ห้าปีจะว่ายาวนานมันก็ไม่ถึงกับนานเท่าไร แต่หากจะบอกว่ามันสั้นก็ดูจะโกหกคำโตไปสักหน่อย มีคำพูดที่ว่า "เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ" ถ้าหากคำพูดนี้ไม่ผิด เวลา5ปี(นับจริงๆกับความเป็นฮอตเทสเต็มตัว...ก็ไม่ถึงนะ 5555555) กับผู้ชายหกคนนี้ก็ไม่ถือว่ายาวนาน เพียงแค่เผลอเรอเวลาก็บินผ่านมาถึงปีที่ 5 กับเส้นทางเดินเมื่อหันย้อนกลับไปมอง ณ ช่วงเวลาหนึ่งของเรา มีรอยเท้าของผู้ชายหกคนเดินขนานไปกับการใช้ชีวิตในแต่ละวันของเราอย่างที่พอกลับมาคิดๆดูมันก็ออกจะดูน่าแปลกอยู่ไม่น้อย
ฮอตเทสหลายๆคน หรืออาจบอกได้ว่าจำนวนหนึ่งก็ได้ล่ะมั๊งก็คงใช้ส่วนหนึ่งในชีวิตตัวเองไปไม่ต่างกับเรา ชีวิตที่รอยยิ้มของผู้ชายแปลกหน้า 6 คนทำให้วันเหงาๆกลับสดใสขึ้นมา กับเสียงหัวเราะบ้าบอจากการเย้าแหย่กันของผู้ชายทั้งหกพาให้ต้องส่ายหน้าด้วยความปลงแต่สุดท้ายก็อดเก็บเสียงหัวเราะตามไปไว้ไม่ไหว แต่แล้วพอเห็นหยดน้ำตาที่ผู้ชายตัวโตเป็นตึกแอบเช็ดป้อยๆแล้วเอาตัวบังไม่อยากให้เราต้องรับรู้...น้ำตาที่ไม่รู้มาจากไหนก็ร่วงตามอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่
กับบทสัมภาษณ์มากมายที่ได้อ่านก็พาเอาความปลาบปลื้มในตัวตนและความคิดของผู้ชาย 6 คนจนทำให้สามารถเชิดหน้าพูดออกมาอย่างเย่อหยิ่งกับใครต่อใครได้อย่างเต็มปากว่าผู้ชายของฉันสุดยอด ทั้งๆที่พวกเขานั้นไม่อาจรับรู้ถึงตัวตนของเราด้วยซ้ำ...แต่นั่นสำคัญเหรอ???....ไม่เลยสักนิด
เรายังคงจดจำคำพูดของชานซองไม่เคยลืม เมื่อผู้ชายคนหนึ่งรับมือกับสายตาและคำดูถูกจากคนรอบข้างด้วยการเก็บเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นแรงฮึดสู้แทนที่จะเหยียบตัวเองให้จมดินตามลงไป
"ตัวผมเริ่มจากศูนย์...ต่างจากเพื่อนคนอื่นๆ ผมคนที่ไม่มีซึ่งความสามารถอะไรพิเศษอย่างคนอื่นเขา โดนว่าใส่หน้าหลายต่อหลายครั้งว่าร้องก็ไม่เป็น เต้นก็ไม่ได้เรื่องเอาซะเลย แต่ผมไม่เคยเก็บเอามาใส่ใจ...ก็เหมือนกับวัชพืชนั่นไงล่ะครับ เพราะงั้นไม่วาจะโดนเหยียบสักกี่ครั้งต่อกี่ครั้งผมก็จะกลับมาลุกขึ้นยืนใหม่และพยายามสู้และสู้ต่อไป...จนในที่สุดผมก็สามารถพาตัวเองยืนอยู่ตรงจุดจุดนี้จนได้ และผมก็จะไม่มีวันหยุดที่จะพยายามนั้น" เด็กผู้ชายตัวโตกับสีหน้าเหม่อๆ พูดจาไม่ค่อยทันใครเขาเพราะมัวแต่จะคิดเรียบเรียงเป็นทวิตลองเกอร์อยู่ มัำกทำให้เราอดเอ็นดูกับความเจ้าความคิดที่บางครั้งอาจจะฟุ้งอยู่(มาก)บ้างก็ตามเถอะ...และในความเอ็นดูนั้นมีความนับถือให้กับหัวใจนักสู้ของเขาอยู่ไม่น้อยเลย
