...คิดว่ายังมีความหวัง ตราบที่ยังมีลมหายใจ...
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
8 กรกฏาคม 2550
 
All Blogs
 
เมืองเทวดา ๑



(เมืองผีดิบ ภาค ๒)
เมืองเทวดา
..ไพบูลย์ พันธ์เมือง..

คำชี้แจง...
นิยายเรื่องนี้เป็นสมมุติเหตุการณ์ แต่พยายามเทียบเคียงและอิงกับเหตุการณ์จริงของบ้านเมือง ซึ่งถ้าท่านมาอ่านแล้ว ก็ขอได้โปรดรับทราบไว้ด้วยว่า จุดมุ่งหมายในการเขียนนิยายเรื่องนี้ ผู้เขียนต้องการเพียงกระตุ้นต่อมธรรมะของผู้คน ให้หวนกลับมาพินิจพิจารณาและใคร่ครวญ วิถีชีวิตบางสิ่งบางอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น แต่ไม่บังอาจสอนหรือชี้แนะผู้ใด นอกจากในสายตาของผู้เขียนมองสภาวะปัจจุบัน ว่าผู้คนห่างธรรมะ และหันไปยึดถือ เทิดทูน วัตถุนิยมเหมือนเป็นพระเจ้าองค์ใหม่ ทำให้วิถีชีวิตแบบพอเพียงซึ่งที่จริงมีมาแต่ดั้ง ๆ เดิม ๆ สมัยปู่ย่า ตายาย ต้องเลือนหาย จนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่รัชกาลปัจจุบันต้องมารื้อฟื้น ดังนั้น “เทวดา” ก็คือ “สัญลักษณ์” เช่นเดียวกับ “ผีดิบ” และยังเป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกับนิยายเรื่อง “เมืองผีดิบ” เพราะนิยายเรื่อง “เมืองผีดิบ” เขียนตั้งใจจะเขียน ๓ ภาค คือภาค ๑ เมืองผีดิบ ภาค ๒ เมืองเทวดา และภาค ๓เมืองพระอริยะ จากนั้นก็จะจบเรื่อง
และเพื่อที่จะให้ท่านผู้อ่านได้อรรถรสที่สมบูรณ์ ผู้เขียนข้อแนะนำให้ท่านซื้อ หรืออ่านนิยาย เมืองผีดิบที่กำลังวางตลาดอยู่ในขณะนี้อ่านดูก่อนนะครับ เรื่องราวจะได้ประสานกัน

อ้อ มีอีกอย่างที่ใคร่จะชี้แจง คือจุดยืนของผู้เขียนในการเขียนนิยายเรื่องนี้ ผู้เขียนมิได้เข้าข้างหรือเชียร์ฝ่ายพรรคการเมืองใด แต่จะเสนอไปตามมโนทัศน์ที่ผู้เขียนมอง จากมุมของผู้เขียนเท่านั้น ขออย่าได้มากล่าวหาว่าผู้เขียนฝักใฝ่พรรคการเมืองพรรคโน้นพรรคนี้

เอาละรับเมื่อทราบจุดมุ่งหมายของผู้เขียนกันแล้ว ก็ขอเชิญทัศนา(อ่าน)นิยาย เมืองเทวดา แบบพอเป็นตัวอย่างไปก่อนนะครับ ก่อนจะไปถึงการรวมเล่มโดยสำนักพิมพ์ ซึ่งอาจจะไม่ได้นำมาลงทุกตอน ทั้งนี้ก็เพื่อ แฮ่ ๆ ท่านดักคอผมถูกต้องแล้วครับ งั้นผมผู้เขียนขอไม่พูดอะไรอีก เชิญรับชมตอนแรกได้เลยครับ


๑.

คืนหนึ่งในเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ดาวเทียมไทยชื่อ “เทวดาคม” (Dhewadacom) ได้ถูกยิงขึ้นสู่ท้องฟ้าในแถบแถวประเทศอเมริกาใต้ ทว่าดาวเทียมดวงนี้หาได้ผลิตขึ้นจากฝีมือคนไทยแบบซิง ๆ อย่างการผลิตลูกระเบิดขวด ของกลุ่มนักเรียนช่างกล หรือคนไทยชาวอีสานที่ผลิตบ้องไฟขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกก็หาไม่ เพราะเป็นการผลิตโดยบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินโบอิ้งของสหรัฐอเมริกา และบริษัทของประเทศฝรั่งเศสรับจ้างยิงดาวเทียมขึ้นฟ้า เป็นซึ่งตอนนั้นเหนือฟ้าหลังคาโลก มีดาวเทียมของประเทศต่าง ๆ ถูกส่งขึ้นไปโคจร ในอวกาศ ไปเป็นกล้องทิพย์เนตรหรือดวงตาเทวดา คอยสอดส่องมองลงมาดูความเป็นไปในบรรยากาศโลก กันนับสิบ ๆ ดวง กระทั่ง (แอบ)ดูความเป็นไป ใครทำอะไร ในประเทศต่าง ๆ บนผิวพื้นโลกไปทั่ว…

โดยก่อนหน้านั้น ประเทศไทยต้องไปเช่าพื้นที่ในดาวเทียม “ปาลาปาเอเชียแซท” ของอินโดนีเซียเพื่อ ใช้ในการถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ ส่ง“บ่อนการพนันขนาดใหญ่” ในชื่อว่า “ฟุตบอลโลก” เข้าไปเปลี่ยนวิถีชีวิตให้ผู้ที่อยากรวย รวยลัด หรือ ‘ฉิบหาย’ กันในทันตาเห็น (และพอหลังฟุตบอลโลกจบ ก็มีการตามไล่ล่าฆ่า ข่มขู่ ทวงหนี้ผู้ที่เสียพนัน จากผู้ที่ชนะการพนันแต่ลูกหนี้ไม่ยอมจ่ายค่าเสียพนัน)

