...คิดว่ายังมีความหวัง ตราบที่ยังมีลมหายใจ...
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
8 กรกฏาคม 2550
 
All Blogs
 
เมืองเทวดา๔



เมืองเทวดา


เนื่องจากไม่ได้ยินสรรพเสียงของคนที่อยู่บนบ้าน ทุกคนจึงถือโอกาสเดินชมไปทั่ว ๆ สวนและก็ได้เห็นว่า ในเนื้อที่สวนซึ่งน่าจะถึง ๑๐๐ ไร่ รอบด้านยังมีลักษณะเป็นธรรมชาติ ไม่มีเทคโนโลยี เพราะไม่เห็นและไม่มีสายไฟฟ้าเข้ามา คล้าย ๆ กับว่าผู้ที่เข้ามาอยู่ ปรารถนาที่จะอยู่กับธรรมชาติอย่างแท้จริง และเมื่อพากันเดินสำรวจต่อ ๆ ไป ก็ได้เห็นว่าในสวนป่านั้นนอกจากเรือนไทยหลังใหญ่ที่ปิดเงียบ ยังมีเรือนไทยหลังเล็กๆ น่ารัก ๆ ปลูกไว้อย่างเก๋ไก๋ เป็นเรือนไทยแบบมีใต้ถุนสูง มีนอกชาน มีระเบียงหน้าห้องสำหรับรับแขก และมีห้องน้ำอยู่ด้านหลัง คล้าย ๆ เรือนที่ปลูกไว้ตามรีสอร์ทให้คนมาเช่าพัก ปลูกไว้เป็นจุด ๆ มีไม่น้อยกว่า ๑๐ หลัง ทุกหลังมีท่อประปาสีฟ้าต่อขึ้นไปบนบ้าน

“เอ๊ะ! ท่อสีฟ้า ๆ นั่นมันท่อประปานี่ ที่นี่ไม่มีไฟฟ้าแล้วมีน้ำประปาได้ไง?” นายอ่อนพูดขึ้นอย่างสงสัย
“ประปาอาจจะต่อมาจากภูเขา ภูเขาคงอยู่อยู่ไม่ไกล ประปาภูเขาไม่ต้องมีไฟฟ้าก็ได้นี่” อดีตปลัดบุญฤทธิ์ แสงเพชรพูด และออกเดินดูต่อทุก ๆ คนจึงเดินตาม

และเมื่อทั้ง ๕ คนผู้ใหญ่ ๔ เด็ก ๑ พากันเดินต่อไปเรื่อย ๆ ก็เห็นว่ามีทางเดินที่สามารถจะไปยังจุดต่าง ๆ ได้หลายทาง จึงลองเดินไปทางท้ายสวนที่อยู่ด้านตรงข้ามกับถนนเมื่อแรกเข้ามา ก็ได้ยินเสียงน้ำไหล

“ข้างหลังมีลำธาร เราไปล้างหน้าล้างตากันที่นั่นเถอะ” จิราพัชรพูดขึ้น และหันมาดูลูกชาย ที่มีชัชกับอ่อนช่วยกันจูงมืออยู่คนละข้างขณะเดิน เธอถามลูกชายว่า

“เราอาจจะต้องเดินลงหุบไปสู่ลำธารลึกนะลูก ให้แม่จูงดีกว่าไหม?”

“ไม่ แม่ไปกับพ่อเถอะ น้องจอมเดินไปกับอาอ่อนและน้าชัชได้” เด็กชายรับรองแข็งขัน

ทางเดินค่อย ๆ ลึกลงไปในหุบ ทุกคนต้องเหยียบย่ำไปบนหินก้อนเล็กใหญ่ ชัชพูดกับจอมภพเด็กชายว่า “น้องจอมขี่หลังน้าไปดีกว่าไหม น้าชัชจะเป็นม้าให้ขี่”

“ไม่ – ไม่ดีกว่าน้าชัช ทางแค่นี้น้องจอมเดินไปเองได้ สนุกดีออก”

แล้วเด็กชายก็แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถเดินลงไปได้อย่างสนุกสนานและคล่องแคล่ว เพราะตอนอยู่เชียงรายเคยเดินขึ้นเขาขึ้นดอยไปกับแม่หลายครั้ง เมื่อมาเดินในป่าชื้นของภาคใต้จึงไม่มีปัญหา

ทางเดินพาลงหุบไปเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรนักกระทั่งถึงธารน้ำ ในลำธารมีน้ำใสไหลเย็น ซึ่งเป็นปรกติของลำธารทั่วไป เป็นลำธารที่ไม่กว้างมากนัก กลางลำธารมีแอ่งน้ำลึกประมาณหัวเข่าถึงเอว ให้ลงไปยืนแช่ ขอบ ๆ ลำธารมีต้นปุดและผักกูดขึ้นเป็นดง และเมื่อมองไปทางด้านขวา ก็เห็นเขื่อนดินเสริมด้วยหินหลายขนาด กักขวางทางน้ำไว้แบบทำนบ และมีช่องบังคับให้น้ำไหลลงมาเป็นเกลียว และกระแสน้ำนั้นค่อนข้างไหลแรง

