หาเพื่อนมาเรีียนภาษาที่โรงเรียนครูเคทครับ

สวัสดีครับ Smiley

แนะนำตัวเองอีกครั้งนะครับ ผมชื่อก๊องครับ

ตอนนี้มีความต้องการเรียนภาษาอย่างมากมายอ่ะครับ ซึ่งตอนนี้อยากเรียน Conversation ครับ ในใจผมก็นึกที่ไหนไม่ออก พร้อมกับว่ายังติดใจแนวคิดในการเรียนภาษาของครูเคทครับ ก็เลย

อยากชวนเพื่อนๆ มาเรียน ภาษาที่โรงเรียนของครูเคทกันนะครับ ตอนนี้ผมรวมตัวกับเพื่อนได้ 3 คนแล้ว  Smiley (รวมผมด้วยนะ) และอยากหาเพื่อนที่ต้องการพัฒนาทักษะทางด้านภาษาเพิ่มอีก 7 คน นะครับผม

หากท่านใดสนใจอยากพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษให้เป็นคุณสมบัติติดตัวไป ก็เข้ามาคุยกันได้นะครับ จะรอครับผม Smiley

Free TextEditor




 

Create Date : 02 มิถุนายน 2551   
Last Update : 2 มิถุนายน 2551 10:24:59 น.   
Counter : 1111 Pageviews.  


...มาแว้ว มาแว้ว บทสัมภาษณ์ครูเคท (2)...

สวัสดีครับ ต้องขออภัยที่หายไปหลายวันครับ
จริงๆ แล้ววันพฤหัสบดีได้ทำการ update blog ไปแล้วครับ แต่ว่ามัน update ไม่ได้น่ะคับ

วันนี้ก็เลยมา update ตั้งแต่เช้าเลยครับ

มาต่อกันเลยนะครับ

หมายเหตุ : ความเดิมตอนที่แล้วอ่านได้ที่นี่ครับ อิอิ

อ่านเหมือนเดิมน่ะคับ ตัวปกติคือคุณนารากร ตัวหนาคือครูเคทครับ

โดยที่ไม่ได้เรียนเลย
ไม่มีพื้นเลยค่ะ เริ่มใหม่เลย สิ่งที่มาสังเกตุได้จนถึงทุกวันนี้คือ วันนี้เคทพูดภาษาญี่ปุ่นได้ประมาณ 20 ประโยคคือไม่เยอะหรอก แล้วก็ไม่ได้ใช้อีกเลย เพราะว่าหน้าที่การงานไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนญี่ปุ่นเลย ไม่ได้พูดญี่ปุ่นมาเกือบ 20 ปีแล้ว แต่วันนี้ 20 ประโยคนั้นยังอยู่ในหัวอยู่เลยค่ะ มันไม่ลืมเลย ทั้งๆที่ไม่ได้ใช้เลย


เราลองมาวิเคราะห์กันดีกว่าค่ะ ครูเคทว่าภาษาญี่ปุ่น 20 ประโยคที่เราไม่เคยใช้มันมาเลย 20 ปี แต่ทุกวันนี้ยังจำได้ เป็นเพราะอะไร เราเรียนรู้ยังไง
เป็นเพราะว่าเรียนรู้มาจากธรรมชาติ เรียนมาจากการใช้งานจริง และก็เรียนรู้โดยไม่แปลไทย มันเป็นการลัดภาษาญี่ปุ่นทางตรงไม่ผ่านภาษาไทย เมื่อไม่ผ่านภาษาไทย สมองไม่ต้องทำการแปลข้อมูล เพราะฉนั้นถ้าเราพูดภาษาอังกฤษเนี่ย เราต้องคิดไทยก่อน และแปลเป็นอังกฤษ จะสังเกตุว่ามันเลยเดือดร้อน มันแปลไม่ได้มันนึกคำศัพท์ไม่ออก มันไม่รู้โครงสร้างใช่ไหมค่ะ แต่ถ้าพูดไปเลยโดยไม่ต้องคิดผ่านภาษาไทยมันกลับจะพูดออกไปได้