แต่นั่นถือว่าเป็นโทษอันปลีกย่อย ของการมีดาวเทียม ส่วนประโยชน์ใหญ่ คือ ทำให้ประเทศไทยมีหน้ามีตา มีผลดีเกิดขึ้น เช่น สามารถลบล้างความงมงาย ของคนที่ยังเชื่อว่าโลกแบน ได้เปลี่ยนความเชื่อที่กล่าวสืบทอดกันมาตั้งแต่มีมนุษย์ว่า -โลกแบนเป็นแผ่นกระดาน ลอยอยู่ในทะเล มีปลาอานนท์ ๒ ตัวคอยหนุนอยู่ข้างใต้ และมีภูเขา ทับชายขอบไว้กันพลิกคว่ำจมน้ำ- ให้มาเชื่อว่า โลกกลม หมุนรอบตัวเอง และหมุนไปรอบๆ ดวงอาทิตย์ ประโยชน์ข้อหลังนี้จึงเป็นประโยชน์ในทางด้านการศึกษาแบบก้าวกระโดด…

เพราะครั้งหนึ่ง คือ เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ สหรัฐอเมริกา ส่งยานอพอลโล่ มีนีล อาร์มสตรอง และเอ็ดวิน อัลดริน นำยานอีเกิ้ลไปลงเหยียบพื้นผิวดวงจันทร์ และถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์ให้ผู้คนได้ชมกันไปทั่วโลก และทั่วทุกภาคของประเทศไทย ครั้งนั้นก็ยังมีคนที่เถียงแบบหัวชนฝา… และไม่ยอมเชื่อเพราะคนพวกนี้พูดว่า -ฝรั่งมันโกหก มันสร้างเป็นหนังมาฉายเราให้ดู ฉากต่างๆ ที่มนุษย์ไปเหยียบพื้นผิวดวงจันทร์ ถูกทำขึ้นในโรงถ่าย หาใช่เป็นเรื่องจริงไม่- ทั้ง ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ไทย คือ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ก็ได้ไปร่วมอยู่ในทีมงานส่งยานอวกาศ โดยเป็นผู้คิดประดิษฐ์อุปกรณ์สำหรับให้ยานอวกาศ ลงจอดบนพื้นผิวดวงจันทร์ ได้เป็นผลสำเร็จด้วยในครั้งนั้น คนที่ค้านหัวชนฝาจนหัวโนก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี…

ส่วนครั้งนี้( ปี พ.ศ. ๒๕๓๖ - ต้นปี ๒๕๓๗) แม้ดาวเทียม “เทวดาคม” จะได้ขึ้นไปลอยล่องอยู่เหนือน่านฟ้า ของประเทศในเอเชียอาคเนย์ ๗-๘ ประเทศ เช่น ลาว กัมพูชา เมียนมาร์ อินเดีย เวียตนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลี ญี่ปุ่น และชายฝั่งตะวันออกของประเทศจีน แล้ว กลุ่มคนที่สมองยังไม่ยอมวิวัฒนาการจากไดโนเสาร์ คือ ตัวใหญ่แต่สมองลีบเล็ก ก็ยังจุดธูปเทียน ปากพร่ำบ่นภาวนา และใช้มือขัดถู ผิวเปลือก ต้นโพ ต้นไทร ต้นกล้วย… กราบไหว้เทวดาที่มองไม่เห็น ขอเลข ขอหวย แทงหวยแทงเบอร์ (เป็นบริวารให้พวกผีดิบดูดกินเลือดและหยาดเหงื่อแรงงานกันต่อไปอีกไม่มีวันเลิกรา)
ส่วนผู้ที่บุกเบิกจนทำให้ประเทศไทยมีดาวเทียมเป็นดวงแรก คือ ดร. ธนาคม เทพเทวา นักธุรกิจผู้ซึ่งเกิดในประเทศไทย ผู้ซึ่งมองเห็นและคิดการณ์ไกล โดยอาศัยประสบการณ์ที่เคยร่วมหุ้นลงทุนทำธุรกิจด้านการสื่อสารคมนาคมและไอที กับบริษัทต่าง ๆ ในยุโรป อเมริกา และประเทศอื่น ๆ อีกสิบกว่าประเทศ พร้อมทั้งจัดตั้งบริษัท เทพเทวา แซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) ทำธุรกิจการสื่อสารผ่านดาวเทียม แบบผูกขาดแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย

และคืนเดียวกันนี้…
บนพื้นแผ่นดินแหลมใหญ่หรือคาบสมุทรอินโดจีน ในเขตอำเภอทิวสน ภาคใต้ของประเทศไทย กลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่ง ต่างกำลังเริงระรื่นในความสำเร็จ ที่ได้รับชัยชนะจากการถูกปราบปราม ของคณะ ที่เรียกตัวเองว่า “กลุ่มเทิดไท้ผดุงธรรม” ทำให้หลายคนในกลุ่มนี้ ต้องหลบลี้หนีหน้าไปจากอำเภอทิวสน เหล่ากลุ่มบุคคลผู้ชนะจึงต่างยินดีปรีดา มานั่งดื่มกินเลี้ยงฉลองความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เพราะความสำเร็จครั้งนี้ไม่ใช่แค่ที่พวกเขาสามารถกำจัดฝ่ายตรงข้ามออกไป จากอำเภอทิวสนได้เพียงเท่านั้น แต่เป็นความสำเร็จในระดับจังหวัด ภาค และความสำเร็จในระดับประเทศอีกอเนกนานาประการ….

