...คิดว่ายังมีความหวัง ตราบที่ยังมีลมหายใจ...
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2550
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
21 สิงหาคม 2550
 
All Blogs
 
เมืองเทวดา ๖



เมืองเทวดา


เมื่อมาถึงบ้าน อดีตนายอำเภอสั่งคนของตนว่า “สน เยี่ยม สิน… ไปหากล้วยอ้อยในสวนมาต้อนรับแขกบ้างซิ” แต่อดีตปลัดอำเภอที่กลายมาเป็นราษฎรเต็มขั้นพูดว่า

“ผมว่าไม่ต้องหรอกครับ ตอนนี้ที่นี่ไม่ใช่หน้าผลไม้ แต่ที่เชียงรายลำไยพอมี ผมเลยเอาลำไยมาฝากท่านนิด หน่อย อ่อนกับชัชไปยกลำไยที่ท้ายรถมาซิ”

อ่อนกับชัชจึงเดินไปที่รถ เปิดประตูหลังแล้วก็แบกลังลำไยลังย่อม ๆ มาคนละใบ ส่วนนายสน นายเยี่ยม และนายสิน ต่างรีบแยกตัวไปทำตามคำสั่งของเจ้าของบ้าน เหลือคนในบ้านที่เป็นชายหนุ่มอายุราว ๒๐ ปีเศษอยู่คนเดียว คุณเกียรติศักดิ์สั่งชายหนุ่มคนนั้นว่า

“แก่นไปหาน้ำท่ามาให้แขกดื่มหน่อยซี”

“ครับผม” นายแก่นโค้งคำนับ แล้วรีบไปที่โอ่งข้าง ๆ บ้าน ส่วนอดีตนายอำเภอหันมาพูดกับอดีตปลัดอำเภอ ผู้เคยเป็นลูกน้องของตนว่า

“เราขึ้นไปนั่งคุยกันข้างบนเรือนดีกว่า” และหันมาพูดกับเด็กชายหน้าตาน่ารัก ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จิราพัชรผู้เป็นแม่ และท่านรู้สึกรักเหมือนหลานในไส้ จึงย่อตัวลงจับมือเด็กชายและถามว่า

“เรียนชั้นไหนแล้วลูก?”

“อนุบาล ๑ ฮับ”

“งั้นก็อ่านหนังสือออกบ้างแล้วซี”

“อ่านได้เป็นบางคำฮับ”

“ชอบอ่านการ์ตูนไหม? ที่บนบ้านตามีการ์ตูน น้าแก่นเขาชอบซื้อมาอ่าน” คุณเกียรติศักดิ์ หมายถึงหนุ่มคนสวนที่ท่านให้ไปหาน้ำหาท่ามารับแขก

“ชอบฮับ” เด็กชายพูด

“งั้น ขึ้นไปอ่านการ์ตูนกัน”

เด็กชายพยักหน้าตกลง คุณเกียรติศักดิ์ จึงจูงมือเด็กชายจอมภพ พาเดินขึ้นบันไดบ้านไปก่อน ส่วนสองสามีและภรรยาต่างพากันตื่นตาตื่นใจกับบ้านไม้เรือนไทย จึงได้แต่มองไปทั่ว ๆ บ้านและบริเวณ


ช่วงแรกของบันไดบ้านสร้างขนานไว้กับนอกชาน แต่พอขึ้นไป ๓ ขั้นก็เป็นตะพัก แล้วบันไดก็หักมุมซ้ายขึ้นไปอีก ๕ ขั้น พอถึงขั้นสุดท้ายก็ผ่านประตูมีซุ้มหลังคาทรงไทยอยู่ด้านบน บานประตู ๒ บานติดห่วงโซ่ ๒ ห่วงซ้ายขวา เป็นรูปหน้าสิงโต ทำด้วยโลหะสีทอง

แต่ประตูปิดงับไว้เฉยๆ ไม่ได้ใช้กุญแจล็อค เมื่อเจ้าของบ้านผลักเบา ๆ มันจึงเปิดออก เด็กชายสนใจรูปหัวสิงโตจึงหยุดยืนดู พอพ้นประตูก็เป็นพื้นนอกชาน ถัดจากพื้นนอกชานมียกพื้นสูงขึ้น ๔๐ ซม.เป็นระเบียงที่นั่งเล่น จะนั่งห้อยขาหรือนั่งขัดสมาธิก็ได้แล้วแต่ถนัด

ส่วนที่เป็นนอกชาน มีรั้วกั้นโดยรอบ ไม่ต้องกลัวเด็ก ๆ ตกลงไป อดีตปลัดบุญฤทธิ์และจิราพัชรเดินผ่านนอกชาน จิราพัชรเห็นรอยน้ำฝนกัดเซาะพื้นไม้แผ่นกระดานนอกชาน แต่แผ่นกระดานระเบียงที่อยู่ใต้หลังคาคลุม พื้นไม้ยังดูเป็นมันแวววับ จึงปรารภขึ้นกลาย ๆ ว่า

“พื้นที่นอกชานนี่โดนแดดโดนฝน นาน ๆ จะผุไหมคะ”

อดีตนายอำเภอตอบว่า “นอกชานจำเป็นต้องให้โดนแดดโดนฝน เพราะถ้าไปมุงหลังคาเสียหมดอากาศจะไม่โปร่ง บ้านแบบเรือนไทยต้องการอากาศ ที่ถ่ายเทสะดวก จึงต้องแยกเป็นส่วน ๆ ที่จำเป็นต้องโดนฝนบ้างก็ต้องปล่อยให้โดน”