นี่ก็เป็นจุดหนึ่ง ที่ครูเคทนำมาใช้กับการเรียนภาษาอังกฤษ เร่มศึกษาภาษาอังกฤษจนเก่งเหมือนทุกวันนี้ยังไงค่ะ
จริงๆต้องถือว่ามันเป็นความฟลุ้คมากกว่านะค่ะ เพราะว่ามันก็ไม่มีใครสอน คือตอนที่ไปอเมริกาแรกๆ เราก็เชื่อมั่นมากว่า แหมเราผ่าน LEVEL 16 มาแล้ว ปรากฏว่าวันแรกไปรายงานตัวอาจารย์คณบดี เราก็เตรียมของเรามาอย่างดี ท่องมาเลย เหมือนนางงามเลย พอไปถึงปั๊ป เราก็พูดๆที่เราท่องเอาไว้ พอพูดจบก็นั่งเงียบเพราะหมดแล้วนี่ที่เราท่องมา แล้วอาจารย์แกก็พูดไปเรื่อยๆ อาจารย์พูดไปเราก็ YESๆๆ ไปเรื่อย เรารู้คำเดียวว่า YES แปลว่าค่ะ เสร็จแล้วซักครู่หนึ่งเราก็รู้สึกว่าตายแล้ว มันฟังไม่รู้เรื่องเลย อาจารย์พูดอะไรก็ไม่รู้ แรกๆก็เดาได้คำ 2 คำ พอซักพักไม่รู้เรื่องแน่ๆก็เลยยกมือเลย EXCUSE ME I'M SORRY I DON'T UNDERSTAND WHAT YOU ARE TALKING ABOUT? CAN YOU PLEASE TALK TO MY FATHER ? ให้ครูพูดกับคุณแล้วกันเพราะคุณพ่อมาส่งอยู่หน้าห้องเรียน อาจารย์ก็ตกใจมากเลยแกก็พลิกประวัติ เอ๊ะ TOFEL GMAT คะแนนมันก็ใช้ได้ เอ๊ะรับมาได้ยังไงเด็กคนนี้ อาจารย์ก็มึน บอกแล้วว่าคะแนน TOFEL GMAT เด็กไทยเนี่ยบอกอะไรไม่ได้ เห็นไหมเรื่องสอบเราได้อยู่แล้วอีก แต่เรื่องพูดเรื่องฟังเนี่ยไม่รู้เรื่องอีกแล้ว อาจารย์ก็เริ่มพลิกประวัติใบสมัครก็เลิศ แต่รู้ไหมว่าที่เลิศเนี่ยคุณพ่อเขียน เพราะเราเขียนเองไม่มีทางเลิศอย่างนั้นหรอก มันจะมี STATEMENT OF PURPOSE ที่ว่าอยากจะมาเรียนเพราะอะไร จบไปแล้วจะทำอะไร คุณพ่อก็เขียนให้หรูเลย เพราะฉนั้นที่บอกว่าโรงเรียนรับต้องยกให้คุณพ่อเลย เพราะว่าเคทเขียนอะไรไม่เป็นไร แค่เซ็นอย่างเดียว

แล้วยังไงต่อค่ะ
ก็ให้คุณพ่อมาคุย คุณพ่อก็เห็นแล้วว่าชักจะลำบากแล้ว ก็ฝากฝังอาจารย์เสร็จ พอออกจากโรงเรียนวันนั้นคุณพ่อพาไปซื้อคลาสเซ็ทเทปเลย ลูกอัดเข้าไปอัดทุกชั่วโมง แล้วซื้อเทปให้เป็นโหลๆเลย อัดเข้าไปลูก อย่าตกใจอัดเข้าไป แล้วก็เอาเทปมาฟัง พ่อก็พยายามช่วย แล้วพอคุณเดินทางกลับโรงเรียนก็เปิด เราก็อัดทุกชั่วโมงเลย เพราะฟังไม่ออกอาจารย์สอนอะไรก็ไม่รู้เรื่องเลย ก็อัดเทป แต่เป็นเด็กใจสู้ ไม่เป็นไรเรามีเทปเราก็อัดเทป นั่งแถวหน้าทุกชั่วโมงไม่เคยพลาด วิชาหนึ่งประมาณ 3 ชั่วโมงก็อัดเทปมา ได้มากองหนึ่งใช้เวลาแกะ 1 สัปดาห์ยังไม่เสร็จเลยค่ะของเล็คเชอร์วิชาเดียวนี่แหละค่ะ รีไวร์เทปกลับไปกลับมา แหมมันไม่สนุกเหมือนแกะเพลงนะ แกะเสร็จแล้วเล็คเชอร์เล่มหนาเตอะเลยนะ แต่เคทภาคภูมิใจมากเลยนะที่อุตส่าห์ถอดเทปมาได้ตั้ง 3 ชั่วโมงเลยนะ เสร็จแล้วเราก็พยายาม MAKE FRIEND เวลาเจอเพื่อนฝรั่ง เพื่อนฝรั่งก็ถามว่า เคทยูอัดเทปทุกชั่วโมงเลยเหรอ เราก็บอกว่าใช่ ไอถอดเทปมาด้วยนะ ยูอยากจะอ่านไหมล่ะ เพื่อฝรั่งตอนแรกก็นึกว่าสบายแล้วได้เล็คเชอร์ ปรากฏเค้าพลิกไปพลิกมาเค้าส่งคืน THANK YOU เคท

ทำไมล่ะค่ะ
คือเราแกะอีท่าไหนไม่รู้เค้าอ่านไม่รู้ คือบางคำเราก็ฟังไม่รู้เรื่องแล้วก็แกะออกมาเป็นอะไรไม่รู้ บางคำฟังรู้แต่ก็แกะมั่วๆซั่วๆ