“สงสัยจะมีอะไรอยู่บนนั้น จิกับลูกอยู่ข้างล่างนี้นะ พี่กับชัชและอ่อนจะขึ้นไปดู” อดีตปลัดบุญฤทธิ์ แสงเพชร พูดเพราะมองเห็นทางแยกอยู่ด้านขวา ก่อนจะลงมาในลำธาร
อดีตปลัดหนุ่ม ชัช และอ่อน จึงเดินกลับขึ้นฝั่ง และเดินแยกไปทางด้านขวา อีกครู่ต่อมาทั้งสองก็มองเห็นแอ่งน้ำ ที่ถูกกักไว้ด้วยเขื่อนดินปนหิน และตรงช่องที่น้ำจะไหลผ่านลงไปสู่ด้านล่าง มีกังหัน ๔ หรือใบพัดแฉกใบโตกว่าฝ่ามือ ที่ทำขึ้นมาด้วยแผ่นเหล็กคล้าย ๆ กังหันของเรือยนต์ มีความกว้างที่เป็นเส้นผ่าศูนย์กลาง จากแกนของใบพัดหรือกังหันประมาณศอก และใบกังหันโดนกระแสน้ำบังคับให้หมุนอยู่ตลอดเวลา

และเมื่อมองต่อจากใบพัดที่กำลังหมุนเพราะแรงน้ำ ก็เห็นแกนใบพัดไปเชื่อมต่อกับจักรตัวอื่น ๆ อีก ๒-๓ ตัวแบบทดรอบไปเรื่อย ๆ และจักรตัวสุดท้าย ไปหมุนวงล้อขนาดใหญ่ที่อยู่บนบก และวงล้อใหญ่มีสายพานไปฉุดให้วงล้อเล็กหมุน ทำให้วงล้อเล็กหมุนเร็ว และวงล้อเล็กก็ไปหมุนวงล้อสายพานของเครื่องสูบน้ำ จากเครื่องสูบน้ำมีท่อน้ำต่อขึ้นไปยังถังประปา ถังประปาปลูกสร้างไว้บนโครงเสาคอนกรีต ๔ ต้น สูงจากระดับดินซึ่งเป็นพื้นที่ราบในสวนประมาณ ๔-๕ เมตร

ถังน้ำประปาหล่อด้วยปูนมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒ เมตร ความสูงจากก้นถังถึงปากถังประมาณ ๓ เมตร จากใต้ถังมีท่อพีวีซีหรือท่อเอสล่อนนำน้ำขึ้นถัง และท่อขนาดเล็กที่นำน้ำจากถังไปยังตัวบ้านและสวน

“ที่นี่มีเทคโนโลยี แต่เป็นเทคโนโลยีที่ท่านเกียรติศักดิ์คงคิดขึ้นเอง ท่านใช้พลังน้ำที่ไหลปั่นใบพัดเครื่องสูบน้ำ นำน้ำไปใช้ในสวนในบ้านโดยไม่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้า”
อดีตปลัดบุญฤทธิ์ แสงเพชร พูดขึ้นกับภรรยา ขณะเดินนำหน้าชัชและอ่อนกลับลงมาสู่ลำธารอีกครั้ง

และทุก ๆ คนต่างลงไปยืนในลำธาร ที่ลึกแค่เข่าพลางวักน้ำล้างหน้าล้างตา

“ผมเคยเห็นแถว ๆ ภาคกลาง และอีสาน ใช้พลังลมหมุนกังหัน แล้วกังหันไปชักลากเครื่องสูบน้ำ สูบน้ำจากบ่อบาดาลขึ้นมาใช้” นายอ่อนพูด

“มันก็หลักการเดียวกับที่เขาทำเขื่อนใหญ่ ๆ แล้วก็ตั้งโรงไฟฟ้าขึ้นมาควบคู่นั่นและ ใช้แรงน้ำในเขื่อนไปหมุนกังหันให้กังหันไปหมุนเครื่องปั่นไฟ ควาใมจริงถ้าท่านเกียรติศักดิ์ จะทำให้มันไปปั่นเครื่องไฟฟ้าท่านก็น่าจะทำได้” ชัชพูดเสริมขึ้น

อดีตปลัดบุญฤทธิ์ แสงเพชร มองไปรอบ ๆ สวนแล้วพูดว่า

“แต่ท่านคงไม่อยากใช้ไฟฟ้า ถ้าท่านอยากใช้ไฟฟ้าท่านคงทำมันขึ้นใช้นานแล้ว…เอ้อ พี่ว่าเราเดินกลับกันเถอะ…ป่านนี้อาจจะมีใครสักคนเห็นรถเราจอดที่หน้าบ้านและรู้ว่าเรามา”

ทุกคนจึงพากันเดินกลับ ระหว่างทางเดินในป่า อดีตปลัดอำเภอถามลูกชายว่า

“เป็นยังไงลูก ที่นี่น่าอยู่ไหม?”