“นี่ถ้าเป็นบ้านตึกพื้นปูน ตากแดดตากฝนยังไงไม่มีปัญหาเลย” อดีตปลัดอำเภอเสริม

“ใช่ บ้านตึก พื้นปูน ไม่มีปัญหา การก่อสร้างก็ไม่ลำบาก แต่อาคารตึกมันเก็บความร้อน ทำให้คนที่อยู่เป็นโรคภูมิแพ้ แต่เรือนไทยอากาศภายในภายนอกจะกลมกลืนกันตลอด นี่ตอนสร้างอาต้องไปหาช่างถึงอยุธยามาสร้าง”

เจ้าของบ้านพูดแล้วเดินนำหน้าไปนั่งขัดสมาธิ ลงที่ระเบียงหน้าห้องบนพื้นไม้ซึ่งขัดมันไว้เป็นเงาแวววาว อดีตปลัดบุญฤทธิ์ แสงเพชร เดินไปนั่งห้อยขาเอียงตัวเข้าหาเจ้าของบ้าน จิราพัชรนั่งพับเพียบแต่ห้อยขาข้างหนึ่งลงเหยียบพื้นนอกชาน หันหน้าไปทางสามี เด็กชายจอมภพไปนั่งคุกเข่าลงบนพื้นนอกชาน ข้าง ๆ ผู้เป็นแม่ สองมือเท้ากับขอบระเบียง

อดีตปลัดบุญฤทธิ์และจิราพัชรยังสนใจสภาพของเรือนไทย และสังเกตเห็นว่าเรือนไทยประกอบด้วย ๓ ส่วน คือนอกชาน ระเบียง แล้วก็ตัวเรือน ตัวเรือนมี ๒ หลังสร้างแบบแยกส่วน ให้อีกหลังเป็นเรือนขวาง หลังแรกกับหลังที่สองทำมุม ๙๐ องศา ในตัวเรือนแต่ละหลัง มีห้องต่างๆ ไม่น้อยกว่า ๔ ห้อง

“ท่านทำไว้เผื่อพวกน้อง ๆ มาอยู่ใช่ไหมครับนี่?” อดีตปลัดอำเภอถาม และเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้ถามถึงครอบครัวของท่านเจ้าของบ้าน แม้จะรู้ว่าลูก ๆ ของอดีตจ้าวนายพากันไปเรียนหนังสืออยู่ในกรุงเทพฯ

อดีตนายอำเภอตอบว่า “ใช่…อาทำไว้เผื่อลูก ๆ แต่ไม่ได้หวังว่าจะให้เขามาอยู่ด้วยหรอก เพราะเขาอาจจะไม่มาอยู่ก็ได้… ที่นี่มันไม่มีเทคโนโลยี ไม่มีไฟฟ้า ต้องใช้ตะเกียง… แต่ถ้าเขามากันอามีที่ทางให้เขาพัก พอเขาไม่มาเราก็ปิดไว้เฉย ๆ…”

“อ๋อ ท่านหมายถึงเรือนหลังเล็ก ๆ ข้างล่าง” อดีตปลัดอำเภอพูด

“ใช่ หลังน้อย ๆ ข้างล่างนั่น อาสร้างไว้เผื่อเพื่อน ๆ ของลูกมา เด็ก ๆ เขาจะชอบพักในเรือนเป็นหลัง ๆ แบบนั้น เขาไม่ชอบมานั่งคุยกับคนแก่บนนี้หรอก แต่สำหรับคณะของบุญฤทธิ์ พักห้องบนนี้แหละ เดี๋ยวอาจะให้คนจัดให้ จะได้คุยได้ปรึกษาอะไรกันสะดวกหน่อย”

“สมัยโบราณคนไทยจะอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ เรือนไทยจึงมักมีหลายหลัง หลายห้อง แล้วเชื่อมต่อกันด้วยนอกชาน” อดีตปลัดบุญฤทธิ์พูดกับภรรยา

จิราพัชร จึงพูดว่า “หนูอยากมีบ้านเรือนไทยแบบของอาเกียรติ ทำอย่างไรจึงจะมีกับเขาสักหลัง…”

“ก็ ไม่เห็นยากอะไรนี่ ทางโน้นไม้หาไม่ยากไม่ใช่หรือ?”
อดีตปลัดอำเภอบุญฤทธิ์พูดว่า “ก็ยังหายากอยู่ครับ แต่ถ้าสร้างแบบไม้ไผ่หลังคามุงจากละก็ง่าย”

“ที่นี่ อาสร้างตั้งแต่เข้ามาอยู่ปีแรก ตอนนั้นไม้ใหญ่ ๆ มีมาก มาตอนนี้ที่เห็นส่วนหนึ่งเป็นไม้ปลูกใหม่ ที่ยังโตไม่ได้ขนาด”

พอดีอ่อนกับชัชยกลังลำไยมาวางลงตรงกลาง ระหว่างอดีตนายอำเภอ อดีตปลัดอำเภอและจิราพัชร ส่วนนายแก่นยกคนโทใส่น้ำฝนกับถ้วยดินเผา ๕-๖ ใบใส่ถาดไม้มาวางลงตาม อดีตนายอำเภอสั่งคนของตนต่อไปว่า

“แก่นมีหนังสือการ์ตูนไม่ใช่เรอะ ไปหยิบมาให้หลานฉันอ่านหน่อยซิ”
นายแก่นก้มศีรษะรับแล้วก็เดินเข้าไปในห้อง ๆ หนึ่งของเรือนไทยหลังแรก
ส่วนอ่อนกับชัชมาทรุดนั่งพับเพียบลงข้าง ๆ เด็กชาย อดีตนายอำเภอจึงท้วงขึ้น

“อ้าว! อ่อน ชัช ทำไมนั่งที่นั่นล่ะ นั่งบนระเบียงนี่ซี”

“ไม่เป็นไรครับ นั่งตรงนี้ก็สบายดี”
ส่วนนายแก่นหยิบหนังสือการ์ตูน มานั่งคุกเข่าและวางลงบนพื้นข้าง ๆ เด็กชาย ๑๐ กว่าเล่ม ก่อนลุกยืนย่อตัวต่ำและทำท่าจะถอยออกไป แต่อดีตนายอำเภอเรียกไว้ และส่งลำไยพวงใหญ่ให้พลางพูด…

