...คิดว่ายังมีความหวัง ตราบที่ยังมีลมหายใจ...
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2550
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
21 สิงหาคม 2550
 
All Blogs
 
เมืองเทวดา ๗



เมืองเทวดา
๗.

“อาโชคดีที่เข้ามาที่นี่วันแรก เจอนักปฏิบัติธรรม ถือศีล กินเจ ละเว้นจากอบายมุขไม่ดื่มสุรา คือเขาหนีสังคมผีดิบมาเหมือนกัน เขานี่แหละได้ให้ความรู้กับอาหลายอย่าง อาเลยคบเป็นเพื่อนที่ดีมาจนถึงทุกวันนี้ และทำให้อามาอยู่สุขสบายไร้ศัตรู ไปไหนไม่ต้องล็อคกุญแจบ้านก็เพราะเขา”

“เขาเป็นใคร ชื่ออะไรครับ?”

“เขาชื่อนิโรธ นิรามัย”

“ชื่อแปลก เขาอายุสักเท่าไหร่?”

“ก็ประมาณคุณนี่แหละ ประวัติเขาน่าสนใจ เขาเรียนศิลปะ จบปริญญาโทจากต่างประเทศ เคยเป็นอาจารย์สอนศิลปะในโรงเรียนเอกชนสี่ห้าแห่งในกรุงเทพ เงินเดือนของเขาตกเดือนละเหยียบแสน เขาต้องเลิกกับภรรยาหลังจากแต่งงานกันได้ไม่ถึงปี…”

“เพราะอะไรครับ?”

“เขาเล่าว่า ทัศนะไม่ตรงกัน แต่บางคนหาว่าเขาบ้า ภรรยาของเขาก็หาว่าเขาบ้าจนรับไม่ได้”

“แล้วเขาเป็นแบบไหน?”

“เขาชอบต้นไม้ เขาเอาภาพถ่ายบ้านของเขามาให้อาดู เขาซื้อที่ดินปลูกบ้านไว้ในเนื้อที่ประมาณสัก ๒ งาน เขาปลูกต้นไม้ในบริเวณบ้านจนเต็มไปหมด เขาชอบพูดว่ากรุงเทพมีแต่ตึก เขาอยากให้มันเป็นป่า เขาชอบวาดรูปและเขียนบทกวีเกี่ยวกับป่า แรก ๆ เมียเขาพอรับได้ แต่ต่อ ๆ มาเธอรับไม่ได้ ตอนที่ต้นไม้ยื่นกิ่งเข้าไปในบ้าน เขายอมรื้อหลังคาและทุบฝาบ้านเพื่อให้ต้นไม้อยู่ เมียเขาไม่เห็นด้วย…”

“เลยต้องแยกทาง” อดีตปลัดอำเภอทาย

“ยัง เขายังมีอะไรแปลกกว่านั้น…”

“เช่น”

“เขาโกนผมจนเกลี้ยงแล้วก็แต่งชุดดำ กินอาหารมังสวิรัติ เขามีลูกชายวัยราว ๆ หนูจอมภพนี่แหละก็ให้โกนหัวแล้วแต่งชุดดำ”

“แบบนี้ถ้าไม่บ้าก็อัจฉริยะมาก ๆ ผมอยากรู้จักเสียแล้วซี สวนเขาอยู่ไกลจากสวนท่านมากไหมครับ?

“อยู่ติด ๆ กับสวนของอานี่เอง ไปดูสวนเขาซี เขานี่แหละทำให้อาต้องปรับเปลี่ยนชีวิตใหม่ อยากอยู่กับธรรมชาติ เขาเป็นคนต่อต้านไฟฟ้า เขาไม่ยอมให้ไฟฟ้าเข้ามาในนี้”

“อ้าว! เหตุผลละครับ?”

“เขาว่า ถ้าในนี้มีไฟฟ้าเข้ามา พวกผีดิบโดยเฉพาะพวกครึ่งคนครึ่งผีจะเข้ามา เพราะพวกนี้ชอบไฟฟ้า…” อดีตปลัดอำเภอยังคงถาม และอดีตนายอำเภอยังคงเล่า หรือตอบข้อสงสัย

“เขาเป็นคนแปลก ผมอยากรู้จัก อยากไปหา ไปคุยด้วย” อดีตปลัดอำเภอพูด

“งั้นไปกัน… เดี๋ยวกลับมาจะได้กินอาหารเย็น” อดีตนายอำเภอลุกขึ้นยืน ทั้งอดีตปลัดบุญฤทธิ์และจิราพัชรจึงลุกขึ้นตาม

“จิจะอยู่กับลูกหรือจะไปด้วยกัน?” คุณบุญฤทธิ์ถามภรรยาเมื่อลงบันไดมาถึงข้างล่าง

“จิอยากไปด้วย แต่…เดี๋ยวถามน้องจอมก่อน เผื่อแกอยากจะไปด้วย”
เมื่อทุกคนมองไปที่ใต้ถุนบ้านก็เห็นว่า ชัชกับอ่อนยังนอนหลับตาอยู่บนพื้นที่ปูกระเบื้อง และเด็กชายรายงานต่อพ่อกับแม่ว่า

“ผีดิบตายหมดแล้วครับ ถูกเทวดาปราบ ตอนนี้เหลือแต่คนดี ๆ อ้าว! คนดีจงลุกขึ้นมา” อ่อนกับชัชจึงค่อย ๆ ลืมตาลุกขึ้นนั่งแล้วก็ยืน

“น้องจอมเอาข้อความพวกนี้มาจากไหน?” อดีตนายอำเภอฟังแล้วงงและรู้สึกเข้าท่า…

“น้องจอมเป็นเด็กอัจฉริยะครับ แกมักมีความคิดอะไรแปลก ๆ ผุดขึ้นมาในหัวของแกเสมอ” นายอ่อนพูดในฐานะเป็นคนเลี้ยง และอยู่ใกล้ชิดกับน้องจอมมากกว่าผู้เป็นพ่อและแม่

“โอ…งั้นรึ” อดีตนายอำเภอพึมพำ –สงสัยเทวดาจะมาเกิดเป็นน้องจอม- ทว่าประโยคสุดท้ายอดีตนายอำเภอไม่ได้พูดออกมา


ก่อนที่หมอปราณ กาฬปักษ์ จะถูกนำเข้าไปในถ้ำเพื่อจะให้เป็นอาหารของบรรดาโหงพราย ที่ถูกกักขังไว้ในถ้ำใต้ภูเขา หมอปราณ กาฬปักษ์ ได้เตรียมการณ์ตั้งรับชะตากรรมของตนที่อาจจะเกิดจากการเข้าไปพัวพันกับขบวนการผีดิบไว้พร้อมล่วงหน้านานเป็นปี…

เพราะหมอปราณ กาฬปักษ์ รู้ว่า หลังจากที่ พ.ต.ต.วิเวก สร้างโศก ถูก ดร.เจ คีย์แมน ปลอมแปลงใบหน้าเป็นอดีต สวป.คนที่สองเข้าไปยิง พ.ต.ต. วิเวกตัวจริงถึงในเขตบริเวณบ้านพักของอดีตสารวัตรใหญ่ พ.ต.ท.พรหมพงศ์ อิทธิเดช จนถึงตายลงต่อหน้าของหลาย ๆ คนแล้ว หมอปราณ กาฬปักษ์ ก็คอยติดตามดูว่า พ.ต.ต.วิเวก ซึ่งยังรับราชการในตำแหน่ง สวป. อยู่ในขณะนั้นจะฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกจริงหรือไม่

และตัวหมอปราณก็เป็นผู้หนึ่ง ที่ถูกสมาชิกระดับบริหารของสมาคมแวมไพร์คลับ หรือขบวนการผีดิบมาตามตัวแกมบังคับให้เข้าไปคอยดูแลและช่วยรักษาอาการของอดีต พ.ต.ต.วิเวก อยู่ ซึ่งหมอปราณก็รู้และไม่เชื่อว่า คนที่ถูกฆ่าตายสิ้นลมหายใจไปแล้วจะกลับฟื้นขึ้นมาอีกได้

แต่ในเมื่อทั้งพระครูอุดมรัตนคุณากร หลวงพ่อบ่าย หลวงพ่อเบี่ยง หลวงพ่อเพี้ยน หลวงตาเงิน และคณะเถน ๆ ของสมาคมแวมไพร์ หรือขบวนการผีดิบอีกกว่า ๑๐ รูป ต่างยืนยันว่า ตนสามารถที่จะปลุกวิญญาณของอดีต พ.ต.ต.วิเวก ให้กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ และพระครูอุดม กล่าวอย่างมั่นใจกับหมอปราณ กาฬปักษ์ ว่า

“การตายของท่าน พ.ต.ต.วิเวก ไม่ใช่การตายแบบสิ้นอายุขัย แต่ตายเพราะร่างกายของท่านถูกหัวกระสุนทำลายตรงจุดสำคัญ ดังนั้นถ้าเพียงหมอจะช่วยเยียวยารักษาสภาพร่างกายของ พ.ต.ต.วิเวกไว้อย่าให้ เน่าเปื่อยภายในสามสี่วัน พวกเราเหล่าเกจิอาจารย์มั่นใจว่า จะเรียกวิญญาณของท่าน พ.ต.ต.วิเวกกลับคืนมาเข้าร่างได้อย่างแน่นอน”

หมอปราณ กาฬปักษ์ จึงได้ส่งนางพยาบาลสาวจำนวน ๒ คน ให้ไปเฝ้าดูแลและผลสุดท้ายคือ นางพยาบาลสาวทั้งสองกลายเป็น ๒ ศพแรก ที่ต้องสังเวยชีวิตให้แก่ปิศาจที่กลับมาเข้าร่างของ พ.ต.ต.วิเวก สร้างโศก ก่อนจะตามด้วยคณะ ๕ ครูสาว คือ ครูกิ่งแก้ว ครูอรไท ครูมยุรี ครูวิยะดา และครูสาวิตรี จากโรงเรียนประชานุกูล และผลที่ปรากฏออกมาชัดเจนในกาลต่อจากนั้น คือ
พ.ต.ต.วิเวก สร้างโศก กลายเป็นผีดิบถาวร !!