เด็กชายสั่นหน้าและว่า “ม่าย… ม่ายน่าอยู่เลย ม่ายมีของเล่น ที่บ้านเรายังมีของเล่น” เด็กชายนึกถึงบ้านที่เชียงราย

“ก็ของเล่นของน้องจอม อาอ่อนขนใส่หลังรถมาให้แล้วนะ เดี๋ยวกลับไปก็ได้เล่น” นายอ่อนพูดเอาใจเด็กน้อย
“แล้วอาอ่อนเอาของเล่นของน้องจอมมาให้ทั้งหมดเลยเหรอ”

“ก็…ไม่หมด แต่ก็เอามาเยอะ น้องจอมอยากเล่นอะไร รถ ปืน หุ่นยนต์…” นายอ่อนถามเด็กชาย

“น้องจอมอยากเล่นเป็นทหารกับตำรวจ ให้อาอ่อนกับน้าชัดเป็นตำรวจ… น้องจอมจะเป็นทหาร”

“แล้วทำไมจึงให้อาอ่อนกับน้าชัชเป็นตำรวจล่ะ” อ่อนถาม
“ก็ตำรวจเป็นผีดิบนี่ ผีดิบที่เที่ยวตั้งด่านดูดเลือดคนขับรถสิบล้อตอนกลางคืน” เด็กชายพูดหน้าตาเฉย

“อ้าว!…นี่ไปรู้ไปเห็นมาจากไหนอีกเล่า พ่อเจ้าประคุณทูนหัว… ไปว่าตำรวจเขาอย่างนั้น” นายอ่อนส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ กับความฉลาดพูดของเด็ก ๔ ขวบกว่า

“ก็ตอนที่พ่อขับรถมาน้องจอมเห็น อาอ่อนคิดว่าน้องจอมหลับรึ… นั่นขนาดว่า พ่อเคยเป็นปลัดอำเภอตำรวจยังเรียกตรวจ พอตรวจไม่พบอะไรก็จะขอเงินอีกไม่งั้นไม่ให้ผ่าน” เด็กชายพูดฉอด ๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง

เพราะตอนที่ปลัดบุญฤทธิ์ขับรถเลี่ยงเมืองจากอำเภออู่ทอง มาออกที่อำเภอบ้านโป่ง พอผ่านอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ตอน ๔โมงเย็นก็โดนตำรวจเรียกตรวจ อดีตปลัดบุญฤทธิ์ก็ให้ตรวจค้นพอค้นไม่เจอสิ่งใดที่ผิดกฎหมาย เจอแต่ลำไยตำรวจก็ถามว่า

“จะไปไหน ลำไยนี่เอาไปขายเหรอ ขอกินมั่งซี”
พออดีตปลัดอำเภอให้ลำไยไปจำนวนหนึ่งก็ยังถามว่า “ซุกซ่อนของผิดกฎหมายไว้ตรงไหนหรือเปล่า ถ้ามีก็บอกมา… ไม่ว่าหรอกแต่ต้องมีส่วนแบ่งค่าผ่านกันบ้าง”

อดีตปลัดบุญฤทธิ์ตอบว่า “ไม่มีหรอกครับ จ่าอย่าพูดอะไรที่น่าเกลียดแบบนั้นเลย”

“แล้วขนลำไยมาแค่นี้จะคุ้มเหรอ แหมรู้กันน่าของพันนี้ รถยนต์ก็ราคาแพง ยี่ห้อนี้พวกเศรษฐีเขาใช้กัน ท่าทางชาวบ้าน ๆ อย่างนายจะเอาเงินมาที่ไหนซื้อ รับมาตามตรงเถอะจะได้จบเรื่อง” คุณจ่ายังโยกโย้จะเอาเงินค่าผ่านให้ได้

“ผมทำสวนลำไยกับลิ้นจี่อยู่ที่เชียงราย ผมจะไปที่อำเภอทิวสน ชุมพร บ้านภรรยาของผมอยู่ที่นั่น” อดีตปลัดอำเภอชี้ไปที่ภรรยาและบอกตำรวจว่า “ผมเองก็เคยอยู่ที่นั่น”

คุณจ่าก็พูดอีกว่า “งั้นต้องขอตรวจแถวหน้ารถและใต้ฝากระโปรงรถ เผื่อมีสิ่งผิดกฎหมาย”

แล้วตำรวจ ๕-๖ นายก็แกล้งหน่วงเหนี่ยวไม่ยอมให้ออกรถมาง่าย ๆ จนเกือบมืดค่ำ พอดีกับตำรวจนายหนึ่งชะโงกหน้าเข้าไปจะตรวจค้นในลิ้นชักหน้ารถ พอตำรวจนายนั้นเห็นรูปพระอริยสงฆ์หลวงพ่อกฤติยา ใส่กรอบติดอยู่เหนือศีรษะคนขับ ก็เกิดอาการผงะหงายต้องถอยออกมา
และพอตำรวจอีก ๔ นายมาตรวจอีกบ้างทั้ง ๔ นายที่เหลือก็มีอาการดุจเดียวกัน คือต่างถอยหนีไปหมด อดีตปลัดบุญฤทธิ์ แสงเพชร จึงขับรถต่อมาได้ และอ่อนเผลอพูดออกมาว่า

“สงสัยตำรวจพวกนั้นจะเป็นพวกขบวนการผีดิบ” พอดีปลัดบุญฤทธิ์หันมาหลิ่วตา ว่าอย่าให้อ่อนพูดเด็กชายจอมภพไม่พูดไม่ถาม ได้แต่มองหน้าอาอ่อนกับพ่อเขม็ง
และการถูกเรียกตรวจนานเป็นชั่วโมงทำให้อดีตปลัดบุญฤทธิ์เสียเวลา ทำให้มาถึงอำเภอทิวสนตอน ๔ ทุ่ม เข้าพักที่บ้านอดีตผู้ใหญ่เพชร พ่อตา และพอสาย ๆ ของวันรุ่งขึ้นปลัดบุญฤทธิ์ก็เดินทางต่อมาที่อำเภอพะโต๊ะเพื่อเยี่ยมเยียนอดีตจ้าวนาย

