...คิดว่ายังมีความหวัง ตราบที่ยังมีลมหายใจ...
Group Blog
 
 
มีนาคม 2557
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
5 มีนาคม 2557
 
All Blogs
 
ฉํนมีเธอนั้นอันเป็นดวงใจ

ฉันมีเธอนั้นอันเป็นดวงใจ

.

นักร้องอารมณ์ดี

“ฉันมีเธอนั้นอันเป็นดวงใจ โอ้เป็นความรักยิ่งใหญ่ เหมือนดาวรักใคร่ฟากฟ้า เหมือนดังแสงสุริยา สาดแสงทองส่องพื้นภพหล้า ลงมาจูบทานตะวัน…

“เห็นใจเถิดฉันนั้นยังดำรง เทิดทูนความรักสูงส่ง ซื่อตรงไม่เปลี่ยนเวียนผัน หวังใจได้คู่เคียงกันตราบนิรันดร์มั่นหมายสวาท เป็นทาสความรักเสมอ….”

“อันเป็นดวงใจมานานแรมปี เป็นราชินีแห่งใจฉันนี้คือเธอ ทุก ๆ ค่ำเช้าเฝ้าละเมอ จิตใจพร่ำแต่เพ้อว่ารัก ๆ ๆ รักเธอ รักจริง….

“ฉันรักเธอเหมือนดังดวงชีวาไม่เคยจะคิดเลยว่า สัญญาแล้วจะทอดทิ้ง เห็นใจฉันบ้างยอดหญิงมอบหัวใจให้แล้วทุกสิ่งด้วยความสัตย์จริงเสมอ…แด่เธอ…ผู้เป็นดวงใจ….”

ในรถบรรทุกถุงไปรษณีย์ที่แล่นระหว่าง เมืองนครศรีธรรมราชกับเมืองภูเก็ต ปี พ.ศ.๒๕๐๖ บนเบาะยาวด้านหลังสุดของรถซึ่งตามปรกติไม่มีใครนั่งนอกจากที่นั่งตอนหน้าเต็ม เพราะ ๑ กลัวรถฝัด(กระดอนขึ้นลงเมื่อเจอหลุมบ่อ) ๒ฝุ่นจากถนนดินลูกรัง ที่จะฟุ้งขึ้นมาบนรถ มากกว่าที่นั่งตอนกลาง ๆหรือตอนหน้า แต่ชายคนนี้เมื่อขึ้นรถจากจุดแรกที่สุดเขตเทศบาล หน้าวัดชะเมา เขากลับยึดเอาเบาะหลังสุดเป็นที่นั่งทั้ง ๆ ที่ที่นั่งในรถยังว่าง และไม่เพียงแค่นั้น เมื่อเขาจับจองเป็นที่นั่งคนเดียวมาตลอดทาง

ดูจากสารรูปการแต่งกายของเขา ซึ่งนุ่งกางเกงบลูยีนส์สวมเสื้อยืดสีขาว มีแจ๊กเก๊ตยีนส์เก่า ๆ สวมทับศีรษะสวมหมวกจ๊อกกี๊ ก็ไม่เห็นว่าเขาจะเป็นคนต่ำต้อย ด้อยการศึกษาแต่อย่างใดแต่กลับรู้สึกว่าเขาเป็นคนมีการศึกษาเสียด้วยซ้ำ ไม่นับบุคลิกหน้าตาความหล่อเหลาที่สามารถเป็นพระเอกหนังไทยได้ แต่ที่แน่ๆ คือ เขาอารมณ์ดี เพราะตั้งแต่ที่รถออกจากสี่แยกหัวถนนนครศรีธรรมราช เขานั่งร้องเพลงลูกทุ่งมาตลอด