หมอปราณ เป็นคนหนึ่งที่พยายามหลอกลวงกลุ่มขบวนการผีดิบให้สมาชิกระดับบริหารของสมาคมชีวิตอมตะ สมาคมแวมไพร์คลับ หรือสมาคมผีดิบเข้าใจว่า ตนเป็นสมาชิกของสมาคมหรือขบวนการผีดิบ เพราะเคยมอบเลือดที่ดูดมาได้จากผู้ที่มาบริจาคให้กับโรงพยาบาล ให้แวมไพร์คลับนำไปใช้ต่อชีวิตของสมาชิกสมาคมที่เจ็บป่วย ขาดเลือด แต่นั่นก็เพราะอยู่ในกรอบของหน้าที่ ๆ ต้องทำในฐานะหมอกับผู้ป่วย

ส่วนในความรู้สึกอันแท้จริง หมอปราณ กาฬปักษ์ หาได้นิยมนับถือหรือเลื่อมใสในแนวนิยมของสมาคมนี้ไม่ แต่หมอปราณรู้ตัวดีว่าตนไม่มีปัญญาและความสามารถ ที่จะต่อสู้ หรือป้องกันตัวโดยวิธีอื่นใด ที่จะรักษาชีวิตของตนไว้ได้ หากไม่ยอมทำเป็นว่าตนได้เข้าร่วมอยู่ในขบวนการของสมาคมชีวิตอมตะ อีกทั้งหมอปราณ กาฬปักษ์ ก็ยังมีภาระสำคัญ คือทุก ๆ เย็นหลังเลิกงานจากโรงพยาบาลในเวลา ๔ โมงเย็น หมอปราณ กาฬปักษ์ ต้องขับรถไปทำงานพิเศษหรือทำงานนอกเวลา โดยไปเป็นหมอรักษาคนไข้ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ที่อยู่ในตัวเมืองชุมพรเป็นประจำ

และพอเสร็จงานก็จะขับรถกลับ มานอนที่บ้านพักหมอที่อยู่หลังโรงพยาบาลทิวสนแทบทุกคืน เพื่อจะได้ตื่นตอนสาย ๆ ราว ๙ โมง เข้าไปนั่งตรวจคนไข้ในห้องทำงานบนโรงพยาบาลทิวสน ตอน ๙ โมงครึ่งถึง ๑๐ โมงได้โดยไม่น่าเกลียด

ดังนั้นถ้าหากเขาทำเมินเฉยโดยไม่ยอมทำตนเป็นว่ายอมร่วมมือกับพวกมัน ตอนที่เขาขับรถกลับมาจากในตัวเมืองชุมพรทุก ๆ คืน เขาจะไม่รอดไปได้เลยหากว่าพวกมันคิดจะทำร้ายเขา หรือแม้แต่ต้องการที่จะทำให้เขายอมเข้าเป็นสมาชิก
มีอยู่คืนหนึ่งเมื่อนานมาแล้วซึ่งหมอปราณยังจำได้ดี

คืนนั้นเขากลับมาจากโรงพยาบาลวิเศษศิลป์ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่ในตัวเมืองชุมพร ซึ่งหมอปราณสมัครเข้าไปทำงาน เป็นหมอรักษาคนไข้นอกเวลา ประเภทอุบัติเหตุฉุกเฉิน เช่น รถชนกัน หรือมีการก่อการทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกายในคลับในบาร์ ในสถานคาราโอเกะ หรือร้านอาหาร เพราะความมึนเมาสุราหรือเหตุใดเหตุหนึ่งซึ่งมีอยู่เป็นประจำทุกค่ำคืน และญาตินำตัวมาส่งโรงพยาบาลตอนกลางดึก เพื่อผ่าตัดหรือเย็บแผลช่วยชีวิต ทำให้บางคืนเขาต้องขับรถกลับมาจากตัวจังหวัดเลยเที่ยงคืน ตี ๑ ตี ๒

และความที่หมอปราณยังเป็นโสด และชอบที่จะไปไหนมาไหนแบบอิสระไม่อยากให้เป็นการสร้างภาระแก่ใคร จึงมักขับรถกลับมาคนเดียว


ขณะขับรถเก๋งราคาแพงมาตามถนนเลียบทะเลสายชุมพร – ทิวสน พอถึงที่เปลี่ยวในย่านบ้านบางเสียบ ตำบลดอนตะเคียน หมอปราณ กาฬปักษ์ ต้องเบรกรถจนตัวโก่ง เมื่อบนถนนเบื้องหน้า มีขอนไม้ขนาด ๒ คนหามถูกนำมาวางขวางถนนไว้ ซึ่งหมอปราณ กาฬปักษ์ ก็รู้ในทันทีว่าเขากำลังจะโดนปล้น แต่จะถอยรถเพื่อหันหัวรถกลับเข้าเมืองก็ไม่ทัน เพราะมีชาย ๓ คนวิ่งมาถึงรถพร้อมด้วยปืนในมือและไฟฉาย

“เปิดปร่าตูโร้ดดด… แล้วโลงงงงมาจากโร้ดดด เดี๋ยวเน้…” โจร ๑ ใน ๓ คนที่ถือปืน ตวาดและออกสั่งหมอปราณด้วยเสียงยาน ๆ เหมือนคนเมาเหล้า เมายา หรือคนมีสติไม่ค่อยสมบูรณ์ ขณะที่อีก ๒ คนถือไฟฉายส่องเข้ามาในรถ

“พวกนายจะปล้นฉันหรือ?” หมอปราณ กาฬปักษ์ ถามและเปิดประตูรถก้าวลงมายืนบนถนนข้างรถ และไม่คิดจะต่อสู้ให้เจ็บตัว

ซึ่ง ๓ โจรไม่ตอบ นอกจากไม่ตอบ ไอ้ ๒โจรที่ถือไฟฉายยังดับไฟฉาย แล้วเหน็บคืนเข้าข้างซอกเอว แล้วเข้ามารวบแขน ๒ ข้างของหมอยึดไว้แน่น ก่อนจะช่วยกันลากตัวหมอไปทางท้ายรถที่อยู่ตรงข้ามกับแสงไฟรถ ผลักร่างของหมอให้ไปยืนพิงฝาท้ายกระโปรงหลังรถ

ตอนแรกหมอปราณคิดว่า พวกมันจะปล้นทรัพย์สินที่มี สร้อย แหวน นาฬิกา และเงินในกระเป๋าสตางค์ ของเขาไปอย่างเดียวก็ไม่ขัดขืน เพราะถือว่า เป็นสมบัตินอกกายค่อยหาเอาใหม่ได้ และยอมให้พวกมันทั้ง ๓ คนถอดล้วงและปลดเอาไปตามชอบ…ทว่าพอปลดทรัพย์สินในตัวของเขาไปได้หมด ไอ้โจร ๒ ตัวที่ยังรวบแขน ๒ ข้างของเขาไว้อยู่ก็ยังไม่ยอมปล่อยแขนปล่อยตัวตัวเขา และมันหนึ่ง ๑ ใน ๒ พูดกับไอ้คนที่ถือปืนที่คอยยืนจี้เขาอยู่ว่า

“มึงจะดูดก่อนใช่ไหมไอ้เอียด งั้นมึงรีบลงมือเลย ก่อนที่จะมีรถอื่นผ่านมา”

“เออ ดีหว่า…กูขอบจายเมิงไอ้โหยดกูจะรีบ ๆ ดูด แล้วที่เหลือให้เมิงกับไอ้โหยยสองโคนดูดต่อ ฮะ ฮะ ฮ่า…” แล้วไอ้ตัวที่ถือปืนก็ยัดปืนเข้าซอกเอว ก่อนใช้สองมือสองข้างของมันมาจับประคองใบหน้าของหมอปราณ แล้วดันให้ใบหน้าของหมอหงายขึ้น…

จากนั้นไอ้โจรคนที่ ๓ ก็ก้มหน้าลงมาที่ลำคอของหมอปราณและทำท่าจะกัด หมอปราณพลันรู้สึกในทันทีว่า สิ่งที่เขากำลังเผชิญไม่ใช่โจรธรรมดา แต่เป็นโจรผีดิบดูดเลือด ที่เอาทั้งทรัพย์สินและเลือดในกายของคนที่ถูกมันปล้น หมอปราณจึงดิ้นรนสุดฤทธิ์ และร้องเอะอะขึ้น…

“เฮ้ย! ๆ! จะเอาเงิน เอาสร้อย เอาแหวน เอานาฬิกา อะไรของฉันก็เอาไปซีเว้ย แล้วทำไมจะต้องมาดูดเลือดของฉันอีก”

แต่ไอ้ ๓ ตนไม่ตอบ และพอหมอปราณจ้องสบตาไอ้ตัวที่กำลังใช้สองมือประกบสองข้างของใบหน้าเขา และพยายามที่จะกดใบหน้าของเขาลงไปให้แนบกับฝาท้ายกระโปรงรถยนต์ เพื่อจะให้สามารถก้มลงใช้ปากกัดที่ลำคอของเขาดูดเลือดสะดวกขึ้นนั้น หมอปราณมองตามันและพลันรู้สึกวูบและมึนงง เหมือนไร้สติไปใน

ฉับพลัน จากประกายสีเขียวเรืองในความมืดจากนัยน์ตาของมัน ซึ่งเป็นดวงตาของปิศาจในร่างคน

ทว่า เหมือนมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาช่วยเขาไว้ เพราะก่อนที่หมอปราณจะเสียท่า ไอ้ตัวที่กำลังใช้สองมือกดหัวเขาอยู่ก็ผงะถอยหลังเหมือนโดนใครถีบและแหกปากร้องลั่น

“อ๊ากกกซ์! เฮ้ยยยย! โอ๊ยยย!”

แล้วไอ้นั่นก็รีบปล่อยตัวหมอปราณในทันที และพลอยทำให้ไอ้ ๒ ตน ที่กำลังช่วยกันจับแขนหมอปราณไว้ก็พลอยร้องขึ้นอย่างตกใจ รีบปล่อยตัวเขาเช่นกัน จากนั้นไอ้ ๓ คนยังพากันวิ่งไปที่ริมถนนด้านหน้า ห่างจากขอนไม้ที่พวกมันนำมาวางขวางถนนไว้ออกไปราว ๑๕ เมตร ซึ่งเขามองเห็นมันในแสงไฟรถที่ยังเปิดอยู่ ว่าพวกมันพากันวิ่งไปขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ แล้วอีกไม่ถึงอึดใจต่อมา เสียงเครื่องยนต์ของรถมอเตอร์ไซค์ ๓ คันก็ดังขึ้น

บรึ้ม ๆ ๆ บรึ้ม ๆ ๆ บรึ้ม ๆ ๆ แปร๋ ๆ ๆ ๆ …

แล้วพวกมันทั้ง ๓ ตนที่ขับรถมอเตอร์ไซค์มาคันละคน ก็ต่างขับมอเตอร์ไซค์มุ่งหน้ากลับไปทางอำเภอทิวสนหายลับไปในความมืด…

สองข้างถนนที่หมอปราณ กาฬปักษ์ ลงมายืนอยู่เงียบสงัด ไม่มีทั้งบ้านคนและแสงไฟ ไม่มีเสียงกบเขียด ไม่มีเสียงจิ้งหรีดหรือจั๊กจั่นเรไรร้อง เพราะสองฟากถนนเป็นทุ่งหญ้าสลับกับป่าต้นเสม็ด ที่ชาวบ้านใช้ลอกเปลือกของมันไปชุบน้ำมันยางแล้วทำขี้ไต้ไว้จุดไฟในยามค่ำคืน และถนนสายนี้เพิ่งจะได้รับการราดยางไว้แบบหยาบ ๆ เมื่อไม่นาน สายไฟฟ้าก็ยังพาดผ่านมาไม่ถึง

อากาศบนถนนค่อนข้างอบอ้าวทั้ง ๆ ที่อยู่ในที่โล่งโปร่ง ไม่มีสายลมโบกพัด บนท้องฟ้ามืดครึ้มมองไม่เห็นดาว หมอปราณยืนสะบัดหัวและส่ายหน้าไปมาสลับกับใช้ส้นมือขวา ตบที่หน้าผากของตนเองเบา ๆ ห้าหกครั้งเพื่อเรียกสติกลับคืนมา แล้วก็รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับตน…

รู้ว่าเขาถูกขบวนการผีดิบซึ่งเป็นพวกครึ่งผีครึ่งคนมาดักปล้นทรัพย์แถมจะดูดเลือด แต่พวกมันดูดเลือดจากเขาไปไม่ได้ หมอปราณลองเอามือคลำ ๆ ดูในกระเป๋าหน้าอกเสื้อ แล้วก็ยิ้มออกมาพลางบอกตนเองว่า

“บารมีหลวงพ่อจีด คุ้มครองเราไว้อีกครั้ง!” แล้วเขาก็ยกสองมือพนมจดหน้าผาก
โชคดีที่เขามีรูปเหรียญของหลวงพ่อจีด วัดถ้ำเขาพลู ติดตัวอยู่เหรียญหนึ่ง ซึ่งเขาชอบเอาแอบกลัดติดไว้กับเข็มกลัดซ่อนปลาย ในกระเป๋าเสื้อเพื่อไม่ให้พวกขบวนการผีดิบรู้ว่าเขาแขวนพระ เพราะถ้าเขาซื้อสร้อยมาแล้วแขวนพระห้อยคอไว้ ก็จะเป็นการประกาศว่า “เขาไม่ใช่พวกของขบวนการผีดิบ” ทีนี้เขาก็อาจจะโดนกลั่นแกล้ง