เราชอบความสัมพันธ์ของวง 2pM ผู้ชายหกคนทำให้เราเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องยากที่จะมอบความจริงใจให้แก่กันทั้งๆที่ในส่วนลึกแต่ละคนต่างแข่งขันกันอยู่อย่างเงียบๆ อูยองตอบว่า "แทค" คือคนที่เจ็บปวดง่ายแต่ฟื้นตัวยาก "...แม้แต่พี่จินยองยังต้องระวังไม่กล้าตำหนิเขาแรงๆเลยด้วยซ้ำ คือถ้าเผลอลงมือหนักไปสักหน่อย เขาอาจทิ้งพวกเราไปซะเฉยๆก็เป็นได้ แทคยอนเขาเป็นผู้ชายหัวใจอ่อนแอครับ อ่อนเอามากๆ อ่อนที่สุดในบรรดาพวกเราเลยล่ะครับ แทคเขาเป็นคนใช้กล้ามหนาๆของเขาปิดบังความอ่อนแอของตัวเองเอาไว้" ด้งดูเหมือนพูดแหย่แทค แต่ประโยคต่อมามันแสดงให้เห็นว่าผู้ชายพวกนี้รู้จักกันดีแค่ไหน ห่วงใยกันแค่ไหน "เวลาที่จู่ๆแทคเขาออกอาการว่าเขาตื่นเต้นมีความสุขมากๆนั่นล่ะมันกลับยิ่งทำให้พวกเราต้องคอยมองเขาด้วยความเป็นห่วง เพราะเขาเก่งในการทำตัวมีความสุขหรือทำตัวน่ารักคิกขุ แต่ถ้าเมื่อไรที่เราเห็นว่าเขาแสดงออกให้เห็นถึงความสุขออกมามากกว่าเคยแล้วล่ะก็...มันยิ่งทำให้เราเกิดกลัวขึ้นมาว่าเขากำลังมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น จนต้องขอให้เขาหยุดทำตัวแบบนั้นซะที แทคเขาไม่ใช่คนที่จะสามารถเก็บความรู้สึกได้ เขามักแสดงออกมาให้พวกเรารับรู้เสมอ" ด้งบอกว่าตัวเองน่ะเป็นคนประเภทที่ถึงแม้กำลังเสียใจอยู่แต่ถ้าได้กินไอศครีมแล้วล่ะก็จะอารมณ์ีดีขึ้นมาทันที แต่พอคนสัมภาษณ์บอกว่าเด็กชายแทคคงไม่ใช่คนแบบนั้นสินะ ด้งก็เลยเฉลยว่า "ที่จริงแล้วแทคนั่นล่ะเป็นคนซื้อไอศครีมมาให้ผมอารมณ์ดีขึ้นไงล่ะครับ" ....เจ้าเด็กพวกนี้น่ารักเนอะ~♥ ความน่ารักของผู้ชายตัวโตๆนี่น่าหลงใหลชะมัด จำได้ว่าคอนWTII in Seoul คุณที่ยังคงรู้สึกผิดอยู่นั้นก็ยังคงขอโทษและขอสัญญา แต่พอแฟนคนหนึ่งตะโกนร้องบอกคุณว่า "คุณน่ะสุดยอดที่สุดแ้ล้ว!" หนุ่มหัวไวอย่างคุณเลยถามกลับไปว่า "อ่า...พวกเราสุดยอดที่สุดแล้วงั้นเหรอครับ? ...