สถานที่ที่บุคคลกลุ่มนี้พากันชุมนุมและร่วมดื่มกิน คือที่สวนอาหารกลางทุ่งชื่อ “Nongnan” หรือชื่อในภาษาไทยว่า “น้องแนน” ตั้งอยู่ติดถนนที่ตัดเลียบชายทะเลของอำเภอทิวสน ไปสู่ตัวจังหวัดชุมพร และอยู่ห่างจากตลาดทิวสนออกมาประมาณ ๕๐๐ เมตร จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีรถยนต์ขับมาจอด เพราะไม่อยู่ในย่านชุมนุมชน บวกกับร้านอาหารประเภทมีนักร้องขับกล่อมแขก(และบริการอย่างอื่นด้วย) ในอำเภอนี้มีแต่ร้านน้องแนนร้านเดียว ไม่มีคู่แข่งทางการค้า จึงมีแขกไม่เคยขาด และแขกที่มาอุดหนุนอาหารร้านน้องแนนเป็นประจำ ก็คือกลุ่มคนที่อยู่ในร้านขณะนี้…

ความจริงร้านอาหารประเภทนี้เคยเปิดขึ้นหลายร้าน ในช่วงที่อดีตนายอำเภอเกียรติศักดิ์ รักเกียรติภูมิ เป็นนายอำเภอและ พ.ต.อ. พรหมพงศ์ อิทธิเดช เป็นสารวัตรใหญ่ ทว่าตอนนั้นทุกร้านไม่ค่อยมีแขกเพราะผู้คนต่างกลัวข่าวลือเรื่องขบวนการผีดิบ พากันหันไปกินอาหารมังสวิรัติบ้าง อยู่แต่กับบ้านกับช่องกันเสียบ้างไม่กล้าออกมาเที่ยวกลางคืน แต่พอมาตอนนี้ ผู้คนที่ออกมาแบ่งได้เป็น ๓ กลุ่ม

กลุ่มที่หนึ่งปฏิเสธเรื่องขบวนการผีดิบว่าไม่มีจริง เป็นการใส่ร้ายป้ายสีเพื่อทำลายกัน ของพวกมีความคิดแบบโบราณ หรืออนุรักษ์นิยม

กลุ่มที่สองเชื่อว่าขบวนการผีดิบ ถูกทำลายไปแล้วในงานเผาศพเถนจันดา โดยหลวงพ่อกฤติยากับคณะของอดีตนายอำเภอพรหมพงศ์ อิทธิเดช จึงไม่น่าที่จะต้องกลัวอะไรอีก

กลุ่มที่สามเชื่อว่า -ขบวนการผีดิบยังปะปนอยู่ในสังคมอำเภอทิวสน และจังหวัดใกล้เคียง ๖๐ ถึง ๗๐เปอร์เซ็นต์ของผู้คน จึงต้องถือศีลกินเจกันต่อไป-

กลุ่มที่อยู่ในร้านอาหารน้องแนน จึงนับได้ว่าเป็นพวกกลุ่มที่ ๑

เวลาขณะนั้น ๓ ทุ่มเศษ ๆ ซึ่งเป็นช่วงต้นฤดูหนาวปลายเดือนธันวาคม ลมหนาวที่พัดมาจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เขย่าซุ้มหลังคาจากและยอดไม้ที่ปลูกไว้ในบริเวณสวนอาหารดัง

หวู ๆ… หวีด ๆ… หวิว ๆ…

ดุจเสียงภูตผีปิศาจ ทำให้อากาศที่เย็นอยู่แล้วยิ่งเย็นขึ้นอีก บนถนนหน้าร้านอาหารมีแต่ความเงียบสงัดปราศจากรถรา แม้แต่รถมอเตอร์ไซค์ของชาวบ้านที่จะแล่นผ่านมาสักคัน บางช่วงมีเสียงหมาหอนดังมาจากที่ไกล ๆ

“เฮอะ ๆ ๆ ไอ้พรหมพงศ์ มันสะเออะมาลงสมัคร สส.แข่งกับท่านเวโรจน์ รวมพล สุดท้ายก็แพ้ท่านเวโรจน์ รวมพล หลุดลุ่ย ตอนนี้มันเลยเสียอนาคตทั้งการเมืองและราชการ หายหัวไปจากจังหวัดเรา” 05 หรือปลัดทับ ทิวทอง พูดเปิดประเด็นขึ้น พลางจิบเบียร์สีเหลือง ๆ ที่รินออกมาจากขวดสีเขียว

“ใช่ คราวนี้ เชื่อเถอะว่า พวกมันไม่สามารถที่จะกลับมาทำอะไรพวกเราได้ อีกแล้ว” 07 หรืออดีต
ร.ต.อ.มหิทธิ์ มนศักดิ์ ที่ปัจจุบันได้เลื่อนยศเป็น พ.ต.ต.มหิทธิ์ มนศักดิ์ ดำรงตำแหน่ง สวป. สภ.อ.ทิวสนแทน พ.ต.ต.วิเวก สร้างโศกพูด