คือสิ่งที่เราฟังจากเทปบางทีเราก็ยังจะฟังไม่ชัดเจน
ใช่ค่ะ คือเราแกะออกมาคนละคำอ่ะ เพราะฉะนั้นพอฝรั่งอ่านเค้าก็มึนมากเลย แล้วเค้าก็ถามว่าเคทแล้วยูอ่านรู้เรื่องเหรอ เคทก็บอกไม่รู้เรื่องแต่ไอแกะไว้ก่อน ก็ทำอย่างนี้เทอมหนึ่งคือเป็นเด็กที่ตั้งมั่นตั้งใจมาก แต่ทำไปทำมาเริ่มมองเห็นแล้วว่า เอ๊ะเราทำอะไรเนี่ย มันสูญเปล่าหรือเปล่า พอแกะไปแล้วมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย ไม่ได้ช่วยผลการเรียนเลย พอเริ่มสอบวิชาแรกก็ได้เรื่องเลย วิชาแรกเป็นวิชาบริหารธุรกิจซึ่งตอนอยู่ จุฬาฯเนี่ยเรียนแล้ว และก็ได้เกรดบี ก็พอใช้ได้อ่ะ ทีนี้พอวิชานี้อาจารย์เค้าให้ลงซ้ำแล้วกัน เพราะว่าเพิ่งมาใหม่เพิ่งปรับตัว อย่าเพิ่งไปเรียนวิชายากเลย พอตอนส่งข้อสอบเคทเดินไปบอกอาจารย์ว่า อาจารย์ขาอาจารย์จะตรวจข้อสอบเมื่อไรค่ะ ถ้าอาจารย์ตรวจแล้วอ่านไม่ออก อาจารย์โทรมาหาหนูนะค่ะ หนูจะไปอธิบายให้อาจารย์ฟังค่ะ อาจารย์แกก็บอกว่า คุณไม่ต้องห่วงนะ ผมสอนนักเรียนต่างชาติมาเยอะ ผมชินแล้ว กับภาษาอังกฤษนักเรียนต่างชาติ เคทบอกอย่างไรก็ตามเก็บเบอร์หนูไว้ก่อน เราก็จดเบอร์ให้แกไป ในที่สุดอาจารย์ก็ตรวจข้อสอบหมดทั้งห้อง

แล้วอาจารย์แกโทรมาหาไหมค่ะ
โทรค่ะ บอกว่าผมตรวจเสร็จหมดแล้วนะ กำลังจะส่งเกรด คุณมาหาผมด่วนได้ไหม พอไปถึง อาจารย์บอกว่าผมอยากจะให้คะแนนคุณนะ แต่ว่า ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดอะไร ซึ่งวิชานี้เนี่ยนะ ถามว่าเรียนรู้เรื่องไหมมันต้องรู้ซิ เพราะภาษาไทยเราเรียนมาแล้ว แล้วก็รู้เรื่องด้วยและก็ไม่ใช่วิชาที่ยาก เรียนมาแล้วรู้เรื่องทุกประการเลย แต่ว่าพอตอบข้อสอบไปแล้วเนี่ย ทำไมอาจารย์ถึงอ่านไม่เข้าใจ

ปัญหามันอยู่ตรงไหน ภาษาอังกฤษที่เราเขียนตอบไปหรือตรงไหนค่ะ
เคทคิดว่าแกรมม่าเคทไม่เลวร้ายนะ เคทเขียนไปเคทก็ตรวจสอบแกรมม่าทุกครั้งนะ คือไม่ได้เขียนมั่วซั่ว แต่อาจารย์บอกว่าที่ยูเขียนมา แต่ไอไม่เข้าใจว่ายูหมายความว่ายังไง ตอนแรกเคทก็ไม่เข้าใจว่าเอ๊ะภาษาเราเป็นยังไง แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว ตอนนั้นเคทคิดไทยไงค่ะ คิดทุกอย่างเป็นภาษาไทยไงค่ะ

คิดคำตอบเหมือนที่เราเรียนในเมืองไทย คิดภาษาไทยก่อนแล้วก็แปลเป็นภาษาอังกฤษ
ใช่ค่ะ เพราะฉนั้นแปลถูกต้อง แต่เซ้นส์นี่มันไม่ใช่ เคทจะยกตัวอย่างให้ฟัง อย่าง ฝรั่งเพื่อนเคทคนหนึ่ง ก็มาหาเคท คนนี้เค้าพูดไทยเป็น คุยกันไปคุยกันมา พอคุยเสร็จเค้าก็จะกลับมาก็บอกว่า "สวัสดีนะ เคทขอให้คุณมีวันที่แสนดี" เค้าไม่ได้พูดไทยอะไรผิดเลยนะ พูดถูกหมดเลย ถูกไวยากรณ์ไทยทั้งหมดเลยนะ แต่มันรู้สึกทะแม่งๆไหม คือเพื่อนฝรั่งคนนี้เค้าพูดภาษาอังกฤษในหัวก่อนว่า "HAVE A NICE DAY "แล้วจึงแปลเป็นไทยว่า "ขอให้มีวันที่แสนดี" เพราะฉนั้นสิ่งที่เคทตอบไปในข้อสอบไม่ได้มีอะไรผิดเลย เพียงแต่มันเป็นเซ้นส์ภาษาไทยแล้วแปลเป็นอังกฤษ มันเลยเป็นทะแม่งๆ อาจารย์ก็อ่านไปมึนไป แกก็เลยไม่กล้าให้คะแนน ก็เลยกลายเป็นว่านั่งสอบนั่งซักกันปากเปล่าอีก 3 ขั่วโมงค่ะ กว่าแกจะยอมให้คะแนน A มา