งั้นอะไรจะเยี่ยมสุดกว่าสุดยอดอีกล่ะ" โฮจังที่ยืนข้างๆคุณก็กระซิบบอกคุณว่า "มันคือจังจังแมนไง" ซึ่งดูแล้วโฮเองอาจไม่คิดว่าพี่ชายคนนี้จะกล้าใช้คำแสลงนี้ที่โฮบอก แต่แล้วคุณพูดกลับพูดออกมาหน้าตาเฉยซะงั้นว่า "งั้นพวกเราจะยิ่งพยายามให้หนักกว่าเคยเพื่อที่จะกลายมาเป็นจังจังแมนกันเถอะนะครับ" แบบได้ทั้งอารมณ์ทั้งความน่ารักโคตรโคตร ซึ่งจะว่าไปที่มันขำมากขนาดนั้นก็เพราะคุณน่ะให้ลักษณะภาพลักษณ์ของหนุ่มเนี้ยบแถมดูออกจะหัวโบราณอยู่(ไม่)สักหน่อยแต่พอยอมแสดงความรั่วออกมาแบบไม่มีเหนียมหรือติดเก็กเลยแบบนั้น มันก็เลยทำให้โฮจังถึงกับขำกลิ้งและภูมิใจในพี่ชายคนนี้ของตัวเองเอามากๆ เพราะถึงแม้เจ้าตัวจะเป็นคนชงมุขให้พีุ่คุณก็จริงแต่คงไม่คิดว่าพี่คุณจะตบมุขตามแบบนั้นและขนาดนั้นด้วย จริงๆแล้วเราก็ไม่รู้หรอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างแฟนคลับกับศิลปินของไอดอลกลุ่มอื่นเป็นอย่่างไร จะแตกต่างหรือเหมือนมากน้อยแค่ไหนระหว่างฮอตกับศิลปิน แต่แทคมันทำให้เราคิดว่าเขาคือเด็กผู้ชายข้างบ้านที่เราสะดวกใจคบหาคุยด้วยทั้งๆที่เขาเติบโตเป็นผู้ชายน่าหลงใหลได้มากขึ้นทุกวันแบบนี้ก็ตามเถอะ การเย้าแหย่ระหว่างฮอตกับเด็กบ่ายโดยเฉพาะกับเจ้าเหมียวมันยิ่งทำให้เราลดความแปลกหน้าที่มีต่อผู้ชายกลุ่มนี้ลดลงจนเหลือแค่ช่องแคบของความเกรงใจอยู่นิดๆ 555555555 เรายังจำบทสนทนาในแฟนคาเฟ่ที่อ่านเจอเมื่อนานมากแล้วได้อยู่เลย อ่านครั้งแรกขำจนปวดท้องไปหมด...จากนั้นเวลาเซ็งขึ้นมาทีไร มานั่งเปิดอ่านแล้วนึกภาพตามก็ไม่เคยหยุดขำได้เลยสักครั้ง ฮอตกับศิลปินนี่เหมือนไม่เบื่อไม้เมากันจริงๆ ถ้าต่างฝ่ายไม่มีกันคงเหงา(ปาก)ตายกันไปข้างแน่แท้ สมัยนานโพ้นที่คุณคิมจุนเค ยังคงถูกขนานนามเรียกคิมจุนซูอยู่เลย เจ้าเหมียวเข้าห้องแชทแฟนคาเฟ่ด้วยชื่อ Eric Benetman พอเข้าป๊วบก็เจอฮอตส่งกระหน่ำจนมาเจอฮอตเด็กตัวแสบไม่แพ้เหมียวคร่ำครวญใส่ว่า "พี่คะพี่ พี่จุนซูหายหน้าไปไหนล่ะ หนูรอ ร๊อ รอ พี่จุนซูก็ไม่เห็นมาโพสต์สักที อิ๊งงงง...หนูแซดดดสุดนะพี่นะ" (อิเหมียวคิด...อ๊คอยู่นี่ ถามถึงอ๊คจิ ไปถามหาไผที่ไหนกั๊น) แล้วสงสัยอิหนูฮอตเทสน้อยจะได้ยินฟามในใจเหมียวเลยหยอดน้ำตาลให้เหมียวสักนิดว่า "หนูเองก็รักพี่แทคยอนนะคะ....นะ" อิเหมียวเห็นแค่นี้ยิ้มแฉ่งจนตีนแมวย่องขึ้นหน้า...