|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
เมืองเทวดา ๗

เมืองเทวดา ๗.
อาโชคดีที่เข้ามาที่นี่วันแรก เจอนักปฏิบัติธรรม ถือศีล กินเจ ละเว้นจากอบายมุขไม่ดื่มสุรา คือเขาหนีสังคมผีดิบมาเหมือนกัน เขานี่แหละได้ให้ความรู้กับอาหลายอย่าง อาเลยคบเป็นเพื่อนที่ดีมาจนถึงทุกวันนี้ และทำให้อามาอยู่สุขสบายไร้ศัตรู ไปไหนไม่ต้องล็อคกุญแจบ้านก็เพราะเขา
เขาเป็นใคร ชื่ออะไรครับ?
เขาชื่อนิโรธ นิรามัย
ชื่อแปลก เขาอายุสักเท่าไหร่?
ก็ประมาณคุณนี่แหละ ประวัติเขาน่าสนใจ เขาเรียนศิลปะ จบปริญญาโทจากต่างประเทศ เคยเป็นอาจารย์สอนศิลปะในโรงเรียนเอกชนสี่ห้าแห่งในกรุงเทพ เงินเดือนของเขาตกเดือนละเหยียบแสน เขาต้องเลิกกับภรรยาหลังจากแต่งงานกันได้ไม่ถึงปี
เพราะอะไรครับ?
เขาเล่าว่า ทัศนะไม่ตรงกัน แต่บางคนหาว่าเขาบ้า ภรรยาของเขาก็หาว่าเขาบ้าจนรับไม่ได้
แล้วเขาเป็นแบบไหน?
เขาชอบต้นไม้ เขาเอาภาพถ่ายบ้านของเขามาให้อาดู เขาซื้อที่ดินปลูกบ้านไว้ในเนื้อที่ประมาณสัก ๒ งาน เขาปลูกต้นไม้ในบริเวณบ้านจนเต็มไปหมด เขาชอบพูดว่ากรุงเทพมีแต่ตึก เขาอยากให้มันเป็นป่า เขาชอบวาดรูปและเขียนบทกวีเกี่ยวกับป่า แรก ๆ เมียเขาพอรับได้ แต่ต่อ ๆ มาเธอรับไม่ได้ ตอนที่ต้นไม้ยื่นกิ่งเข้าไปในบ้าน เขายอมรื้อหลังคาและทุบฝาบ้านเพื่อให้ต้นไม้อยู่ เมียเขาไม่เห็นด้วย
เลยต้องแยกทาง อดีตปลัดอำเภอทาย
ยัง เขายังมีอะไรแปลกกว่านั้น
เช่น
เขาโกนผมจนเกลี้ยงแล้วก็แต่งชุดดำ กินอาหารมังสวิรัติ เขามีลูกชายวัยราว ๆ หนูจอมภพนี่แหละก็ให้โกนหัวแล้วแต่งชุดดำ
แบบนี้ถ้าไม่บ้าก็อัจฉริยะมาก ๆ ผมอยากรู้จักเสียแล้วซี สวนเขาอยู่ไกลจากสวนท่านมากไหมครับ?
อยู่ติด ๆ กับสวนของอานี่เอง ไปดูสวนเขาซี เขานี่แหละทำให้อาต้องปรับเปลี่ยนชีวิตใหม่ อยากอยู่กับธรรมชาติ เขาเป็นคนต่อต้านไฟฟ้า เขาไม่ยอมให้ไฟฟ้าเข้ามาในนี้
อ้าว! เหตุผลละครับ?
เขาว่า ถ้าในนี้มีไฟฟ้าเข้ามา พวกผีดิบโดยเฉพาะพวกครึ่งคนครึ่งผีจะเข้ามา เพราะพวกนี้ชอบไฟฟ้า
อดีตปลัดอำเภอยังคงถาม และอดีตนายอำเภอยังคงเล่า หรือตอบข้อสงสัย
เขาเป็นคนแปลก ผมอยากรู้จัก อยากไปหา ไปคุยด้วย อดีตปลัดอำเภอพูด
งั้นไปกัน
เดี๋ยวกลับมาจะได้กินอาหารเย็น อดีตนายอำเภอลุกขึ้นยืน ทั้งอดีตปลัดบุญฤทธิ์และจิราพัชรจึงลุกขึ้นตาม
จิจะอยู่กับลูกหรือจะไปด้วยกัน? คุณบุญฤทธิ์ถามภรรยาเมื่อลงบันไดมาถึงข้างล่าง
จิอยากไปด้วย แต่
เดี๋ยวถามน้องจอมก่อน เผื่อแกอยากจะไปด้วย เมื่อทุกคนมองไปที่ใต้ถุนบ้านก็เห็นว่า ชัชกับอ่อนยังนอนหลับตาอยู่บนพื้นที่ปูกระเบื้อง และเด็กชายรายงานต่อพ่อกับแม่ว่า
ผีดิบตายหมดแล้วครับ ถูกเทวดาปราบ ตอนนี้เหลือแต่คนดี ๆ อ้าว! คนดีจงลุกขึ้นมา อ่อนกับชัชจึงค่อย ๆ ลืมตาลุกขึ้นนั่งแล้วก็ยืน