“ตำรวจพวกนั้นเป็นพวกผีดิบดูดเลือด มันรอให้มืดค่ำแล้วจะจัดการกับเรา” เด็กชายวัย ๔ ขวบเศษยังพูดต่อไป ทำให้จิราพัชร นายอ่อน และชัชต้องมองตากัน ส่วนอดีตปลัดบุญฤทธิ์ แสงเพชร ทำไม่รู้ไม่ชี้

“ใครบอกน้องจอมล่ะ ว่าตำรวจพวกนั้นเป็นผีดิบ” อ่อนถามอีก

“ก็อาอ่อนกับน้าชัชพูดกัน น้องจอมแกล้งนอนหลับตาเลยได้ยิน” เด็กน้อยพูดแล้วหัวเราะและว่า “จะปิดบังน้องจอมใช่ไหมล่า ไม่สำเร็จหรอก ฮ่า ๆ ๆ… แล้วอาอ่อนก็เคยเล่าว่าที่ทิวสนมีผีดิบ พวกผีดิบเคยจับอาอ่อนไปจะดูดเลือดแต่อาอ่อนชอบกินผัก พวกผีดิบเลยดูดเลือดเอาไปใช้ไม่ได้ พวกครึ่งคนครึ่งผีก็เลยจะเอาอาอ่อนไปฆ่าปิดปาก แต่คุณพ่อกับคุณตาเกียดไปช่วยอาอ่อนไว้ทัน อาอ่อนเลยรอดมาได้”

“โอ๊ว!!! พลาดไปอีกแล้วเรา” อ่อนคราง ชัชฟังแล้วได้แต่ส่ายหน้าวืดๆ ส่วนอดีตปลัดบุญฤทธิ์และจิราพัชร ต่างมองมาที่อ่อน อ่อนต้องรีบอธิบายว่า

“คือยังงี้ครับ วันก่อนผมเช่าวีดีโอเรื่องเดอะลิตเติ้ลแวมไพร์มาดู แล้วน้องจอมเขามานั่งดูด้วย ในเรื่องมีเด็กชายคนหนึ่งชื่อโทนี่ อายุก็ประมาณน้องจอมนี่แหละ โทนี่มีเพื่อนเป็นแวมไพร์เด็ก อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่โทนี่ไม่กลัวเพื่อนที่เป็นแวมไพร์ แถมยังช่วยครอบครัวของเพื่อนที่เป็นแวมไพร์ นำครอบครัวเพื่อนมาพักที่บ้านในห้องใต้ดิน และโทนี่ช่วยหาอาหารคือวัวให้พ่อแม่ของเพื่อนและเพื่อน ที่เป็นผีดิบได้ดื่มเลือดวัว สุดท้ายเพื่อนได้ไปเกิดใหม่กลับมาเป็นคน…”

“แล้วทำไมถึงมาออกเรื่องที่ทิวสน” อดีตปลัดบุญฤทธิ์ถาม

“น้องจอมถามว่า ผีดิบมีจริงไหม ผมกลัวว่าจะโกหกก็เลยตอบว่ามี น้องจอมถามว่าที่ไหน ผมก็ตอบว่าที่ชุมพรและทิวสน แล้วผมก็เล่าว่าผมเคยถูกผีดิบจับตัว แต่พ่อของน้องจอมไปช่วยทำให้รอดชีวิตมาได้ ทำให้ผมได้มาอยู่กับพ่อน้องจอม…” นายอ่อนเล่าทำหน้าเสีย ๆ

“คุณพ่ออย่าไปว่าอะไรอาอ่อนนะ จอมขอร้องให้อาอ่อนเล่าเอง ก็น้องจอมอยากรู้”

พอดีมีเสียงทักทายขึ้นด้านหลัง…

“สวัสดีทุก ๆ คน แหมวันนี้มากันถึงนี่เชียวนะ เป็นไงหายไปตั้งหลายปี ดูยังหนุ่มยังแข็งแรง หล่อ สวย กันเหมือนเดิมเลยนี่”

คนที่ร้องทักคือ คุณเกียรติศักดิ์ รักเกียรติภูมิ อดีตนายอำเภอทิวสน เจ้าของสวนซึ่งเพิ่งกลับมาจากไปทำธุระในสวนใกล้ ๆ และพอกลับมาเห็นรถยนต์จอดที่หน้าบ้าน ป้ายทะเบียนบอกเชียงราย ก็รู้ทันทีว่าคนที่มาหาตนน่าจะเป็นใคร จึงเดินนำหน้าคนสวน ซึ่งเป็นผู้ชายแต่งกายแบบชาวบ้าน ๔ คน ตามเข้ามาดู

ทุก ๆ คนในคณะของอดีตปลัดบุญฤทธิ์ จึงพากันยกมือไหว้ผู้เป็นเจ้าของสวน และยังไหว้ไปยังคนสวนทั้ง ๔ คนด้วย ทำให้แต่ละคนรีบไหว้ตอบปลก ๆ และมีท่าทางเขิน ๆ เพราะไม่คิดว่าแขกของจ้าวนายจะมาไหว้พวกตนก่อน คนสวนของอดีตนายอำเภอ ๓ คนอายุอยู่ในราว ๓๕–๔๐ ปี แต่มีคนหนึ่งอายุราว ๆ รุ่นเดียวกับชัช ส่วนอดีตนายอำเภอ หลังจากรับไหว้คณะของผู้เคยเป็นลูกน้องของตน แล้วก็หันไปที่เด็กชาย ถามว่า

“นี่คงจะเป็นลูกชายคนแรกของบุญฤทธิ์ ที่ไปเกิดที่โน่นละซีหน้าตาดี ท่าทางฉลาด ชื่ออะไรละลูก?”

“ชื่อจอมภพฮับ ชื่อเล่นว่าน้องจอม ท่านคือคุณตาเกียดใช่ไหมฮับ อยู่ที่โน่นคุณพ่อพูดถึงคุณตาเกียดเลื่อยเลย”
เด็กชายตอบและพูดจาฉาดฉาน แม้จะยังพูดคำบางคำไม่ชัด

“ใช่ครับ ตาคือตาเกียรติ” อดีตนายอำเภอตอบคำถามของเด็กน้อย ด้วยความรู้สึกรักและเอ็นดู

“ธุคุณตาสวย ๆ อีกครั้งซิลูก” จิราพัชรบอกลูกชาย เด็กชายจึงยกมือไหว้ชายวัยใกล้ห้าสิบอีกครั้ง

“เป็นไงอ่อน ชัช ไปอยู่กับคุณบุญฤทธิ์สบายดีไหม?” อดีตนายอำเภอถามสองหนุ่มที่ท่านเคยคุ้นเคย

“สบายมากที่สุดเลยครับ” อ่อนพูด

“อยู่ที่โน่นเป็นสุขแล้วก็สนุกมากครับ” ชัชพูด
“เพราะได้สองคนนี้ไปอยู่ด้วยแหละอาเกียรติ ทำให้จิกับพี่บุญฤทธิ์เบาแรงมาก สองคนนี้นอกจากช่วยงานในสวน ยังช่วยงานในบ้านแล้วก็เลี้ยงตาจอมด้วย ตาจอมเลยติดสองคนนี้หนึบเลย พอจะมาที่นี่จึงต้องให้สองคนนี้มาด้วย ไม่งั้นตาจอมไม่ยอมมา” จิราพัชรเล่าให้อดีตนายอำเภอฟังแล้วหัวเราะ

“คือจิเขาไปเป็นครูสอนเด็กบนดอย วัน ๆ ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน แล้วต้องออกจากบ้านแต่เช้า ส่วนผมก็ต้องไปดูแลคนงานในสวน ที่บ้านก็เลยได้อาศัยสองคนนี้ดูแล แม้แต่หุงข้าวและทำกับข้าว”

“แล้วใช้เวลาเดินทางกันกี่วันล่ะ กว่าจะมาถึงที่นี่?”

“สองวันพอดีครับผม เมื่อค่ำวานแวะพักนอนที่เขื่อนภูมิพลจังหวัดตาก แม่ลูกเขาอยากดูเขื่อน… ก็เลยนอนที่นั่นเสียหนึ่งคืน พอเช้าก็มากันแบบเรื่อย ๆ เห็นที่ไหนน่าจะแวะก็แวะไม่รีบร้อน แต่เมื่อวานมาเสียเวลาอยู่แถว ๆ กุยบุรี ตำรวจเห็นผมแต่งตัวปอน ๆ แต่ขับรถยนต์ราคาแพง เขาสงสัยว่าผมจะเป็นพวกค้ายาเสพติด ตำรวจเขาก็เลยขอตรวจค้น ทำให้เสียเวลาไปร่วมสองชั่วโมง เกือบค่ำกว่าจะหลุดมาได้ ทำให้มาถึงบ้านพ่อที่ทะเลสาบตอนสี่ทุ่มกว่า ๆ”
“ตำรวจที่มาดักตรวจรถพ่อเป็นพวกผีดิบฮะตา” เด็กชายแทรกขึ้นทันที

“ฮะ! ลูกรู้เรื่องขบวนการผีดิบด้วยหรือ?” อดีตนายอำเภอตกใจและถามว่า “แสดงว่าที่เชียงรายมี”

“ที่เชียงราย ผู้คนยังอยู่กันแบบเรียบง่ายถ้าจะมีก็น้อย คือแถวในเมือง ส่วนผมอยู่ที่ตำบลแม่ยาว ยังไม่เคยปรากฏเลยครับ” อดีตปลัดบุญฤทธิ์รีบตอบอดีตจ้าวนายเสียก่อนจ้าวนายจะพูดจบ

“น้องจอมเขาได้ยินอ่อนหลุดปากพูดออกมา ตอนที่ตำรวจตรวจรถและพยายามหน่วงเหนี่ยวเราคะอาเกียรติ” จิราพัชรตอบและเรียกอดีตนายอำเภอว่า อา

“ฮื่อ มันก็ไอ้พวกผีดิบจริง ๆ นั่นแหละ ตอนนี้มันกำลังจะกลืนภาคใต้ของเราแล้ว นี่อาก็รออยู่แต่ที่หลวงพ่อกฤติยาท่านเคยบอก ว่าอีกไม่นานจะมีนักการเมืองรุ่นใหม่มาปราบผีดิบ ท่านสั่งให้พวกเราตั้งใจทำดีและอดทน ท่านว่าธรรมะจะต้องชนะอธรรม เพราะถ้าธรรมะไม่ชนะอธรรมโลกจะพินาศ”