เพลงที่ชายหนุ่มร้องล้วนเป็นเพลงหวานของนักร้องมีชื่อ เช่น ทูล ทองใจ ,ปอง ปรีดา, พนม นพพรและไพรวัลย์ลูกเพชร ซ้ำซุ่มเสียงของเขาในตอนที่รถแล่นเร็วและเขาร้องออกมาดัง ๆ มีความไพเราะเพราะพริ้ง ดุจนักร้องอาชีพ ทำให้ผู้โดยสารไม่มีใครรู้สึกว่ารำคาญจากการร้องของเขาจะมีก็แต่พากันนั่งยิ้มชื่นชมเสียงร้องของเขาและคอยเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ และนั่นอาจเป็นเหตุผลในการเลือกนั่งเบาะแถวหลังสุดของเขาเพื่อเขาจะได้นั่งร้องเพลงอย่างเสรี ไม่รบกวนใคร ซึ่งกระเป๋ารถและคนขับก็ไม่ได้ให้ความสนใจแถมอาจคิดว่าชายคนนี้คงไม่ค่อยเต็มเต็ง

แต่ก่อนอื่นลองมาดูสภาพรถคันนี้กันสักนิด เพราะมันไม่ใช่รถโดยสารแบบรถบัส แต่เป็นรถที่ดัดแปลงมาจากรถยนต์บรรทุกขนาดใหญ่โดยอู่ต่อรถนำเครื่องยนต์และคาสซี(Chassis)มาต่อตัวถังขึ้นเอง คนตัวสูง ๆเช่น ฝรั่งถ้าไม่มีที่นั่งจะต้องยืนก้มเหนี่ยวราวเหนือหัว และยืนตัวงอไปตลอดทาง ขณะที่คนไทยอาจจะยืนได้พอดี ส่วนเบาะนั่งแทนที่จะให้ผู้โดยสารได้นั่งแบบสบายๆ กลับทำเป็นเก้าอี้นั่งไว้ด้านซีกซ้าย ๓แถวและซีกขวา ๒ แถว ให้คนโดยสารนั่งแถวละ ๕ คน นั่งหันหน้าไปทางคนขับ ตรงกลางเว้นที่ไว้พอให้กระเป๋ารถเดินตะแคงข้างไปเก็บเงินค่าโดยสารจากผู้โดยสารได้

ที่แย่กว่านั้น ถ้าคนโดยสารขึ้นมามากที่นั่งไม่พอ กระเป๋ารถก็จะดึงเบาะจากด้านซ้ายและขวาให้มาชนกัน แล้วให้คนโดยสารนั่งตรงช่องที่เว้นไว้เดิน ได้อีก๑ ที่ กลายเป็นแถวละ ๖ และพอกระเป๋าจะเดินผ่าน คนโดยสารก็ต้องลุกยืนแล้วค่อยนั่งลงต่อ เป็นไปแบบนั้นตลอดทาง ดังนั้นรถเมล์สายนี้ จึงสามารถเยียดยัด อัดผู้โดยสารเข้าไปได้เที่ยวละกว่า ๔๐ คน คือมียืนอีกเป็น ๑๐ส่วนบนหลังคาก็บรรทุกสารพัดข้าวของ ตั้งแต่กระสอบข้าวสารไปจนถึงรถมอเตอร์ไซค์ทั้งคัน

ประตูขึ้นลงรถอยู่ด้านซ้ายของตัวรถมี ๒ ช่องหน้า-หลัง เป็นบานไม้สูงแค่สะเอว ปิด-เปิดเข้าออกเหมือนประตูรั้ว คือกั้นแต่ส่วนล่างส่วนบนเปิดโล่ง ด้านข้างของรถไม่มีบานหน้าต่าง มีแต่ช่วงเสาที่ใช้ค้ำยันหลังคาไว้เป็นช่วงๆ ยามฝนตกจึงต้องคลี่ม้วน ผ้าพลาสติกที่ม้วนติดไว้กับส่วนที่เป็นหลังคารถให้คลี่คลุมลงมา เวลาที่ฝนไม่ตกลมจึงพัดโกรกเข้ามาในรถพร้อมกับฝุ่น แม้ว่าความเร็วของรถได้ถูกหลุมบ่อบนผิวถนนจำกัดความเร็วไว้แค่๖๐ – ๗๐ กม.ต่อชั่วโมงส่วนประกอบของรถก็แทบจะหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ เพราะมีเสียงตัวถังไม้ดังอ๊อด ๆ แอ๊ด ๆ ตลอดทาง พร้อมฝุ่นสีน้ำตาลแดงไล่ตามหลังมองเหมือนรถใช้พลังงานจรวดขับดัน