เพราะในอำเภอทิวสนพอหลังจากขบวนการผีดิบสามารถโค่น พ.ต.ท.พรหมพงศ์ อิทธิเดช และนายอำเภอเกียรติศักดิ์ รักเกียรติภูมิ ลงได้แล้ว ผู้คนถ้าไม่ไปเข้ากับขบวนการผีดิบหรือสมาคมชีวิตอมตะ ก็จะต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน นั่งสวดมนต์ภาวนา ถือศีลห้าและกินอาหารมังสวิรัติกันอย่างเคร่งครัด แต่เขาไม่สามารถจะทำอย่างนั้นได้ เพราะเขาจะต้องใช้เวลานอกราชการ ไปเป็นหมอรับจ้างทำงานคลินิกนอกเวลาให้กับโรงพยาบาลเอกชน ของหมอรุ่นพี่ที่ตั้งโรงพยาบาลเอกชนอยู่ในตัวเมืองชุมพร และเขาจำเป็นต้องไปทำทุกคืน

แต่วันที่ทำให้เขาได้รับเหรียญหลวงพ่อจีดนี้มาเป็นเพราะ วันหนึ่งมีพระหนุ่มรูปหนึ่งเป็นหวัด มีอาการไอจามแบบแพ้อากาศ และพระหนุ่มรูปนั้นมาโรงพยาบาลมาให้เขาตรวจอาการและจ่ายยาให้ แรก ๆ พระหนุ่มรูปนั้นก็ดูจะระแวงเขาอยู่ เพราะไม่แน่ใจว่าเขาจะอยู่ในขบวนการฯ เป็นสมาชิกของสมาคมชีวิตอมตะ(ผีดิบ)หรือไม่ แต่พอเห็นว่าเขาแสดงออกโดยการยกมือไหว้แสดงเคารพในตัวท่าน และปฏิบัติกับท่านเฉกเช่นพุทธศาสนิกชนทั่วไปที่จะพึงปฏิบัติต่อพระสงฆ์ ท่านมองหน้าเขาแล้วก็พูดเบา ๆ ว่า

“โยมหมอกำลังตกอยู่ในอันตราย โยมหมออย่าออกไปไหนยามค่ำคืนจะทำได้ไหม?”

หมอปราณก็ยกมือไหว้และเรียนท่านว่า “กระผมคงทำไม่ได้ขอรับ กระผมจำเป็นต้องไปรักษาคนไข้ ที่โรงพยาบาลของหมอรุ่นพี่ที่ในตัวเมืองชุมพรทุกคืน ที่นั่นคนไข้อุบัติเหตุเยอะ”

“งั้นโยมหมอเอาเหรียญหลวงพ่อจีดอันนี้ติดตัวไว้ให้ตลอดนะ หมอเป็นคนดี บารมีของหลวงพ่อจะช่วยคุ้มภัยให้” แล้วพระหนุ่มรูปนั้นก็มอบเหรียญหลวงพ่อจีดไว้ให้เขารูปหนึ่ง

แล้วจากวันนั้นหมอปราณจึงได้ใช้เหรียญหลวงพ่อจีดมากลัดติดเสื้อไว้ตลอดเวลา…

ส่วนเหตุการณ์ในคืนนั้นยังไม่จบ…

หลังจาก หมอปราณเดินจากด้านหลังรถไปยังประตูรถตอนหน้า ด้านคนขับที่ยังเปิดอยู่ เพื่อจะขับรถออกเดินทางสู่โรงพยาบาลทิวสนต่อ… ท่ามกลางแสงไฟหน้ารถที่ยังเปิดส่องสว่างไปข้างหน้าราว ๔-๕ เมตร ขอนไม้ขนาด ๒ คนหามยังพาดขวางถนนอยู่ เขายังขับรถไปไม่ได้ถ้าไม่ไปลากขอนไม้นั้นออก

แทนที่จะขึ้นไปนั่งในรถ หมอหนุ่มจึงเดินไปที่ขอนไม้ ซึ่งเป็นขอนไม้เสม็ดด้านโคนมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒๕ เซนติเมตร ส่วนกลาง ๆ ถึงปลายค่อย ๆ เล็กเรียวลงไป คือไม่ใหญ่หรือหนักเกินที่จะเคลื่อนย้ายออกคนเดียว และไม้ท่อนนั้นมีลักษณะที่คด ๆ งอ ๆ แถมยังมีกิ่งก้านใหญ่ ๆ ติดอยู่ รถจึงไม่สามารถที่จะเหยียบทับผ่านไปได้ ถ้าไม่ไปลากเอาออก

หมอปราณลองเดินไปจับส่วนปลาย ที่มีผู้บั่นตัดยอดของไม้ออกไปแล้ว เหลือความยาวที่ถูกนำมาขวางถนนไว้เพียง ๕-๖ เมตร ตอนแรกเขาลองออกกำลังลากเพื่อจะให้ส่วนที่ขวางถนนอยู่ เคลื่อนที่ตามแรงของเขาลงไปอยู่ในคูถนน แบบลากไม้เอาปลายไปทำให้รู้สึกหนัก เพราะกิ่งที่ค้ำยันผิวถนนอยู่

เขาจึงหาวิธีใหม่ที่จะทำให้ทุ่นแรงกว่าเดิม คือจับส่วนปลายแล้วหมุนออกข้าง เพื่อจะให้ไม้ขอนนั้นพ้นจากการกีดขวางไปเป็นวางยาวตามแนวขนานกับผิวถนน นั่นเป็นสิ่งที่เขาทำได้

ทว่า แค่คิดยังไม่ทันจะลงมือ…

ด้านหลังของเขาบนถนนที่มาจากตัวเมืองชุมพร แสงไฟรถอีกคันหนึ่งก็ปรากฏขึ้น และเพื่อความปลอดภัยที่จะเกิดกับตัวเขา หมอปราณ กาฬปักษ์ รีบไปปิดล็อคประตูรถ แล้วรีบหลบลงไปแอบซุ่มอยู่ในที่มืดหลังพุ่มไม้ ห่างจากที่เขาจอดรถราว ๑๕ เมตร เพื่อรอดูว่ารถยนต์คันที่แล่นมาใหม่เป็นรถของใคร เป็นคนดีหรือคนร้าย…

แล้วอีกชั่วอึดใจต่อมา รถกระบะโฟร์วีลแบบ ๔ ประตู คันหนึ่งก็แล่นมาจอด ต่อท้ายกับรถของเขา รถคันนั้นจอดไม่ดับไฟและไม่ดับเครื่อง แต่มีคนหลายคนก้าวลงจากรถยกเว้นคนที่เป็นคนขับ

“เกิดอะไรขึ้น นั่นรถใครจอดอยู่ ดูให้ดีซิ” มีเสียงถามลงมาจากบนรถ

“รถเก๋งคันนี้ดูคุ้น ๆ เหมือนรถหมอที่โรงพยาบาล” เสียงหนึ่งตอบซึ่งหมอปราณได้ยินถนัด

“รถหมอปราณจริง ๆ ด้วย แล้วเกิดอะไรขึ้น หมอปราณไปไหน?” เสียงคนที่ลงมายืนอยู่ ๓-๔ คนถามกันขณะมองซ้ายมองขวา

“ดูให้ดีซิ มีใครเป็นอะไรอยู่ในรถหรือเปล่า?” เสียงสั่งลงมาจากบนรถกระบะโฟร์วีล ๔ประตูที่ยังไม่ดับเครื่อง คน ๒ คนที่อยู่บนถนนมีไฟฉายจึงส่องกราดเข้าไปดูในรถ อีกคนส่องดูรอบ ๆ รถที่จอด อีกคนลองเปิดประตูและพูด

“ไม่มีใครอยู่ในรถครับท่านปลัด ประตูรถถูกล็อค สงสัยจะมีการปล้นเกิดขึ้น โน่นไงพวกโจรเอาขอนไม้มาขวางถนน ผมว่าพวกโจรคงจับเอาตัวหมอเจ้าของรถไปแล้ว…”

“มันจับตัวเจ้าของรถไปปลดทรัพย์ แล้วก็เอาเจ้าของรถไปมัดหรือฆ่าทิ้งไว้ตรงไหนสักแห่ง แล้วมันค่อยย้อนกลับมาเอารถขับไปใช้ต่อ” เสียงชาย ๑ ใน ๔ ที่ลงมาตรวจดูรถพูดรายงานให้คนบนรถทราบ

“งั้นอย่าเสียเวลาเลย พวกคุณช่วยกันหามไม้ออกให้พ้นถนน แล้วก็รีบกลับมาขึ้นรถมาเถอะดึกแล้ว พวกเราไม่มีหน้าที่ ๆ จะไปตามจับโจร ใครจะเป็นจะตายให้ฝ่ายตำรวจเขามาดูพรุ่งนี้”

“ได้ครับท่านปลัด อ้าวกำนันแผน คุณบุญชัย คุณทวีศักดิ์ มาช่วยกันหามหน่อย”

ผู้พูดหมอปราณ กาฬปักษ์ ฟังไม่ออกว่าเป็นใคร แต่เดาว่าในกลุ่มของคณะนี้ที่ชอบไปเที่ยวคาเฟ่ในตัวเมืองชุมพรด้วยกัน แล้วกลับมาดึกตี ๑ ตี ๒ นอกจากปลัดทับ ทิวทอง ปลัดรักษาการนายอำเภอทิวสน คนถัดมาคือกำนันแผน พงศ์ฤทธิ์ กำนันตำบลทิวสน นายบุญชัย ทวีกิจ ผู้จัดการธนาคาร... และนายทวีศักดิ์ ธนสาร เกษตรอำเภอ… อีกคนก็น่าจะเป็นนายจำเริญ ถนอมชาติ ซึ่งเป็นสรรพากรอำเภอ

คืนนั้นพอขอนไม้ถูกย้ายลงไปจากถนน หมอปราณ กาฬปักษ์ ก็ขับรถตามหลังคณะของข้าราชการอำเภอ ที่กลับมาจากไปเที่ยวที่คาเฟ่ในตัวเมืองชุมพรมาช้า ๆ

ครั้งนี้ เมื่อหมอปราณ กาฬปักษ์ ถูก พ.ต.ต.มหิทธิ์ มนศักดิ์ สวป.คนใหม่ยิง เลือดออกมากเขาเองก็คิดว่าเขาตายแล้ว แต่แท้ที่จริงเขามารู้ว่าเขาแค่หมดสติไป เพราะกระสุนที่ยิงทุกนัดเจาะเฉี่ยวผิวเนื้อแล้วแฉลบออก ไม่ได้เจาะเข้าไปทำลายส่วนอวัยวะสำคัญภายในร่างกาย เพราะบารมีเหรียญหลวงพ่อจีดที่เขากลัดติดเสื้อไว้ตลอดเวลา ช่วยเขาไว้นั่นเอง…

และในตอนที่พวกตำรวจลูกน้องของ สวป.มหิทธิ์ มนศักดิ์ นำร่างของเขาใส่กระสอบมาวางรออยู่ที่ปากถ้ำ ที่หลังกุฏิหลวงตาเงิน เพื่อรอให้ท่านพระครูกับสมุนบริวารที่เป็นชาวบ้านของขบวนการผีดิบ ที่มาทำงานอยู่ในวัดประมาณ ๓๐ คน ให้มารับเอาร่างอันโชกเลือดของหมอปราณ กาฬปักษ์ ไปไว้เป็นอาหารมื้อค่ำแก่พวกโหงพรายนับร้อย ที่ถูกกักขังไว้ในถ้ำจนเต็มเกือบทุกถ้ำ อันอยู่ใต้ภูเขา

พอตำรวจชุดดังกล่าวเดินกลับมา หมอปราณ กาฬปักษ์ ก็ใช้มีดคัตเตอร์ที่พกไว้ติดตัว กรีดและตัดด้านข้างของกระสอบป่านพาตัวออกมา แต่เป็นจังหวะที่ตำรวจลูกน้องของ สวป.มหิทธิ์ มนศักดิ์ คนหนึ่งหันมามองพอดีพร้อมกับส่งสียงร้องขึ้นว่า

“เฮ้ย ๆ ๆ หมอปราณ ยังไม่ตาย มันฟื้นแล้ว มันวิ่งหนีไปโน่นแล้ว” ซึ่งหมอปราณได้วิ่งเข้าป่าช้าและวิ่งไปสู่ทางที่จะไปสู่กุฏิของหลวงตาแต้ม และโชคดีของหมอปราณ ที่ตำรวจชุดนั้นคิดว่า หมอปราณ กาฬปักษ์ ได้กลายเป็นผีดิบถาวรไปอีกตัว จึงไม่มีใครกล้าตามไล่จับ ได้แต่นำความมาแจ้งกับเจ้านายคือ พ.ต.ต.มหิทธิ์ มนศักดิ์ว่า

“หมอปราณ กาฬปักษ์ ออกจากกระสอบหนีไปแล้วครับ”
ทำให้ พ.ต.ต.มหิทธิ์ มนศักดิ์ ได้แต่พกเอาความหงุดหงิดกลับมาที่โรงพัก

000000


Create Date : 21 สิงหาคม 2550
Last Update : 23 สิงหาคม 2550 9:59:59 น. 35 comments
Counter : 1691 Pageviews.