น้องจอมเอาข้อความพวกนี้มาจากไหน? อดีตนายอำเภอฟังแล้วงงและรู้สึกเข้าท่า
น้องจอมเป็นเด็กอัจฉริยะครับ แกมักมีความคิดอะไรแปลก ๆ ผุดขึ้นมาในหัวของแกเสมอ นายอ่อนพูดในฐานะเป็นคนเลี้ยง และอยู่ใกล้ชิดกับน้องจอมมากกว่าผู้เป็นพ่อและแม่
โอ
งั้นรึ อดีตนายอำเภอพึมพำ สงสัยเทวดาจะมาเกิดเป็นน้องจอม- ทว่าประโยคสุดท้ายอดีตนายอำเภอไม่ได้พูดออกมา
ก่อนที่หมอปราณ กาฬปักษ์ จะถูกนำเข้าไปในถ้ำเพื่อจะให้เป็นอาหารของบรรดาโหงพราย ที่ถูกกักขังไว้ในถ้ำใต้ภูเขา หมอปราณ กาฬปักษ์ ได้เตรียมการณ์ตั้งรับชะตากรรมของตนที่อาจจะเกิดจากการเข้าไปพัวพันกับขบวนการผีดิบไว้พร้อมล่วงหน้านานเป็นปี
เพราะหมอปราณ กาฬปักษ์ รู้ว่า หลังจากที่ พ.ต.ต.วิเวก สร้างโศก ถูก ดร.เจ คีย์แมน ปลอมแปลงใบหน้าเป็นอดีต สวป.คนที่สองเข้าไปยิง พ.ต.ต. วิเวกตัวจริงถึงในเขตบริเวณบ้านพักของอดีตสารวัตรใหญ่ พ.ต.ท.พรหมพงศ์ อิทธิเดช จนถึงตายลงต่อหน้าของหลาย ๆ คนแล้ว หมอปราณ กาฬปักษ์ ก็คอยติดตามดูว่า พ.ต.ต.วิเวก ซึ่งยังรับราชการในตำแหน่ง สวป. อยู่ในขณะนั้นจะฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกจริงหรือไม่
และตัวหมอปราณก็เป็นผู้หนึ่ง ที่ถูกสมาชิกระดับบริหารของสมาคมแวมไพร์คลับ หรือขบวนการผีดิบมาตามตัวแกมบังคับให้เข้าไปคอยดูแลและช่วยรักษาอาการของอดีต พ.ต.ต.วิเวก อยู่ ซึ่งหมอปราณก็รู้และไม่เชื่อว่า คนที่ถูกฆ่าตายสิ้นลมหายใจไปแล้วจะกลับฟื้นขึ้นมาอีกได้
แต่ในเมื่อทั้งพระครูอุดมรัตนคุณากร หลวงพ่อบ่าย หลวงพ่อเบี่ยง หลวงพ่อเพี้ยน หลวงตาเงิน และคณะเถน ๆ ของสมาคมแวมไพร์ หรือขบวนการผีดิบอีกกว่า ๑๐ รูป ต่างยืนยันว่า ตนสามารถที่จะปลุกวิญญาณของอดีต พ.ต.ต.วิเวก ให้กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ และพระครูอุดม กล่าวอย่างมั่นใจกับหมอปราณ กาฬปักษ์ ว่า
การตายของท่าน พ.ต.ต.วิเวก ไม่ใช่การตายแบบสิ้นอายุขัย แต่ตายเพราะร่างกายของท่านถูกหัวกระสุนทำลายตรงจุดสำคัญ ดังนั้นถ้าเพียงหมอจะช่วยเยียวยารักษาสภาพร่างกายของ พ.ต.ต.วิเวกไว้อย่าให้ เน่าเปื่อยภายในสามสี่วัน พวกเราเหล่าเกจิอาจารย์มั่นใจว่า จะเรียกวิญญาณของท่าน พ.ต.ต.วิเวกกลับคืนมาเข้าร่างได้อย่างแน่นอน
หมอปราณ กาฬปักษ์ จึงได้ส่งนางพยาบาลสาวจำนวน ๒ คน ให้ไปเฝ้าดูแลและผลสุดท้ายคือ นางพยาบาลสาวทั้งสองกลายเป็น ๒ ศพแรก ที่ต้องสังเวยชีวิตให้แก่ปิศาจที่กลับมาเข้าร่างของ พ.ต.ต.วิเวก สร้างโศก ก่อนจะตามด้วยคณะ ๕ ครูสาว คือ ครูกิ่งแก้ว ครูอรไท ครูมยุรี ครูวิยะดา และครูสาวิตรี จากโรงเรียนประชานุกูล และผลที่ปรากฏออกมาชัดเจนในกาลต่อจากนั้น คือ พ.ต.ต.วิเวก สร้างโศก กลายเป็นผีดิบถาวร !!