นั่นก็เป็นปัญหาที่มองเห็น คือเรารู้แล้วแหละ 1.เราไม่กล้าพูด อีกอันหนึ่งก็คือเราคิดไทย แต่ว่าสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ นี่คือปัญหาใช่ไหมค่ะ แล้วอย่างนี้เราแก้ปัญหายังไงค่ะ
แก้ปัญหาแบบคนไทยเลยค่ะ คือไม่แก้ด้วยตนเอง เป็นกันทั้งประเทศแหละค่ะ เคทก็ไม่ได้แก้ปัญหาด้วยตัวเอง ก็วิ่งโล่เลยนะ ไปหาอาจารย์คนหนึ่ง ที่ส่วนใหญ่เด็กต่างชาติมักจะไปลงเรียนกับแกเกี่ยวกับภาษาอังกฤษโดยเฉพาะ แต่เคทไม่ได่เรียนไง ไปถึงก็บอกอาจารย์ขาอาจารย์ช่วยหนูหน่อยซิค่ะ หนูมีปัญหาเรื่องภาษาอังกฤษ นี่ขนาดที่คุยกับอาจารย์นี่คุยอังกฤษหมดนะ อาจารย์แกก็มึน ภาษาอังกฤษหนูก็ดีนี่ แล้วมีปัญหาตรงไหน อาจารย์ก็บอกว่าจะให้สอนอะไร แต่เคทบอกในใจว่าไม่ใช่นะ มันต้องมีอะไรบางอย่าง ถ้าเราพูดได้เราต้องมั่นใจเหมือนภาษาไทยซิ แต่ภาษาอังกฤษที่เคทพูดออกไปถูกต้องเลยนะคะ 1.มันพูดไปแบบไม่มั่นใจ 2.ใช้เวลานานมากกว่าจะพูดจบ 1 ประโยค คิดแล้วคิดอีกแปลแล้วแปลอีก 3.ฝรั่งพูดกลับมาไม่ GET เลย แล้วต้องแปลๆแล้วแปลอีกถึงจะ GET เพราะฉะนั้นเคทมีความรู้สึกว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากลนะ ทีนี้อาจารย์สอนภาษาอังกฤษช่วยไม่ได้ เพราะไม่รู้จะสอนอะไร ก็เอาเพื่อนฝรั่งก็ไปหาเพื่อน "JOHN JOHN CAN YOU TEACH ME SPEAK ENGLISH ?" จอห์นก็พูดกลับมาเหมือนอาจารย์เลยว่า "YOU SPEAK ENGLISH NOW"แล้วจะให้ช่วยอะไรล่ะ แล้วเคทก็ไปถามเพื่อนฝรั่งอีกหลายคนทุกคนพูดเหมือนกัน เอ๊ะ มันไม่ใช่แล้ว ทำไมทุกคนมองว่าเคทพูดได้ แต่เคทรู้ทั้งรู้เลยว่าไม่ใช่เพราะว่าเราพูดแล้วมันไม่ใช่ธรรมชาติมันผิดธรรมชาติ

แล้วครูเคทแก้ปัญหายังไงค่ะ
ก็คือพอไปหาคนโน้นคนนี้มาหมดแล้ว ฝรั่งก็ช่วยไม่ได้ เพราะเค้าก็บอกว่าเราพูดได้ ครูเคทก็พูดได้เพราะเราคำศัพท์เรารู้ไวยากรณ์ เราคิดไทยแล้วก็แปล ครูเคทก็พูดได้ แต่พูดช้ามาก 2. พูดออกไปแล้วมันทะแม่งๆในหูฝรั่ง เพราะลักษณะการเรียงประโยคมันไม่ใช่ประโยคที่ฝรั่งเค้าพูดกัน ทีนี่ก็เอ๊ะ จะให้ใครช่วยดี แต่พอดีเคทไปอยู่บ้านฝรั่งแล้วก็จะมีเด็กฝรั่งคนหนึ่ง ชื่อสก็อต อายุ 10 ขวบ เคทก็เริ่มรู้สึกว่าคุยกับสก็อตเนี่ยมันสนุกดีเนอะ มันรู้เรื่องเนอะ พอคุยกับแม่สก็อตปั๊ปเริ่มเกิดอาการฟังไม่ออกอีกแล้ว ก็เลยมาสังเกตุว่า เอ๊ะ ถ้ายังงั้นลองดูสิว่า เด็กกับผู้ใหญ่ฝรั่ง เค้าต่างกันอย่างไร เคทเริ่มสังเกตุว่า เออ ที่เราเข้าใจสก็อตเพราะว่าสก็อตพูดประโยคสั้นๆ เค้าพูดกุดๆ แต่แม่เค้าเนี่ยมายาวเป็นหน้าๆกว่าจะจบประโยคหนึ่ง และประโยคของเราก็กุดๆเหมือนสก็อตนั่นแหละ เพราะเด็กความคิดยังไม่ซับซ้อนเค้าก็จะคิดสั้นๆ และพอดีเคทไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กด้วย ก็ไปเลี้ยงเด็กอายุขวบกว่าๆ ชื่อน้องเคทเหมือนกัน เราก็เริ่มสังเกตุว่าน้องเคทยังพูดไม่เป็นนะ แล้วเคทก็เลี้ยงเค้าจนกระทั่งเค้าพูดเป็น เราก็เริ่มสังเกตุว่าตอนแรกๆน้องเคทยังพูดไม่ชัดเลย เพี้ยนเลย ก็เหมือนเด็กไทยที่พูดไม่ชัด ลูกฝรั่งก็พูดไม่ชัดเหมือนกัน แล้วแม่เค้าก็ไม่เห็นสอนอะไร อย่างมีอยู่วันหนึ่งน้องเคทเค้าก็เรียก RABBIT กระต่ายในทีวี. ซึ่งออกเสียงผิดเป็น ว.แหวน คุณแม่เค้าก็ออกเสียงที่ถูกต้องให้ฟัง ครูเคทก็ อ้อ ทำไมเสียงไม่เหมือนกัน ก็แอบสังเกตุแม่ลูกเค้าคุยกัน ก็ปรากฏว่า น้องเคทแกยื่นปากงุ้มๆมันเลยกลายเป็น ว.แหวน ส่วนคุณแม่แกยื่นปากเผยอก็กลายเป็นตัว อาร์ แสดงว่าถ้าเราขยับริมฝีปากหลายๆ POSITION เสียงมันเปลี่ยนได้ ก็เลยเริ่มจับหลักจากน้องเคท จากเด็กทารกเลย ที่ดูปากแม่แล้วก็พูดตาม เค้าไม่รู้ความหมายหรอก เคทก็เลยกลับมาบ้านแล้วก็เปิดทีวี.แล้วก็เริ่มพูดตามทีวี. เหมือนคนบ้าเลย