“ลำไยนอกฤดู มาจากสวนของคุณบุญฤทธิ์ที่เชียงราย แก่นเอาไปให้พวกที่อยู่ข้างล่างกินด้วย”

นายแก่นรับลำไยแล้วพาเดินลงเรือนหายไป อดีตนายอำเภอพูดกับอ่อนและชัช ซึ่งกำลังนั่งเปิดหนังสือการ์ตูน ข้าง ๆ เด็กชายจอมภพว่า

“เลือกนั่งกันตามสบายนะลูก ถ้าไม่ชอบตรงนี้ตรงโน้นมีม้านั่ง” เจ้าของบ้านชี้ไปที่ระเบียงด้านตะวันออกของตัวบ้าน ที่อยู่หน้าเรือนไทยหลังแรกและพูดว่า

“อาให้ช่างทำไว้นั่งชมวิวตอนเช้า ๆ” แล้วชี้กลับมาที่อีกด้านตรงข้าม “ด้านนี้ทำไว้นั่งชมพระอาทิตย์ตอนเย็น ๆ ส่วนตรงนี้ทำไว้สำหรับนั่งนอนตอนเที่ยงๆ” ซึ่งหมายถึงบนระเบียงหน้าห้องที่ท่านนั่ง แล้วหัวเราะ

อ่อนกับชัชและเด็กชายจอมภพ นั่งกันกับพื้นอยู่ได้ไม่นานนัก จึงลุกเดินไปยืนเกาะราวระเบียง ด้านที่เจ้าของบ้านบอก ‘ทำไว้ชมพระอาทิตย์ตอนเช้า’ แต่ตอนนั้นเพิ่งบ่าย ทว่าเมื่อมองจากเรือนไทยลงไปข้างล่าง ทำให้เห็นทัศนียภาพกว้างไกล ภูมิทัศน์รอบบ้านสวยงามจึงพากันยืนมองเพลิน

“ที่นี่เราอยู่กับธรรมชาติ ดื่มน้ำฝน อาบน้ำในลำธาร ใช้ตะเกียง ไม่มีตู้เย็นไม่มีโทรทัศน์ พัดลม เพราะไม่มีไฟฟ้า” อดีตนายอำเภอพูดอีก

อดีตปลัดอำเภอมองเจ้าของบ้านแล้วชมว่า “ดูท่านมีสุขภาพดีกว่าเดิมมากนะครับ”
อดีตนายอำเภอตอบปนหัวเราะว่า “คงเพราะได้พักผ่อนเต็มที่ ไม่ต้องแบกยศและตำแหน่งไว้กระมัง ว่าแต่คุณทั้งสองคนก็ดูดีกว่าเดิมมากเหมือนกันนะ แคล่วคล่องแล้วก็กระฉับกระเฉง”

ทั้งเจ้าบ้านและแขกจึงกลายเป็นผลัดกันชม เคล้าด้วยเสียงหัวเราะตามหลัง ขณะที่จิราพัชร ขอเข้าห้องน้ำ ซึ่งอดีตนายอำเภอเจ้าของบ้าน ชี้ไปที่มุมระหว่างเรือนไทย ๒ หลัง

ระว่างที่ไปห้องน้ำ จิราพัชรได้สังเกตเห็นว่า บ้านหลังนี้แม้จะเป็นบ้านแบบเรือนไทย แต่ก็ถูกดัดแปลงให้เหมาะกับยุคสมัย คือทำห้องน้ำและห้องส้วมไว้ข้างบน มีโถชักโครกแบบนั่งห้อยขาและใช้เครื่องสุขภัณฑ์อย่างดี น้ำที่ใช้เป็นน้ำที่ต่อท่อมาจากถังประปาริมลำธาร ส่วนน้ำดื่มเธอเห็นแล้วว่าเป็นน้ำฝนจากรางติดชายคา ไหลลงไปเก็บกักไว้ในโอ่งใบใหญ่ ๆ จำนวนมากที่วางรับน้ำฝนไว้เกือบรอบบ้าน

และเมื่อเธอกลับมานั่งที่เดิม นายสนและนายเยี่ยมคนสวนของเจ้าของบ้าน ก็เดินขึ้นบันไดมาพร้อมด้วยผลไม้ ๒-๓ ชนิด ในถาดที่นายสนถือมีผลไม้คล้าย ๆ ระกำ สีแดงคล้ำ และกล้วย ทั้งกล้วยหอมและกล้วยน้ำว้า ในถาดที่นายเยี่ยมถือมีสับปะรด และส้มโอที่ปอกมาเรียบร้อย จิราพัชรสนใจผลไม้คล้าย ๆ ระกำเป็นลำดับแรก จึงถามว่า

“นั่นระกำหวานหรือคะ”

นายสนตอบว่า “ไม่ใช่ระกำครับเป็นสละ รสหวานครับแต่อาจจะมีเปรี้ยวบ้างนิด ๆ”

“โอ…ของชอบเลยหละ” จิราพัชรพูด ทั้ง ๒ คนจึงวางถาดลงบนระเบียง

จิราพัชรหันไปเรียกลูกชายกับสองหนุ่มพี่เลี้ยงน้อง “พี่อ่อน ชัช ลูกจอม… มากินผลไม้กันเร็ว”

ทั้งสองหนุ่มและหนึ่งหนูน้อยจึงกลับมานั่งที่เดิม หลังจากเห็นผู้เป็นแขกกินกันเพลิน อดีตนายอำเภอพูดว่า

“อาเดาไว้แล้วว่าหนูจิราพัชรน่าจะชอบพวกส้ม หวาน ๆ เปรี้ยว ๆ” และหันไปออกคำสั่งกับนายสนและนายเยี่ยม ที่ยังนั่งคุกเข่ารอคำสั่งอยู่ว่า