หมอปราณ เป็นคนหนึ่งที่พยายามหลอกลวงกลุ่มขบวนการผีดิบให้สมาชิกระดับบริหารของสมาคมชีวิตอมตะ สมาคมแวมไพร์คลับ หรือสมาคมผีดิบเข้าใจว่า ตนเป็นสมาชิกของสมาคมหรือขบวนการผีดิบ เพราะเคยมอบเลือดที่ดูดมาได้จากผู้ที่มาบริจาคให้กับโรงพยาบาล ให้แวมไพร์คลับนำไปใช้ต่อชีวิตของสมาชิกสมาคมที่เจ็บป่วย ขาดเลือด แต่นั่นก็เพราะอยู่ในกรอบของหน้าที่ ๆ ต้องทำในฐานะหมอกับผู้ป่วย
ส่วนในความรู้สึกอันแท้จริง หมอปราณ กาฬปักษ์ หาได้นิยมนับถือหรือเลื่อมใสในแนวนิยมของสมาคมนี้ไม่ แต่หมอปราณรู้ตัวดีว่าตนไม่มีปัญญาและความสามารถ ที่จะต่อสู้ หรือป้องกันตัวโดยวิธีอื่นใด ที่จะรักษาชีวิตของตนไว้ได้ หากไม่ยอมทำเป็นว่าตนได้เข้าร่วมอยู่ในขบวนการของสมาคมชีวิตอมตะ อีกทั้งหมอปราณ กาฬปักษ์ ก็ยังมีภาระสำคัญ คือทุก ๆ เย็นหลังเลิกงานจากโรงพยาบาลในเวลา ๔ โมงเย็น หมอปราณ กาฬปักษ์ ต้องขับรถไปทำงานพิเศษหรือทำงานนอกเวลา โดยไปเป็นหมอรักษาคนไข้ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ที่อยู่ในตัวเมืองชุมพรเป็นประจำ
และพอเสร็จงานก็จะขับรถกลับ มานอนที่บ้านพักหมอที่อยู่หลังโรงพยาบาลทิวสนแทบทุกคืน เพื่อจะได้ตื่นตอนสาย ๆ ราว ๙ โมง เข้าไปนั่งตรวจคนไข้ในห้องทำงานบนโรงพยาบาลทิวสน ตอน ๙ โมงครึ่งถึง ๑๐ โมงได้โดยไม่น่าเกลียด
ดังนั้นถ้าหากเขาทำเมินเฉยโดยไม่ยอมทำตนเป็นว่ายอมร่วมมือกับพวกมัน ตอนที่เขาขับรถกลับมาจากในตัวเมืองชุมพรทุก ๆ คืน เขาจะไม่รอดไปได้เลยหากว่าพวกมันคิดจะทำร้ายเขา หรือแม้แต่ต้องการที่จะทำให้เขายอมเข้าเป็นสมาชิก มีอยู่คืนหนึ่งเมื่อนานมาแล้วซึ่งหมอปราณยังจำได้ดี
คืนนั้นเขากลับมาจากโรงพยาบาลวิเศษศิลป์ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่ในตัวเมืองชุมพร ซึ่งหมอปราณสมัครเข้าไปทำงาน เป็นหมอรักษาคนไข้นอกเวลา ประเภทอุบัติเหตุฉุกเฉิน เช่น รถชนกัน หรือมีการก่อการทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกายในคลับในบาร์ ในสถานคาราโอเกะ หรือร้านอาหาร เพราะความมึนเมาสุราหรือเหตุใดเหตุหนึ่งซึ่งมีอยู่เป็นประจำทุกค่ำคืน และญาตินำตัวมาส่งโรงพยาบาลตอนกลางดึก เพื่อผ่าตัดหรือเย็บแผลช่วยชีวิต ทำให้บางคืนเขาต้องขับรถกลับมาจากตัวจังหวัดเลยเที่ยงคืน ตี ๑ ตี ๒
และความที่หมอปราณยังเป็นโสด และชอบที่จะไปไหนมาไหนแบบอิสระไม่อยากให้เป็นการสร้างภาระแก่ใคร จึงมักขับรถกลับมาคนเดียว
ขณะขับรถเก๋งราคาแพงมาตามถนนเลียบทะเลสายชุมพร ทิวสน พอถึงที่เปลี่ยวในย่านบ้านบางเสียบ ตำบลดอนตะเคียน หมอปราณ กาฬปักษ์ ต้องเบรกรถจนตัวโก่ง เมื่อบนถนนเบื้องหน้า มีขอนไม้ขนาด ๒ คนหามถูกนำมาวางขวางถนนไว้ ซึ่งหมอปราณ กาฬปักษ์ ก็รู้ในทันทีว่าเขากำลังจะโดนปล้น แต่จะถอยรถเพื่อหันหัวรถกลับเข้าเมืองก็ไม่ทัน เพราะมีชาย ๓ คนวิ่งมาถึงรถพร้อมด้วยปืนในมือและไฟฉาย
เปิดปร่าตูโร้ดดด
แล้วโลงงงงมาจากโร้ดดด เดี๋ยวเน้