แค่นี้ก่อนครับ ทำให้อยากติดตามหน่อยอ่ะ อิอิ

บทสัมภาษณ์ของครูเคทยังคงมีอยู่อีกนิดหน่อยครับ อย่างไรก็ติดตามกันก็แล้วกันครับ เพราะว่าในตอนสุดท้ายของบทสัมภาษณ์เนี่ยจะมีจุดสำคัญอยู่น่ะครับ

โปรดติดตามตอนต่อไปครับ




 

Create Date : 20 ธันวาคม 2548   
Last Update : 21 กันยายน 2549 16:03:06 น.   
Counter : 1247 Pageviews.  


...มาแว้ว มาแว้ว บทสัมภาษณ์ครูเคท (1)...

กลับมาแล้วครับ กลับมาพร้อมกับบทสัมภาษณ์ที่ติดค้างกันไว้น่ะคับ ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

เนื่องด้วยเกิดปัญหาหลายอย่างครับ ผมเองเรื่องเว็บก็ไม่ค่อยจะเป็นมากนักน่ะคับ ทำให้บางเรื่องก็ช้าอย่างที่ไม่ควรจะช้าครับ

มาว่ากันต่อครับ ผมต้องขออธิบายการอ่านข้อความต่อไปนี้หน่อยน่ะครับ

ข้อความข้างล่างนี้จะเป็นการพูดคุยกันของคุณนารากร และครูเคทครับ โดยที่ข้อความของคุณนารากร จะเป็นตัวอักษรธรรมดาครับ แต่ของครูเคทจะเป็นอักษรตัวหนาครับ

ตัวอย่างน่ะ (เพื่อความเข้าใจตรงกันครับ คิคิ )
ข้อความของคุณนารากรครับ : ครูเคท เรียนภาษาอังกฤษที่เมืองไทยตั้งแต่เล็กๆเลยเหรอค่ะ

และข้อความของครูเคทครับ : ก็เรียนเหมือนคนไทยทั่วไป เคทเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตอนป.3 และก็เรียนในโรงเรียนไทยมาตลอด เรียนที่สาธิตจุฬาตั้งแต่ ป.1 จนจบมัธยม แล้วก็ไปเรียนบัญชี จุฬาฯ ก็เป็นระบบไทยๆหมด ไม่ได้ใช้หลักสูตรภาษาอังกฤษ

น่ะคับ ตามนี้น่ะ อิอิ

เอาล่ะครับ เริ่มเลยเนอะ อิอิ

ครูเคท เรียนภาษาอังกฤษที่เมืองไทยตั้งแต่เล็กๆเลยเหรอค่ะ
ก็เรียนเหมือนคนไทยทั่วไป เคทเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตอนป.3 และก็เรียนในโรงเรียนไทยมาตลอด เรียนที่สาธิตจุฬาตั้งแต่ ป.1 จนจบมัธยม แล้วก็ไปเรียนบัญชี จุฬาฯ ก็เป็นระบบไทยๆหมด ไม่ได้ใช้หลักสูตรภาษาอังกฤษ

แล้วตอนสมัยที่เรียน สาธิตจุฬา ภาษาอังกฤษอยู่ในระดับไหนค่ะ
ระดับดีค่ะ ก็คือเป็นเด็กที่ไม่เคยสอบได้ที่ 1 แต่ว่าเป็นเด็กเรียนดีก็ตั้งใจเรียนมาตลอด ถ้าวิชาภาษอังกฤษก็จะ A ตลอดค่ะ

ถ้าให้นึกถึงภาพตอนเด็กๆเราเรียน ส่วนใหญ่เราจะเรียนแกรมม่า ก็จะเก่งในเรื่องแกรมม่า แล้วเวลาเจอฝรั่งเนี่ยพูดได้ไหมค่ะสมัยก่อน
หงิกเลยค่ะ พูดไม่ได้เลยค่ะ

แล้วยังไงค่ะพอมาอยู่บัญชี จุฬาฯภาษาอังกฤษเริ่มพัฒนาขึ้น
ก็ตอนอยู่บัญชี วิชาอื่นไม่ค่อยจะ A แต่ภาษาอังกฤษก็ยัง A อยู่

