Group Blog
All Blog
|
อยากพูดภาษาอังกฤษคล่อง ทำอย่างไรดี? ทุกวันนี้เวลาคุณต้องการพูดภาษาอังกฤษสักประโยค คุณต้องคิดอะไรบ้างครับ? คนไทยส่วนใหญ่มักจะถ่ายทอดความรู้สึกที่อยากจะพูดนั้นออกมาเป็นภาษาไทยก่อน แล้วจึงแปลเป็นภาษาอังกฤษทีละคำ เสร็จแล้วก็ถึงขั้นตอนเรียบเรียงประโยคให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ที่ร่ำเรียนมา (เท่าที่ยังพอจำได้) และก็ต้องไม่ลืมเช็ค Tense ด้วยว่าเป็นเหตุการณ์ในอดีต ปัจจุบันหรืออนาคต กว่าจะพูดออกไปได้ทีละประโยค ทำไมมันต้องคิดอะไรกันมากมายขนาดนี้? คิดแล้วเหนื่อยใจยิ่งนัก ใช้เวลาในการคิดก็นานจนฝรั่งอาจจะเดินหนีไปแล้ว แถมบางทีพูดออกไป (หลังจากผ่านกระบวนการคิดตามที่ร่ำเรียนมาแล้วสักร้อยแปดตลบ) ฝรั่งยังมึนตึบ ทำสีหน้างงเป็นไก่ตาแตก คิ้วผูกโบว์ เพราะไม่เข้าใจสิ่งที่เราพูดออกไป ในทางกลับกัน คุณลองคิดดูสิครับว่าเวลาคุณต้องการพูดภาษาไทยออกไปสักประโยค คุณต้องคิดถึงอะไรบ้างครับ? คำตอบคือ ไม่เห็นจะต้องคิดอะไรเลย นึกจะพูดอะไรก็พูดออกไปได้โดยอัตโนมัติ ลองนึกดูเล่นๆ ถ้าเราพูดภาษาอังกฤษได้อย่างอัตโนมัติเหมือนภาษาไทยคือคิดอะไรก็พูดออกมาได้เลย ไม่ต้องคิดมากมาย ก็คงจะดีไม่น้อย คุณเชื่อหรือไม่ว่ามีภาษาอังกฤษบางประโยคที่คุณพูดได้โดยไม่ต้องคิดไทยก่อน นั่นคือ How are you today? Im fine, thank you. And you? เชื่อแน่ว่าคนไทยที่เคยเรียนภาษาอังกฤษสามารถพูดประโยคนี้ได้โดยอัตโนมัติกันทุกคน ทำไมคุณถึงไม่ต้องคิดก่อนหล่ะว่า fine เป็นคำคุณศัพท์ ดังนั้นต้องตามหลัง Verb to be นอกจากไม่ต้องคิดหลักไวยากรณ์ก่อนแล้ว ยังไม่เคยพูดประโยคนี้ผิดไวยากรณ์อีกด้วย ที่เป็นเช่นนี้เพราะคุณใช้บ่อย (โดยเฉพาะตอนเด็กๆ เวลาที่ครูก้าวเข้ามาในห้องเรียน) จนกระทั่งจำได้ทั้งประโยคนั่นเอง นี่แหละครับคือการเรียนรู้ทางภาษาด้วยวิธีธรรมชาติ มันจะทำให้คุณพูดภาษาอังกฤษได้โดยไม่ต้องคิดหลักไวยากรณ์ก่อน แต่ก็พูดได้ถูกหลักไวยากรณ์ทุกครั้งไปและยังไม่ต้องมานั่งเรียบเรียงประโยคอีกด้วย ลองคิดดูเล่นๆ สิครับว่าถ้าคุณมีประโยคภาษาอังกฤษเช่นเดียวกันนี้สัก 100 200 ประโยค คุณจะเป็นอย่างไร? แน่นอน คุณจะกลายเป็นคนที่พูดภาษาอังกฤษคล่อง สามารถโต้ตอบกับฝรั่งได้ทันที ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการคิดไทยแปล คิดหลักไวยากรณ์ เรียบเรียงประโยคให้เมื่อย มันจะทำให้คุณสบายขึ้นอีกเยอะเลยครับ คำถามต่อไปคือ แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะพูดอย่างอัตโนมัติได้หลายประโยค? ผมมีวิธีมาเสนอครับแต่ต้องอาศัยความขยัน เราจะเรียกวิธีนี้ว่า การ Drill ประโยค เริ่มจากคุณจะต้องหารูปประโยคที่อยากจะใช้ได้อย่างอัตโนมัติมาสัก 1 ประโยค ผมขอแนะนำว่าควรเป็นประโยคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ใช้บ่อยๆ และเป็นประโยคที่ฝรั่งเค้าใช้กันจริงๆ ไม่ให้คุณแต่งเองนะครับ ลองหาจากพวกหนังสือสอนสนทนาทั่วไปก็ได้ครับ ยกตัวอย่างเช่น How long does it take to drive to Pattaya from here? ถามว่า ใช้เวลานานเท่าไรในการขับรถจากที่นี่ไปพัทยา? คราวนี้คุณจะต้อง drill ประโยคนี้โดยการแต่งขึ้นเองอีกสัก 10 ประโยคโดยเปลี่ยนแค่ตอนท้าย ยกตัวอย่างเช่น How long does it take to learn this course? ใช้เวลานานเท่าไรในการเรียนหลักสูตรนี้ How long does it take to go to Bangkok? ใช้เวลานานเท่าไรในการไปกรุงเทพฯ How long does it take to walk to Koh Loy? ใช้เวลานานเท่าไรในการเดินไปเกาะลอย How long does it take to have your answer? ใช้เวลานานเท่าไรในการได้รับคำตอบจากคุณ ฯลฯ ลองไปแต่งประโยคเพิ่มเติมโดยกิริยาที่ตามหลัง to ต้องเป็นกิริยาช่อง 1 เหมือนประโยคต้นแบบนะครับ ข้อสำคัญอีกอย่างคือตอนที่คุณพูดประโยคเหล่านี้จะต้องคิดสถานการณ์ตามไปด้วย เช่น เราเห็นเพื่อนไปเข้าเรียนหลักสูตร 7 Habits เราอยากรู้ว่าจะใช้เวลากี่วันจึงถามว่า How long does it take to learn this course? เป็นต้น พยายามคิดถึงสถานการณ์ใกล้ตัวนะครับ ถ้าคุณ drill จนคล่องแล้ว อีกหน่อยถ้ามีสถานการณ์ที่คุณอยากถามถึงระยะเวลาที่ต้องใช้ ประโยคนี้จะหลุดมาจากปากคุณโดยอัตโนมัติว่า How long does it take to ? เห็นมั๊ยครับว่าสบายกว่าเก่ามากเพราะไม่ต้องนั่งคิดคำศัพท์ภาษาอังกฤษทีละคำ เช่นคำว่า ใช้เวลานานเท่าไร เราจะต้องถามอย่างไรดี? (บางทีไม่รู้คำศัพท์ที่แปลว่า นาน อีกต่างหาก ทำให้พูดประโยคนี้ไม่ได้ จบกัน!) ลองคิดดูนะครับ ถ้าคุณทำการ drill ประโยคด้วยวิธีนี้วันละ 1 ประโยคหลักแล้วแต่งเลียนแบบเพิ่มอีกสัก 10 ประโยคขึ้นไปจนคล่อง ทำอย่างนี้สม่ำเสมอทุกวัน ปีหนึ่งคุณก็จะพูดภาษาอังกฤษได้คล่องขึ้นกว่าเดิมอีกมากเพราะมีประโยคอัตโนมัติถึง 365 ประโยค ที่สำคัญไม่ต้องกังวลเรื่องไวยากรณ์อีกต่างหาก แถมยังเป็นประโยคที่ฝรั่งเค้าใช้กันจริงๆ (ถ้าคุณเอาประโยคต้นแบบที่ฝรั่งใช้กันจริงๆ มาฝึก drill) เพียงเท่านี้ คุณก็จะไม่มีการพูดภาษาอังกฤษแบบหลุดทีละคำอีกต่อไป แต่ละหลุดมาทั้งประโยคแทน นี่แหละครับคือวิธีที่อยากแนะนำให้คุณฝึกฝนจนสามารถพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง แล้วภาษาอังกฤษจะไม่เป็นอุปสรรคกับคุณอีกต่อไปครับ บางทีไม่ได้ฝึกพูดก็ยากพอสมควรนะคะ เค้าว่า ไม้แก่ดัดยาก โดย: My boy friend