“พวกเธอทั้งสองคน เอาลำไยนี่ไปกินซี แล้วก็ไปช่วยกันเตรียม หุงหาอาหารมื้อเย็นได้แล้ว”

แต่ทั้งสองคนสวนพูดว่า “ตะกี๊แก่นมันเอาลงไปให้ยังกินกันไม่หมดเลยครับ”
แล้วก็ลุกขึ้นจะเดินลงไปจากเรือนไทย เพื่อไปยังส่วนที่เป็นครัว ซึ่งปลูกแบบเรือนโรงไว้อีกหลังต่างหาก และอยู่ถัดไปจากตัวเรือนไทย

จิราพัชรพูดว่า “ให้หนูไปช่วยทำครัวนะคะ”

นายสนรีบแย้งว่า “ไม่ต้องหรอกครับคุณครู พวกเราจัดการกันเองได้”

อดีตนายอำเภอพูดว่า “ไม่ต้องช่วยเขาหรอก พวกนี้เขาเก่ง เรื่องอาหาร สำรับกับข้าว พวกเห็ด หน่อไม้ ปลาในลำธาร เขาทำได้รสชาติแปลก ๆ น่ากินทุกมื้อ… อาเลยได้พลอยอาศัยกินอยู่กับเขา อยู่ที่นี่จะกินปู ปลา กุ้งหอยก็ได้นะ พวกผีดิบมาไม่ถึงหรอก” แล้วอดีตนายอำเภอก็หัวเราะ

“ที่เราอยู่ที่เชียงรายก็กินปลา ปู กุ้ง หอยได้ครับ แต่เราจะไม่ฆ่ามันโดยตรง ก็แบบว่า เราถือศีลห้าแบบที่ชาวบ้านชาวเมืองทั่ว ๆ ไปถือกันนะครับ” อดีตปลัดอำเภอพูดและเปลี่ยนเรื่องถามว่า

“แล้วพี่คุณนายนาถยาละครับ?…”

“คุณนาถเขาไปอยู่กับลูกที่กรุงเทพ” อดีตนายอำเภอตอบเสียงเรียบ ๆ

“คงจะไปอยู่เป็นเพื่อนน้อง ๆ… เอ่อ ตอนนี้ไม่ทราบว่าน้อง ๆ เรียนชั้นไหนกันแล้วครับ ไม่ได้พบกันสี่ห้าปีคงเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว”

อดีตนายอำเภอพูดว่า “ยายนุชลูกสาวคนโตของอา อายุ ๑๕ เรียนชั้น ม.๔ ส่วนตาก้องลูกชายคนเล็กของอา อายุ ๑๓ เรียนชั้น ม.๑ คุณนาถเขาก็เลยไปอยู่เฝ้าเป็นพัก ๆ เพราะเห็นว่าอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ พอดีได้ไปซื้อบ้านไว้หลังหนึ่ง เป็นหมู่บ้านจัดสรรค์แถว ๆ ลาดกระบัง”

“ที่กรุงเทพสงสัยพวกนั้นจะไม่มี…” อดีตปลัดอำเภอ อดวกเข้าหาเรื่องที่เป็นปัญหากับตนและอดีตนายอำเภอไม่ได้

“ในกรุงเทพพวกมันทำอะไรไม่ค่อยถนัด… เคยมีข่าวเกี่ยวกับพวกมันเป็นครั้ง ๆ คราว ๆ แล้วก็หายไป แต่บ้านเราถูกพวกมันกลืนไปกว่าครึ่งภาค รู้ไหม สส.บ้านเราเที่ยวนี้ก็เป็นผู้แทนของพวกมัน…”

“รู้ครับ พ่อบอก” อดีตปลัดอำเภอหมายถึงพ่อตา หรืออดีตผู้ใหญ่เพชร แต่ไม่กล้าพูดอะไรมาก เพราะมีลูกชายอยู่ด้วย ซึ่งจะคอยจับสังเกตถ้อยคำที่พวกผู้ใหญ่คุยกัน ส่วนเจ้าของบ้านก็รีบเฉไฉ ทำเป็นถามเด็กชาย
จอมภพหรือน้องจอมว่า

“เป็นไงลูก การ์ตูนอ่านสนุกไหม?”

เด็กชายยิ้มแห้ง ๆ แต่อ่อนกับชัชรู้ดีว่า จอมภพไม่ชอบหนังสือการ์ตูนแบบของนายแก่น เพราะเป็นการ์ตูนนิยายภาพ ที่แบ่งภาพและตัวหนังสือเป็นช่อง ๆ เป็นหนังสือสำหรับเด็กโตหรือผู้ใหญ่ ไม่ใช่หนังสือสำหรับเด็ก ๔-๕ ขวบ ส่วนหนังสือที่น้องจอมชอบอ่านต้องมีภาพเกือบเต็มหน้า แล้วมีตัวหนังสือบรรยาย ๒-๓ บรรทัด ที่พ่อกับแม่ของเด็กชายเคยซื้อให้อ่าน อ่อนจึงลองชวนเด็กชายว่า

“ลงไปเล่นยิงปืนกับอาอ่อนและน้าชัชที่ข้างล่างกันมั้ย”

อ่อนเห็นว่าที่ใต้ถุนเรือนไทยกว้าง มีพื้นปูกระเบื้องเป็นลานโล่ง ไม่มีสิ่งเกะกะกีดขวาง สามารถใช้เป็นที่เล่นของเด็กชายได้สะดวกกว่าบนบ้าน และถ้าจะส่งเสียงดังบ้างก็ไม่รบกวนขึ้นมาถึงข้างบน ซึ่งเด็กชายจะชอบเล่นเป็นทหาร - ตำรวจ บางครั้งก็เลียนแบบละครในทีวี เด็กชายจอมภพ จึงพยักหน้ากับพี่เลี้ยงที่รู้ใจและหันมาพูดกับพ่อและแม่ว่า

“พ่อฮับ แม่ฮับ… น้องจอมขอลงไปเล่นยิงปืนกับน้าชัช และอาอ่อนที่ข้างล่างนะฮับ”

“ได้เลยลูกไปเถอะ พ่อกับแม่จะได้คุยกับคุณตา” จิราพัชรตอบลูกแทนสามี

เด็กชายดีใจเดินตามชัชกับอ่อนลงมาข้างล่าง อ่อนถือถุงปืนของเล่นซึ่งนำขึ้นมาให้จากที่บรรทุกของหลังรถ มีปืนชนิดต่าง ๆ และมีด ดาบ ส่วนใหญ่มาจากภาพยนตร์ฝรั่ง ญี่ปุ่น…ที่ฉายในจอทีวี ที่ผู้ผลิตหล่อด้วยพลาสติก ใส่สีคล้ายของจริงทำออกมาขาย

เด็กชายสมมติตัวเองเป็นทหาร แล้วให้ชัชกับอ่อนเป็นตำรวจต่อสู้กันกับตน แต่เด็กชายให้ทหารเป็นฝ่ายธรรมะและตำรวจเป็นฝ่ายอธรรม เพราะนายอ่อนเคยเล่าเรื่องที่ตนต้องผจญ กับพวกขบวนการผีดิบ และเด็กชายเพิ่งพบเหตุการณ์ตำรวจตั้งด่าน เรียกพ่อของตนให้หยุด และพยายามหน่วงเหนี่ยวตรวจค้นมาเมื่อวันวาน

ขณะเล่นเด็กชายจึงใส่เสียงพูดหรือเสียงพากย์ของตนลงไป และใช้ปากทำเป็นเสียงปืนดัง…

“เปี้ยว ๆ ๆ ปัง ๆ ๆ โป้ง ๆ ๆ …พวกตำรวจผีดิบจงตายให้หมด แล้วอย่าได้กลับมาผุดมาเกิดอีก…”

ซึ่งอ่อนกับชัชก็ทำเป็นล้มลงนอนตาย ตายแล้วเดี๋ยวเดียวก็ฟื้นขึ้นอีก เพราะพวกผีดิบโดนปืน หรือทำอย่างไรก็ไม่ตาย และอ่อนอดถามเด็กชายไม่ได้ว่า
“แล้วทหารจะปราบพวกตำรวจผีดิบ ได้ชนะเด็ดขาดได้อย่างไรลูก?”

“ต้องชนะซิอาอ่อน เพราะพวกทหารมีศีลแล้วเขาก็ไม่กินเนื้อสัตว์ บาปเลยไม่มี แต่ตำรวจผีดิบไม่มีศีล ชอบรีดไถคนขับรถ พวกนี้บาปมากจึงต้องปราบด้วยดาบสายฟ้า ดาบสายฟ้าเป็นของเทวดา เทวดาจะส่งมาให้เมื่อถึงเวลา…”

“โอยย… จินตนาการกว้างไกลมากเลยหลานอา” อ่อนพูด และอ่อนกับชัชได้แต่สบตากันแล้วหัวเราะ เพราะไม่รู้ว่าหลานไปเอาความคิดอันบรรเจิดนี้มาจากไหน

href="//www.bloggang.com/data/lungboon/picture/1187836429.jpg" target=_blank>


ส่วนข้างบน…พวกผู้ใหญ่ คือพ่อและแม่ของเด็กชาย กับอดีตนายอำเภอเจ้าของบ้านนั่งคุยกันต่อ อดีตปลัดอำเภอบุญฤทธิ์ปรารภว่า

“ถ้าขนาด สส.บ้านเรายังกลายเป็นพวกมัน แล้วเราจะเอาอะไรไปสู้กับมันละครับ?”

“ก็ไม่ต้องไปสู้หรือคิดไปปราบอะไรมันอีกแล้ว ตอนนี้ถึงยุคของมันเราก็ต้องยกให้มัน ต่างคนต่างอยู่… เราอยู่ในป่ามันไม่มารบกวนอยู่แล้ว”

“แล้วพวกมันเคยตามมารบกวนอะไรท่าน ถึงที่นี่บ้างหรือเปล่า?”

“ยัง – ยังไม่เคยมา ตั้งแต่ที่อาลาออก… สงสัยมันคงเห็นว่า อาไปขัดไปขวางอะไรพวกมันไม่ได้อีกแล้ว มันจึงไม่มารบกวน อาจจึงอยู่สุขสบายดีและแถวนี้ไม่มีพวกมัน” อดีตนายอำเภอเล่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “พวกมันไม่ชอบป่า เพราะในป่าไม่มีคนอยู่หนาแน่นให้พวกมันดูดเลือด และในป่ามีพืชสมุนไพรมากมาย มันจึงไม่กล้าเข้ามา ไอ้พวกนี้มันชอบแต่ที่ ๆ มีความเจริญทางวัตถุอย่างในตลาด”

“งั้นกรุงเทพ… กรุงเทพเป็นเมืองที่มีความเจริญทางวัตถุสูงสุด ถ้าพรรคของมันได้เป็นรัฐบาล คนกรุงเทพก็คงจะถูกกินหมดทั้งเมือง” จิราพัชร พูด

“ความจริงก็น่าจะเป็นแบบนั้น” อดีตนายอำเภอพูด “แต่บังเอิญว่า กรุงเทพเป็นเมืองเทวดา พวกผีมันกลัวเทวดา เทวดาที่เรามองไม่เห็น เช่นพระสยามเทวาธิราช และเทวดาที่เรามองเห็น คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าหัวอยู่หัว พระบรมราชินีและพระบรมราชวงศ์ พระเจ้าอยู่หัวของเราเสด็จไปที่ไหน พวกภูตผีปิศาจจะไม่กล้าเข้าใกล้ในระยะเป็นกิโล ๆ”