เอ๊ะ เป็นเพราะอะไร สนใจภาษาอังกฤษหรือว่าเชี่ยวชาญอะไรเป็นพิเศษ
ก็ไม่ได้สนใจเป็นพิเศษ จะว่าไปการเรียนแกรมม่าภาษาอังกฤษมันก็ไม่ยาก มันก็เป็นหลักเป็นเกษณ์คือถ้าเราFOLLOW ไปตามหลักเกณฑ์ เราก็จะทำข้อสอบได้

อย่างนี้แสดงว่าครูเคทมีพื้นฐานภาษาอังกฤษดีมาตั้งแต่เรียนประถม
คิดว่ามีพื้นฐานเท่าๆกับคนไทยทั่วไป เพราะว่ามันเป็นตำราเรียนเล่มเดียวกัน อย่างแกรมม่าจริงๆมันก็มีไม่กี่เรื่อง ซึ่งเราก็เรียนวนไปวนมา คิดว่าจบม.3 แกรมม่าน่าจะหมดครบถ้วนแล้ว พอขึ้นม.4,5,6 ก็จะเริ่มเรียนวนแล้ว

มีไปเรียนพิเศษภาษาอังกฤษบ้างไหมค่ะ
ไม่เรียนเลยค่ะ แต่เคยไปเรียนก่อนที่จะไปอเมริกา ก็ไปเรียนสถาบันแห่งหนึ่งเค้าก็จะมีสอบวัดระดับ 16 LEVEL เคทก็ไปสมัครและก็สอบคัดเลือก ปรากฏว่ามันเกิน LEVEL 16 อีก ตอนแรกเราคิดว่าน่าจะได้ซัก LEVEL 10 พอไปดูรายชื่อ ปรากฏว่าไม่มี เราก็ไล่ไปเรื่อยก็ยังไม่มีอีก ก็เลยไปถามเจ้าหน้าที่ เค้าก็บอกว่า อ๋อ หนูเนี่ยคะแนนสูงกว่าLEVEL 16 นะค่ะ เค้าก็จัดให้เรียน INTENSIVE COURSE ก็ไปเรียนได้คอร์สหนึ่งแล้วก็ไปอเมริกา

ย้อนกลับไปนิดหนึ่ง ทำไมครูเคทถึงเลือกเรียน บัญชี จุฬาฯ ละค่ะ ในเมื่อเราก็เก่งภาษาอังกฤษ ตั้งแต่เล็กๆ ไม่เรียนเชี่ยวชาญทางภาษาไปเลยละค่ะ
คือภาษาอังกฤษ มันเป็นสิ่งที่ ทุกคนต้องเรียน มันไม่ได้รักไม่ได้ชอบ ไม่คิดจะเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษา แต่ที่เลือกเรียนบัญชี เพราะคุณพ่อคุณแม่ชี้แนวทางว่า ถ้าอยากทำงานทำการในสายธุรกิจ คุณพ่อก็แนะนำให้เรียนบัญชีแล้วกัน เพราะมันเป็นพื้นฐานที่ดี สำหรับการเรียนบริหารธุรกิจต่อไปในอนาคต

สังเกตุหลายครั้งแล้วว่า ครูเคทจะเน้นว่าภาษาอังกฤษทุกคนก็ต้องเรียน ถือว่าเป็นความจำเป็นใช่ไหมค่ะ
สมัยที่ยังเล็กๆอยู่ความจำเป็นยังเห็นได้ชัด ปัจจุบันเห็นชัดซะยิ่งกว่า คือปัจจุบันนี้ใครพูดภาษาอังกฤษไม่ได้อาการหนักแล้ว หน้าที่การงานก็จะถูกระทบกระเทือน ยิ่งคนที่ทำธุรกิจถ้าต่อไปพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ธุรกิจคุณก็จะแข่งกับชาวบ้านเค้าไม่ได้ เพราะฉนั้นกลายเป็นภาษาอังกฤษมันจะเริ่มกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราไปแล้วล่ะค่ะ แต่ว่าเคทห่วงอย่างหนึ่งว่า คนไทยเนี่ยพอเริ่มเห็นภาษาอังกฤษมีความสำคัญก็เลยเห็นว่ามันสำคัญกว่าภาษาไทย ซึ่งตรงนี้ไม่ถูกต้องนะค่ะ ครูเคทจะเห็นเด็กวัยรุ่นปัจจุบันเริ่มพูดไทยคำอังกฤษคำ ไม่รู้ว่าทำอย่างนั้นทำไม คือไทยก็ไทยไปให้หมด อังกฤษก็อังกฤษให้หมด หรือว่านักวิชาการหรือนักการเมืองบางท่านอาจจะพูดด้วยความเผลอ เดี๋ยวนี้สังคมมันพูดไทยคำอังกฤษคำซะจนชินไปหมดทั้งประเทศ ก็เลยไทยบ้างอังกฤษบ้าง เคทคิดว่าน่าจะมารณรงค์ถ้าจะพูดไทยก็ไทยไปเถอะ อังกฤษก็อังกฤษล้วน ถ้าบังเอิญพูดไม่ได้คือบางคำชินกับศัพท์ภาษาอังกฤษซะแล้ว