และสิ่งที่ผู้โดยสารรถยนต์ประจำทางสายนี้ควรคำนึงก่อนขึ้นรถ คือ ห้ามแต่งกายหรูหราและควรจะสวมหมวกหรือไม่ก็มีผ้าโพกศีรษะไว้เพราะพอรถแล่นออกจากอำเภอทุ่งสงมาได้หน่อยเดียว สีผมของคนโดยสารจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีผมของฝรั่ง

อีกสิ่งสำหรับ ผู้ที่จำเป็นจะต้องโดยสารรถเมล์สายนี้ในปี ๒๕๐๖ จะต้องทำใจ คือ มารยาทของทั้งคนขับและกระเป๋ารถ ที่ผู้โดยสารใช้บริการครั้งเดียวจะต้องจดจำไปตลอดชีวิต คือมารยาทของคนขับและกระเป๋า เพราะเป็นรถที่อาศัยอิทธิพลทางนักเลงทำให้สามารถผูกขาดการรับส่งผู้โดยสารและรับขนส่งถุงไปรษณีย์ ไว้แต่เพียงผู้เดียวในนามของนักเลงหัวไม้เมืองนคร ชื่อ"ไอ้หมานุ้ย"

ส่วนด้านท้ายรถในวันนั้น ยังคงเป็นโลกส่วนตัว ของชายหนุ่มมาตลอด จนรถเมล์แล่นเข้าเขตจังหวัดพังงา มีคนโดยสารโบกมือขอขึ้นรถ เพื่อจะไปลงในเมืองพังงาบ้างลงในระหว่างทางบ้าง จนเต็มล้นมาถึงที่นั่งด้านหลัง ทำให้ชายหนุ่มหยุดร้องเพลง และกระเถิบไปนั่งด้านซ้ายสุดติดราวเหล็กกั้นช่องประตู พร้อมส่งสายตามองออกไปนอกรถ ชมวิวทิวทัศน์ ชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจใคร

ตอนรถแล่นลงจากเขานางหงส์ รถได้จอดรับชายชราอายุราว๖๐ ปีคนหนึ่ง ท่าทางและสำเนียงพูดบอกว่าเป็นชาวพังงา นุ่งผ้าโสร่งลายสก็อต ขาวสลับน้ำตาล สวมเสื้อฮาวายมีลายขาวน้ำเงิน คุณลุงขึ้นรถทางประตูหน้าแล้วก็หาที่ยืนและแกเลือกยืนใกล้ประตูหน้า เพื่อจะได้สะดวกในตอนจะลง

กระเป๋ารถเป็นชายผิวคล้ำอายุประมาณ ๓๐ ปี รูปร่างสันทัดสวมชุดสีกรมท่า หน้าตาแบบลูกทุ่งแดนใต้ หน้าผากกว้าง คางแหลม ไม่สวมหมวก ผมเผ้ายุ่งเหยิงฝุ่นเกาะ ไว้หนวดแหยมเหนือริมฝีปาก เดินเบียดแทรกคนโดยสาร เพื่อเก็บค่าโดยสารจากคนที่ขึ้นในระหว่างทาง ค่าโดยสารตลอดสายคือ๕๐ บาท ส่วนคนที่ขึ้นลงระหว่างทางมีตั้งแต่ ๕ บาท ๑๐ บาท และ ๒๐ บาทขึ้นอยู่กับว่าระยะทางใกล้-ไกล บางคนที่ขึ้นรถในระหว่างทาง ให้ธนบัตรฉบับละ ๑๐๐บาท เพื่อให้กระเป๋ารถทอน กระเป๋ารับเงินแล้วพูดว่า “เดี๋ยวจะทอนให้ ขอไปเก็บค่าโดยสารด้านหลังก่อนตอนนี้เงินทอนไม่พอ”

แล้วก็เดินยื่นมือขอเก็บค่าโดยสารจากส่วนหน้ารถไปจนถึงที่นั่งด้านหลังสุด พอเก็บเงินจากผู้โดยสาร

ครบคน ก็เดินกลับมาทางด้านหน้า ผู้โดยสารที่ให้ธนบัตรราคาเกินจากค่าโดยสารก็ทวงเงินทอน เจ้ากระเป๋าทำปากจิ๊กจั๊ก ไม่พอใจที่ถูกทวงพูดเป็นสำเนียงใต้ว่า “เดี้ยวทอนให้ ไม่โกงร็อก”พลางนับเงินในมือและเดินถามผู้โดยสารไปทีละคน

“ไหนใคให้ใบไหรมามั่งเมื่อกะเดี๊ยว?"หมายความว่าใครให้ธนบัตรชนิดใดมาบ้างเมื่อสักครู่

ผู้โดยสารแต่ละคนก็บอกว่าให้ใบละยี่สิบ ห้าสิบและร้อยบาทก็มี กระเป๋ารถจึงทอนไปตามคำบอกของคนโดยสาร แต่พอทอนไปครบหมดทุกคน นายกระเป๋ารถนับเงินใหม่ปรากฎว่าเงินค่าโดยสารขาดหายไป๘๐ บาท แสดงว่าทอนให้ใครผิดไป ๘๐ บาท กระเป๋าอยากเอาคืน โดยถามผู้โดยสารที่เพิ่งขึ้นรถในระหว่างทางว่า

“เมื่อเดี้ยวใคให้ใบยี่สิบแต่รับเงินทอนฉานไปแปดสิบมั่งแต่ไม่มีใครยอมรับว่าได้รับเงินทอนเกินนายกระเป๋าจึงอารมณ์เสีย และแสดงสันดานโจรด่ากราดทันที

“เย็- แม่ ขี้โกง อยากได้ของ ๆ คนอื่นฟรี ๆใคที่รู้ตัวว่ารับเงินของกูไปรีบคืนมา ไม่งั้นมีเรื่องแน่” แล้วกระเป๋าขี้โมโหก็เที่ยวเดินจ้องหน้าคนโน้นคนนี้ พลางใช้วาจาข่มขู่เพื่อจะให้คนที่รับเงินเกิน แสดงความพิรุธออกมาจนไปถึงชายชราอายุ ๖๐ ที่นุ่งผ้าโสร่งลายสก็อต นายกระเป๋ารถยืนจ้องหน้าแกแล้วตะคอก

“เติ่นใช่มั้ย ที่รับเงินจากฉานไปแปดสิบบาท?" (เติ่นภาษาใต้หมายถึงคุณส่วนฉานคือฉัน)

“เปล่า ลุงเปล่าลุงไม่ได้รับเงินทอนเลยสาบานได้ชายชราพูดและมีท่าทางตกใจขณะที่คนโดยสารต่างหันมองดูแกกับกระเป๋ารถเป็นตาเดียว

“แต่ฉานมั่นใจว่าเติ่นทำไหมเติ่นอยากได้เงินของคนอื่นมากนัก เย็-แม่แก่จะเข้าโลงแล้วยังโกง” กระเป๋าด่าทั้ง ๆที่ยังไม่รู้ว่าคุณลุงโกงจริงหรือไม่

“เปล่า ลุงไม่ได้โกงไม่ได้โกงจริง ๆ” ชายชราหน้าซีด พยายามพูดดีๆ ให้กระเป๋ารถเข้าใจ

“งั้น เมื่อโคร่เติ่นขึ้นแถวไหนกระเป๋ารถตะคอกถามอีก

“ลุงขึ้นที่ตีนเขานางหงส์ ลุงให้ใบยี่สิบ”

“แล้วเติ่นจะไปลงไหน

“จะไปลงกระโสม เงินที่ลุงให้พอดีค่ารถ” คุณลุงยืนยัน

“ฉานไม่เชื่อไหนเอากระเป๋าตางค์เติ่นมาดูซิ”