“ตอนนี้คนของเราได้รับการพิสูจน์ จากประชาชนทุกภาคส่วน โดยการเลือกเข้าไปเป็น สส. แสดงว่าประชาชนยอมรับคนของเรา พวกเรากำลังจะได้เป็นใหญ่ ท่านหนึ่งศูนย์ ทวีศักดิ์ ธนสาร จะได้เป็น…”

“ผมว่า ตอนนี้การเมืองยังไม่นิ่ง ทุกอย่างเป็นแค่ข่าว เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งพูดดีกว่า…”

รหัส 13 (หนึ่งสาม) หรือนายจำเริญ ถนอมชาติ สรรพากรอำเภอขัดขึ้น เพราะเขาเป็นผู้หาเงินส่งเข้ากระทรวงการคลัง รู้ดีว่าฐานะของประเทศเป็นอย่างไร ผู้คนยิ่งยากจนลง การเก็บภาษีเก็บได้น้อยไม่มีงบประมาณจัดสรรค์ให้กระทรวงทบวงกรมต่าง ๆ ผู้คนเจ็บป่วยและอ่อนแอมากขึ้น ไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาล ซึ่งทั้งหมดมาจากการมีขบวนการผีดิบในประเทศ…จึงรีบขัดขึ้นแต่ก็ไม่อาจที่จะเบี่ยงเบนให้สมาชิกคนอื่น ๆ เลิกพูดเรื่องที่เป็นความหวังกันลงได้…

“แล้วศูนย์สามกับศูนย์สี่ล่ะ จะได้ตำแหน่งอะไรกับเขาบ้าง?” 10 (หนึ่งศูนย์) นายทวีศักดิ์ ธนสาร เกษตรอำเภอยังไม่ยอมหยุดถาม ตามที่ 13 (หนึ่งสาม) นายจำเริญ ถนอมชาติ ขัดคอ…

เป็นที่รู้กันในหมู่ผู้บริหารสมาคมชีวิตอมตะ หรือแวมไพร์คลับ ว่า 03 คือนายแสง โศกี ส่วน 04 คือนายไวเวศย์ วัญจนะ และก่อนที่ 10 (หนึ่งศูนย์) หรือนายทวีศักดิ์ ธนสาร จะเข้ามาเป็นสมาชิกของสมาคมชีวิตอมตะ เขาย้ายมาจากอำเภอหนึ่งของจังหวัดภาคใต้ตอนล่าง มาเป็นเกษตรอำเภอที่อำเภอทิวสน

ความคิดแรกสุดนายทวีศักดิ์ ธนสาร สงสัยว่า นายไวเวศย์ วัญจนะ มีตำแหน่งในสำนักงานเกษตร แค่นักการภารโรง แต่ทำไมมีรถยนต์ยี่ห้อดังราคาแพงที่ระดับเศรษฐีเท่านั้นใช้ และนอกจากรถยนต์คันดังกล่าว บ้านบนเนินเขา ติดลำคลอง อันอยู่นอกเขตรั้วสำนักงานเกษตรนั้นเล่า ก็สวยงามหรูหรา มีราคาหลายล้าน…นายไวเวศย์ไปทำธุรกิจอะไรมาจึงร่ำรวย…

ซึ่งเมื่อพออยู่ทำงานร่วมกันมา นายทวีศักดิ์ ธนสาร ก็ค่อย ๆ ถูกนายไวเวศย์ชี้แนะ ชี้นำและเกลี้ยกล่อมวันละนิดวันละหน่อย ให้นายทวีศักดิ์มาเป็นผู้ร่วมงานกับตน แล้ววันแรกที่นายทวีศักดิ์ ธนสารบอกตกลง นายไวเวศย์ก็มอบเงินให้นายทวีศักดิ์ ธนสารใช้ เดือนแรก ๑๐๐,๐๐๐ บาท โดยไม่มีเงื่อนไข ปรกตินายทวีศักดิ์ ซึ่งตอนนั้นมีเงินเดือนแค่เดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท เห็นว่าตนมีรายได้ จากการเข้าไปมีชื่อเป็นคณะกรรมการ ในสมาคมชีวิตอมตะนี้เกิดผล ดีเพียงไร และเงินจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อย ๆ ถ้านายทวีศักดิ์ ธนสาร มีความสัตย์ซื่อ เชื่อถือในกิจการของสมาคมแวมไพร์คลับ…

แล้วต่อมานายไวเวศย์ก็ถอยรถยนต์นั่งยี่ห้อเบนซ์ มาให้นายทวีศักดิ์ใช้ขับไปไหนมาไหนอีก ๑ คัน นั่นหมายความว่า นายทวีศักดิ์ ธนสาร ยอมตกลงและยอมเข้ามาร่วมเป็นคณะกรรมการ ในลำดับที่ ๑๐ มีรหัสว่า 10 (หนึ่งศูนย์)และได้เป็นสมาชิกระดับบริหาร ตามนโยบายของสมาคมแวมไพร์ หรือในชื่อไทยว่า “สมาคมชีวิตอมตะ” ที่ต้องการให้ข้าราชการที่มีตำแหน่งระดับหัวหน้าส่วนราชการ ได้เข้าไปเป็นสมาชิกระดับบริหาร เพื่อจะได้ช่วยกันก่อสานธำรงรักษาอุดมการณ์และธุรกิจของสมาคม ให้กิจการของสมาคมมีความเข้มแข็ง ไม่ถูกทำลายล้างลงได้โดยง่าย
ต่อมา นายไวเวศย์สร้างบ้านตึก ๒ ชั้น สวยงามทันสมัยให้นายทวีศักดิ์ ธนสาร อีก ๑ หลัง โดยสร้างขึ้นบนเนินเขาข้างสำนักงานเกษตร แต่อยู่ในเขตที่ดินของนายไวเวศย์ ไม่ได้อยู่ในเขตที่ดินที่ทางราชการกระทรวงเกษตรมาซื้อไว้ ชั้นล่างของตัวบ้านมีทางลงไปสู่ห้องใต้ดิน และมีอุโมงค์โยงใยทะลุไปออกถ้ำต่าง ๆ ทั่วถึงกันหมด อันเป็นอาณาจักรใต้ดินของสมาคมชีวิตอมตะ ที่ไม่อาจให้บุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกรู้ได้เป็นอันขาด