โจร ๑ ใน ๓ คนที่ถือปืน ตวาดและออกสั่งหมอปราณด้วยเสียงยาน ๆ เหมือนคนเมาเหล้า เมายา หรือคนมีสติไม่ค่อยสมบูรณ์ ขณะที่อีก ๒ คนถือไฟฉายส่องเข้ามาในรถ
พวกนายจะปล้นฉันหรือ? หมอปราณ กาฬปักษ์ ถามและเปิดประตูรถก้าวลงมายืนบนถนนข้างรถ และไม่คิดจะต่อสู้ให้เจ็บตัว
ซึ่ง ๓ โจรไม่ตอบ นอกจากไม่ตอบ ไอ้ ๒โจรที่ถือไฟฉายยังดับไฟฉาย แล้วเหน็บคืนเข้าข้างซอกเอว แล้วเข้ามารวบแขน ๒ ข้างของหมอยึดไว้แน่น ก่อนจะช่วยกันลากตัวหมอไปทางท้ายรถที่อยู่ตรงข้ามกับแสงไฟรถ ผลักร่างของหมอให้ไปยืนพิงฝาท้ายกระโปรงหลังรถ
ตอนแรกหมอปราณคิดว่า พวกมันจะปล้นทรัพย์สินที่มี สร้อย แหวน นาฬิกา และเงินในกระเป๋าสตางค์ ของเขาไปอย่างเดียวก็ไม่ขัดขืน เพราะถือว่า เป็นสมบัตินอกกายค่อยหาเอาใหม่ได้ และยอมให้พวกมันทั้ง ๓ คนถอดล้วงและปลดเอาไปตามชอบ
ทว่าพอปลดทรัพย์สินในตัวของเขาไปได้หมด ไอ้โจร ๒ ตัวที่ยังรวบแขน ๒ ข้างของเขาไว้อยู่ก็ยังไม่ยอมปล่อยแขนปล่อยตัวตัวเขา และมันหนึ่ง ๑ ใน ๒ พูดกับไอ้คนที่ถือปืนที่คอยยืนจี้เขาอยู่ว่า
มึงจะดูดก่อนใช่ไหมไอ้เอียด งั้นมึงรีบลงมือเลย ก่อนที่จะมีรถอื่นผ่านมา
เออ ดีหว่า
กูขอบจายเมิงไอ้โหยดกูจะรีบ ๆ ดูด แล้วที่เหลือให้เมิงกับไอ้โหยยสองโคนดูดต่อ ฮะ ฮะ ฮ่า
แล้วไอ้ตัวที่ถือปืนก็ยัดปืนเข้าซอกเอว ก่อนใช้สองมือสองข้างของมันมาจับประคองใบหน้าของหมอปราณ แล้วดันให้ใบหน้าของหมอหงายขึ้น
จากนั้นไอ้โจรคนที่ ๓ ก็ก้มหน้าลงมาที่ลำคอของหมอปราณและทำท่าจะกัด หมอปราณพลันรู้สึกในทันทีว่า สิ่งที่เขากำลังเผชิญไม่ใช่โจรธรรมดา แต่เป็นโจรผีดิบดูดเลือด ที่เอาทั้งทรัพย์สินและเลือดในกายของคนที่ถูกมันปล้น หมอปราณจึงดิ้นรนสุดฤทธิ์ และร้องเอะอะขึ้น
เฮ้ย! ๆ! จะเอาเงิน เอาสร้อย เอาแหวน เอานาฬิกา อะไรของฉันก็เอาไปซีเว้ย แล้วทำไมจะต้องมาดูดเลือดของฉันอีก
แต่ไอ้ ๓ ตนไม่ตอบ และพอหมอปราณจ้องสบตาไอ้ตัวที่กำลังใช้สองมือประกบสองข้างของใบหน้าเขา และพยายามที่จะกดใบหน้าของเขาลงไปให้แนบกับฝาท้ายกระโปรงรถยนต์ เพื่อจะให้สามารถก้มลงใช้ปากกัดที่ลำคอของเขาดูดเลือดสะดวกขึ้นนั้น หมอปราณมองตามันและพลันรู้สึกวูบและมึนงง เหมือนไร้สติไปใน
ฉับพลัน จากประกายสีเขียวเรืองในความมืดจากนัยน์ตาของมัน ซึ่งเป็นดวงตาของปิศาจในร่างคน
ทว่า เหมือนมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาช่วยเขาไว้ เพราะก่อนที่หมอปราณจะเสียท่า ไอ้ตัวที่กำลังใช้สองมือกดหัวเขาอยู่ก็ผงะถอยหลังเหมือนโดนใครถีบและแหกปากร้องลั่น
อ๊ากกกซ์! เฮ้ยยยย! โอ๊ยยย!
แล้วไอ้นั่นก็รีบปล่อยตัวหมอปราณในทันที และพลอยทำให้ไอ้ ๒ ตน ที่กำลังช่วยกันจับแขนหมอปราณไว้ก็พลอยร้องขึ้นอย่างตกใจ รีบปล่อยตัวเขาเช่นกัน จากนั้นไอ้ ๓ คนยังพากันวิ่งไปที่ริมถนนด้านหน้า ห่างจากขอนไม้ที่พวกมันนำมาวางขวางถนนไว้ออกไปราว ๑๕ เมตร ซึ่งเขามองเห็นมันในแสงไฟรถที่ยังเปิดอยู่ ว่าพวกมันพากันวิ่งไปขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ แล้วอีกไม่ถึงอึดใจต่อมา เสียงเครื่องยนต์ของรถมอเตอร์ไซค์ ๓ คันก็ดังขึ้น