“โอ…แบบนั้นก็หายห่วงไปได้เลย นี่เพราะบารมีของพระมหากษัตริย์ ที่ปกเกล้าคุ้มครองปวงประชา” อดีตปลัดอำเภอประนมมือขึ้นจรดหน้าผาก

“ใช่ นอกนั้นกรุงเทพยังมีสถานที่สำคัญ ๆ ซึ่งเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ เช่นพระบรมมหาราชวัง โบสถ์วัดพระแก้ว ศาลหลักเมือง แม้แต่ศาลท้าวมหาพรหม… วัดที่มีพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็มีมาก อาคิดว่ากรุงเทพจังหวัดเดียวที่มันยากจะเข้าไปยึดครอง” อดีตนายอำเภอให้ความเห็น

“แสดงว่ากรุงเทพยังไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง”

จิราพัชรพูดและรู้สึกหายใจได้โล่งขึ้น เพราะเธอยังเป็นห่วงน้องสาวแจ๋วหรือวันทนีย์ ที่ยังเรียนอยู่ในกรุงเทพฯ อีก ๒ ปี จึงจะจบปริญญาตรีการเกษตร และอีกไม่เกิน ๒ ปีจ้อยหรือจุลพงศ์น้องชายก็จะต้องไปเรียนต่ออีก และเธอกับอดีตปลัดบุญฤทธิ์ ยังต้องส่งเงินสมทบกับของพ่อและแม่ เดือนละแปดพันบาทเป็นทุนให้น้อง ๆ เรียน

“ในกรุงเทพพวกผีต่าง ๆ ไม่ค่อยกล้าสำแดง ไม่ว่าจะเป็นผีดิบ ผีสุก…มันเข้าไปอยู่แต่ไปอยู่แบบหลบๆ ซ่อน ๆ… นอกจากเทวดา บุญบารมีของพระเจ้าอยู่หัว ยังมีอมนุษย์อีกจำพวกหนึ่งซึ่งเป็นศัตรูกับพวกผี ๆ ทั้งหลาย…เธอเคยรู้ไหมว่าใคร?”
“หนูนึกไม่ออก” จิราพัชรพูดแล้วส่ายหน้า

อดีตปลัดอำเภอก็สงสัย จึงถามว่า “ใครครับ?”

อดีตนายอำเภอตอบว่า “พวกยักษ์ไง รู้จักยักษ์ไหม?” ตอบแล้วถามย้อนกลับ

“อ๋อ แบบรูปปั้นที่วัดโพธิ์ วัดพระแก้ว แล้วตัวจริงมีด้วยหรือคะ?” จิราพัชรทำหน้าฉงน “หนูนึกว่าจะมีแต่ในนิยายหรือในวรรณคดีเสียอีก”

“ต้องมีซี ทุกอย่างปรากฏในคัมภีร์ทางศาสนา เทวดา พญาครุฑ พญานาค ยักษ์ คนธรรพ์… แต่เรามอง

ไม่เห็นเช่นเดียวกับเทวดา เห็นแต่รูปวาดกับรูปปั้น… รู้ไหมว่าคนโบราณปั้นรูปยักษ์ไว้ทำไม?” อดีตนายอำเภอถามไม่เจาะจงว่าถามใคร

“หนูเป็นครูเสียเปล่า ไม่เคยทราบเลยค่ะ” จิราพัชร ยอมรับความจริง

“ไม่เป็นไร ในโลกนี้ไม่มีใครที่จะรู้อะไรไปหมดทุก ๆ เรื่อง พอดีอาได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง มีผู้เขียนประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับยักษ์ไว้ ทำให้รู้ว่ายักษ์ คือ ผู้ที่ที่ไม่ใช่ทั้งมนุษย์และเทวดา บางทีก็เรียกว่าอสูร หรือรากษส การที่ยักษ์มีหน้าตาดุทำให้ถูกมองว่าเป็นพวกที่มีใจดำอำมหิต ดุร้าย ซึ่งจริงๆ แล้วยักษ์มีทั้งยักษ์ดีและยักษ์ที่ดุร้าย ยักษ์ดีที่อยู่ข้างฝ่ายธรรมะ เช่นท้าวกุเวร ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่จตุโลกบาล คือผู้ดูแลรักษาโลก

ส่วนยักษ์ที่ไม่ดี เช่น ทศกัณฐ์ในเรื่องรามเกียรติ์ แต่ผลดีของยักษ์ที่มีต่อมนุษย์ รู้มั้ยว่าอะไร?”

“ไม่เคยทราบเลยครับ” อดีตปลัดอำเภอหรือคุณบุญฤทธิ์ตอบ

“พวกภูตผีที่ชั่วร้ายต่าง ๆ กลัวยักษ์ ที่ตามวัดต่าง ๆ ให้ยักษ์ถือกระบองยืนเฝ้าประตู ก็เพราะยักษ์จะช่วย ปกป้องรักษา ขับไล่ภูตผี ความชั่วร้าย และปกป้องพระพุทธศาสนา

href="//www.bloggang.com/data/lungboon/picture/1187838203.jpg" target=_blank>

มีเรื่องเล่าว่า ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เมืองราชคฤห์ มียักษ์สองตนชื่อ สาตาเศียรกับเหมวัตสิง มีถิ่นฐานอาศัยอยู่ในกลุ่มภูเขาตอนเหนือของแม่น้ำคงคา ได้นำบริวารยักษ์มาเข้าเฝ้า และสนทนาข้อปัญหาธรรมต่าง ๆ กับพระพุทธเจ้า