“พวกเราก็คงได้แต่หวัง” อดีตปลัดบุญฤทธิ์ รำพึง

“ก็ชีวิตของเราทุกคนอยู่ด้วยความหวัง หากไม่มีความหวังก็เหมือนไม่มีชีวิต ท่านว่าไว้ในทำนองนี้ไม่ใช่หรือ เฮอะ ๆ” อดีตนายอำเภอพูดแล้วหัวเราะและว่า “ไปนั่งคุยกันที่บนบ้านโน่นเถอะ”

แล้วอดีตนายอำเภอก็เดินนำทุกคนกลับมาที่บ้านไม้หลังใหญ่


“หลวงพี่ พอจะมีวิธีไหนบ้าง ที่จะทำให้ศูนย์สอง หรือคุณวอกลับมาเหมือนเดิม”
พ.ต.ต.มหิทธิ์ มนศักดิ์ ซึ่งฉวยโอกาสมาที่กุฏิพระผิว ปาณนาถ รองเจ้าอาวาสวัดภูเขาในตอนสาย ถามพระผิวหลังจากฆ่าหมอปราณ กาฬปักษ์ และให้ลูกน้องนำศพมาให้ท่านพระครูนำไปเลี้ยงดูพวกโหงพราย หรือผีดิบถาวรที่กักขังไว้ในถ้ำ ถ้าหากหมอปราณ กาฬปักษ์ ไม่ได้เป็นพวกครึ่งคนครึ่งผีอย่างพวกตน
พระผิวส่ายหน้า ขณะยืนอยู่บนระเบียงกุฏิซึ่งก่อด้วยอิฐปูน ใต้ถุนเป็นห้องน้ำและห้องเก็บของ โดยมี พ.ต.ต.มหิทธิ์ มนศักดิ์ เดินไปยืนอยู่ข้าง ๆ
“เรื่องนี้เกินความสามารถของอาตมา ทำไมท่าน สวป.ไม่ไปถามหลวงพ่อท่านพระครูล่ะ ท่านอยู่ที่กุฏิของท่านโน่น เรื่องทั้งหมดท่านเป็นคนคิดเป็นคนทำ อาตมาเองไม่มีความสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้หรอก”
“ท่านพระครูกำลังเข้าไปในถ้ำ ผมไม่อยากตามเข้าไป อากาศในถ้ำผมไม่ค่อยชอบ เคยเข้าไปแล้วครั้งหนึ่งหายใจไม่ออก” พ.ต.ต.มหิทธิ์ มนศักดิ์ ตอบเลี่ยง ๆ
แต่ความจริงคือตนเองก็กลัว กลัวจะไปเจอกับผีดิบ พ.ต.ต.วิเวกกับบริวารสาวทั้ง ๗ ซึ่งถ้าเจอเข้าตนก็ไม่สามารถที่จะป้องกันตนเองได้เช่นกัน และเรื่องนี้กำลังเป็นความทุกข์ของ พ.ต.ต.มหิทธิ์ มนศักดิ์ สวป.คนใหม่
“โยมมาก็ดี อาตมาก็มีเรื่องข้องใจอยากจะถามหลายเรื่อง”
“งั้นเอาเรื่องแรกมาก่อน” พ.ต.ต.มหิทธิ์ ให้โอกาสก่อนจะได้คุยธุระอื่นต่อ
“อาตมาต้องจ่ายค่าสมาชิกเป็นเลือดสด ๆ ทุกเดือน ห้าหกปีแล้วไม่เห็นได้อะไรกลับคืนมาเลย”
“ก็…” พ.ต.ต.มหิทธิ์ มนศักดิ์ อึกอักแต่แล้วก็พูดด้วยปฏิภาณอันฉับไวว่า “เลือดเป็นสิ่งที่ร่างกายเราสามารถผลิตขึ้นใหม่ได้ทุก ๆ วัน และอาจจะเรียกได้ว่าเป็นส่วนเกินเสียด้วยซ้ำ เพราะเมื่อร่างกายเราถ่ายเลือดออกไป ร่างกายก็ผลิตเลือดใหม่มาทดแทน เลือดที่ร่างกายสร้างใหม่มีคุณภาพดีกว่าเลือดเก่า คนที่ถูกดูดเลือดออกไปบ่อย ๆ ทำให้ดูเป็นหนุ่มเป็นสาว โรคภัยก็ไม่มาเบียดเบียนแถมอายุจะยืนยาว พระคุณเจ้าก็รู้อยู่ไม่ใช่หรือ?”
“รู้ ก็เดิมทีมันมีการซื้อขายเลือดกันอยู่ตามโรงพยาบาล แต่ตอนหลังสมาคมของเราเข้ามาจัดการ นำเลือดส่วนที่เกินของสมาชิกไปขายให้บริษัทแวมไพร์ฟูดแอนด์ดริ้งโปรดัก บริษัทแวมไพร์เอาเลือดของเราไปทำเป็นอาหารเสริม เอาไปผสมเป็นเครื่องดื่มชูกำลัง ล่าสุดเอาไปทำเป็นเบียร์”
“แสดงว่าหลวงพี่เคยดื่ม?” พ.ต.ต.มหิทธิ์ ถามยิ้ม ๆ ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่าพระฝ่ายตนไม่มีศีลเลยสักข้อ ที่ปฏิบัติอยู่มีแต่ดิรัจฉานวิชา เสกเป่าเครื่องราง ของขลัง กับทำเสน่ห์ยาแฝด สารพัดสารพัน พระผิวจึงตอบว่า