แต่แล้วก็แทบหุบยิ้มไม่ทันเมื่อเจออิหนูตลบหลังด้วย "แต่พี่ช่วยบอกพี่จุนซูให้เข้ามาแฟนคาเฟ่หน่อยสิคะพี่ บอกให้พี่เขาช่วยมาทิ้งข้อความอะไรก็ได้นะ พวกเรารอพี่จุนซูอยู่นะคะ นะพี่แทคยอนนะ...อ้อ...แล้วฝากบอกพี่จุนซูด้วยนะคะว่าหนูรักพี่ม๊ากมากนะคะ" 555555555555555555555555555555 ยัง...ยังไม่จบ หลังจากเหมียวเลียแผลจากการโดนฮอตเทสกระซวกซะหัวใจแหลกเป็นริ้ว กัดฟันกรอดยอมตอบว่า "ก็พี่จุนซูเขายุงยุ๊งยุ่งอยู่น่ะ" ตอบเสร็จรู้ตัวว่ากำลังขุดหลุมฝังตัวเองหล่นดังแอ้กเลยหลุดบ่น "อ๋าย~เด๋วนะ พูดแบบนี้เหมือนจะบอกว่าตัวเองว่างงานอยู่เลยนี่หว่า" (เหมียวกัดตัวเองเสร็จสรรพ) แต่ก็ยังใจดีอดไม่ได้ ข่วนเพื่อนสักแผลให้เหวอะตามๆกันมาว่าช่วงนี้จุนซูเขาไม่ว่างก็เพราะ... "คุณจุนซูเขาเป็นผู้ชายราคาแพงนี่ครับผม" ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายหกคนนี้ เราว่าเราสนุกที่จะได้รับรู้ มีความสุขเมื่อได้รับฟัง...จริงๆนะ แทคบอกไว้ว่าการทำงานคนเดียวมันต้องใช้พลังส่วนตัวอย่างแรงกล้าต่างจากการทำงานเป็นกลุ่ม ซึ่งถ้ามีแค่คนคนเดียว ก็จะมีเวลาเพียงแค่ 24 ชั่วโมง แต่พวกเขามีกัน 6 คน เพราะฉะนั้น... "พวกเราก็จะมีเวลาถึงกว่า 100 ชั่วโมงต่อวัน และเราแต่ละคนต่างก็ชดเชยจุดบกพร่องของกัน ทั้งยังหนุนจุดเด่นของแต่ละคนเพื่อแสดงบนเวทีได้อย่างแข็งแกร่ง" แทคย้ำว่าพวกเขา 2PMแตกต่างจากไอด้อลกลุ่มอื่นด้วย 2 เรื่องก็คือ "ทีมเวิร์คและการแสดงอย่างยอดเยี่ยมบนเวที การแสดงบนเวทีของพวกเรานั้นต้องอาศัยความเชื่อใจซึ่งกันและกัน มีหลายท่าเลยที่พวกเราต้องพี่งพาซึ่งความไว้วางใจในตัวของอีกฝ่าย ดังนั้นการจะแสดงแบบนี้ออกมาได้พวกเราต้องสามารถเชื่อใจกันได้" เมื่อพวกเขาต่างใช้เวลาร่วมกัน ความขัดแย้งจึงไม่ใช่เรื่องหลีกเลี่ยงได้ แต่พอฟังที่แทคบอกถึงวิธีการแก้ปัญหากันในกลุ่มแล้ว เรามองว่านี่คือกลุ่มเพื่อนที่แข็งแกร่งที่สุดกลุ่มหนึ่งเลยทีเดียว "พวกเราจะร่วมกันแก้ไขปัญหา มันจะไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่งเท่านั้นแต่เราจะหาทางร่วมกัน...นี่คือสไตล์ของ 2PM ไม่มีใครนำใครหากแต่พวกเราคือหนึ่งเดียวกัน" ...