คือคำบางคำภาษาไทยยังไม่ได้บัญญัติไว้ หรือว่าถ้าใช้แล้วมันไม่คุ้นก็อาจจะอนุโลมให้ใช้ภาษาอังกฤษได้
ก็อนุโลมใช้ได้ ก็ควรจะมีอธิบายภาษาไทยแทรกด้วย ไม่ใช่อังกฤษคำไทยคำฟังแล้วปวดหัวมาก

ครูเคทเน้นเลยนะค่ะว่า ภาษาอังกฤษต้องรู้แต่ภาษาไทยของเรา ก็ต้องเชี่ยวชาญและต้องให้ความสำคัญอยู่เหมือนเดิม ใช่ไหมค่ะ พอครูเคทเรียนจบแล้วก็ไปต่อเมืองนอกเลยเหรอค่ะ
ทำงานอยู่ปีหนึ่งก่อนค่ะ ทำอยู่บริษัทโฆษณา ชูโอ เซ็นโก๊ะ ค่ะ

เป็นบริษัทฯญี่ปุ่นนี่ค่ะ แล้วรู้ภาษาญี่ปุ่นด้วยเหรอค่ะ
ก็นิดๆหน่อยๆค่ะ เพราะตอนจบใหม่ๆยังไม่ได้ทำงานก็ไปอยู่ญี่ปุ่นมา 2 เดือน จากประสบการณ์ที่ญี่ปุ่นเนี่ยละค่ะ ที่ทำให้เคทเกิดความคิดใหม่ๆขึ้นมา เพราะตอนไปญี่ปุ่นเราไม่มีพื้นฐานเลย เพราะไม่ได้เรียนมา ไป2 เดือนอยู่กับคนญี่ปุ่น ซึ่งพูดอังกฤษไม่ได้ พูดไทยไม่ได้ ภายใน 2 เดือนเนี่ย เคทสื่อภาษาญี่ปุ่นขนาดเรียกว่าเอาตัวรอดได้ ก็อาสาคุณยายเจ้าของบ้านที่อยู่ด้วยกันไปจ่ายตลาดทุกวันต่อราคาข้าวของมาเรียบร้อย วันไหนเดินไปเดินมาหลงทางก็ถามทางถูกต้อง ก็เป็นความรู้สึกว่า เออ แปลกดีนะ ทำไมเราเรียนภาษาโดยที่ไม่ต้องแปลเป็นไทยได้ เพราะว่าไม่รู้จะแปลอย่างไร แปลไปก็กลัวผิด แต่ว่าระหว่างที่อยู่ 2 เดือนนั้นก็พูดภาษาญี่ปุ่นตลอดค่ะ

พอก่อนดีก่าเนอะ อิอิ เดี๋ยวจะอ่านกันไม่ทัน (คิคิ)

ข้าพเจ้าขอสัญญาว่า ข้าจะทำดีที่สุด จ๊าก ไม่ช่ายครับ สัญญาว่าจะเอาตอนต่อไปมาลงให้เร็วที่สุดครับ

ที่มา : //www/showroom_kate_1.html

แต่ว่าทีนี้มันเข้าไม่ได้แล้วน่ะคับ ถ้าอยากจะเข้าไปดูก่อนก็ไปที่ //www.google.com น่ะคับ แล้วพิมพ์ว่า : ครูเคท site:thisisclick.com แล้วเลือกเอาตรงที่เป็น หน้าที่ถูกเก็บไว้มาดูก็แล้วกันน่ะครับ




 

Create Date : 14 ธันวาคม 2548   
Last Update : 14 ธันวาคม 2548 9:44:42 น.   
Counter : 1127 Pageviews.  


...แนะนำเพลงให้ฟังกันน่ะ อิอิ...

สวัสดีครับ หายหน้าหายตาไปนานเลยน่ะคับ (หมายถึงผมเองน่ะคับ) คราวก่อนสัญญาว่าจะหาบทสัมภาษณ์ครูเคทมาให้อ่านกัน แต่ว่ายังทำไม่เสร็จซักกะที (ความขี้เกียจ + เรียนหนัก) เลยจะขอผลัดไปก่อนก็แล้วกันน่ะ อิอิ

ครั้งนี้ไม่ได้จะแค่เข้ามาขอโทษเท่านั้น แต่ว่ายังแอบเอาเคล็ดลับมาฝากนิดหน่อยน่ะคับ

ในการฝึกภาษานั้น “เพลง” ก็มีส่วนช่วยในการฝึกเหมือนกันน่ะ (ในที่นี้ขอพูดถึงเพลงฝรั่งน่ะคับ)

เพลงที่จะแนะนำในครั้งนี้ก็คือเพลง Because of You: Kelly Clarkson น่ะคับ บอกตรงๆ ว่าผมฟังแล้วแปลไม่ออกหรอกน่ะคับ แต่พอผมได้ดู MV (Music Video) ก็เลยอยากจะแนะนำครับ เพราะว่าพอได้ดู MV แล้วอยากจะร้องไห้ครับ

MV สามารถสื่อความรู้สึกของผู้หญิงคนหนึ่ง มาถึงผมได้เป็นอย่างดี จนเกือบจะร้องไห้ตามทุกครั้งที่ได้ดูเลยหล่ะ (ไม่ได้โม้น่ะ ถ้าดูคนเดียวละก็อาจจะร้องไห้ก็ได้อ่ะ แต่ถ้าดูหลายคนไม่กล้าร้องหรอกอ่ะ อายคนอื่น คิคิ)