เท่านั้นยังไม่พอนายไวเวศย์ยังไปนำ ครูสาว ๕ คน จากโรงเรียนประชานุกูล ที่เป็นบริวารและสมาชิกสายตรงของตน มาให้เป็นเครื่องประเทืองกามของนายทวีศักดิ์ และแม้ว่าตอนนี้ครูสาว ๕ คนจะเสียชีวิตไปหมดแล้ว ทว่าก็ทำให้นายทวีศักดิ์ รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของ 04 นายไวเวศย์ แม้ว่าการเข้ามาเป็นกรรมการของนายทวีศักดิ์ ธนสาร จะทำให้นายทวีศักดิ์ ธนสาร ต้องมีฐานะในสมาคมชีวิตอมตะ อันดับต่ำกว่าตำแหน่งของนายไวเวศย์ วัญจนะ…

ดังนั้นการที่นายไวเวศย์มีตำแหน่งแค่ภารโรง ในสำนักงานเกษตรที่นายทวีศักดิ์ ธนสาร เป็นหัวหน้า จึงหาได้มีความสำคัญอันใดไม่ นายไวเวศย์จึงมีตำแหน่งงานภารโรงบังหน้า แถมว่าจ้างให้คนอื่นไปทำแทน…

สมาชิกหรือกรรมการระดับบริหาร เมื่อต้องเข้าประชุมร่วมกับสมาชิกทั้งหมด จะต้องมีชุดพิเศษและสวมถุงคลุมหน้า พร้อมเรียกขานกันด้วยหมายเลขรหัสแทนชื่อ ขณะที่สมาชิกระดับล่าง มักเป็นประชาชนคนธรรมดาหรืออาจมีครู พยาบาล และข้าราชการชั้นปลายแถวปะปนอยู่ด้วย ก็ไม่ต้องใช้ถุงคลุมหน้าและจะเรียกขานกันด้วยชื่อจริงหรือ รหัสก็ได้

วันนี้เมื่อไม่มีใครพูดถึง 04 นายไวเวศย์ วัญจนะ นายทวีศักดิ์ ธนสาร จึงต้องพูด

“ศูนย์สี่จะได้เป็นเลขาของท่านวรุฒ รวมพล ส่วนศูนย์สามจะได้ไปเป็นเลขาของท่านสมพร มาลาจันทร์ เพราะทั้งท่านวรุฒและท่านสมพร อาจจะได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งในไม่ช้า” 07 พ.ต.ต.มหิทธิ์ มนศักดิ์ พูดให้กำลังใจคณะผู้บริหารสมาคม พลางชายตามองไปทางปลัดทับ ทิวทอง

“ถ้าได้อย่างนั้นก็ดี แต่ที่ผมถามเพราะกลัวว่าศูนย์สามและศูนย์สี่จะน้อยใจ… ดูซิ คืนนี้ ทั้งศูนย์สามและศูนย์สี่ไม่ยอมมาร่วมดื่มสังสรรค์กับเรา” 10 (หนึ่งศูนย์) หรือ นายทวีศักดิ์ ธนสาร เกษตรอำเภอพูดอีก

“ทั้งศูนย์สามและศูนย์สี่ ถูกท่านวรุฒกับท่านสมพร เรียกไปพบที่บ้าน คืนนี้เลยมาไม่ได้” 07 หรือ พ.ต.ต.มหิทธิ์ มนศักดิ์ ที่เพิ่งจะได้เลื่อนยศจาก ร้อยตำรวจเอกเป็น พันตำรวจตรี พูดให้สมาชิกระดับสำคัญเข้าใจกัน
“นอกจากศูนย์สามกับศูนย์สี่ หนึ่งห้า(15)หมอปราณ กาฬปักษ์ ก็ไม่มาร่วมกับเรา”

รหัสหนึ่งสี่(14)นายบุญล้อม มีลาภ ศึกษาธิการอำเภอที่จะได้เลื่อนไปเป็นศึกษาธิการจังหวัดพูดและตั้งข้อสังเกต กลัวเพื่อนข้าราชการจะแปรพักตร์ เพราะเมื่อไม่มี พ.ต.ต.วิเวกเสียแล้ว เขาสังเกตเห็นว่า สมาชิกหลายคนเริ่มจะรวนเร และข้อนี้จะนำภัยมาสู่สมาคมชีวิตอมตะ

“หนึ่งห้า หมอปราณ… ศูนย์หนึ่งเรียกตัวไปดูแลท่านศูนย์สอง” พ.ต.ต.มหิทธิ์ มนศักดิ์ พูดแก้พยายามที่จะไม่ให้สมาชิกระดับบริหาร ข้องใจเรื่องสถานภาพปัจจุบันของสมาคม และว่า

“หมอปราณทำงานให้เรามาตลอดแต่ไม่ค่อยจะได้ปรากฏตัว เพราะเขามีงานมาก ได้ข่าวว่านอกเวลายังเข้าไปเป็นหมอโรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดด้วย แต่ไม่เป็นไรหรอกเพราะศูนย์สองถ้าไม่ได้หนึ่งห้าส่งพยาบาล สาวพรหมจารีสองคน ให้ไปดูแลศูนย์สองอาจจะยังไม่ฟื้นก็ได้”

“ยังไม่ฟื้น”

“ยังไม่ฟื้น?!”