![]() ขอบคุณมากๆสำหรับเทคนิคนะคะ
เป็นประโยชน์มากๆเลยค่ะ ต้องไปฝึก drill ประโยชน์บ้าง ละ โดย: โลมาตกกระ
![]() ![]() อยากอ่านภาษาอังกฤษได้ครับแต่ไม่มีเงินเรียนต้องศึกษาดว้ยตัวเองครับต้องศึกษายังไงครับคือผมอ่านไม่ออกฟังไม่รู้เรื่องและก็ไม่กล้าคุยกับคนไทยที่เก่งภาษาอังกฤษครับอายครับแต่ฝรั่งกล้าคุยด้วยครับแต่พูดไม่เป็นที่กล้าคุยก็เขาไม่รู้จักเราครับเลยกล้าทักทายแล้วก็เดินหนีครับเพราะไม่รู้จะคุยอะไรต่ออยากเรียนครับแต่ไม่รู้จะเริ่มยังงัยที่ปรึกษาก็ไม่มีมีปรึกษาแต่จะเอาแต่เงินอีกแย่จังถ้าผมอ่านหนังสื่อชื่อ 180 ชั่งโมงอ่านถาษาอังกฤษได้ดีมั้ยพี่
โดย: katawut25@gmail.com IP: 222.123.101.172 วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:15:02:48 น.
Thank you very much
โดย: koy IP: 124.121.115.173 วันที่: 16 มิถุนายน 2551 เวลา:23:57:49 น.
แวะมาอ่าน bookmark ไว้แล้วหล่ะ ชอบมากครับ
โดย: kanok IP: 58.9.76.186 วันที่: 5 สิงหาคม 2551 เวลา:22:39:05 น.
มาเรียนที่ //excel- english.com เพื่อนน่ารักดีค่ะ อาจารย์ก็เป็นกันเองมากๆๆๆๆสอนสนุกเข้าใจง่ายดีค่ะ
โดย: pom IP: 58.10.102.157 วันที่: 15 กันยายน 2551 เวลา:14:28:19 น.
เอ็กเซล อิงลิช (Excel English) เป็นสถาบันสอนภาษาอังกฤษชั้นนำที่ได้รับการ ยอมรับ เปิดทำ การมามากกว่า 10 ปี ตั้งอยูู่่ใจกลางกรุงเทพฯ พร้อมด้วยหลักสูตร การเรียนการสอน ที่มีคุณภาพ และเหมาะ กับทุกคนที่ต้องการพัฒนาทักษะการพูด ภาษาอังกฤษให้ได้ผล
โดย: nun IP: 58.10.102.128 วันที่: 29 ธันวาคม 2551 เวลา:10:59:03 น.
ขอบคุณสำหรับ ข้อแนะนำดีๆ ครับ
โดย: ธรรมจักร IP: 118.172.226.254 วันที่: 6 มกราคม 2552 เวลา:12:20:36 น.
thank you so much. if you is me when you feel sad because i speck english so bad.
โดย: khaofang IP: 118.172.210.152 วันที่: 16 มิถุนายน 2552 เวลา:21:35:19 น.
thanks for your trip make me thinking about again
โดย: E Y ร้ายยยยบริสุทธิ์ IP: 61.7.164.202 วันที่: 23 มิถุนายน 2552 เวลา:14:48:24 น.
