาหาร ก็เอามาแบ่งปันกันอีกนั่นแหละ ค่อย ๆ รู้จักกันไป รู้จักกันแล้วก็อย่าลืมเข้ามาคุยกันนะ ปล....รูปภาพต่าง ๆ หากต้องการนำไปใช้ช่วยบอกที่มาที่ไปด้วยนะคะ เป็นการให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งสังคมไทยเราค่อนข้างมองข้ามในเรื่องนี้ค่ะ
พอดีพิมพ์ไปไม่เห็นตัวอักษร เห็นเลือนลางคล้ายกับ
ลายน้ำ (ในกล่องคอมเม้นท์)
งั้นโหวต
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
Sweet_pills Food Blog ดู Blog
Maeboon Diarist ดู Blog