การออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
| | | |
โรคเบาหวาน เป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลสูงกว่าปกติ ที่พบบ่อยแบ่งเป็น
1. โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (ชนิดพึ่งอินสุลิน)
2. โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (ชนิดไม่พึ่งอินสุลิน)
ประโยชน์ของการออกกำลังกายในผู้ป่วยโรคเบาหวาน
1. ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางกาย 2. ช่วยป้องกันหรือลดความอ้วนได้ 3. ช่วยทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น 4. ช่วยปรับระดับไขมันในเลือดให้เหมาะสม 5. ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและอุดตัน 6. ช่วยในด้านอารมณ์ จิตใจ
การประเมินสุขภาพก่อนการออกกำลังกาย
- เพื่อตรวจหาข้อห้ามหรือข้อควรระวังในการออกกำลังกาย - เป็นแนวทางให้แพทย์กำหนดระดับการออกกำลังกายให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย ผู้ป่วยที่ควรต้องผ่านการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ขณะออกกำลังกาย (EST) ก่อน - ผู้ป่วยเบาหวานที่มีอายุมากกว่า 35 ปี หรือเป็นเบาหวานมามากกว่า 25 ปี - มีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ต่อการเป็นโรคหัวใจ และ หลอดเลือด
ข้อห้ามในการออกกำลังกาย
- อาการเบาหวานขึ้นตากำเริบที่มีเลือดออกในจอรับภาพ, น้ำในช่องลูกตาหรือจอรับภาพแยกตัว - ระดับน้ำตาลในเลือดสูงตั้งแต่ 250 มก./ดล. ขึ้นไป - ภาวะเลือดเป็นกรดสูง (Ketoacidosis) - ภาวะติดเชื้อ
รูปแบบการออกกำลังกาย
การออกกำลังกายที่เหมาะสม คือ การออกกำลังกายแบบแอโรบิค เช่น การเดิน การวิ่งเหยาะ ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ กิจกรรมเข้าจังหวะ รำมวยจีน
การเลือกชนิดการออกกำลังกาย ขึ้นอยู่กับ
- อายุ - ความรุนแรงของโรคเบาหวาน - ความฟิตของร่างกาย - เครื่องออกกำลังที่มีอยู่หรือหาได้สะดวก - สถานที่ที่สะดวก - ความสนใจ
วิธีการออกกำลังกาย
- การออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ใช้เวลาอย่างน้อย 20 นาที ปฏิบัติสม่ำเสมอ อย่างน้อย 3 ครั้ง/สัปดาห์ - ควรเริ่มจากระดับเบา ๆ ก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มให้มากขึ้นทีละน้อย
ขั้นตอนการออกกำลังกายมี 3 ระยะ
1. ระยะอุ่นเครื่องเพื่อเตรียมกล้ามเนื้อ - ใช้เวลา 5 นาที - ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ และกายบริหารเบา ๆ
2. ระยะออกกำลังกาย - ใช้เวลา 20-60 นาที - ระดับความหนัก เป้าหมายคือ ชีพจรเต้นเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 60% ของอัตราชีพจรสูงสุด แต่ไม่เกิน 90% - อัตราชีพจรสูงสุด = 220 อายุ
ตัวอย่างผู้ป่วยอายุ 50 ปี อัตราชีพจรสูงสุด = 220-50 = 170 ครั้ง/นาที 60% ของอัตราสูงสุด = 60*170 = 102 ครั้ง/นาที 90% ของอัตราสูงสุด = 90*170 = 153 ครั้ง/นาที
การวัดอัตราชีพจรระหว่างออกกำลังวิธีต่าง ๆ
- จับชีพจรที่ข้อมือดูเวลาจากนาฬิกา - ใช้อุปกรณ์ตรวจวัดชีพจรชนิดต่าง ๆ เช่น คลิปหนีบหูวัดชีพจร แถบรัดหน้าอกและนาฬิกาวัดชีพจร
3. ระยะผ่อนคลาย - ใช้เวลา 5 นาที - ให้ผ่อนระดับการออกกำลังช้า ๆ จนหยุด
สำหรับผู้ป่วยเบาหวานประเภท 1
- ไม่ควรออกกำลังนานเกินไป (> 45 นาที) - ควรกำลังในเวลาใกล้เคียงกันในแต่ละครั้ง - แนะนำให้ออกกำลังในช่วงเช้าก่อนอาหารมื้อเช้า
สำหรับผู้ป่วยเบาหวานประเภท 2
- ควรเริ่มออกกำลังกายจากระดับความหนักน้อย ๆ ก่อน - ระยะเวลาการออกกำลังควรใช้เวลานานขึ้น (ระหว่าง 20 นาที ถึง 45 นาที) เพื่อเผาผลาญไขมันได้มากขึ้น - ควรจำกัดอาหารเพื่อลดน้ำหนักด้วย
แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการปรับยาและอาหาร
1. กรณีผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 - ควรฉีดยาที่หน้าท้องแทนการฉีดยาที่แขนหรือขา - หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายขณะยาออกฤทธิ์สูงสุด - ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดก่อนและหลังออกกำลังกายในระยะแรก - ควรดูแลเท้าเป็นพิเศษไม่ให้เกิดแผลและการบาดเจ็บ ใส่รองเท้าที่เหมาะสม - ควรพกป้ายหรือสื่อที่แสดงว่าเป็นเบาหวานติดตัวไว้หรือควรออกกำลังกายในขณะที่มีผู้อื่นอยู่ด้วย
2. กรณีผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2