บรึ้ม ๆ ๆ บรึ้ม ๆ ๆ บรึ้ม ๆ ๆ แปร๋ ๆ ๆ ๆ
แล้วพวกมันทั้ง ๓ ตนที่ขับรถมอเตอร์ไซค์มาคันละคน ก็ต่างขับมอเตอร์ไซค์มุ่งหน้ากลับไปทางอำเภอทิวสนหายลับไปในความมืด
สองข้างถนนที่หมอปราณ กาฬปักษ์ ลงมายืนอยู่เงียบสงัด ไม่มีทั้งบ้านคนและแสงไฟ ไม่มีเสียงกบเขียด ไม่มีเสียงจิ้งหรีดหรือจั๊กจั่นเรไรร้อง เพราะสองฟากถนนเป็นทุ่งหญ้าสลับกับป่าต้นเสม็ด ที่ชาวบ้านใช้ลอกเปลือกของมันไปชุบน้ำมันยางแล้วทำขี้ไต้ไว้จุดไฟในยามค่ำคืน และถนนสายนี้เพิ่งจะได้รับการราดยางไว้แบบหยาบ ๆ เมื่อไม่นาน สายไฟฟ้าก็ยังพาดผ่านมาไม่ถึง
อากาศบนถนนค่อนข้างอบอ้าวทั้ง ๆ ที่อยู่ในที่โล่งโปร่ง ไม่มีสายลมโบกพัด บนท้องฟ้ามืดครึ้มมองไม่เห็นดาว หมอปราณยืนสะบัดหัวและส่ายหน้าไปมาสลับกับใช้ส้นมือขวา ตบที่หน้าผากของตนเองเบา ๆ ห้าหกครั้งเพื่อเรียกสติกลับคืนมา แล้วก็รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับตน
รู้ว่าเขาถูกขบวนการผีดิบซึ่งเป็นพวกครึ่งผีครึ่งคนมาดักปล้นทรัพย์แถมจะดูดเลือด แต่พวกมันดูดเลือดจากเขาไปไม่ได้ หมอปราณลองเอามือคลำ ๆ ดูในกระเป๋าหน้าอกเสื้อ แล้วก็ยิ้มออกมาพลางบอกตนเองว่า
บารมีหลวงพ่อจีด คุ้มครองเราไว้อีกครั้ง! แล้วเขาก็ยกสองมือพนมจดหน้าผาก โชคดีที่เขามีรูปเหรียญของหลวงพ่อจีด วัดถ้ำเขาพลู ติดตัวอยู่เหรียญหนึ่ง ซึ่งเขาชอบเอาแอบกลัดติดไว้กับเข็มกลัดซ่อนปลาย ในกระเป๋าเสื้อเพื่อไม่ให้พวกขบวนการผีดิบรู้ว่าเขาแขวนพระ เพราะถ้าเขาซื้อสร้อยมาแล้วแขวนพระห้อยคอไว้ ก็จะเป็นการประกาศว่า เขาไม่ใช่พวกของขบวนการผีดิบ ทีนี้เขาก็อาจจะโดนกลั่นแกล้ง
เพราะในอำเภอทิวสนพอหลังจากขบวนการผีดิบสามารถโค่น พ.ต.ท.พรหมพงศ์ อิทธิเดช และนายอำเภอเกียรติศักดิ์ รักเกียรติภูมิ ลงได้แล้ว ผู้คนถ้าไม่ไปเข้ากับขบวนการผีดิบหรือสมาคมชีวิตอมตะ ก็จะต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน นั่งสวดมนต์ภาวนา ถือศีลห้าและกินอาหารมังสวิรัติกันอย่างเคร่งครัด แต่เขาไม่สามารถจะทำอย่างนั้นได้ เพราะเขาจะต้องใช้เวลานอกราชการ ไปเป็นหมอรับจ้างทำงานคลินิกนอกเวลาให้กับโรงพยาบาลเอกชน ของหมอรุ่นพี่ที่ตั้งโรงพยาบาลเอกชนอยู่ในตัวเมืองชุมพร และเขาจำเป็นต้องไปทำทุกคืน
แต่วันที่ทำให้เขาได้รับเหรียญหลวงพ่อจีดนี้มาเป็นเพราะ วันหนึ่งมีพระหนุ่มรูปหนึ่งเป็นหวัด มีอาการไอจามแบบแพ้อากาศ และพระหนุ่มรูปนั้นมาโรงพยาบาลมาให้เขาตรวจอาการและจ่ายยาให้ แรก ๆ พระหนุ่มรูปนั้นก็ดูจะระแวงเขาอยู่ เพราะไม่แน่ใจว่าเขาจะอยู่ในขบวนการฯ เป็นสมาชิกของสมาคมชีวิตอมตะ(ผีดิบ)หรือไม่ แต่พอเห็นว่าเขาแสดงออกโดยการยกมือไหว้แสดงเคารพในตัวท่าน และปฏิบัติกับท่านเฉกเช่นพุทธศาสนิกชนทั่วไปที่จะพึงปฏิบัติต่อพระสงฆ์ ท่านมองหน้าเขาแล้วก็พูดเบา ๆ ว่า
โยมหมอกำลังตกอยู่ในอันตราย โยมหมออย่าออกไปไหนยามค่ำคืนจะทำได้ไหม?