 
ยังแปะโป้ง..ไม่อ่านก่อนนะคะ

แต่ว่า แวะมาทักว่า "หนูยังมีชีวิต".. แบบรันทดสุด ๆ ด้วยนะลุง เมื่อวันไปกรุงเทพฯ ทิ้ง handy drive ไว้ให้น้านพเซฟงาน เขาลืมเก็บ..ไม่รู้ลูกค้าคนไหนเก็บไป

เมิ้ดดดดดดดดด อีกแหล่ว..

เมิ้ดเกือบทั้งชีวิต ไม่ว่า งานหลวง งานราษฎร์

เว็บ ..เวิ้บ.. ไปหมดค่ะ

ก็ไม่เป็นไร เพราะยังมีชีวิต ก็สู้กันต่อ..ถ้ายังไงคืนนี้แจมจะอัพเดทเว็บให้ลุงอีกรอบ..หลังจากนั้นขออนุญาตหยุดยาว..

ไปเขียนงานส่ง..และไปทำบัญชีให้สหกรณ์

ไม่รู้ใคร มันช่างใจร้ายใจดำก๊าแจม..

ชักท้อ ๆ เหมือนกันนะ..การมีชีวิตนี่ ยากจัง..

เหะ เหะ มาบ่นเสร็จแล้วก็จากไป



โดย: สีน้ำฟ้า IP: 61.7.150.102 วันที่: 21 สิงหาคม 2550 เวลา:14:12:19 น.  

 
โอย... โหดร้ายพอ ๆ กับตอนที่ฮาร์ทดิสค์ลุงพังเลย...

แต่ถ้าคิดว่า "ม่ายแน่....มานอาจะลีก็ล่าย" ก็คือต้องรอดูต่อไป แต่ตอนนี้ก็หดหู่ละ บทเรียนมันสอนเราอย่าเผลอแม้แต่กระพริบตา

ส่วนของลุง ก่อนฮาร์ทดิสค์พัง ลุงเขียนนิยาย ๕๑๐ หน้าจบให้นิตยสารฉบับหนึ่ง แบบว่า บก.ผู้หญิงเรียกไปพบและบอกให้เขียน เขียนได้ ๓๑๐ หน้าฮาร์ทดิสค์พัง มีสั่งปรินท์มาไว้ ๒๐๐ หน้า ไปจ้างเขา ๑๔๐๐ บาท ให้พิมพ์เข้าดิสค์ให้ใหม่

มาเขียนต่อจนได้ ๕๑๐ หน้า พอเสนอไป บก.ผู้หญิงเกิดเส้นโลหิตในสมองแตก บก.ผู้ชายมาใหม่ ไม่รับงานของลุง

"ม่ายแน่....มานอาจจะม่ายลีก็ล่าย" คือทุกอย่างมีทั้งลบและบวกเสมอในชีวิต


โดย: ลุงบูลย์ IP: 125.27.233.181 วันที่: 21 สิงหาคม 2550 เวลา:19:29:53 น.  

 
ไชโย้....

กลับมาจากสัมมนา ได้อ่าน เมืองเทวดา

เหมือนเดิมค่ะ ลุงบูลย์ นกจะ Print เอาไปนอนอ่านท้ายสวนในวันหยุดนะคะ


โดย: หทัยชนก (Nok_Noah ) วันที่: 21 สิงหาคม 2550 เวลา:20:53:27 น.  

 
ลุงบูลย์คะ...

ยังเป็นๆอยู่เลยค่ะ..
ที่ไม่ได้มาหาลุง ไม่ได้ไปหาใครเพราะที่บ้านยุ่งๆตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว

วันนี้มาอัพบล๊อคเพราะคงจะไม่ได้เข้ามาเปิดดูอีกหลายวัน
เช้านี้...ศพน้องวุฒิจะมาจากภูเก็ตกลับบ้าน เข้าเพิ่งสิ้นเมื่อหัวรุ่งวันนี้
ดิ้นรนไม่ยอมละสังขารมาร่วมอาทิตย์ทั้งที่ร่างกายเปื่อยเลือดไหลออกจากตัวหมดแล้ว มีแต่หัวใจที่ยังทำงาน..

แต่หมอโรงบาลเอกชนก็สุดยอดจริงๆ..รั้งไว้ทำไม(เพื่อเงิน..แน่นอน)
สี่วันปาเข้าไป5แสน เพราะต้องอยู่ในห้องปลอดเชื้อตลอด

วันนี้ก็เลยต้องไปช่วยบ้านใหญ่ทำงานงาน...คงไม่ได้แวะมาหาลุงอีกหลายวัน...

แล้วจะมาคุยด้วยทีหลังนะคะ


โดย: ปลายแปรง วันที่: 22 สิงหาคม 2550 เวลา:7:44:47 น.  

 
สวัสดีหลานหทัยชนก

เป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้วแหละหนูหทัยชนก ใครจะอ่านในนี้ ไม่มันส์เท่าปรินท์ออกไปอ่านหรอก เมื่อก่อนลุงก็ไปปรินท์นิยายในเวบ สำนักพิมพ์บางกอกมาอ่านเหมือนกัน

ที่พวกนักเขียนเราส่งเรื่องมาให้ลุงตรวจลุงก็ปรินท์ออกมาอ่านข้างนอก อ่านแล้วชอบไม่ชอบอย่างไรก็ลองว่ามาบ้างนะ แต่ขอบอกเสียก่อน ว่าลุงต้องการเขียนให้คนทุกระดับอ่านได้ เหมือนนิยายบางกอก เพราะไปหาข้อมูล ตอนที่แปลงงานวิจัยของ สปสช.เป็นเรื่องสั้นโจรปล้นหมอ ว่าระดับดอกเตอร์ เขาก็ชอบอ่านนิยายแนวบางกอก

กับตอนที่ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เชิญคนหลากหลายสาขาอาชีพมาให้วิจารณ์เรื่องสั้น และการ์ตูนของลุง อีกลุงเองก็ติดละคร(ที่เขาเรียกว่า น้ำเน่า) ในทีวี แม้ว่าบางเรื่องลุงดูไป ด่าไป ว่าคนเขียนบทมันงี่เง่า แต่บางเรื่องก็ดีมาก ๆ เช่นละครของบริษัทเป่าจินจง

ไม่รู้ว่าหลานหทัยชนก เป็นนักอ่านกลุ่มไหน เช่นถ้าชอบแนวอ่านไปง่วงไป หรือคลุมเครือเหมือนเมาเหล้า แต่ก็ทนอ่านเพื่อให้เกิด มยปัญญา แบบนี้คงไม่ชอบงานของลุงแน่


โดย: ลุงบูลย์ IP: 125.27.234.65 วันที่: 22 สิงหาคม 2550 เวลา:9:17:13 น.  

 
น้องวุฒินี่เป็นลูกใคร เป็นลูกของ อ.ประสิทธิ์หรือเปล่า แล้วป่วยเป็นโรคอะไร

พูดเรื่องหมอ ก็นั่นละผีดิบ เห็นมั้ยว่าเขาดูดเลือดคนทุกจำพวกที่โฉบฉายเข้าไป

ลุงไม่อยากเป็นนักเขียนผีดิบ จึงรับจ้างเขียนหนังสือให้ครูเล่มละห้าหกพัน แต่แถวภูเก็ตเรียกเล่มละเป็นหมื่น

ช่วยเล่ามาอีกนิดนะอยากรู้ หรือว่ามีในบล็อกจะเข้าไปอ่านดู


โดย: ลุงบูลย์ IP: 125.27.234.65 วันที่: 22 สิงหาคม 2550 เวลา:9:22:19 น.  

 
ลุงบูลย์..ขอบคุณค่ะ อุตส่าห์สละเวลา ลงตอนต่อไปให้
มาสเตอร์ของลุงบูลย์มีหรือปล่าวคะ ที่จัดการบล๊อกให้น่ะ
อิๆ
(เพิ่งเข้าไปอ่านคอมเมนท์นี้ อ่านแล้วใจระทึก)

ลุงบูลย์ให้หนูวิจารณ์อย่างเต็มที่ได้มั๊ยคะ แบบตรงๆเลยนะ
ถ้าได้ เดี๋ยวพูดกับลุงเลย นี่ถามลุงก่อน เดี๋ยวลุงเป็นลม
เข้าโรงพยาบาลไม่มีใครเขียนเรื่องให้อ่านอีก..



โดย: แม่น้องนิก IP: 4.232.141.189 วันที่: 22 สิงหาคม 2550 เวลา:0:26:48 น.

ขอเป็นทางอีเมล์ก่อนได้ไหมครับ

pantamuang@hotmail.com

เกี่ยวกับเรื่องที่แต่งหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ แต่เกี่ยวกับบล็อก ลุงขอบอกได้เลยว่า ลุงไม่มีเวบมาสเตอร์ แปต่เวบไซต์มี คือ คุณแจม เวบบล็อกลุงไม่มีเวลามาปรับแต่ง หรือศึกษาเพิ่มเติมเลยจริง ๆ

ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่า ใคร ๆ เขาต่างไปเอาวิธีแต่งมาจากเวบป้ามดกันทั้งนั้น มันจึงสุดเชยอยู่อย่างนี้แหละ ไม่พัฒนาไปไหน (เคยทำมาครั้งหนึ่งดำมืดหมด เกือบแก้ไม่ได้)

ถ้าเป็นเรื่องบล็อกอาจจะขอให้คุณแจมช่วย แต่ถ้าเกี่ยวกับเรื่องแต่งนิยาย ช่วยบอกลุงไปคนเดียวโดยตรงเถอะ จะมีประโยชน์มาก

ขอขอบพระคุณล่วงหน้า


โดย: ลุงบูลย์ (pantamuang ) วันที่: 23 สิงหาคม 2550 เวลา:9:49:15 น.  