ท่าทางของคุณลุงเป็นคนธรรมะธัมโม เชื่อมั่นในความบริสุทธิ์จึงรีบควักห่อถุงลาสติกหนาที่ชายพกผ้าถุงออกมาคลี่ให้ดู ในนั้นนอกจากมีธนบัตรใบละ๑๐๐ บาท ๒-๓ ฉบับ ยังมีธนบัตรฉบับละ๒๐ บาทอยู่ ๔ ฉบับ ซึ่งเท่ากับเงิน ๘๐ บาทของกระเป๋ารถที่ขาดนายกระเป๋าจึงยิ่งมั่นใจ

“นั่นหละ เห็นมั๊ยใบยี่สิบสี่ใบแปดสิบบาทพอดี นี่แหละเงินของฉานที่ทอนผิดให้เติ่น เอาคืนมานะ” กระเป๋ารถพยายามที่จะแย่งเงินจากคุณลุง แต่คุณลุงไม่ยอม

“นี่มันเงินของลุง ลุงขายโลกตอได้เมื่อเช้าเขาให้มาเป็นใบยี่สิบห้าใบ ลุงให้ค่ารถไปใบหนึ่งหมันก็เหลืออยู่สี่ใบ” คุณลุงแจกแจงแล้วรีบยัดห่อเงินกลับเข้าชายพก

“เติ่นขี้หก เติ่นพูดพันไหนก็ได้ ไม่มีใครู้ใคเห็น เติ่นนั่นแหละโกงเงินฉาน รีบเอาคืนมาเสียดีๆ”

แล้วนายกระเป๋าก็พยายามที่จะแย่งเงินจากชายชราแต่ชายชราไม่ยอม ทำให้เกิดการกอดปล้ำยื้อยุดผลักไสเกิดขึ้นชายชราถอยหนีจากประตูหน้าจนมาถึงประตูหลัง และตามรูปการณ์ที่ชายหนุ่มหล่อซึ่งหยุดฮัมเพลงลูกทุ่งในลำคอสังเกตเห็น คือกระเป๋ารถจะผลักให้คุณลุงตกจากรถ ถ้าไม่ยอมเอาเงินให้มัน และถ้าคุณลุงตกรถแกอาจจะตายนี่คือสิ่งที่ชายหนุ่มรูปหล่อคิดอยู่ในใจ..

แล้วหนุ่มรูปหล่อก็อดทนต่อไปไม่ไหวรีบเข้าไปขวางกั้นโดยลุกขึ้นดันร่างของคุณลุงให้พ้นจากช่องประตูให้ไปนั่งลงบนเบาะหลังแทนเขา ส่วนเขาลุกยืนประจันหน้ากับกระเป๋ารถเกเร

“ทำไมนายทำกับคนแก่แบบนี้นายหนุ่มรูปหล่อถาม

“ฉานทำอะไรฉานแค่จะเอาเงินของฉานคืน” กระเป่ารถเถียงมองหน้าไอ้หนุ่มรูปหล่ออย่างเอาเรื่อง

“นายมีหลักฐานอะไรว่าเงินในห่อของลุงเป็นเงินที่นายทอนผิด

“แกมีใบยี่สิบสี่ใบไม่เห็นรื้อแปดสิบบาทพอดี” ไอ้กระเป๋ารถยังเถียง

“เงินแปดสิบบาท ใคร ๆก็มีได้ นายทอนเงินผิดแล้วเที่ยวไปกล่าวหาส่ง ๆ “

“ออ… นายอยากจะเป็นพระเอก พระเอกหมันในหนังแต่นี่เรื่องจริงกูจะเหยียบหมึงให้คนดู”

กระเป๋ารถนักเลงเปลี่ยนสรรพนามของตนเองจากฉานเป็นกูแล้วสืบเท้าเข้าหานายหนุ่มหล่อ โดยง้างหมัดเต็มหมายหมัดเดียวจอด ทว่าไอ้หนุ่มหล่อเบี่ยงกายหลบ แถมถูกบังคับด้วยพื้นที่อันจำกัดขณะคนโดยสารรอบข้าง พากันส่งเสียงหวีดว้ายคนยืนพยายามเบียดเสียดกันเข้าไปจุกอยู่ตรงกลางรถ เพื่อให้พ้นอันตรายจากดลูกหลง