หมอปราณก็ยกมือไหว้และเรียนท่านว่า กระผมคงทำไม่ได้ขอรับ กระผมจำเป็นต้องไปรักษาคนไข้ ที่โรงพยาบาลของหมอรุ่นพี่ที่ในตัวเมืองชุมพรทุกคืน ที่นั่นคนไข้อุบัติเหตุเยอะ
งั้นโยมหมอเอาเหรียญหลวงพ่อจีดอันนี้ติดตัวไว้ให้ตลอดนะ หมอเป็นคนดี บารมีของหลวงพ่อจะช่วยคุ้มภัยให้ แล้วพระหนุ่มรูปนั้นก็มอบเหรียญหลวงพ่อจีดไว้ให้เขารูปหนึ่ง
แล้วจากวันนั้นหมอปราณจึงได้ใช้เหรียญหลวงพ่อจีดมากลัดติดเสื้อไว้ตลอดเวลา
ส่วนเหตุการณ์ในคืนนั้นยังไม่จบ
หลังจาก หมอปราณเดินจากด้านหลังรถไปยังประตูรถตอนหน้า ด้านคนขับที่ยังเปิดอยู่ เพื่อจะขับรถออกเดินทางสู่โรงพยาบาลทิวสนต่อ
ท่ามกลางแสงไฟหน้ารถที่ยังเปิดส่องสว่างไปข้างหน้าราว ๔-๕ เมตร ขอนไม้ขนาด ๒ คนหามยังพาดขวางถนนอยู่ เขายังขับรถไปไม่ได้ถ้าไม่ไปลากขอนไม้นั้นออก
แทนที่จะขึ้นไปนั่งในรถ หมอหนุ่มจึงเดินไปที่ขอนไม้ ซึ่งเป็นขอนไม้เสม็ดด้านโคนมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒๕ เซนติเมตร ส่วนกลาง ๆ ถึงปลายค่อย ๆ เล็กเรียวลงไป คือไม่ใหญ่หรือหนักเกินที่จะเคลื่อนย้ายออกคนเดียว และไม้ท่อนนั้นมีลักษณะที่คด ๆ งอ ๆ แถมยังมีกิ่งก้านใหญ่ ๆ ติดอยู่ รถจึงไม่สามารถที่จะเหยียบทับผ่านไปได้ ถ้าไม่ไปลากเอาออก
หมอปราณลองเดินไปจับส่วนปลาย ที่มีผู้บั่นตัดยอดของไม้ออกไปแล้ว เหลือความยาวที่ถูกนำมาขวางถนนไว้เพียง ๕-๖ เมตร ตอนแรกเขาลองออกกำลังลากเพื่อจะให้ส่วนที่ขวางถนนอยู่ เคลื่อนที่ตามแรงของเขาลงไปอยู่ในคูถนน แบบลากไม้เอาปลายไปทำให้รู้สึกหนัก เพราะกิ่งที่ค้ำยันผิวถนนอยู่
เขาจึงหาวิธีใหม่ที่จะทำให้ทุ่นแรงกว่าเดิม คือจับส่วนปลายแล้วหมุนออกข้าง เพื่อจะให้ไม้ขอนนั้นพ้นจากการกีดขวางไปเป็นวางยาวตามแนวขนานกับผิวถนน นั่นเป็นสิ่งที่เขาทำได้
ทว่า แค่คิดยังไม่ทันจะลงมือ
ด้านหลังของเขาบนถนนที่มาจากตัวเมืองชุมพร แสงไฟรถอีกคันหนึ่งก็ปรากฏขึ้น และเพื่อความปลอดภัยที่จะเกิดกับตัวเขา หมอปราณ กาฬปักษ์ รีบไปปิดล็อคประตูรถ แล้วรีบหลบลงไปแอบซุ่มอยู่ในที่มืดหลังพุ่มไม้ ห่างจากที่เขาจอดรถราว ๑๕ เมตร เพื่อรอดูว่ารถยนต์คันที่แล่นมาใหม่เป็นรถของใคร เป็นคนดีหรือคนร้าย
แล้วอีกชั่วอึดใจต่อมา รถกระบะโฟร์วีลแบบ ๔ ประตู คันหนึ่งก็แล่นมาจอด ต่อท้ายกับรถของเขา รถคันนั้นจอดไม่ดับไฟและไม่ดับเครื่อง แต่มีคนหลายคนก้าวลงจากรถยกเว้นคนที่เป็นคนขับ
เกิดอะไรขึ้น นั่นรถใครจอดอยู่ ดูให้ดีซิ มีเสียงถามลงมาจากบนรถ
รถเก๋งคันนี้ดูคุ้น ๆ เหมือนรถหมอที่โรงพยาบาล เสียงหนึ่งตอบซึ่งหมอปราณได้ยินถนัด
รถหมอปราณจริง ๆ ด้วย แล้วเกิดอะไรขึ้น หมอปราณไปไหน? เสียงคนที่ลงมายืนอยู่ ๓-๔ คนถามกันขณะมองซ้ายมองขวา
ดูให้ดีซิ มีใครเป็นอะไรอยู่ในรถหรือเปล่า? เสียงสั่งลงมาจากบนรถกระบะโฟร์วีล ๔ประตูที่ยังไม่ดับเครื่อง คน ๒ คนที่อยู่บนถนนมีไฟฉายจึงส่องกราดเข้าไปดูในรถ อีกคนส่องดูรอบ ๆ รถที่จอด อีกคนลองเปิดประตูและพูด
ไม่มีใครอยู่ในรถครับท่านปลัด ประตูรถถูกล็อค สงสัยจะมีการปล้นเกิดขึ้น โน่นไงพวกโจรเอาขอนไม้มาขวางถนน ผมว่าพวกโจรคงจับเอาตัวหมอเจ้าของรถไปแล้ว
มันจับตัวเจ้าของรถไปปลดทรัพย์ แล้วก็เอาเจ้าของรถไปมัดหรือฆ่าทิ้งไว้ตรงไหนสักแห่ง แล้วมันค่อยย้อนกลับมาเอารถขับไปใช้ต่อ เสียงชาย ๑ ใน ๔ ที่ลงมาตรวจดูรถพูดรายงานให้คนบนรถทราบ