ขอผมพูดถึงภาพรวมของ MV หน่อยก็แล้วกันน่ะครับ เป็นการทะเลาะกันของคู่สามี ภรรยา (คิดว่าใช่น่ะ เพราะว่ามีลูกด้วยกันแล้วอ่ะ) แต่ทุกอย่างก็ไม่เคลื่อนไหว เหลือเพียงความรู้สึก ความหลังของนักร้องเท่านั้นที่ยังเคลื่อนไหวอยู่ ที่เห็นภาพของตัวเองในอดีต ซึ่งส่งผลให้ไม่อยากให้เกือบเหตุการณ์เดียวกันนี้กับลูกสาวตัวเอง ทำให้ทุกอย่างจบลงด้วยดีครับ

มันซึ้ง กินใจ มันอธิบายไม่ถูก อย่างไรเพื่อนๆ ของฟังดูก็แล้วกันน่ะคับ

อ๊ะ! เกือบลืมครับ ทำอย่างไรจะฝึกภาษาจากเพลงได้น่ะเหรอครับ ก็แค่ร้องเพลงตาม ทำเสียงให้เหมือนกับที่นักร้องร้องก็แล้วกันครับ ไม่ต้องคิดมากครับ (บอกตามตรงว่าเพลงนี้ยังร้องตามได้ไม่มากเท่าไหร่อ่ะ อิอิ คงต้องอีกสักพักเพลงนี้ผมถึงจะร้องตามได้อ่ะ อิอิ)


ทำไงถึงจะเอาเพลงมาฟังได้อ่ะ บอกหน่อยได้ป่ะครับ อิอิ (ใครเป็นสอนหน่อยน้า )




 

Create Date : 25 พฤศจิกายน 2548   
Last Update : 21 กันยายน 2549 15:57:00 น.   
Counter : 471 Pageviews.  


...ต๊ะเอ๊ะ...

หลังจากหายหน้าไปนานก็กลับมา update blog อีกครั้ง
ครั้งนี้จะมากล่าวถึงวิธีที่เราจะใช้ฝึกกันน่ะครับ

เราเรียกวิธีการนี้ว่า วิธีธรรมชาติ
อะไรคือ วิธีธรรมชาติ ???? ธรรมชาติคืออะไร ???? ในที่นี้เราจะกล่าวถึงธรรมชาติของการสื่อสารน่ะคับ

ธรรมชาติของการสื่อสาร คืออะไร
ในตอนเด็กที่เกิดมาใหม่ หรือเด็กในวัยที่กำลังจะพูดเนี่ย มีใครสอนให้เด็กเรื่องไวยกรณ์ไหมครับ ไม่มีใช่ป่ะ จะมีก็แต่พ่อ แม่ หรือญาติๆ พูดคุยกับเด็กไปเรื่อยๆ แน่แหละในครั้งแรกเด็กย่อมไม่รู้จัก และไม่สามารถโต้ตอบได้ แต่รู้ไหมครับว่าจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น สมองของเราเริ่มเก็บข้อมูลไว้แล้วครับ ในเมื่อเกิดการสื่อสารบ่อยครั้งขึ้น สมองเริ่มมีข้อมูลมาขึ้น และในที่สุดสมองมีข้อมูลเพียงพอที่จะสร้างประโยคได้ จากนั้นสมองก็สั่งงานให้เราพูดครับ และหากเราพูดผิด หรือพูดถูก สิ่งที่เกิดขึ้นถัดไปคือ สมองเริ่มเรียนรู้ต่อและเก็บสิ่งที่ถูกต้องไว้ นั่นก็คือการลองผิดลองถูกนั่นเอง

เห็นไหมครับว่าในครั้งแรกที่เราสามารถพูดได้น่ะ ไม่ได้เกิดจากไวยกรณ์ซักหน่อย แต่เกิดจากการเลียนแบบในสิ่งที่เคยได้ยิน ได้ฟังมาต่างหาก แล้วลองผิด ลองถูกจนในที่สุดก็สามารถสร้างประโยคได้โดยอัตโนมัติ

นั่นคือวิธีการสื่อสารตามธรรมชาติ หรือสัญชาตญาณของการสื่อสารของมนุษย์ครับ

แล้วไวยกรณ์มีไว้ทำไม ????
อันนี้ผมไม่ทราบครับ อิอิ ต้องถามคนอื่นแล้วแหละ 555+

และไอ้เจ้าวิธีธรรมชาติเราจะฝึกอย่างไรละคับ
อันนี้ต้องรอคราวหน้าล่ะคับ อิอิ
เจอกันครั้งหน้าคับ

ปล.ผมเองไม่ได้จงเกลียดจงชังไวยกรณ์ไรหรอกน่ะคับ เพียงแต่เมื่อผมได้อ่านหนังสือ แล้วรู้สึกได้ว่าวิธีนี้แหละ ที่จะพาตัวผมเองไปสู่จุดที่ผมต้องการได้ ผมก็เลยทำน่ะคับ และอย่างจะเล่าถึงวิธีการนั้นๆ ให้เพื่อนๆ ฟังด้วยก็เท่านั้นเองครับ




 

Create Date : 25 กันยายน 2548   
Last Update : 25 กันยายน 2548 1:19:39 น.   
Counter : 546 Pageviews.  


1  2  

GongA
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add GongA's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com