“ใช่ ก็นั่นมันคือหนทางที่จะทำให้ชีวิตมีความสดชื่น มีพลัง มีความสุข สมกับที่เราไม่มีวันตาย แล้วจะไปอยู่เฉย ๆ ทำไม?”
“งั้นเรื่องที่สอง?” พ.ต.ต.มหิทธิ์ พูด
“ตอนนี้พวกที่ต้องการความเป็นอมตะ พากันชอบดื่มเลือดสด ๆ ตรง ๆ จากสมาชิก คือมาจับมาบังคับเอา เท่านั้นยังไม่พอ บางคนดื่มเพลินจนเลือดสมาชิกหมดตัว พอหมดตัวสมาชิกก็ตาย พอตายก็เป็น…”
“ไม่ตายหรอก จะตายได้ไง ก็ในเมื่อทุกคนจะเป็นอมตะ คือจะไม่ตายอีกต่อไป” พ.ต.ต.มหิทธิ์ รีบแย้ง
“เฮอะ ๆ นั่นนะรึ คือความเป็นอมตะ อย่ามาโกหกกันอีกเลย?” พระผิวพูดหัวเราะและจ้องหน้า พ.ต.ต.มหิทธิ์ มนศักดิ์ “เป็นอมตะ เฮอะ ๆ ๆ แต่เป็นอมตะแบบโหงพราย เฮอะ ๆ ๆ แบบนี้ใครมันอยากจะเป็น เพราะมันเป็นการตกนรกแบบไม่มีวันผุดเกิด” แล้วพระผิวก็หัวเราะอีก
พ.ต.ต.มหิทธิ์นิ่ง เพราะที่ตนมาก็มาเพราะหวังมาพึ่งปัญญาพระผิว เพราะเห็นว่าพระผิวเก่งในด้านปลุกเสก เลขยันตร์ ล้วนแต่ศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ และอยู่ยงคงกระพัน แต่พอมาตอนนี้พระผิวกลับพูด…
“เรื่องแบบนี้ มันไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย เดี๋ยวสมาชิกก็พากันไปหาพระพวกที่เคยมาล้างวิญาณของพวกเรา หันไปถือศีลห้า กินมังสวิรัติกันหมดแล้วพวกเราจะเหลือใคร?”
“ผมก็มาเพื่อหวังพึ่งหลวงพี่และหลวงพ่อเพื่อถามเรื่องนี้ หลวงพี่ต้องไปเรียนหลวงพ่อท่านพระครู ให้ท่านรีบจัดการก่อนที่คนในตลาดจะ…”
พ.ต.ต.มหิทธิ์ พูดไม่ทันจบพระผิวต่อให้ “เป็นโหงพรายหรือผีดิบกันหมดเมือง เฮอะ ๆ ๆ แล้วไม่ใช่แค่คนในตลาดหรอก ทั้งโยมและอาตมาก็มีสิทธิ์ที่จะเป็น ถ้าวันไหนท่าน สวป.วิเวกกับบริวารเจ็ดสาวของท่านหิวจัด จับใครไม่ได้แล้วมาจับเราเข้า”
และพระผิวเริ่มสำนึกว่าเดินทางผิด เพราะแทนที่ ๆ จะเป็นอมตะ ไม่แก่ ไม่เฒ่าและไม่ตาย กลับจะกลายเป็นอมตะแบบเป็นผีดิบถาวร
“งั้นผมกราบลาละหลวงพี่” พ.ต.ต.มหิทธิ์ มนศักดิ์ ประนมมือไหว้ไปแกน ๆ อย่างขัดเคืองและไม่พอใจ นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นพระเป็นเจ้าจะจัดการเก็บเสียแบบหมอปราณ เพราะรู้สึกผิดหวังที่อุตส่าห์มาหวังพึ่งพระแล้วไม่ได้เรื่องอะไรเลย
“เดี๋ยวโยม อาตมาอยากถามอีกเรื่อง สงสัยมานานแล้ว” พระผิวพูดดึงตัว พ.ต.ต.มหิทธิ์ไว้อีก
“อะไรอีกล่ะหลวงพี่?”
“เลือดที่ทางสมาคมของเราดูดไปจากสมาชิก หลังจากเอาไปขายให้บริษัท บริษัทก็จ่ายเป็นเงินตอบแทนมาให้สมาคม อย่างนั้นไม่ใช่หรือ?”
“ใช่”
พระผิว ปาณนาถ ยิ้มและพูดว่า “แล้วทำไมไม่เอามาแบ่งให้สมาชิกบ้าง ที่ผ่าน ๆ มาอาตมาไม่เคยเห็นแล้วก็ไม่เคยได้ อาตมาดูดเลือดจากชาวบ้านมาเท่าไหร่ ๆ พอไปนอนให้ทางสมาคมดูดออกไปต่อ ดูดกันมาห้าหกปี อาตมาไม่เคยเห็นเงินส่วนแบ่งเลย นี่ขนาดว่าเป็นอาตมาแล้วชาวบ้านล่ะ เรื่องนี้มันเป็นยังไงกันแน่?” พระผิวถามย้อนกลับมาที่เรื่องเดิม