ยากมากแต่อยากเก่ง เป็นกำลังให้ผู้ที่สนใจศึกษาทุกคน สู้ ๆๆๆๆ นะจ๊ะ
โดย: ou คนสวย IP: 125.26.72.90 วันที่: 28 สิงหาคม 2552 เวลา:11:24:07 น.
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีดีค่ะ
มีที่เรียนแยกพญาไท ค่ะ ถูกไม่แพงค่ะ ชื่อ BSC มีคอร์สเรียนฟรีเกือบทุกวันค่ะ แต่ะจำสอนเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลค่ะ ลองดูนะคะ โดย: ผึ้ง IP: 119.31.121.72 วันที่: 28 มีนาคม 2553 เวลา:20:00:19 น.
ขอบคุณสำหรับคำเเนะนำดีดีนะ
โดย: ยายตัวแสบ IP: 202.12.97.100 วันที่: 26 มิถุนายน 2553 เวลา:14:08:35 น.
อยากเก่งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
โดย: ขอนม้าย IP: 202.12.97.100 วันที่: 26 มิถุนายน 2553 เวลา:14:10:23 น.
Thank you very much
โดย: sky IP: 1.47.228.206 วันที่: 2 ตุลาคม 2553 เวลา:21:17:51 น.
Thank you very much.
โดย: Mariko IP: 118.173.221.107 วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:14:52:22 น.
thank. For learn English in this blog
โดย: I turlek IP: 202.28.78.174 วันที่: 3 พฤษภาคม 2554 เวลา:22:49:21 น.
วิธีนี้ดีจังค่ะ ต้องทำให้ได้
โดย: คนไม่เก่ง IP: 1.20.133.29 วันที่: 30 สิงหาคม 2558 เวลา:6:49:07 น.
ฝึกทุกๆวันครับเดี๋ยวก็เก่งเองแหละครับ
โดย: เรื่อยๆ IP: 124.120.94.155 วันที่: 30 สิงหาคม 2558 เวลา:19:10:09 น.
|
KruFiat
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ครูเฟียต ธีรเจต บุญพยุง "หากคุณพูดภาษาไทยได้ คุณก็ควรจะพูดภาษาอังกฤษได้ด้วยเช่นกัน เพราะเป็นการเรียนรู้ภาษาด้วยวิธีธรรมชาติเหมือนกัน" Friends Blog Link |
แต่ หลายคน (บางทีตัวผมเองด้วย) ก็คงแย้งว่า
"ในเมื่อเราไม่ใช่เจ้าของภาษา..."
มักจะได้ยินประโยคนี้
แต่ผมอยากเสนอว่า
ในกรณีนี้ เราควรฝึกค่อยเป็นค่อยไปดีกว่ามั้ยครับ
จะให้คนไทยเราเนี่ย (ถึงแม้จะตะเกียกตะกายฝึกกับตัวเองขนาดไหน) มาเจอของจริงแบบรัวๆ ทั้งดุ้นเนี่ย มันก็เหนื่อยเหมือนกันนะ
มันต้องอาศัยประสบการณ์
จะให้กับว่า จับเด็กอ่อนยังไม่รู้ภาษามาฟังผู้ใหญ่เค้าพูดกันเนี่ย ..มันก็ไม่ไหวนะ
ผมว่า ภาษาอังกฤษสำหรับผู้ไม่ได้ใช้เป็นภาษาแม่ หรือใช้เป็นภาษาที่สองที่ต้องเรียนเนี่ย
ต้องฝึกเหมือนกับว่าเราเป็นเด็กอ่อน...ดีกว่ามั้ยครับ
แล้วค่อยเพิ่มทักษะ ประสบการณ์ไปเรื่อยๆ
เพราะมาเจอแบบขั้นสูง ระดับผู้ใหญ่พูดกัน
เด็กอ่อนอย่างพวกเราที่ไม่ได้ใช้มาตั้งแต่ออกมาจากท้องแม่...ก็งงสิครับ
สรุปปปป
เอาที่มันง่ายๆ เพื่อสร้างพื้นก่อน
แล้วค่อยไปยากๆ
เหมือนไม้ เอาไม้อ่อนไปตีไม้แข็ง มันก็หักครับ