ยักษ์จึงศรัทธาขอนอบน้อมยอมเป็นข้าช่วงใช้พระพุทธเจ้า ทำให้มีการปั้นยักษ์ถือกระบอง ยืนเฝ้าประตูวัดที่สำคัญ ๆ เช่น ยักษ์วัดพระแก้ว ยักษ์วัดโพธิ์ ยักษ์วัดแจ้ง ผีกลัวยักษ์เพราะยักษ์หน้าตาดุ แถมมีอิทธิฤทธิ์มากกว่าผี…”

“แสดงว่ายักษ์มีหน้าที่ปราบคนพาล อภิบาลคนดี ตามวัดจึงปั้นรูปยักษ์ไว้ แล้วท่านพอทราบไหมครับว่า ใครที่ปั้นรูปยักษ์ต่าง ๆ ไว้ในกรุงเทพ” อดีตปลัดบุญฤทธิ์ถามอดีตจ้าวนายของตน

“รูปปั้นยักษ์น่าจะมีมานาน แต่ที่มีหลักฐานบันทึกไว้ คือ หลวงเทพรจนา เป็นผู้ปั้นรูปยักษ์ ๒ ตัวบริเวณซุ้มประตู หน้าอุโบสถวัดแจ้ง หรือวัดอรุณราชวราราม เป็นช่างในสมัยรัชกาลที่ ๓ ส่วนที่อื่นไม่รู้”

“น่าจะมีใครมาปั้นยักษ์ไว้ในอำเภอทิวสนบ้านเราบ้าง ผีจะได้กลัว” จิราพัชรพูดยิ้ม ๆ

“เอ…ผมรู้สึกว่าจะมีอยู่สักที่หนึ่งนะที่ปั้นรูปยักษ์ไว้… แต่ฝีมือไม่สู้จะดีนัก” อดีตนายอำเภอพูด

“ที่ไหนคะ?” จิราพัชรถาม

“ที่บันไดขึ้นถ้ำวัดถ้ำเขาพลู ทิวสน เขาปั้นไว้สองตน”

“งั้นพวกผีทั้งหลายก็คงไม่กล้าขึ้นไปบนนั้น” จิราพัชรพูดยิ้ม ๆ

“อาจจะเป็นไปได้ เพราะที่นั่นพวกค่างแว่นเต็มไปหมด เป็นที่เดียวในอำเภอทิวสนที่ค่างแว่นไม่ถูกล่า ในขณะที่ ๆ อื่น ๆ โดนล่าหมดแล้ว”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกผี ๆ ละคะ” จิราพัชรถามอีก

“ก็พวกผีไม่ใช่หรือที่นอกจากคอยดูดเลือดคน แล้วพวกมันก็ยังชอบกินเนื้อสัตว์” อดีตปลัดบุญฤทธิ์พูด

ทำให้จิราพัชรเห็นด้วยและว่า “ใช่ค่ะ ใช่จริง ๆ ด้วย งั้นก็เป็นบุญของพวกค่างแว่นมัน ที่มียักษ์อยู่ในวัดถ้ำเขาพลู”

“แล้วเมื่อไหร่ไฟฟ้าจะเข้ามาถึงที่นี่บ้างละครับ” อดีตปลัดอำเภอเปลี่ยนเรื่องพูด
“ที่นี่ไฟฟ้าไม่ควรจะเข้ามา… เพราะถ้าไฟฟ้าเข้ามา พวกผีอาจจะตามเข้ามากับสายไฟฟ้า การไม่มีไฟฟ้านี่แหละเป็นเรื่องดี…” อดีตนายอำเภอกลับว่าไปอีกอย่าง

“อ้าว - เอ๊ะ! มันยังไงกันครับ? ไม่มีไฟฟ้าลำบากนะครับ” อดีตปลัดอำเภอส่ายหน้าน้อย ๆ

“สมัยปู่ สมัยย่า เคยมีไฟฟ้าที่ไหน…ทำไมเราจึงอยู่กันมาได้ แต่เพราะมีไฟฟ้าเข้ามานี่แหละ ที่ทำให้พวกผีโดยเฉพาะผีดิบเกิดขึ้น แต่ก็ไม่น่ากลัวเท่าพวกครึ่งคนครึ่งผี… พวกนี้แหละชอบไฟฟ้าเป็นที่สุด และต้องมีไฟฟ้าเท่านั้นพวกมันจึงจะอยู่? ในป่าพวกมันไม่มาอยู่หรอก”

“ท่านคงหมายความว่า ถ้าป่ายังเป็นป่าไม่ค่อยมีคน พวกผีดิบไม่รู้จะดูดเลือดใคร อย่างนั้นหรือเปล่าครับ?” อดีตปลัดอำเภอ คุณบุญฤทธิ์ ถาม

อดีตนายอำเภอไม่ตอบ แต่พูดต่อไปว่า “เคยเรียนประวัติของพระสิทธัตถะ หรือพระพุทธเจ้าไหม? ทำไมพระสิทธัตถะจึงหนีออกจากเมืองเข้าไปอยู่ในป่า?”