“เอ่อ…เอ้อ…ก็คือว่า ๆ…” พ.ต.ต.มหิทธิ์ มนศักดิ์ อึกอัก “ที่ผ่านมาระบบของเรามันยังไม่เข้าร่องเข้ารอย แต่เท่าที่ผมทราบเราจะจ่ายเป็นก้อนใหญ่ให้กันทุกคนเลยทีเดียว เพียงแต่ว่าเราใช้ระบบผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน คือจับฉลากว่างวดนี้ใครจะได้ เราไม่ได้จ่ายให้ทุก ๆ คนทุก ๆ งวดแบบรายเดือน เพราะถ้าจ่ายแบบนั้นจะได้คนละไม่กี่สตังค์ เอ่อ… พอดีคนที่ทำหน้าที่นี้คือคุณไวเวศย์ หรือศูนย์สี่เขาทำอยู่ เอ่อ… หลวงพี่ต้องไปถามคุณไวเวศย์”
“แต่คุณไวเวศย์ ตอนนี้หายไปไหนไม่รู้” พระผิวบ่น
“คุณไวเวศย์มีธุระกิจลงใต้ อีกเป็นเดือนกว่าจะกลับ” พ.ต.ต.มหิทธิ์ หยุดกลืนน้ำลายแล้วพูดต่อไปว่า “เอาเถอะรอให้สมาคมของเรา มีความมั่นคงมากกว่านี้อีกสักหน่อย แล้วสมาชิกจะได้ผลตอบแทนที่เป็นกอบเป็นกำ เหมือนฝากเงินไว้กับธนาคาร อย่างหลวงพี่นี่ได้เป็นล้านเลยนะเพราะเป็นสมาชิกคนสำคัญ ในอันดับต้นๆ แล้วเมื่อถึงวันนั้นคนที่ยังไม่มาเข้าเป็นสมาชิก จะแย่งกันมาเข้าเป็นสมาชิก จนรับกันไม่หวาดไม่ไหว ไม่เชื่อหลวงพี่คอยดู”
ขณะที่ทั้งสองกำลังยืนพูดกันอยู่บนระเบียงกุฏิ เวลาขณะนั้นประมาณ ๑๑ นาฬิกา พระผิว ปาณนาถ ยกมือป้องหน้าและชะเง้อมองไปทางกุฏิของพ่อท่านพระครูอุดม…
“เอ๊ะ! โน่น ตำรวจลูกน้องของโยมมาทำไมกันที่นี่?”
ซึ่งเมื่อ พ.ต.ต.มหิทธิ์ มนศักดิ์ เหลียวกลับไปดู ก็พอดีนายดาบสานิตย์ จิตวิปลาต และ จ.ส.ต.ฉ่ำ ชื้นแฉะ เข้ามายืนตะเบ๊ะอยู่ที่ตีนบันไดตึก เขาจึงรีบยกมือไหว้ลาพระผิวแล้วเดินลงมา พอลงมาถึงลูกน้องก็กระซิบบอก เพราะไม่อยากให้พระผิว ปาณนาถ ได้ยิน
“หมอปราณ กาฬปักษ์ ใช้มีดแหวกออกจากกระสอบหนีไปแล้วครับ”
พ.ต.ต.มหิทธิ์ มนศักดิ์ ถึงกับอึ้งไปอีกครั้ง พลางอุทานดังลั่น
“เฮ้ย! นี่แสดงว่า ไอ้หมอปราณยังไม่ตายแต่มันแกล้งตาย แบบนี้ยิ่งชัดเจนเลย…” พูดไปแล้วก็ยั้งหยุดไว้แค่นั้น เพราะไม่อยากให้สมาชิกระดับล่างรู้มากจนเกิดความอื้อฉาว และได้แต่คิดแค้นอยู่ในใจว่า
“ฮึ่ม! เจ็บใจนัก ไอ้หมอตัวแสบยิ่งกว่าซีม่า มันคงเตรียมรับสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า มันทำได้แนบเนียนเพราะมันเป็นหมอ แบบนี้ก็ยิ่งชัดเจนว่ามันแปรพักตร์และจะเป็นศัตรูกับเรา เอาละเราจะได้เห็นดีกันไอ้หมอ-อา- หมาปราณ”



Create Date : 08 กรกฎาคม 2550
Last Update : 8 กรกฎาคม 2550 15:01:49 น. 0 comments
Counter : 1102 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

pantamuang
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]




ไม่อยู่อย่างอยาก แต่ยังอยากจะอยู่
อยู่อย่างไม่ลำบาก เวลาที่เหลือน้อยรีบสอยรีบคว้า
ก่อนจะหมดเวลาให้สอย

ดวงดาวบนฟ้าก็สอยได้ ถ้ารู้จักต่อด้ามฝันให้ยาวพอ

ฝันถึงไหนก็ได้ มีสิทธิ์ฝัน แต่จะเป็นจริงหรือไม่ช่างฝัน
เพราะสิ่งที่ฝันคือนวนิยาย..

ชีวิตก็คือนวนิยายเรื่องหนึ่ง ที่เราเป็นผู้เขียนและกำกับ.

เริ่ม 9 กันยายน 2550

Friends' blogs
[Add pantamuang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.