 
ตอบแม่น้องนิก

ยักษ์ คือใคร ?
*ยักษ์ คือ ผู้ที่เขาบูชาเซ่นสรวง หรือผู้ทำความพยายามให้เขาบูชาเซ่นสรวง ยักษ์มีหลายระดับ ตั้งแต่ยักษ์ชั้นสูง ยักษ์ชั้นกลาง ยักษ์ชั้นล่าง มีความละเอียดประณีตแตกต่างกันตามกำลังบุญ

ถ้ายักษ์ชั้นสูง จะมีวิมานเป็นทอง มีรูปร่างสวยงาม มีเครื่องประดับ มีรัศมี แต่ผิวจะดำ ดำอมเขียว อมเหลือง ดำแดงก็มี แต่ว่าดำเนียน มีอาหารทิพย์ มีบริวารคอยรับใช้ ปกติไม่เห็นเขี้ยว เวลาโกรธจึงจะมีเขี้ยวงอกออกมา

ยักษ์ชั้นกลาง ส่วนใหญ่จะเป็นบริวารคอยรับใช้ของยักษ์ชั้นสูง

ส่วนยักษ์ชั้นต่ำที่บุญน้อยก็จะมีรูปร่างน่าเกลียด ผมหยิก ตัวดำ ตาโปน ผิวหยาบ เหมือนกระดาษทราย นิสัยดุร้าย

ยักษ์เกิดได้ 3 แบบ คือ เกิดแบบโอปปาติกะ เกิดแล้วโตทันที ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ และสังเสทชะ เกิดในเหงื่อไคล ที่อยู่ของยักษ์ ก็มีอยู่ตามถ้ำ ตามเขา ในน้ำ ในดิน พื้นมนุษย์ ในอากาศ และมีวิมานอยู่ที่เขาสิเนรุในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา พวกยักษ์จะอยู่ในการปกครองของท้าวเวสสุวรรณ หรือท้าวกุเวรมหาราชผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศเหนือ เหตุที่มาเกิดเป็นยักษ์เพราะทำบุญเจือด้วยความโกรธ มักหงุดหงิดรำคาญใจ


โดย: ลุงบูลย์ (pantamuang ) วันที่: 23 สิงหาคม 2550 เวลา:11:00:15 น.  

 
นิยายสิค้าคุณลุง..หนูไม่วิจารณ์หรอกบล๊อกน่ะ
สวยพริ้งซะขนาดนี้..

แต่ดีใจอย่างนึงว่า..ลุงบูลย์น่ะ รับความตรงไปตรงมา
ของหนูได้ คืนนี้เขียนไม่ได้นะลุง พรุ่งนี้หนูต้องไปส่งลูกไปเรียนน่ะ ไว้ว่าง จะเขียนส่งไปให้ค่ะ เขียนเซฟไว้
ส่งช่วงไหนไม่รู้หรอกลุงบูลย์ ไม่เกินอาทิตย์นี้นะคะ

หนูมักจะว่างช่วงเช้า ยิ่งลูกเรียนก็จะว่างเป็นช่วงๆ
ลุงอย่าเพิ่งหวังว่าหนูจะเขียนอะไรเลยค่ะ ขอดูลูกเป็นหลัก
ก่อนว่า เราจะว่างแค่ไหน ตอนนี้เรียนทั้งคู่ หนูทุ่มเทสอนลูกหลังเลิกเรียน ปานพี่เลี้ยงเลยล่ะ การเรียนแกก็ไม่ธรรมดาหรอกลุงบูลย์ เรียกว่า หน้าเหลืองๆเนี่ยครูรู้จักเกือบทุกคน


โดย: แม่น้องนิก IP: 4.232.135.87 วันที่: 23 สิงหาคม 2550 เวลา:11:22:16 น.  

 
เพลงเพราะเหมือนกันนะบล็อกนี้

อ่านมาถึงคอมเมนท์ที่ว่า

บก.ผู้หญิงเกิดเส้นโลหิตในสมองแตก บก.ผู้ชายมาใหม่ ไม่รับงานของลุง

ยิ้มขำขัน ไม่ได้ขำที่บก.ผู้หญิง
แต่ขำบก.ผู้ชายที่ไม่รับเรื่อง ต่อไปจะส่งงานคุณต้องดูสุขภาพของบก.ก่อนนะ




โดย: แพรจารุ วันที่: 23 สิงหาคม 2550 เวลา:14:10:30 น.  

 
กลับมาอีกครั้งขอโทษที่ชมผิด เพลงที่ว่าเพลงเพราะ ๆ นั้น ดังมาจากบ้าน "นกแสงตะวัน" พอดีเปิดบ้านนกแสงตะวันทิ้งไว้ แล้วมาอ่านอยู่บ้านสีชมพูของลุงบูลย์ พอเพลงดังก็เข้าใจผิด

คิดอยู่เหมือนกันว่า ใครมาใส่เพลง โรเมนติกส์ เช่นนี้ให้ ส่งสัยน่าจะเป็นหลานสีน้ำฟ้า

เอาเป็นว่าข้อความที่ชมเพลงเป็นของนกแสงตะวันแล้วกัน ใครอยากฟังก็เข้าไปนะคะ เจ้าของบ้านเธอกำลังรำลึกถึงความหลัง อย่างอ้อยอิ่ง นุ่มนวล ชวนฝันต่อ


โดย: แพรจารุ วันที่: 23 สิงหาคม 2550 เวลา:14:19:16 น.  

 
ลุงบูลย์

มาวิ่งเล่นบ้านลุงบูลย์ วิ่งๆๆ รอบๆๆ แล้วก็ไป อิอิ


โดย: หทัยชนก (Nok_Noah ) วันที่: 23 สิงหาคม 2550 เวลา:20:58:32 น.  

 
อาบูลย์
แหม... ได้รับกำลังใจเพียบล่ะสิ

ดึกนี้
หนอนฯ อัพบล็อกแล้วหนา
เชิญไปดูได้

เมืองเทวดา
ยังไม่อ่านต่อเลย
ว่างแล้วจะแวะมาชิมอาหารสมอง
ที่ดีลิฟเวอรี่ถึงหน้า (จอ)

มีงานรออยู่ ไปล่ะ ช๋ะแว๊บ...


โดย: หนอนเมืองกรุงฯ IP: 58.9.172.78 วันที่: 24 สิงหาคม 2550 เวลา:0:45:30 น.  

 
เหตุที่มาเกิดเป็นยักษ์เพราะทำบุญเจือด้วยความโกรธ

แล้วถ้าคนเรา..ทำบุญ เจือด้วยความไม่สุจริตและความโกรธ..คนอย่างนี้ถือเป็นยักษ์หรือปล่าวคะ ลุงบูลย์

ว่าด้วยเรื่องธรรมะนี่..มีให้คิดในหลายข้อ หลายประเด็น
เนาะลุงเนาะ..แต่อย่างหนึ่งที่หนูเห็นที่เมืองนอกนะ..ฝรั่ง
เขาก็มีศาสนาคริสต์ แต่แยกเป็นหลายอย่าง แล้วทั้งหลายๆอย่าง ก็แตกแยกความเชื่อ ตามบุคคลที่เชื่อต่อกันมา ตามผู้นำศาสนาที่ให้คำสอนให้คนคล้อยตาม

เล่าให้ลุงฟัง..อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ แต่หนูไม่ได้เชื่อตามหรอกนะลุง..ญาติสามีหนูเขาเชื่อว่า..พระเจ้าจะประทานเงินทองให้เขามั่งมี ถ้าเขาทำดี..หนูก็คิดเถียงอ่ะว่า..อะไรวะงานการไม่ทำ..เงินมันจะลอยมากองให้รึไงเพียงแค่การทำดี งั้นไม..ฉันไม่มีเงินลอยมาบ้างล่ะ รอถูกหวยอยู่เนี่ย
นั่นเป็นความเชื่อของเขาก็ปล่อยเขาไป จนป่านนี้หนูก็ไม่เห็นเงินลอยมาหาเขาซะที

มันขัดกับหลักศาสนาพุทธเนาะลุง..แฟนหนูเขายังบอกเลยว่าศาสนาพุทธ เป็นอะไรที่เชื่อได้

ไปละ..ไปเมลหาลุงก่อน


โดย: แม่น้องนิก IP: 4.232.141.110 วันที่: 24 สิงหาคม 2550 เวลา:1:03:39 น.  

 
ประกาศ ลุงบูลย์หาย..


โดย: แม่น้องนิก IP: 4.232.141.122 วันที่: 25 สิงหาคม 2550 เวลา:11:31:54 น.  

 
สวัสดีค่ะ ลุงบูลย์

ลุงสบายดีนะคะ ลุงยังจำหนูได้หรือเปล่า..หนูเห็นลุงเงียบๆไป หนูน่ะแวะมาอ่านเมืองเทวดาของลุงอยู่เป็นประจำ..

ยังเป็นแฟนพันธุ์แท้อยู่นะคะ..

พักนี้ฝนตกบ่อยๆ ลุงดูแลสุขภาพด้วยนะคะ..


โดย: นัยนา IP: 61.7.173.159 วันที่: 25 สิงหาคม 2550 เวลา:15:53:07 น.  

 
คอมลุงมีปัญหาอีกแล้ว เข้าใช้งานได้ แต่ชัตดาวน์ไม่ได้
ช่างเพิ่งมาทำให้ใหม่เสร็จเมื่อกี๊ ทำอยู่สามสี่ชั่วโมง เพิ่งไป
ได้รับเมล์แม่น้องนิกแล้ว แต่ไม่เห็นจะวิจารณ์อะไรเลย ยังเกรง ๆ ใจกันอยู่หรือ ไม่ต้องเกรง ช่วยซัดมาเต็มที่เลย กำลังหา บก.อยู่พอดี

สวัสดีคุณแพร

เรื่องจริงในชีวิตนักเขียนเรานี่ บก.มีส่วนสำคัญมาก เราจะต้องรู้นิสัยเขา ลุงมีดวงถูกกับ บก.ผู้หญิง เช่นครั้งหนึ่งราวปี ๓๕ เขียนนิยายเป็นว่าเล่น ได้ลงตีพิมพ์จนทำไม่ทัน มี บก.ผู้หญิงคนหนึ่ง จะพิมพ์เรื่อง "สะพานเบี่ยงรัก" ของลุง เรื่องแนวหวาน ๆ ขม ๆ นิด ๆ

จะลงตีพิมพ์ต่อจาก จิตรกรเร่ อยู่แล้ว บก.เกิดขัดใจกับเจ้าของหนังสือ หนีหายไป บก.ผู้ชายมาแทน นิยายไม่เอา เรื่องสั้นก็จะเอาแต่ที่เกี่ยวกับอาหาร ลุงเลยหายหน้ามาจากนิตยสารเล่มนั้นจนบัดนี้

แพรล่ะ ตอนนี้เขียนประจำอยู่นิตยสารใด บอกบ้างซีจะได้ตามไปอ่าน อ่านเรื่องแผ่นหลังของพ่อ ยังซึ้งใจอยู่เลย


โดย: ลุงบูลย์ IP: 125.27.232.90 วันที่: 25 สิงหาคม 2550 เวลา:15:55:28 น.  

 

นัยนา
เอนึกไม่ออก คนเดียวกับยานาไหม นัยนา คุ้น ๆ แฮะ แต่ยังนึกไม่ออก เฮ้อคนแก่ก็งี้แหละ เป็นแบบนี้ประจำ

นี่ขนาดว่าจะปิดเครื่องแล้วไปกินข้าวเที่ยงซะหน่อย นี่มันสี่โมงเย็นแล้ว หิว พอดีเพิ่งเซ็ตคอมใหม่เสร็จ


โดย: ลุงบูลย์ IP: 125.27.232.90 วันที่: 25 สิงหาคม 2550 เวลา:16:46:39 น.  