“?!?”

“!!??!!”
“…………..”

คำพูดคำนี้ ของ พ.ต.ต.มหิทธิ์ มนศักดิ์ ทำให้สมาชิกระดับกรรมการบริหารแอบสบตากัน ทั้ง ๆ ที่สบตากันไม่เห็นเพราะไฟค่อนข้างสลัวมัว แต่อาการที่บุ้ยปากคล้ายจะพูดเหมือน ๆ กันว่า

‘ที่พยาบาลสาวสองคนต้องสังเวยชีวิตไป พร้อมกับครูสาวอีก ๕ คนนั่นนะหรือ คือผลที่ทำความดีของหนึ่งห้า หมอปราณ ที่ส่งลูกน้องพยาบาลไปตาย แล้วพยาบาลสองคนนั่นนะ ตอนนี้เป็นสมาชิกมหาอมตะนิรันดร์กาล(ผีดิบ)ไปแล้ว’ ซึ่งแต่ละคนคิดว่าพอจะมองอาการกันออก ทว่าก็ต่างพากันนิ่งเพราะเกรงใจ 07 หรือ พ.ต.ต.มหิทธิ์ มนศักดิ์

“แล้วตกลงผู้กำกับคนใหม่ ใครจะมาเป็น” รหัส 12 (หนึ่งสอง) กำนันแผน พงศ์ฤทธิ์ หันมาถามเรื่องบนสถานีตำรวจภูธร อำเภอทิวสน เพราะหากสารวัตรใหญ่ที่จะย้ายมาถ้าไม่ใช่พวกเดียวกับตน การทำงานของสมาคม(เถื่อน)แวมไพร์คลับ หรือ สมาคมชีวิตอมตะอาจจะไม่ราบรื่น

“ข้อนี้ฝากไว้กับท่าน ศูนย์หก ที่จะพูดกับท่านธรวิช ร.ม.ว.มหาดไทย ว่าจะให้ใครมาเป็น แต่ตอนนี้ ท่านศูนย์เจ็ดก็รักษาการณ์ตำแหน่ง สารวัตรใหญ่ด้วยอยู่แล้วนี่ จะไปมีปัญหาอะไรอีก” รหัส 11 ผู้จัดการธนาคาร...พูดขึ้นอย่างเอาใจ

“เรื่อง สส.ของเราที่จะก้าวไปสู่ตำแหน่งรัฐมนตรี ผมไม่เป็นห่วง เพราะเห็นอยู่แล้วว่า ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศของเราตอนนี้ เป็นพวกของเรา แต่ที่ผมยังเป็นห่วงก็คือว่า ตอนนี้ในสมาคมของเราใครเป็นผู้สั่งการ หลังจากที่คุณวอหรือศูนย์สองไม่อาจจะสั่งการได้อีก” ผู้ถามคือ กำนันแผน พงศ์ฤทธิ์

“ก็ศูนย์หนึ่งไง ศูนย์หนึ่งยังไม่ได้ไปไหน เมื่อก่อนศูนย์หนึ่งก็สั่งการผ่านศูนย์สอง ตอนนี้ศูนย์สองยังป่วยรับคำสั่งจากศูนย์หนึ่งไม่ได้ ศูนย์หนึ่งก็สั่งการผ่านมาทางผม” 07 พ.ต.ต.มหิทธิ์ มนศักดิ์ พยายามที่จะให้สมาชิกระดับบริหารทุก ๆ คนเลิกกังวลเรื่องปัญหาคนสั่งการ

“ตั้งแต่ต้นที่พวกเรามาสมัครเป็นสมาชิก เรายังไม่รู้เคยเลยว่าศูนย์หนึ่งคือใคร ท่านศูนย์เจ็ดรู้ใช่ไหม บอกพวกเราบ้างซี?” รหัส 13 นายจำเริญ ถนอมชาติ สรรพากรอำเภอถาม 07 หรือ พ.ต.ต.มหิทธิ์ มนศักดิ์

“ใช่ เรื่องนี้สมาชิกระดับบริหารทุกคนควรจะรู้” รหัสหนึ่งสอง กำนันแผน พงศ์ฤทธิ์ สนับสนุนให้เปิดเผย
“แล้วพวกคุณจะอยากรู้ไปทำไม?” ศูนย์เจ็ด(07) ลงเสียงหนักอย่างไม่ค่อยพอใจ ที่ยังเฝ้าถามกันไม่เลิก

“ก็รู้ไว้บ้าง ดีกว่าคอยรับแต่คำสั่ง พวกเราควรจะรู้ว่าตอนนี้สมาคมของเรา ใครเป็นหัวหน้าใหญ่” กำนันแผน พงศ์ฤทธิ์ ซึ่งถือว่าตนปกครองคนทั้งหมดในตำบลทิวสนพูดขึ้นแบบไว้เชิง และว่า “อันที่จริงตอนนี้พวกเราต่างโล่งอกที่พวกไอ้สารวัตรใหญ่ ไอ้นายอำเภอ ไอ้ปลัดขิก พากันโดนไล่ออกบ้าง ถูกย้ายแพ้พ่ายภัยตัวเอง แตกฉานซ่าน
กระเซ็นกันไปคนละทิศละทาง ทำให้เหลือแต่ผู้ที่เป็นพวกของเรา แต่งานที่พวกเราจะต้องดำเนินการกันต่อไปจะต้องให้เคลียร์ อย่าให้มีข้อเคลือบแคลง”