งั้นอย่าเสียเวลาเลย พวกคุณช่วยกันหามไม้ออกให้พ้นถนน แล้วก็รีบกลับมาขึ้นรถมาเถอะดึกแล้ว พวกเราไม่มีหน้าที่ ๆ จะไปตามจับโจร ใครจะเป็นจะตายให้ฝ่ายตำรวจเขามาดูพรุ่งนี้
ได้ครับท่านปลัด อ้าวกำนันแผน คุณบุญชัย คุณทวีศักดิ์ มาช่วยกันหามหน่อย
ผู้พูดหมอปราณ กาฬปักษ์ ฟังไม่ออกว่าเป็นใคร แต่เดาว่าในกลุ่มของคณะนี้ที่ชอบไปเที่ยวคาเฟ่ในตัวเมืองชุมพรด้วยกัน แล้วกลับมาดึกตี ๑ ตี ๒ นอกจากปลัดทับ ทิวทอง ปลัดรักษาการนายอำเภอทิวสน คนถัดมาคือกำนันแผน พงศ์ฤทธิ์ กำนันตำบลทิวสน นายบุญชัย ทวีกิจ ผู้จัดการธนาคาร... และนายทวีศักดิ์ ธนสาร เกษตรอำเภอ
อีกคนก็น่าจะเป็นนายจำเริญ ถนอมชาติ ซึ่งเป็นสรรพากรอำเภอ
คืนนั้นพอขอนไม้ถูกย้ายลงไปจากถนน หมอปราณ กาฬปักษ์ ก็ขับรถตามหลังคณะของข้าราชการอำเภอ ที่กลับมาจากไปเที่ยวที่คาเฟ่ในตัวเมืองชุมพรมาช้า ๆ
ครั้งนี้ เมื่อหมอปราณ กาฬปักษ์ ถูก พ.ต.ต.มหิทธิ์ มนศักดิ์ สวป.คนใหม่ยิง เลือดออกมากเขาเองก็คิดว่าเขาตายแล้ว แต่แท้ที่จริงเขามารู้ว่าเขาแค่หมดสติไป เพราะกระสุนที่ยิงทุกนัดเจาะเฉี่ยวผิวเนื้อแล้วแฉลบออก ไม่ได้เจาะเข้าไปทำลายส่วนอวัยวะสำคัญภายในร่างกาย เพราะบารมีเหรียญหลวงพ่อจีดที่เขากลัดติดเสื้อไว้ตลอดเวลา ช่วยเขาไว้นั่นเอง
และในตอนที่พวกตำรวจลูกน้องของ สวป.มหิทธิ์ มนศักดิ์ นำร่างของเขาใส่กระสอบมาวางรออยู่ที่ปากถ้ำ ที่หลังกุฏิหลวงตาเงิน เพื่อรอให้ท่านพระครูกับสมุนบริวารที่เป็นชาวบ้านของขบวนการผีดิบ ที่มาทำงานอยู่ในวัดประมาณ ๓๐ คน ให้มารับเอาร่างอันโชกเลือดของหมอปราณ กาฬปักษ์ ไปไว้เป็นอาหารมื้อค่ำแก่พวกโหงพรายนับร้อย ที่ถูกกักขังไว้ในถ้ำจนเต็มเกือบทุกถ้ำ อันอยู่ใต้ภูเขา
พอตำรวจชุดดังกล่าวเดินกลับมา หมอปราณ กาฬปักษ์ ก็ใช้มีดคัตเตอร์ที่พกไว้ติดตัว กรีดและตัดด้านข้างของกระสอบป่านพาตัวออกมา แต่เป็นจังหวะที่ตำรวจลูกน้องของ สวป.มหิทธิ์ มนศักดิ์ คนหนึ่งหันมามองพอดีพร้อมกับส่งสียงร้องขึ้นว่า
เฮ้ย ๆ ๆ หมอปราณ ยังไม่ตาย มันฟื้นแล้ว มันวิ่งหนีไปโน่นแล้ว ซึ่งหมอปราณได้วิ่งเข้าป่าช้าและวิ่งไปสู่ทางที่จะไปสู่กุฏิของหลวงตาแต้ม และโชคดีของหมอปราณ ที่ตำรวจชุดนั้นคิดว่า หมอปราณ กาฬปักษ์ ได้กลายเป็นผีดิบถาวรไปอีกตัว จึงไม่มีใครกล้าตามไล่จับ ได้แต่นำความมาแจ้งกับเจ้านายคือ พ.ต.ต.มหิทธิ์ มนศักดิ์ว่า
หมอปราณ กาฬปักษ์ ออกจากกระสอบหนีไปแล้วครับ ทำให้ พ.ต.ต.มหิทธิ์ มนศักดิ์ ได้แต่พกเอาความหงุดหงิดกลับมาที่โรงพัก
000000
Create Date : 21 สิงหาคม 2550 |
Last Update : 23 สิงหาคม 2550 9:59:59 น. |
|
35 comments
|
Counter : 1691 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: สีน้ำฟ้า IP: 61.7.150.102 วันที่: 21 สิงหาคม 2550 เวลา:14:12:19 น. |
|
|
|
โดย: ลุงบูลย์ IP: 125.27.233.181 วันที่: 21 สิงหาคม 2550 เวลา:19:29:53 น. |
|
|
|
โดย: หทัยชนก (Nok_Noah ) วันที่: 21 สิงหาคม 2550 เวลา:20:53:27 น. |
|
|
|
โดย: ปลายแปรง วันที่: 22 สิงหาคม 2550 เวลา:7:44:47 น. |
|
|
|
โดย: ลุงบูลย์ IP: 125.27.234.65 วันที่: 22 สิงหาคม 2550 เวลา:9:17:13 น. |
|
|
|
โดย: ลุงบูลย์ IP: 125.27.234.65 วันที่: 22 สิงหาคม 2550 เวลา:9:22:19 น. |
|
|
|
โดย: ลุงบูลย์ (pantamuang ) วันที่: 23 สิงหาคม 2550 เวลา:9:49:15 น. |
|
|
|