 
อาบูลย์
เพิ่งรู้ว่ามีดวงถูกกะ บ.ก. หญิง
รู้จักกันมาตั้งนาน
ไม่รู้เรื่องนี้เลยนะเนี่ย

หวังว่าคงหายหงุดหงิดเรื่องเครื่องคอมฯ
ไม่ชัดดาวน์แล้วล่ะนะ
สงสัยจะใช้งานคอมฯ หนัก
เพราะเล่นบล็อกเล่นเว็บนี่ล่ะ

นี่ตั้งใจให้แม่น้องนิก
วิจารณ์ซัดเต็มที่เลยเหรอ
โห...ใจถึงจริง ๆ นะ

เมื่อไรจะมากรุงเทพฯ อีกล่ะ
เมื่อไรจะได้ไปกินข้าวกัน
มาแต่ละครั้งเดี๋ยวนี้รีบด่วนจี๋ไปรษณีย์จ๋าซะจัง

แวะมาทักกลางดึกแค่นี้แหละ
จะไปทำงานคั่งค้างของตัวเองก่อนจ้า


โดย: หนอนเมืองกรุงฯ IP: 58.9.172.78 วันที่: 26 สิงหาคม 2550 เวลา:2:06:26 น.  

 
เกรงใจสิคะลุงบูลย์ กลัวโดนด่าว่า..เขียนไม่ได้แล้วกล้ามาวิจารณ์ฉันได้ไง..เลยอ้อมๆแอ้มๆเขียนไปน่ะค่ะ

พี่หนอนฯบอก..ตั้งใจให้แม่น้องนิกซัดให้เต็มที่
โห..ใจถึงจริงนะ..นี่หมายความ..พี่หนอนฯกำลังจะพูดว่า
ลุงบูลย์เป็นคนใจน้อยเก่งหรือปล่าว



โดย: แม่น้องนิก IP: 4.232.141.53 วันที่: 26 สิงหาคม 2550 เวลา:4:18:02 น.  

 
...สวัสดีนะหนอนก่อนใครอื่น.........วันนี้ตื่นสายสายมาตอบหนอน
ครึ้มครึ้มขึ้นมาเลยว่าเป็นกลอน........ใจค่อนค่อนจะหงอยแต่จ๋อยยังแจว

....เขียนนิยายเพราะชอบกอบสิ่งฝัน...ถ้าตัวเองว่ามันส์ของข้าแล้ว
ยิ่งส่ง บก.พอผ่านมันมีแวว...............ถ้าไม่ผ่านนั่นแหละแห้ว คือหมดกำลัง

...ไปดูกลุ่มนาครเขาซ้อนกาก...........ตีหัวลากแล้วยังทุบกลางหลัง
วิจารณ์แบบทำลายคล้ายให้พัง..........คนเขียนนั่งตาปรอยคงหงอยนาน
(ในจุดประกายวรรณกรรม-ตอนไปงานนักเขียน ๔ ภาค)

...นักเขียนวิจารณ์นักเขียนราวเบียนเบียด...ถ้าเป็นอาอาจจุกเสียดหมดสถาน
แต่ความเชื่อต้องเหนือใครในเหตุการณ์....อาเคยอ่านงานของเขาเราชอบใจ

....แต่ไม่ชอบที่เขาขัดตัดเหลือแก่น......เพราะอ่านแล้วมันแสนเบื่อไฉน
อายังชอบแบบตลาดฟาดตรงใจ...........ถ้า บก.พิมพ์ให้คือไชโย

....เมื่อทำงานชิ้นหนึ่งจึงหวังแค่............บก.ผ่านงานเราแผ่นั่นแลโก้
หกสิบล้านคนไทยใช่ไฮโซ(ทั้งหมด).....พิมพ์สองพันแล้วพลันโอ่หนังสือดี

....การรับฟังคนวิจารณ์เป็นด่านตรวจ.....เหมือนตำรวจตั้งด่านจับรับภาษี
ย่อมมีค่ากว่าไม่ผ่านด่านชั่วดี...............แต่อานี้ขอตั้งหวังวิ่งชน

....เอาความเชื่อเป็นหน้าหม้อห้อเรือรถ....เอาดวงจิตที่จ่อจดเป็นต้นหน
แล่นฝ่าด่านตำรวจอวดฝูงชน................ยอมให้รถพังป่น ไม่ยอมงอ
.................................000000................................
เฮอะ ๆ ๆ(ในบางกรณีที่ ถ้าไม่เห็นด้วยนะจ๊ะ)




โดย: ลุงบูลย์ (pantamuang ) วันที่: 26 สิงหาคม 2550 เวลา:9:01:18 น.  

 
ลุงบูลย์

สงสัยงานจะยุ่งมาก จนถึงมากที่สุด เลยไม่เห็นนกมาวิ่งเล่นในบ้าน อิอิ

ยุ่งมากหรือลุงขา
นกแวะมาเลยไม่เห็น
คงปั่นงานเช้าเย็น
มาเดินเล่นที่บ้านลุง

นกทักเพียงแค่นี้
เวลาที่ลุงคงยุ่ง
ช่วยงานครูทั้งทุ่ง
ยังไงลุงอย่าลืมพัก

หลานห่วงลุงรู้ไหม
กำลังใจให้เพราะรัก
เลยเข้ามาสลัก
ลงลายลักษณ์อักษรไว้

งั้นนกต้องขอลา
ไว้วันหน้าจะมาใหม่
กราบลาด้วยดวงใจ
จากหทัยชนก..ชนน์


โดย: หทัยชนก (Nok_Noah ) วันที่: 26 สิงหาคม 2550 เวลา:20:21:35 น.  

 
งานก็เยอะ..เงินก็มา แต่ยังมีเวลาร่ายกลอนใส่กันแน่ะ
แสดงว่าอารมณ์ดีนะวันนี้

ลุงบูลย์นี่..ถ้าเป็นธุรกิจ ต้องเรียกว่าเฮงในการทำผลงาน
ให้คนอื่น ส่วนงานที่ตัวเองชอบต้องใช้ความสามารถสุดฤทธิ์ เจ็บช้ำมั๊ยคะลุง..เขาได้ตกเบิกที ห้าแสน มันเงียบกริบเนี่ย..หนูบอกแล้ว..คิดให้จะๆไปเลย เอาซัก 10-15%
ของห้าแสน..น้านนนน..แนะนำให้ลุงดีๆทั้งนั้น

พอพูดอย่างนี้ ลุงกลัวหนูงกล่ะสิ ไม่หรอกค่ะ..


โดย: แม่น้องนิก IP: 4.232.141.73 วันที่: 27 สิงหาคม 2550 เวลา:1:15:43 น.  

 
โห...
ตอบเป็นกลอนเลยนะ
พอดีไม่มีเวลามาก
ไม่งั้นจะต่อกลอนด้วยแล้ว
เดี๋ยวเช้าต้องมาทำอาหารไหว้งานวันสารทจีน
ก็เลยชะโงกหน้ามาดูหน่อย

ถ้านักเขียนยอมรับคำวิจารณ์
ก็เป็นเรื่องที่ดีค่ะ
แม้บางทีอาจจะไม่ได้ช่วยอะไรมาก
แต่อย่างน้อยก็เป็นการสะท้อนความคิดเห็นกลับไปบ้าง

สำหรับหนอนฯ
ถือคติ...ติเพื่อก่อ ชมพอให้เป็นกำลังใจค่ะ

แต่หนอนฯ ยังยืนยันกะอาบูลย์ว่า
เขียนในสิ่งที่ตนถนัด
เราต้องการสร้างงานเพื่อกลุ่มเป้าหมายไหนก็ทำไปเถอะค่ะ
ขอให้เรารู้ว่าคนอ่านของเราอยู่ตรงไหน
แล้วเราก็สร้างงานป้อนตรงนั้น
จะเป็นงานแนวตลาด หรืองานวรรณกรรมสองพันเล่มขายไม่หมด ก็ได้ทั้งนั้น
บางทีทำทั้งสองอย่างก็ได้
งานนึงสำหรับคนกลุ่มนึง งานอีกงานนึงก็สำหรับคนอีกกลุ่มนึง
เพราะเวลาสำนักพิมพ์ทำหนังสือ
เขาก็ยังคิดทำหนังสือที่หลากหลาย
หมายถึงว่า บางเล่มก็ทำเอากล่อง บางเล่มก็ทำเอาเงิน
มีรายได้ก็เป็นปัจจัยใช้ยังชีพและต่อลมหายใจนักเขียนต่อไปค่ะ แม้จะไม่มาก แต่ก็จำเป็นนิ

แล้วมาคุยใหม่ จะรีบไปนอน พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้ามาก ๆ ค่ะ


โดย: หนอนเมืองกรุงฯ IP: 58.9.172.78 วันที่: 27 สิงหาคม 2550 เวลา:1:53:42 น.  

 
ตอบแบบเหมารวมทุกคนเลยนะ

.....เมืองเทวดาตอนนี้มิกล้าโพสต์.............เจอลูกโดดเข้าแล้วแม่แก้วเอ๋ย(กลอนพาไป)
แม่น้องนิกจิกไม่หยอกบอกยังเชย............ลุงก็เลยตั้งให้เป็น บอกอ

.....เป็น บก. บริการงานตรวจแก้..............เอาแย่แย่ออกบ้างช่างดีหนอ
เป็นรีไรท์เตอร์เจอในจอ.........................เธอแก้ต่อทำเสร็จค่อยมาลง

......แต่ว่าลุงยุ่งมากในตอนนี้..................งานครูมีเวลามัดจัดวันส่ง
ต้องให้เสร็จในสองเดือนเพื่อนเจาะจง........เพราะต้องส่งตามปีงบประมาณ
......หนอนไม่ช่วยเพราะยุ่งลุงไม่ว่า...........แต่หนูแมวแก้วตาอาสาสาน
เรื่องไปถึงอเมริกาลุงหน้าบาน..................จะจะม้านเมื่อใดไม่รู้เอย

...............................
ตอบหทัยชนก
.....หทัยมาไขขาน.......................กลอนชาวบ้านไม่เอาแล้ว
เปลี่ยนใหม่ใสวาวแวว....................กลัวลุงแห้วตกเวที
.....อย่าเอาฉันท์มาหนอ.................ลุงงอก่อแน่คราวนี้
ถ้าแค่กาพย์ยานี...........................แบบแบบนี้พอทำเนา
.....คงฝึกในศึศาสตร์....................เพื่อเป็นปราชญ์ฉลาดเหลา
.....กวีศรีกรุงเอา..........................รางวัลใหญ่อีกไม่นาน
น่ากลัวขึ้นเรื่อยเรื่อย......................นับวันเดือยยิ่งจัดจ้าน
.....ขอบใจไม่เบื่อการ....................คุยคนแก่มิตรแท้จริง
ขณะที่คนอื่นหาย..........................หนูกลับให้สิ่งดียิ่ง
.....อวยพรเป็นกลอนอิง.................ขอให้ยิ่งเจริญเจริญ
ก้าวหน้าอย่าล้าหลัง.......................จงถึงฝั่งดังเหาะเหิน
จบคำที่ดำเนิน...............................หลานชนกยกหทัย
...........
ตอบหนอน
หนอนจ๊ะ หนอนยังไม่ว่างั้นลองดูฝีมือคุณแมว(แม่น้องนิก)เธอหน่อยนะ ตอนนี้เธอทำงานแล้วอย่างเข้มแข็ง พอดีเธออยากเขียนหนังสืออยู่ด้วย เลยช่วยยกร่างรัฐธรรมบูลย์

แต่จะผ่านประชามติ(เตียน)หรือไม่ ไม่นานคงรู้ ตอนนี้อาต้องรีบทำงานให้ครูให้เสร็จแล้วจะมาลุยเมือง
เทวดาต่อ โดยมีแม่น้องนิกเป็นผู้ช่วย ตอนนร้เราใช้อีเมล์ติดต่อกัน ติกัน คนอื่นไม่มีวันได้เห็น ฮ่า ๆ ๆ หน้าลุงบูลย์เลยยังไม่แตก


โดย: ลุงบูลย์ IP: 125.27.232.237 วันที่: 27 สิงหาคม 2550 เวลา:20:45:49 น.  