- หลักปฏิบัติทั่ว ๆ ไป - ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอเมื่ออกกำลังกายต่อเนื่องได้ระยะหนึ่งระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลง แพทย์จะปรับขนาดยาให้เหมาะสมต่อไป
สมดุลระหว่างอาหารกับการออกกำลังกาย
- ผู้ป่วยทุกรายควรได้รับการตรวจระดับน้ำตาลก่อนการออกกำลังกาย - ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ระหว่าง 180 ถึง 240 มก./ดล. ไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารว่างก่อนออกกำลังกาย - ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ระหว่าง 100 ถึง 180 มก./ดล. ควรรับประทานอาหารว่างก่อนออกกำลังกายประมาณ 15 30 นาที ด้วย 10 15 กรัมของอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต - ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่า 100 มก./ดล. ควรรับประทานอาหารว่างก่อนออกกำลังกายประมาณ 25 50 กรัมของอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต - ถ้าออกกำลังกายยาวนาน ควรรับประทานอาหารว่างเพิ่มขึ้น 10 15 กรัม ทุก 30 นาที หรือเพิ่มปริมาณอาหารว่างก่อนออกกำลังกายให้มากขึ้นและควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดภายหลังการออกกำลังกายเพื่อประเมินความต้องการอาหารว่างของผู้ป่วยว่าจำเป็นต้องทานเพิ่มหรือไม่
ข้อควรระวังในการออกกำลังกายและการป้องกัน
1. การออกกำลังกายหนักเกินไป - สภาวะเลือดมีฤทธิ์เป็นกรด - ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ - เลือดออกในเรตินา (ควรออกกำลังกายระดับเบาถึงปานกลาง)
2. ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำจากการออกกำลังกาย อาการใจสั่น ตาลาย เหงื่อออก ตัวเย็น อาจถึงขั้นหมดสติได้ในขณะออกกำลังกาย ถ้ารู้สึกผิดปกติ เช่น เวียนศรีษะ หน้ามืด จุกแน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก รู้สึกเหนื่อยผิดปกติ ให้หยุดพักทันที ตรวจหาน้ำตาลและของหวาน ๆ กิน
การป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ - ปฏิบัติตัวให้สม่ำเสมอ - หมั่นตรวจน้ำตาลในเลือดเพื่อนำมาปรับเปลี่ยน - เพิ่มอาหารว่างก่อนออกกำลังกาย - ฉีดอินสุลินที่หน้าท้องแทนที่แขน - หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายขณะที่อินสุลินออกฤทธิ์สูงสุด - ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ - เพิ่มอาหารว่างถ้าออกกำลังกายนาน - เฝ้าระวังอาการและอาการแสดงของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ - ขณะออกกำลังกายควรมีผู้อื่นอยู่ด้วย
3. ปัญหาเกี่ยวกับเท้า มีการเสื่อมของหลอดเลือดและเส้นประสาท ทำให้เท้าชา ไม่รู้สึก เป็นแผลง่าย ติดเชื้อง่าย หายช้า
ควร - สวมรองเท้าที่เหมาะสม (พอดี, ไม่หลวม, พื้นนุ่มถ่ายเทดี, สวมถุงเท้า) ในรายที่ฝ่าเท้าผิดรูปมาก ควรใส่รองเท้าที่ตัดขึ้นโดยเฉพาะ - ทำความสะอาดเท้าอย่างทั่วถึง - ทาครีมทาผิวบาง ๆ ถ้าผิวหนังแห้งเกินไป - ตรวจเท้าอย่างละเอียดทุกวัน - ซับเท้าให้แห้งด้วยผ้านุ่มโดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้วเท้า - ตัดเล็บให้ตรงโดยให้มุมเล็บยังคงยาวคลุมนิ้วเพื่อป้องกันเล็บขบ - ไม่ควรประคบเท้าที่ชาด้วยของร้อน - ไม่ควรแคะวัตถุแข็งแคะซอกเล็บ - ควรตัดเล็บหลังล้างเท้าหรืออาบน้ำใหม่ ๆ เพราะเล็บจะอ่อนและตัดง่าย ไม่แช่เท้าก่อนตัดเล็บ - ถ้าสายตามองเห็นไม่ชัด ควรให้ผู้อื่นตัดเล็บให้ - ถ้ามีผิวหลังที่หนาหรือเป็นตาปลา ควรได้รับการตัดให้บางทุก 6-8 สัปดาห์ โดยผู้ชำนาญ - หมั่นบริหารเท้าเป็นกิจวัตรประจำวัน
4. การบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ, เอ็น และกระดูก ควรเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสมเริ่มจากระดับเบา ๆ ก่อน แล้วจึงค่อย ๆ เพิ่มระดับความหนักขึ้นช้า ๆ มีการอุ่นเครื่องและการผ่อนหยุดเสมอ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักเกินไปหรือมากเกินไป
5. โรคเบาหวานที่มีภาวะแทรกซ้อน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอเพื่อให้ได้โปรแกรมการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับตน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก //www.thairunning.com
| | | | |
Create Date : 28 มีนาคม 2552 |
|
0 comments |
Last Update : 28 มีนาคม 2552 12:32:12 น. |
Counter : 1135 Pageviews. |
|
|
|