นี่คือกลุ่มยอดเยี่ยมที่สุดกลุ่มหนึ่งที่เราได้รู้จัก พวกเขาก้าวจากคำว่าเพื่อน กลายมาเป็น "ครอบครัว" กันแล้วในที่สุดอย่างที่ออกปากไว้อย่างไม่ต้องสงสัยแม้สักนิด ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา พอมองย้อนกลับไปกับอัลบั้มGROWN จากเด็กหนุ่มสู่ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ พวกเขาต่างคนต่างเริ่มต่อสู้เพื่อเส้นทางของตัวเอง ภาพการแยกย้ายกันทำงานเดี่ยวนั้นดูจะเด่นชัดกว่า แต่ถ้าเป็นอย่างที่โฮบอกไว้ว่าแต่ละคนต่างแยกย้ายกันทำงาน ฝึกฝนตัวเองให้เก่งขึ้น แกร่งขึ้น เพื่อทำให้ 2PM ยิ่งยอดเยี่ยมขึ้นไปกว่าเดิม ปีที่ 5 ก็น่าจะนับเป็นจุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้งอย่างที่พวกเขาบอกไว้จริงๆ แล้วมันดูจะเป็นก้าวที่น่าสนใจ...เมื่อหมดความหวือหวาของความฉาบฉวยจากชื่อเสียงที่ต้องดิ้นรนไขว่คว้ามาครอบครองแทบตายแล้ว จากนั้นมันน่าจะคือความมั่นคงของไอเดียในการแสวงหาสิ่งใหม่ๆที่เหมาะสมกับตัวพวกเขาเองมากที่สุด ถ้าเป็นแบบนั้นจริง มันคงน่าสนุกที่จะเฝ้ามองและคุ้มค่าที่จะรอคอยไม่น้อย |
เข้าเรื่องกันเถิด..
เวลาผ่านเราไปรวดเร็วจริงๆ แหละ คิดถึงวันที่บังเอิญได้ดูรายการหนึ่งในช่องทรู ภาพเด็กตัวโตๆ แต่งตัวตลกๆ ไม่ยอมพูดจา แต่กลับเขียนลงบนกระดาษสั่งการเพื่อนๆ ในวันนั้น แรงดึงดูดไม่มากไม่น้อยนำพาให้ตัวเองต้องหลงเข้ามาในวังวนนี่อีกหน หลังจากนั้น รู้ตัวอีกที ชีวิตในทุก ๆ วันก็มีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะของเด็กผู้ชายซนๆ ทั้ง 6 คน ตามติดอยู่ในชีวิตประจำวันซะแล้ว มันก็แป๊บๆ เองนะ ที่ไหนได้ 3 ปีเข้าไปแล้ว 3 ปีที่เหมือนฉันมีบ้านหลังนึง ข้างๆ บ้านมีเด็กผู้ชาย 6 คนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เปิดหน้าต่างออกไปก็ได้ยิน เดินออกมาหน้าบ้านก็ยังมองเห็น เห็นรอยยิ้มได้ยินเสียงหัวเราะ เห็นการหยอกเย้า เห็นการให้กำลังใจกันและกัน เห็นถึงความพยายาม เมื่อไหร่ที่ใครซักคนมีงานเดี่ยว มีงานใหม่ๆ อิฉันก็คอยลุ้นจิกกับเด็ก ๆ ว่าพวกเขาจะทำมันได้มั้ย จริงๆ ก็รู้อยู่แล้วว่าเด็กพวกนี้มันแกร่งและเก่ง เรื่องยิ่งใหญ่แค่ไหนก็กลายเป็นเรื่องขี้ประติ๋ว แต่ก็อดที่จะลุ้นตามไปไม่ได้ พอเด็กประสบความสำเร็จขึ้นมาเราก็ยินดีด้วย ยิ้มแก้มปริ น้ำตาคลอซะเหมือนคนในครัวเรือนเดียวกันงั้นแหละ (ก็นะ น้องโฮตั้งให้อิฉันเป็นแม่คนที่สองของเขานี่น่า แค่นูนาหรืออาจุมม่ามันยังน้อยใจใช่มั้ยจ๊ะโฮ) เพราะงั้นถ้ามองย้อนรอยเท้าที่ย่ำขนานไปกับชีวิตประจำวันของเราที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงตอนนี้ หลับตาเสมือนว่ากำลังเดินอยู่บนชายหาด คิดภาพรอยเท้าที่เดินย่ำขนาดกันไปด้วยกัน บางรอยก็บางเบา บางรอยก็ย้ำลึก มันคงทอดไกลจนมองจุดเริ่มต้นแทบไม่เห็น และจากตรงนี้ลองมองต่อไปในอนาคตข้างหน้า มันคงขนานกันไปอีกเป็นทางยาวไกล แต่วัดไม่ได้หรอกว่ายาวไกลแค่ไหน บอกไม่ได้ด้วยว่านานไปอีกซักเท่าไหร่ แต่ฉันก็พร้อมจะก้าวต่อไปแล้วล่ะ.. เด็ก ๆ บอกว่าอีก 10 ปี 20 ปี เขาก็จะอยู่ด้วยกัน ถ้าเด็ก ๆ ยังไหว อิฉันก็คงไหว (ละมั้ง)
เด็กผู้ชายที่ตีลังกาหกคะเมนหัวทิ่มหัวตำใน 5 ปีที่แล้ว เผลอแป๊บๆ กลายเป็นเจ้าชายที่มีเสน่ห์ดึงดูดใครต่อใครน้อยซะที่ไหน ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าผู้ชายของเรามันเจ๋งกว่าใครๆ ไม่กล้าพูดว่าผู้ชายของเรามันสุดยอดขนาดไหน แต่ที่กล้าพูดได้ไม่อายใครคือ ผู้ชายของฉัน ไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง ไม่เคยหยุดที่จะทำให้ตัวเองดีขึ้นในทุก ๆ วัน และสิ่งนั้นมันเหมือนการบ้านที่พวกเขาเอามาอวดให้ฉันเห็นอยู่เสมอๆ ดูสิ จากเด็กน้อยที่ร้องเพี้ยน ผิดคีย์อยู่ตลอดเวลาอย่างหมีชาน ตอนนี้แต่งเพลงเองก็ได้ เสียงร้องแม้ไม่ได้เลิศเลออย่างปู่แต่ก็ฟังสมูทไปกับเพลงได้แล้ว แสดงละครก็เท่ส์ผุดๆ โฮน้อยในวันที่แทบไม่มีบทบาทกับวง ดวงไฟไม่ค่อยจะฉายไปที่เขาเท่าไหร่ แล้ววันนี้ล่ะ ประสบความสำเร็จในการเดบิ้วที่ญี่ปุ่น เดบิ้วเป็นนักแสดง ใครต่อใครก็ชื่นชมฝีมือ สปอร์ตไล้ท์มันส่องมาที่หนูสว่างจ้าจนอิฉันตาพร่าไปแล้ว คนอื่นก็เหมือนกัน และเชื่อได้ว่าพวกเขาจะยังคงพัฒนาตัวเองอีกต่อๆ ไป เหมือนย่อหน้าเกือบๆ สุดท้ายของคิวที่โฮบอก "ฝึกฝนตัวเองให้เก่งขึ้น แกร่งขึ้น เพื่อทำให้ 2PM ยิ่งยอดเยี่ยมขึ้นไปกว่าเดิม" อ่า! ถ้าถึงวันนั้น โปรเจคครองโลกก็ดูจะไม่ไกลเกินเอื้อมไปใช่มั้ย...
ขอบคุณบทความซึ้ง ๆ สนุก ๆ ของคิวนะ นับจากวันนี้ กระพริบตาอีกทีก็คงจะต้องมาอวยปีที่ 6 กันแล้ว และจนกว่าจะถึงเวลานั้น จะคอยติดตามผลงานอื่นๆ ของคิวไปเรื่อยๆ อย่าเพิ่งขี้เกียจเขียนล่ะ... สู้ๆ ^^