 
อาบูลย์

แหม...น่าอิจฉาจริง ๆ
มีสาว ๆ (ทั้งมากทั้งน้อย)
อาสาทำงานโน้นงานนี้ให้
ชาติที่แล้วทำบุญด้วยอะไรมานะนั่น
ชาตินี้ถึงมีผู้ช่วยเยอะแยะไปหมด
(รู้ไว้...เผื่อจะเลียนแบบมั่ง)

เอาเป็นว่า
หนอนฯ รออ่านเรื่องเมืองเทวดา
หลังจากที่ผ่านมติจากแม่น้องนิกก็แล้วกันนิ
(ขออ่านแบบรวดเดียว)

หรือไม่อีกที
ก็ตอนพิมพ์เป็นเล่มเลยก็แล้วกัน

ต้องรออีกสองเดือน ใช่เปล่า ?


โดย: หนอนเมืองกรุงฯ IP: 58.9.172.78 วันที่: 27 สิงหาคม 2550 เวลา:21:56:24 น.  

 
พี่หนอนฯก็..ด้วยความคารวะพี่หนอนฯเลยนะ
แม่น้องนิกไม่อาจเอื้อมเทียบพี่หนอนฯเล๊ย
กะว่า..หนูปรับให้ แต่ท้ายสุดลุงบูลย์เอาไปให้พี่หนอนฯ
อ่านเป็นคนสุดท้ายน่ะแหละดีที่สุด

พี่หนอนเป็น บก.ใหญ่ไง แม่น้องนิกขอแค่ผู้ช่วยอ่ะ
เพราะพี่หนอนฯไม่ว่างให้ลุงบูลย์ซะทีน่ะ
พอตัวเองได้ลงมือทำ ถึงได้เข้าใจว่า..เพราะอะไร
พี่หนอนฯถึงไม่ว่าง..เพราะมันไม่ง่ายเลย

โชดดีที่พี่หนอนส่งเมืองผีดิบมาให้ จึงได้อ่านให้เข้าใจ
ว่า..ของเก่าที่ท่านเขียนไว้น่ะ แนวไหน เวลาปรับ
จะได้ไม่เพี้ยนไปจากเดิมมากนัก

ถือว่าเรียนรู้งานก็แล้วกันเนาะพี่หนอนฯ สนุกดี
แต่วันนี้น่ะ จับอะไรไม่ได้ ผีดิบหักคอ เอ๊ย..หมอนหักคอ



โดย: แม่น้องนิก IP: 4.232.138.127 วันที่: 28 สิงหาคม 2550 เวลา:9:20:23 น.  

 
....สวัสดีหนอนและแม่น้องนิก...........วันนี้หงิกเข้าเมล์ไม่ได้อีกแล้ว
แม่น้องนิกอาจมีข่าวที่วาวแวว............เริ่มบ่นแล้วเห็นมั้ยล่ะสุดจะตรม

....คนเขียนเองเขียนไปใจให้เขียน......เหมือนเปลวเทียนลุกในด้ายสายสม
เขียนเอา เขียนเอา เว้าติดลม.............แต่ขื่นขมตอนปรับแก้แย่ทุกคราว

.....นี่ตั้งใจจะโพสต์สารคดี................เขียนไว้แต่ปีที่ย่างก้าว
ออกจากราชการงานแพรวพราว..........ลงทบท่าวไปแล้วในต่วยตูน

.....แต่พอมาอ่านใหม่ใจกระดาก........เห็นยุ่งยากเยิ่นเย้อเจอเลขศูนย์
มันยังดิบยิบย่อยด้อยสมบูรณ์............ลุงอาดูรต้องมาแก้ก่อนแผ่ลง

....อีกต้องหาภาพประกอบที่ชอบจิต....มาต่อติดให้เนื้องามตามประสงค์
ยุ่งก็ยุ่งแต่ยังไงใจพุ่งตรง..................อยากสารส่งกับนักอ่านงานวรรณกรรม
..........................
(หรือจะว่า วรรณเวร ก็ได้ ถ้าไม่ถูกใจท่าน โปรดเห็นใจผู้ด้อย ขอก้มหัวหงอย ๆ ยินดีรับคำติติง ขอรับกระผ้ม)


โดย: ลุงบูลย์ IP: 125.27.233.172 วันที่: 28 สิงหาคม 2550 เวลา:10:36:32 น.  

 
แม่น้องนิก

สงสัยจะเริ่มรู้สึกสนุกกับงานใหม่แล้วล่ะสิ
ทำให้เต็มที่นะ
แม้ไม่มีค่าตอบแทนเป็นตัวเลข
แต่สิ่งที่ได้รับมีค่ามากยิ่งกว่า
พี่หนอนฯ ขอรับรอง ยืนยัน นั่งยัน นอนยัน
เพราะได้รับประสบการณ์เต็ม ๆ แบบนั้นมาแล้ว

เดี๋ยวว่างค่อยคุยกันต่อ

สวัสดีอาบูลย์
กินบทกลอนต่างข้าวหรือเปล่านี่


โดย: หนอนเมืองกรุงฯ IP: 202.28.180.201 วันที่: 28 สิงหาคม 2550 เวลา:13:22:36 น.  