“เคยเรียนครับแต่ลืมคิด…” อดีตปลัดบุญฤทธิ์สารภาพ อดีตนายอำเภอพูดต่อไป…

“พวกที่เป็นภัยกับเราจริง ๆ แล้ว ไม่ใช่พวกโหงพราย… พวกโหงพรายใครฆ่าก็ไม่ผิดกฎหมาย ถ้าอาละวาดหนักนัก ไปหาพระอริยสงฆ์มาปลดปล่อยวิญญาณ พวกมันก็ไปเกิดในภพภูมิใหม่ และเราก็พลอยได้บุญกุศล เหมือนที่คนจีนนิยมทำพิธีล้างป่าช้าเคยเห็นไหม…นั่นคือบุญกุศลอย่างหนึ่ง”

“เคยเห็นครับ ก็ปีสองแปดหรือสองเก้า…เคยมีมูลนิธิชุมพรการกุศล มาทำพิธีล้างป่าช้าในอำเภอทิวสนสองสามแห่ง ผมเคยไปดูที่บ้านบางจาก” อดีตปลัดบุญฤทธิ์ตอบและว่า “แต่พวกครึ่งคนครึ่งผี ตัวเป็นคนแต่ใจเป็นผี พระจะช่วยปลดปล่อยให้มันไม่เอา มันไม่ยอม…”

“ใช่ ทีนี้ถ้าเราไปเกลียดมันไปฆ่ามัน เราก็ติดคุกติดตะราง พวกเราต่างเจอมันมาเมื่อห้าปีแล้ว จนต้องพากันมาเป็นชาวป่าชาวไร่อยู่นี่” อดีตนายอำเภอพูดแล้วหัวเราะ




Create Date : 21 สิงหาคม 2550
Last Update : 23 สิงหาคม 2550 10:16:46 น. 2 comments
Counter : 1045 Pageviews.

 
สวัสดีลุงบูลย์และพี่หนอนฯ

หนังสือ..เมืองผีดิบที่พี่ส่งมาให้ เรื่องราว..ไม่เข้มเหมือนเมืองเทวดาเนาะ..แอบไปอ่านห้าตอนที่ลุงบูลย์แปะไว้ในบล๊อก เมื่อเทียบกันกับเล่มแรกนะ..เล่มแรก พอเป็นน้ำจิ้ม ส่วนเล่มสองคุณธรรมน่าจะสูงกว่า สรุปแล้วถ้าจะให้มันส์
ต้องซื้ออ่านทั้งสองเล่ม ลุงบูลย์เข้าใจเขียนเรื่องนิ

อ่านแล้ว..คิดไปนะพี่หนอนฯว่า..ไม่ลุงบูลย์ไม่ด่าตรงๆไปเลยว้า เขียนอย่างนี้คนไม่ซื้ออ่านมันจะรู้มั๊ยน่ะว่าตัวเองกำลังโดนด่าอยู่...
คิดตามประสาวัยรุ่นแก่ๆน่ะพี่

........................

เลยมาอาศัยบล็อกหนอน อ่านคำตอบของแม่น้องนิก

เอ๊ะ เอ๋ เมืองเทวดาดันเข้มกว่าเมืองผีดิบ แฮะกำลังใจมาเป็นขบวนรถไฟ ขอบคุณแม่น้องนิก จะโพสต์ต่อถึงตอนที่ ๑๐ ก็ไม่เห็นใครมาเรียกร้อง ไม่เคยเข้าไปดูเสียด้วยว่ามีใครมาคอมเมนท์ไว้หรือเปล่า สงสัยจะต้องเข้าไปดูสักหน่อย
......................

เอาละ...

หลักการทำนิตยสารประมาณค่า
มีจดหมายชมมาให้คัดสรรค์
เอาตัวเลขคูณให้ได้เป็นพัน
นิตยสารเล่มนั้นขายได้ดี...

(อ้าวแล้วถ้าคนด่ามาว่าห่วยล่ะ)

ถ้าโดนแบบนั้น เคยเห็นที่นิตยสารบางเล่ม เขาถอดนักเขียนคนนั้นทิ้งเลย

(อ้าวแล้วถ้าโดนแกล้งเพราะอิจฉา ไม่ชอบขี้หน้า อะไรในทำนองนี้ล่ะ)

ก็ซวยไป... มีเพื่อนคนหนึ่งแถวอีสานป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล หลังจากนิตยสารขายดีที่สุด สั่งเลิกรับงานของเขา แต่ตอนหลังเขากัดฟันสู้ต่อ ตอนนี้ได้กลับเข้าไปเขียนในนิตยสารที่ขายดีที่สุดในประเทศไทยเล่มนั้นอีกแล้ว

แต่ลุงบูลย์ขอยึดข้อแรกว่าเรื่องของเรามีคนสนใจมากก่อนดีกว่า อ้าว แม่น้องนิก เตรียมอ่านตอนที่ ๗ แอ่นแอ๊นนน...


โดย: ลุงบูลย์ (pantamuang ) วันที่: 21 สิงหาคม 2550 เวลา:12:07:21 น.  

 
ลุงบูลย์..ขอบคุณค่ะ อุตส่าห์สละเวลา ลงตอนต่อไปให้
มาสเตอร์ของลุงบูลย์มีหรือปล่าวคะ ที่จัดการบล๊อกให้น่ะ
อิๆ

ลุงบูลย์ให้หนูวิจารณ์อย่างเต็มที่ได้มั๊ยคะ แบบตรงๆเลยนะ
ถ้าได้ เดี๋ยวพูดกับลุงเลย นี่ถามลุงก่อน เดี๋ยวลุงเป็นลม
เข้าโรงพยาบาลไม่มีใครเขียนเรื่องให้อ่านอีก..


โดย: แม่น้องนิก IP: 4.232.141.189 วันที่: 22 สิงหาคม 2550 เวลา:0:26:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

pantamuang
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]




ไม่อยู่อย่างอยาก แต่ยังอยากจะอยู่
อยู่อย่างไม่ลำบาก เวลาที่เหลือน้อยรีบสอยรีบคว้า
ก่อนจะหมดเวลาให้สอย

ดวงดาวบนฟ้าก็สอยได้ ถ้ารู้จักต่อด้ามฝันให้ยาวพอ

ฝันถึงไหนก็ได้ มีสิทธิ์ฝัน แต่จะเป็นจริงหรือไม่ช่างฝัน
เพราะสิ่งที่ฝันคือนวนิยาย..

ชีวิตก็คือนวนิยายเรื่องหนึ่ง ที่เราเป็นผู้เขียนและกำกับ.

เริ่ม 9 กันยายน 2550

Friends' blogs
[Add pantamuang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.