ทำให้แต่ละคนต่างอึ้งกันไป และต่างยกเบียร์ในแก้วที่รินจากขวดสีเขียว มียี่ห้อเป็นภาษาฝรั่ง ผลิตในต่างประเทศ แต่ส่งมาขายในเมืองไทยขึ้นดื่มเอา ๆ ซึ่งรู้กันในหมู่มวลสมาชิกสมาคมผีดิบว่า ‘มีส่วนผสมที่สะกัดไปจากเลือดของมนุษย์ ทำให้ดื่มแล้วยิ่งเพิ่มความเป็นอมตะ มีพละกำลังและไม่แก่เร็ว’

“เอ๊ะ! ใครนะ ปลัดขิก ผมรู้จักแต่ปลัดไข่” รหัสหนึ่งสาม(13) นายจำเริญ ถนอมชาติ สรรพากรอำเภอถามขึ้นด้วยเสียงหัวเราะ

“ปลัดขิกก็ปลัดไข่นั่นแหละ ผมเกลียดมันเลยไม่อยากเรียกชื่อเพราะ ๆ ของมัน มันคนเดียวที่ทำให้กิจการของเราเกือบพินาศ ยังดีที่พวกผู้หลักผู้ใหญ่ระดับจังหวัด ระดับกรมและกระทรวง ยังเป็นพวกของเราไม่งั้น พวกเราไม่ได้มานั่งหน้าสะแหล็นกันอยู่ยังงี้หรอก” กำนันแผน พงศ์ฤทธิ์ พูดพร้อมจิบเบียร์ตามหลัง

“หนึ่งสองเลิกเกลียดมันได้แล้วแหละ ตอนนี้ไอ้ปลัดขิกหายหัวไปจากวงราชการไปอยู่มุมไหนของประเทศแล้วก็ไม่รู้ ส่วนไอ้เกียรติศักดิ์ เจ้านายมันไปขุดดินกินหัวเผือกหัวมันอยู่ในป่าที่อำเภอพะโต๊ะ”

รหัสหนึ่งสี่(14) นายบุญล้อม มีลาภ พูดแล้วหัวเราะ ฮ่า ๆ ๆ ทำให้ทุก ๆ ผีในซุ้มนั้นต่างหัวเราะไปด้วย…

ภายในซุ้มอาหารแต่ละซุ้มติดหลอดไฟแรงเทียนอ่อน ส่องแสงสลัว ๆ ไว้เพียงซุ้มละ ๑ หลอด จนผู้ที่ร่วมวงสนทนา หากไม่เคยเห็นหน้าเห็นตา รู้จักกันมาก่อน จะไม่สามารถสังเกตรายละเอียดหน้าตา ของแต่ละผู้ที่มาร่วมสนทนาและกินอาหาร ส่วนเสียงดนตรีและเสียงนักร้องบนเวที หากเป็นบุคคลภายนอกไม่ใช่ สมาชิกของขบวนการผีดิบมาฟัง จะรู้สึกว่านักร้องสาวแต่ละคนเสียงแหบเหมือนผีรำพึงหรือพรายกระซิบ บางครั้งก็ฟังโหยหวนเหมือนเสียงเปรตขอส่วนบุญ บางครั้งเหมือนได้รับความเจ็บปวด…

แต่อาศัยการเต้นส่าย ย้ายสะโพก โยกอกเอว… บวกการแต่งกายที่ใช้ผ้าน้อยชิ้นแถมเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อเปิดเปลือยพื้นที่บนร่างกาย โชว์อกเต่ง ขาขาว เรือนร่างอวบอิ่ม เรียกแขกได้มากกว่าเสียงร้อง ตอนหนึ่งจึงมีเสียงถามของผู้ที่อยู่ในซุ้ม แต่เป็นระดับปลายแถว ภาษาที่พูดจึงเป็นลูกทุ่งขนานแท้ว่า…

“เฮ้ย! อีนั่นมาใหม่เรอะ ไม่เคยเห็นหน้า…”

“โอใช่… น่ากัดไปทั้งตัว แบบนี้ถ้าได้กัด... แล้วดูด คงมันส์ระเบิด” ผู้พูดพูดพร้อมกับทำปากดังจ๊วบ ๆ มองเห็นเขี้ยวแหลมสะท้อนแสงไฟในความสลัว

“ถามไอ้หมอโท้ยดูซี ตัวนั้นขอเรียกมาดูดได้หรือเปล่า กลัวแต่จะเป็นเมียมันเสียอีกแหละ ไอ้หมอโท้ยชอบเป็นสมภารกินไก่วัด”

“ใช่ ทั้งนักร้อง พนักงานเสิร์ฟ ยันคนครัว…แม่ง เป็นเมียมันหมด ไม่ยักมีไว้แบ่งคนอื่นบ้าง…”

“ถึงเป็นเมียมัน ถ้าไม่ใช่ยายแน็ต แม่น้องแนนพวกเราก็เรียกมาดูดได้โว้ย ว่าแต่เอาเข้าจริงกูไม่แน่ใจว่าใครจะดูดใคร มึงจะดูดแม่นั่นหรือว่า แม่นั่นจะดูดมึงกันแน่?”