 
เรื่องย่อนวนิยายเรื่อง
เมืองผีดิบ
ไพบูลย์ พันธ์เมือง

ครู‘จิราพัชร ผดุงธรรม’ ลูกสาว ‘ผู้ใหญ่เพชร’ ย้ายจากสุรินทร์มาสอนที่โรงเรียนถิ่นเกิด แค่เหยียบย่างมาถึงก็ถูกต้อนรับด้วยสมุนของ ‘ขบวนการผีดิบ’ ที่กำลังทำให้เขตอำเภอทิวสนกลายเป็นเมืองผีดิบไปทั้งเมือง แต่เธอรอดพ้นอันตรายมาอย่างหวุดหวิด เมื่อได้รับการช่วยเหลือจาก ‘ปลัดบุญฤทธิ์ แสงเพชร’ ปลัดหนุ่มไฟแรงคนหนึ่งแห่งอำเภอทิวสน ผู้กำลังติดตามเรื่องราวของขบวนการผีดิบ ตามคำสั่งของ ‘นายอำเภอเกียรติศักดิ์’
ต่อมา ความจริงอันน่าตื่นตระหนก็ถูกถ่ายทอดสู่ครูสาว เริ่มจากผู้ใหญ่เพชรบิดาของเธอเป็นคนแรกที่ได้เจอผีดิบ ซึ่งแรกๆไม่มีใครเชื่อและต่อมาก็ยิ่งเลวร้าย เพราะขบวนการผีดิบสามารถแพร่เผ่าพันธุ์ผีดิบไปยังประชาชนทุกสาขาอาชีพ ไม่เว้นกระทั่งภิกษุสงฆ์ มีทั้งผีดิบถาวรหรือแวมไพร์และครึ่งคนครึ่งผีซึ่งสามารถใช้ชีวิตเฉกเช่นมนุษย์ปกติ
‘กำนันพร้อม รักไทย’ กำนันตำบลทะเลสาบ และผู้ใหญ่เพชร ไปนมัสการถาม หลวงพ่อ กฤติยา แห่งวัดเขาทุ่งมหา ผู้เคร่งครัดในวัตรปฏิบัติ ท่านบอกว่า มีอยู่หนทางเดียวที่ชาวบ้านจะรอดพ้นจากอำนาจของผีดิบก็คือ การรักษาศีลห้า การรับประทานอาหารมังสวิรัติ และปลูกพืชสมุนไพรต่างๆ อันหมายรวมถึงไม่ออกเที่ยวกลางค่ำกลางคืน
แม้ว่าไม่สู้จะมีเหตุผลนัก แต่นายอำเภอเกียรติศักดิ์ รวมทั้งปลัดบุญฤทธิ์ก็เห็นด้วย แม้ไม่เป็นจริงดังนั้น ก็ยังเป็นกุศลโยบายในอันที่จะทำให้ชาวบ้านพึ่งพาตนเองได้อย่างดี
นับวัน ผีดิบก็ยิ่งสามารถสร้างพรรคพวกขยายเผ่าพันธุ์ของมันออกไปเรื่อยๆ ข้าราชการหน่วยงานต่างๆในอำเภอทิวสนส่วนใหญ่ได้กลายเป็นบริวารของผีดิบไปหมดแล้ว คงเหลือข้าราชการดีๆเพียงไม่กี่คน
บริวารผีดิบซึ่งปล่อยเหยื่ออย่าง ครูจิราพัชรให้รอดไปได้ ทำให้ หัวหน้าขบวนการผีดิบ ซึ่งใช้ชื่อเรียกตนเองว่า ‘คุณวอ’ และมีรหัสส่วนตัวคือ ‘02’ ไม่พอใจเป็นอันมาก
และสถานที่พบปะของขบวนการผีดิบ หรือ ‘แวมไพร์คลับ’ ซึ่งอยู่ภายในห้องใต้ดินของบ้าน ‘นายแสง โศกี’ ผู้กว้างขวางคนหนึ่ง นอกจากนี้ที่ ‘วัดเขา’ ยังมีห้องใต้ดินลักษณะดังกล่าวโยงใยอยู่เต็มไปหมด มันเป็นทั้งสถานที่กักขังผีดิบถาวร และห้องถ่ายเปลี่ยนเลือดของบรรดาครึ่งคนครึ่งผี โดยมี ‘ดร.เจ คีย์แมน’ และสองผู้ช่วยคือ ‘หมอแครี่’ ผู้เป็นหลานสาวกับบุตรบุญธรรมคือ ‘หมอยงยุทธ’ ทำงานอยู่ในนั้น
การประชุมของขบวนการผีดิบในแต่ละครั้ง จะมีเพียงระดับแกนนำเท่านั้น และแต่ละคนก็ปกปิดใบหน้า ไม่เคยมีใครได้เห็นใบหน้าอันแท้จริงของกันและกัน มีเพียงดร.เจ คนเดียว ที่ไม่ได้ปกปิดใบหน้า
ทางด้านของนายอำเภอเกียรติศักดิ์ พ.ต.ท.พรหมพงศ์ ปลัดบุญฤทธิ์ กำนันพร้อม ผู้ใหญ่เพชร ต่างช่วยกันสืบจนเริ่มจะแยกออกว่า มีใครบ้างที่บัดนี้ได้กลายเป็นฝ่ายขบวนการผีดิบ ใครบ้างอยู่ในข่ายต้องสงสัย แต่ก็ปราศจากหลักฐานเอาผิดกับคนพวกนั้น มีเพียงการโน้มน้าวให้ชาวบ้านรักษาศีลห้า ปลูกพืชสมุนไพร เพื่อป้องกันไม่ให้ต้องตกเป็นเหยื่อของผีดิบ ทว่าระยะหลังก็ชักจะไม่เป็นผล อันเนื่องจากฝ่ายผีดิบและผู้กลายเป็นบริวารของขบวนการนรก เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างน่าตกใจ
แต่ฝ่ายปราบผีดิบยังไม่สิ้นกำลังคนดีเสียทีเดียว วันหนึ่ง ‘พงศ์เผ่า’ ลูกชายของกำนันพร้อม ที่เรียนจบปริญญาโท และเป็นลูกศิษย์ของพระธุดงค์ชื่อ ‘พระโพธิวงศ์’ (พระโพธิวงศ์เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อกฤติยา) ได้เดินทางกลับมายังบ้านเกิดด้วยเจตนาอันแรงกล้าที่จะอุปสมบท เหตุผลสำคัญกว่านั้นคือ ต้องการเป็นกำลังสำคัญในการปราบพวกผีดิบที่กำลังครองเมืองให้สิ้นซาก
พงศ์เผ่าถูกฝ่ายขบวนการผีดิบต้อนรับแบบเดียวกับครูจิราพัชรนั่นเอง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาขลาดกลัว ในที่สุดก็ได้บวชสมประสงค์ แม้ว่าในงานบวชจะถูกครึ่งคนครึ่งผีบริวารของขบวนการผีดิบรบกวนอย่างหนักก็ตาม การที่ข้างฝ่ายคนดีมีคนดีที่ค่อนข้างรู้เรื่องเกี่ยวกับผีดิบเพิ่มขึ้นมาอีกคน สร้างความระส่ำระส่ายให้กับฝ่ายขบวนการผีดิบไม่ใช่น้อย
ด้านครูจิราพัชร ซึ่งสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนประชานุกูล ถึงแม้ปลัดบุญฤทธิ์จะเทียวรับเทียวส่งด้วยความเป็นห่วง หากเธอก็ต้องเผชิญกับฝ่ายผีดิบที่เป็นครูอย่าง ‘ครูกิ่งแก้ว’
‘นายไวเวศย์ วัญจนะ’ มีอาชีพเป็นแค่ภารโรง แต่ฐานะร่ำรวยผิดปกติ มักมารับครูกิ่งแก้วและเพื่อนครูสาวอีก 4-5 คนหายไปเป็นประจำเพื่อไปดื่มกินและมั่วโลกีย์ กระทั่งนายไวเวศย์เจอหน้าครูจิราพัชรก็พยายามตามตื้อ ทว่าครูจิราพัชรไม่เล่นด้วย
แท้จริงแล้ว นายไวเวศย์ ก็คือ หนึ่งในแกนนำสำคัญของขบวนการผีดิบ ในการประชุมเขามีรหัสเรียกขานว่า ‘04’ นายแสง โศกี คือ ‘03’ และยังมีคนสำคัญอื่นๆอีก เช่น กำนันแผน พงศ์ฤทธิ์ กำนันตำบลทิวสน ปลัดทับ ทิวทอง และสวป.วิเวก สร้างโศก
ฝ่ายบรรพชิตอลัชชี ประกอบไปด้วย พระครูอุดมรัตนคุณากร เจ้าอาวาสวัดภูเขา พระผิว ปาณนาถ หลวงพ่อเบี่ยง บ่ายคล้อย หลวงพ่อบ่าย บุญบำเพ็ญ หลวงตาเงิน รัตนสุข เป็นต้น
การ ‘หยั่งเชิง’ ระหว่างฝ่ายขบวนการผีดิบกับกลุ่มผู้ปราบผีดิบเกิดมีขึ้นอยู่เนืองๆ กระทั่งวันหนึ่ง ในงานเลี้ยงแบบบุพเฟ่ต์ที่นายแสง โศกี เป็นโต้โผใหญ่ ซึ่งเชื้อเชิญแขกเหรื่อคนสำคัญๆของอำเภอมาร่วมงานเป็นอันมาก คืนนั้นปลัดบุญฤทธิ์ก็ค้นพบทางเข้าสู่ชั้นใต้ดินโดยบังเอิญ ปลัดหนุ่มตามลงไปจนถูกพวกผีดิบจับตัวไว้ได้ ต่อมาหมอแครี่และหมอยงยุทธ ผู้ซึ่งรู้สึกผิดตลอดมากับการเป็นผู้มีส่วนร่วมในขบวนการนรกดังกล่าวได้ให้การช่วยเหลือให้หนีรอดออกมาได้ ผู้ที่มีส่วนพูดให้สติคนทั้งสองก็คือ พระพงศ์เผ่า ลูกชายกำนันพร้อมนั่นเอง
ระหว่างที่ปลัดบุญฤทธิ์ถูกจับ นายอำเภอกับสารวัตรใหญ่นำกำลังไปบุกบ้านนายแสง โศกี จนกระทั่งปลัดศักดิ์ชายถูกจับไปอีกคนตอนหลังเสียชีวิตเพราะถูกผีดิบดูดเลือด
คุณวอ.รหัส 02 โกรธมากที่ปลัดบุญฤทธิ์หนีรอดไปได้ หนำซ้ำทั้งหมอแครี่และหมอยงยุทธก็มาทรยศต่อขบวนการเสียอีก จึงสั่งให้สมุนบริวารตามสืบหาตัวให้ได้
หมอแครี่ได้เปิดเผยข้อมูลว่า บรรดาผีดิบทั้งหลายนั้นถูกปลุกให้ฟื้นคืนชีพโดย ดร.เจ ผู้เป็นลุงของเธอนั่นเอง แต่ลุงของเธออยู่ในฐานะจำยอม เนื่องจากถูกผู้มีอำนาจเหนือกว่าบังคับ และผู้ที่มีอำนาจเหนือดร.เจ ก็คือ คุณวอ รหัส 02 นั่นเอง
จู่ๆ สวป.วิเวก สร้างโศก ได้มาปรากฏตัวขึ้น สร้างความสงสัยให้กับกลุ่มของสารวัตรใหญ่เป็นอันมาก ทันใดนั้นเอง ก็มีชายอีกคนรูปร่างหน้าตาเหมือน สวป.วิเวก โผล่มายิงสวป.วิเวกตัวจริงล้มลงแล้วหลบหนีไป ก็ยิ่งสร้างความสับสนตื่นตะลึงให้กับผู้อยู่ในเหตุการณ์เป็นอันมาก ดูเหมือนว่าจิ๊กซอสำคัญได้ถูกตัดตอนลงแล้ว และในคืนต่อมา ศพของสวป.วิเวกก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ตอนหลัง หมอยงยุทธกับแครี่รู้ความจริงว่า ผู้ที่ปลอมตัวเป็น สปว.วิเวกและจัดการสวป.วิเวกจนเสียชีวิตก็คือ ดร.เจ เพราะสวป.วิเวกก็คือ ‘คุณวอ’หรือรหัส‘02’ นั่นเอง แต่ปัญหานั่นน่าตื่นตระหนกก็น่าจะอยู่ที่...ศพของสวป.วิเวกที่หายไป กำลังจะถูกปลุกให้ฟื้นคืนชีพ และคนที่มีความสามารถทำอย่างนั้นได้มีเพียง ดร.เจ กับ ผู้มีรหัส ‘01’ ซึ่งถือเป็น ‘หัวหน้าใหญ่ที่สุด’ ของขบวนการผีดิบ ซึ่งแม้แต่ดร.เจก็ไม่รู้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร
ไม่นานนัก ครูจิราพัชรกับครูสาวอีกสองสามคนก็ถูกขบวนการผีดิบจับตัวไป เพื่อไปทำพิธีกรรมชุบชีวิต 02
ด้านของพระพงศ์เผ่าก็ค้นพบความจริงอันน่าสะพรึงว่า เจ้าอาวาสวัดภูเขา มีพฤติกรรมแปลกๆ มีเพียงหลวงตาแต้ม พระชรา ผู้ยึดมั่นใจศีลเพียงรูปเดียวที่หัวเราะหึหึ เหมือนรู้อยู่เต็มอกว่า เหตุการณ์ทั้งหมดจะไปลงเอยตรงจุดใด
ปลัดบุญฤทธิ์พร้อมกับหลวงตาแต้มและคนอื่นๆ ตามไปช่วยเหลือครูจิราพัชรและครูสาวคนอื่นๆจากการถูกใช้ในพิธีกรรมปลุกชีพรหัส 02 ได้สำเร็จ (ตอนหลังคนทั้งสองก็ได้แต่งงานอยู่กินกันอย่างสมหวัง) ทว่า...ใครกันเล่าจะหยุดขบวนการผีดิบลงได้อย่างแท้จริง ในเมื่อ สวป.วิเวก สร้างโศกกำลังจะฟื้นคืนชีพกลายเป็นผีดิบถาวรที่ไม่มีโอกาสเป็นมนุษย์ได้อีก ซึ่งคงจะสร้างความหวาดหวั่นพรั่นพรึงให้กับผู้คนอีกไม่รู้จักสิ้นสุด รหัส 01 ก็ยังไม่เปิดเผยตัวตนแท้จริงออกมา หรือว่า...อำเภอทิวสนจะต้องกลายเป็น ‘เมืองผีดิบ’ สมเจตนาของขบวนการผีดิบ
แต่หลวงพ่อกฤติยา ผู้เป็นพระแท้ ยืนยันว่า อีกไม่นานจะมี ‘คนดี’ รุ่นใหม่มาปราบพวกผีดิบให้สิ้นซากทั้งขบวนการ เพราะไม่ว่าอย่างไรเสีย...ธรรมะย่อมชนะอธรรม
จบ






โดย: ธารดาว IP: 203.146.63.184 วันที่: 30 สิงหาคม 2550 เวลา:14:04:58 น.  

 
ลุงครับ ผมเอาเรื่องย่อเมืองผีดิบมาโพสต์ เผื่อใครยังไม่ได้อ่าน หรืออ่านแล้วเข้าใจเป้นอย่างอื่น เพราะผม
อ่านอย่างเร็ว ทำอย่างเร็ว
ผมโพสต์ลงแล้ว บล็อกมันขึ้นข้อความว่า...แต่เนื่องจากข้อความที่คุณ comment มีคำที่ไม่เหมาะสม จึงต้องรอให้เจ้าของ blog พิจารณาก่อนนะคะ
ลุงตรวจดูด้วยนะครับ


โดย: ธารดาว IP: 203.146.63.184 วันที่: 30 สิงหาคม 2550 เวลา:14:09:08 น.  

 
ชอบใจธารดาว ลุงจัดการให้แล้ว แหมมีแบบนี้บ่อย ๆ ลุงคงมีแต่ความปลื้ม ที่มีหลาน ๆ ช่วยกัน ทั้งรีไรเตอร์และช่วยย่อเรื่อง




โดย: ลุงบูลย์ (pantamuang ) วันที่: 30 สิงหาคม 2550 เวลา:15:23:30 น.  

 
มันมาก


โดย: น้องบี IP: 202.142.198.135 วันที่: 28 มิถุนายน 2551 เวลา:11:12:09 น.  

 
อยากคอมเมนต์แต่ไม่ได้อ่านก็มันเยานี่นาใครจะไปอ่านขอโทษนัคะ


โดย: น้องบีบ่อวิน IP: 202.142.198.135 วันที่: 28 มิถุนายน 2551 เวลา:11:14:28 น.  

 
- กราบสวัสดีครับ อา .. เพิ่งจะมีเวลาหาเว๊ปเจอ .. สบายดีนะครับ ว่าง ๆ ก็ไปเยี่ยมเยียนคนบ้านเดียวกันบ้าง ก็ได้ เมืองกาญจน์ ยินดีต้อนรับเช่นเคย
พรานปู


โดย: พรานปู IP: 125.27.195.132 วันที่: 21 มิถุนายน 2552 เวลา:7:11:04 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

pantamuang
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]




ไม่อยู่อย่างอยาก แต่ยังอยากจะอยู่
อยู่อย่างไม่ลำบาก เวลาที่เหลือน้อยรีบสอยรีบคว้า
ก่อนจะหมดเวลาให้สอย

ดวงดาวบนฟ้าก็สอยได้ ถ้ารู้จักต่อด้ามฝันให้ยาวพอ

ฝันถึงไหนก็ได้ มีสิทธิ์ฝัน แต่จะเป็นจริงหรือไม่ช่างฝัน
เพราะสิ่งที่ฝันคือนวนิยาย..

ชีวิตก็คือนวนิยายเรื่องหนึ่ง ที่เราเป็นผู้เขียนและกำกับ.

เริ่ม 9 กันยายน 2550

Friends' blogs
[Add pantamuang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.