ไอ้หนุ่มหล่อถอยลงไปอยู่ตรงช่องประตูหลัง กลายเป็นหมูจนตรอกไอ้กระเป๋าสืบเท้าตามไปยืนอุดตรงรูช่องบันได และต่อยเต็มเหนี่ยว นายหนุ่มหล่อหลบหมัดเฉียดใบหน้าไปแบบถาก ๆ ไอ้กระเป๋ารถยืนตั้งท่า เพื่อจะต่อยอีก นายหนุ่มหล่อแอบถอดสลักบานประตูพอไอ้กระเป๋าโถมมาอีก นายหนุ่มหล่อใช้สีข้างกระแทกบานประตูเปิด จับราวข้างบันไดไว้และเหวี่ยงตัวเองออกไปอยู่นอกรอบประตูและเท้าข้างหนึ่งยังเหยียบพื้นบันไดรถ ส่วนนายกระเป๋ารถเสียหลักหลุดพรวดตกลงไปจากรถ!!

เมื่อรถจอดสนิท ผู้โดยสารรวมทั้งนายหนุ่มหล่อและนายหัวคนขับก็เดินลงจากรถมาดู พบว่านายกระเป๋าจอมซ่าตกลงไปคางกระแทกพื้นสลบเหมือด ทำให้นายหัวรถหรือโชเฟอร์ โกรธนายหนุ่มหล่อหันเข้าใส่จะทำร้าย “มึงทำร้ายคนของกู” แล้วก็กำหมัดเดินเข้าหา รูปร่างของโซเฟอร์ทั้งสูงทั้งใหญ่และหนา นายหนุ่มหล่อจึงปฏิเสธเสียงลั่น

“ผม ๆ เปล่า ๆ ทำเขานะลูกพี่ผมไม่ได้ทำอะไรเขา เขาตกลงมาจากรถเอง ถามทุกคนในรถเป็นพยานได้” หนุ่มหล่ออ้างคนโดยสารที่เห็นเหตุการณ์เป็นพยาน

“ใช่ ๆพวกเราทุกคนเป็นพยาน พ่อหนุ่มคนนี้ไม่ได้ทำให้นายกระเป๋าตกรถ แต่มันตกลงมาเอง แล้วนายหัวเห็นลูกน้องรังแกผู้โดยสาร ทำไมจึงไม่ห้าม” ใครๆ หลายคนพูดขึ้น

แล้วอีกหลาย ๆ เสียงก็สนับสนุนดังระงม ในทำนองว่า ถ้าจะเอาเรื่องนายหนุ่มหล่อ พวกเขาทุกคนพร้อมที่จะเป็นพยาน ทำให้นายโชเฟอร์รถเมล์รีบเข้าไปยกร่างคนของตนขึ้นมาและก็ได้อาศัยนายหนุ่มหล่อที่เกือบจะกลายเป็นคนตกจากรถจากการกระทำของนายกระเป๋ารถจอมโหด ช่วยประคองร่างที่เพิ่งจะได้สติของนายกระเป๋ารถกลับขึ้นรถเพื่อเดินทางกันต่อไป…




Create Date : 05 มีนาคม 2557
Last Update : 5 มีนาคม 2557 11:22:14 น. 0 comments
Counter : 1175 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

pantamuang
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]




ไม่อยู่อย่างอยาก แต่ยังอยากจะอยู่
อยู่อย่างไม่ลำบาก เวลาที่เหลือน้อยรีบสอยรีบคว้า
ก่อนจะหมดเวลาให้สอย

ดวงดาวบนฟ้าก็สอยได้ ถ้ารู้จักต่อด้ามฝันให้ยาวพอ

ฝันถึงไหนก็ได้ มีสิทธิ์ฝัน แต่จะเป็นจริงหรือไม่ช่างฝัน
เพราะสิ่งที่ฝันคือนวนิยาย..

ชีวิตก็คือนวนิยายเรื่องหนึ่ง ที่เราเป็นผู้เขียนและกำกับ.

เริ่ม 9 กันยายน 2550

Friends' blogs
[Add pantamuang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.