“ใช่ ถ้ายิ่งสวย ๆ อวบ ๆ น่ากัดอย่างนี้ละก็อย่าได้เผลอ… กูเองเคยโดนมาแล้ว ที่ชุมพร… สวยน้อยกว่านี้นิดหนึ่ง กูเรียกมาฟัดแล้วกะว่าจะดูด… ไอ้ห่…”

“ทำไมล่ะ?”

“แค่กูเผลอหลับตาเพราะความเสียวไปแป๊บ รู้สึกตัวอีกที…อีห่า มันดูดเลือดของกูไปเกือบหมดตัวแล้ว เดินเกือบไม่ตรงทาง… จำทิศมาบ้านที่ทิวสนแทบไม่ได้เลยมึงเอ๋ย”

“ฮาาาาา!”

มีเสียงฮาดังขึ้นพร้อม ๆ กัน เป็นเสียงหัวเราะของเหล่าสมาชิกขบวนการผีดิบระดับล่าง …เป็นเสียงแห่งความสุขที่สะท้อนไปไกลในยามราตรี เพราะมีแต่พวกมันเท่านั้น ที่มาเที่ยวกันในที่นี้ ขณะที่คนถือศีลกินเจไม่กล้ามา…

“มิน่า แต่ละตัวเลยพากันอวบอ้วน อวบอิ่มไปทั้งตัว ดูขาแต่ละข้างซี อือหือ…ราวกับต้นกล้วย” คนหนึ่งพูดหลังจากเสียงหัวเราะหยุดลงไป

“แต่คนอย่างกู ไม่มีวันให้เธอดูดของกูไปฝ่ายเดียวหรอก” อีกคนหนึ่งเสริมอย่างมั่นใจ “อย่างน้อยก็ผลัดกันดูด เอ็งดูดของข้า ข้าดูดของเอ็ง…ฮะ ฮ่า… กลับหัวกลับหาง แบบเลข 6 กับเลข 9 ฮ่า ๆ ๆ มันส์ยกร่อง ฟักทอง แตงโม…”

ผู้พูดยิ่งพูดยิ่งกระหาย ยิ่งเกิดอารมณ์ในจินตนาการ แต่ก็ทำได้แค่ทำปากจ๊วบ ๆ เพราะต้องหลีกทางให้กับบรรดาจ้าวนาย สมาชิกระดับกรรมการบริหารซึ่งเป็นหัวแถวก่อน…

แต่ขณะที่เหล่าพลพรรคครึ่งคนครึ่งผี นั่งพูดกันอย่างเมามันในอารมณ์และคาดว่า อีกประเดี๋ยวมันจะต้องไปหาที่ดูด ซึ่งถ้าที่ทิวสนไม่มีที่ให้ดูดเพราะเจ้านายจอง พวกมันก็จะต้องเข้าไปที่ในตัวเมือง เพราะมีแหล่งที่อีกมากมาย ที่จะให้พวกมันไปหาที่ดูดหรือถูกดูด ทว่า เสียงหวอก็ดังขึ้นเสียก่อน

หวออออออ….. หวออออออ…. หวอออออ….
หวออออออ….. หวออออออ…. หวอออออ….

อันบ่งบอกว่าในตลาดหรือไม่ก็ที่โรงพักกำลังมีเหตุร้าย ให้จ้าวนายที่เป็นตำรวจและข้าราชการอำเภอรีบไปโดยด่วน จ้าวนายที่เป็นตำรวจและข้าราชการอำเภอจึงต่างลุกพรึบ รีบวิ่งไปขึ้นรถเก๋งยี่ห้อเบนซ์ รถยนต์จิ๊ปเชอร์โรกีและจิ๊ปแลนด์โรเวอร์ อันเป็นรถยนต์ราคาแพง ขณะที่พวกพลตำรวจและจ่า ไปขึ้นคร่อมรถเครื่องหรือรถจักรยานยนต์

font>




Create Date : 08 กรกฎาคม 2550
Last Update : 8 กรกฎาคม 2550 13:45:25 น. 2 comments
Counter : 1058 Pageviews.

 

จัดให้ตามข้อเรียกร้องของคุณหทัยชนก แล้วครับ


โดย: lungboon (pantamuang ) วันที่: 8 กรกฎาคม 2550 เวลา:13:48:51 น.  

 
...ขอบคุณหลายๆๆๆๆ ค่ะ อาบูลย์...


โดย: หทัยชนก (Nok_Noah ) วันที่: 8 กรกฎาคม 2550 เวลา:19:48:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

pantamuang
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]




ไม่อยู่อย่างอยาก แต่ยังอยากจะอยู่
อยู่อย่างไม่ลำบาก เวลาที่เหลือน้อยรีบสอยรีบคว้า
ก่อนจะหมดเวลาให้สอย

ดวงดาวบนฟ้าก็สอยได้ ถ้ารู้จักต่อด้ามฝันให้ยาวพอ

ฝันถึงไหนก็ได้ มีสิทธิ์ฝัน แต่จะเป็นจริงหรือไม่ช่างฝัน
เพราะสิ่งที่ฝันคือนวนิยาย..

ชีวิตก็คือนวนิยายเรื่องหนึ่ง ที่เราเป็นผู้เขียนและกำกับ.

เริ่ม 9 กันยายน 2550

Friends' blogs
[Add pantamuang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.