โดย: ลุงบูลย์ (pantamuang ) วันที่: 23 สิงหาคม 2550 เวลา:11:00:15 น. |
|
|
|
โดย: แม่น้องนิก IP: 4.232.135.87 วันที่: 23 สิงหาคม 2550 เวลา:11:22:16 น. |
|
|
|
โดย: แพรจารุ วันที่: 23 สิงหาคม 2550 เวลา:14:10:30 น. |
|
|
|
โดย: แพรจารุ วันที่: 23 สิงหาคม 2550 เวลา:14:19:16 น. |
|
|
|
โดย: หทัยชนก (Nok_Noah ) วันที่: 23 สิงหาคม 2550 เวลา:20:58:32 น. |
|
|
|
โดย: หนอนเมืองกรุงฯ IP: 58.9.172.78 วันที่: 24 สิงหาคม 2550 เวลา:0:45:30 น. |
|
|
|
โดย: แม่น้องนิก IP: 4.232.141.110 วันที่: 24 สิงหาคม 2550 เวลา:1:03:39 น. |
|
|
|
โดย: แม่น้องนิก IP: 4.232.141.122 วันที่: 25 สิงหาคม 2550 เวลา:11:31:54 น. |
|
|
|
โดย: นัยนา IP: 61.7.173.159 วันที่: 25 สิงหาคม 2550 เวลา:15:53:07 น. |
|
|
|
โดย: ลุงบูลย์ IP: 125.27.232.90 วันที่: 25 สิงหาคม 2550 เวลา:15:55:28 น. |
|
|
|
โดย: ลุงบูลย์ IP: 125.27.232.90 วันที่: 25 สิงหาคม 2550 เวลา:16:46:39 น. |
|
|
|
โดย: หนอนเมืองกรุงฯ IP: 58.9.172.78 วันที่: 26 สิงหาคม 2550 เวลา:2:06:26 น. |
|
|
|
โดย: แม่น้องนิก IP: 4.232.141.53 วันที่: 26 สิงหาคม 2550 เวลา:4:18:02 น. |
|
|
|
โดย: ลุงบูลย์ (pantamuang ) วันที่: 26 สิงหาคม 2550 เวลา:9:01:18 น. |
|
|
|
โดย: หทัยชนก (Nok_Noah ) วันที่: 26 สิงหาคม 2550 เวลา:20:21:35 น. |
|
|
|
โดย: แม่น้องนิก IP: 4.232.141.73 วันที่: 27 สิงหาคม 2550 เวลา:1:15:43 น. |
|
|
|
โดย: หนอนเมืองกรุงฯ IP: 58.9.172.78 วันที่: 27 สิงหาคม 2550 เวลา:1:53:42 น. |
|
|
|
โดย: ลุงบูลย์ IP: 125.27.232.237 วันที่: 27 สิงหาคม 2550 เวลา:20:45:49 น. |
|
|
|
โดย: หนอนเมืองกรุงฯ IP: 58.9.172.78 วันที่: 27 สิงหาคม 2550 เวลา:21:56:24 น. |
|
|
|
โดย: แม่น้องนิก IP: 4.232.138.127 วันที่: 28 สิงหาคม 2550 เวลา:9:20:23 น. |
|
|
|
โดย: ลุงบูลย์ IP: 125.27.233.172 วันที่: 28 สิงหาคม 2550 เวลา:10:36:32 น. |
|
|
|
โดย: หนอนเมืองกรุงฯ IP: 202.28.180.201 วันที่: 28 สิงหาคม 2550 เวลา:13:22:36 น. |
|
|
|
โดย: ธารดาว IP: 203.146.63.184 วันที่: 30 สิงหาคม 2550 เวลา:14:04:58 น. |
|
|
|
โดย: ธารดาว IP: 203.146.63.184 วันที่: 30 สิงหาคม 2550 เวลา:14:09:08 น. |
|
|
|
โดย: ลุงบูลย์ (pantamuang ) วันที่: 30 สิงหาคม 2550 เวลา:15:23:30 น. |
|
|
|
โดย: น้องบี IP: 202.142.198.135 วันที่: 28 มิถุนายน 2551 เวลา:11:12:09 น. |
|
|
|
โดย: น้องบีบ่อวิน IP: 202.142.198.135 วันที่: 28 มิถุนายน 2551 เวลา:11:14:28 น. |
|
|
|
โดย: พรานปู IP: 125.27.195.132 วันที่: 21 มิถุนายน 2552 เวลา:7:11:04 น. |
|
|
|
|
|
|
|
แต่ว่า แวะมาทักว่า "หนูยังมีชีวิต".. แบบรันทดสุด ๆ ด้วยนะลุง เมื่อวันไปกรุงเทพฯ ทิ้ง handy drive ไว้ให้น้านพเซฟงาน เขาลืมเก็บ..ไม่รู้ลูกค้าคนไหนเก็บไป
เมิ้ดดดดดดดดด อีกแหล่ว..
เมิ้ดเกือบทั้งชีวิต ไม่ว่า งานหลวง งานราษฎร์
เว็บ ..เวิ้บ.. ไปหมดค่ะ
ก็ไม่เป็นไร เพราะยังมีชีวิต ก็สู้กันต่อ..ถ้ายังไงคืนนี้แจมจะอัพเดทเว็บให้ลุงอีกรอบ..หลังจากนั้นขออนุญาตหยุดยาว..
ไปเขียนงานส่ง..และไปทำบัญชีให้สหกรณ์
ไม่รู้ใคร มันช่างใจร้ายใจดำก๊าแจม..
ชักท้อ ๆ เหมือนกันนะ..การมีชีวิตนี่ ยากจัง..
เหะ เหะ มาบ่นเสร็จแล้วก็จากไป