อนาคตของการเมืองบนท้องถนน
บทความเรื่อง"อนาคตของการเมืองบนท้องถนน"นี้นำมาจากเวปเครือข่ายสยามเสวนา ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกที่ เซคชั่นกระแสทัศน์ วันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ ปีที่ ๓๐ ฉบับที่ ๑๐๖๙๑ เขียนโดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ เนื้อหาเป็นการมองถึงอดีต ปัจจุบันและอนาคตของพื้นที่ในการต่อสู้หรือการเรียกร้องของประชาชนโดยฉพาะชนชั้นล่าง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความด้อยสมรรถนะของระบบการเมืองอย่างเป็นทางการที่จะจัดการปัญหาและสนองความต้องการต่อประชาชนได้ ด้วยระบบการเมืองขอไทยจึงปฏิเสธการเมืองบนท้องถนนไม่ได้ดังคำกล่าวของอาจารย์นิธิที่ว่า "การเมืองบนท้องถนนเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองในระบบอย่างปฏิเสธไม่ได้ เมื่อใดที่คนกลุ่มใดรู้สึกว่าตัวไม่มีตัวแทนสำหรับส่งเสียงความต้องการของตนบนเวทีการเมือง เขาย่อมต้องส่งเสียงเองเป็นธรรมดา"
ภาพจาก หนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทย
นิธิ เอียวศรีวงศ์
ในขณะที่สื่อและคนกรุงเทพฯ (ลูกค้ารายใหญ่ของสื่อ) วิตกกังวลกับการชุมนุมที่ถูกเรียกว่า "ม็อบ" ถึงกับบางคนเรียกร้องให้ใช้ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินจัดการ โดยไม่ต้องคำนึงถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจ ชาวบ้านที่จะนะกำลังวิตกกังวลกับการวางท่อก๊าซจากโรงแยกก๊าซไปป้อนโรงไฟฟ้าจะนะ เพราะแนววางท่อพาดผ่านกลางหมู่บ้านป่างาม
การเคลื่อนไหวต่อต้านการวางท่อก๊าซของชาวบ้านที่จะนะดูเหมือนจะประสบความสำเร็จเล็กน้อย เมื่อเลขาธิการ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้ส่งหนังสือลงวันที่ 16 พ.ค.2550 ไปถึงผู้อำนวยการบริษัทการปิโตรเลียม จำกัด ขอความร่วมมือระงับการวางท่อก๊าซชั่วคราว เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งกับชาวบ้าน
แต่บริษัทดังกล่าวก็ยังคงวางท่อก๊าซต่อไปตามเดิม โดยไม่ได้ใส่ใจต่อคำขอร้องของ กอ.รมน.ภาค 4 แต่อย่างใด (ผมไม่ทราบว่ามีการตอบจดหมายหรือไม่ด้วยซ้ำ) ฉะนั้นความวิตกกังวลของชาวบ้านจึงเพิ่มทวีขึ้นอย่างมาก ในขณะเดียวกันก็มีผู้มีอิทธิพลประจำถิ่นที่รับจ้างบริษัทการปิโตรเลียม รักษาความปลอดภัยตามแนวท่อก๊าซ ช่วยคุ้มครองการทำงานวางท่อของบริษัท และยังมีโทรศัพท์ข่มขู่แกนนำชาวบ้านหลายคนจากมือลึกลับอื่นๆ
สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้นจนอาจเกิดการปะทะกันได้ ลือกันว่าชายฉกรรจ์นอกพื้นที่จำนวน 40 คนถูกว่าจ้างให้ลุยชาวบ้านกลุ่มคัดค้านท่อก๊าซ
บริษัทการปิโตรเลียม จำกัด คือใคร เขาคือ ปตท.เจ้าเก่านั่นเอง แต่เป็น ปตท.ที่ได้นำเข้าไปขายในตลาดแล้ว โดยไม่ได้แยกทรัพย์สินส่วนที่เป็นของชาติออกไปจากทรัพย์สินของบริษัทด้วย ฉะนั้น จึงไม่แปลกที่ผลกำไรส่วนหนึ่ง (ซึ่งไม่เล็ก) ของบริษัทย่อมตกเป็นของต่างชาติผู้ถือหุ้น เช่นใน พ.ศ.2548 21% ของเงินปันผลของเครือบริษัทจ่ายให้แก่ต่างชาติ เฉพาะงวดครึ่งปีนี้ก็จ่ายให้แก่ต่างชาติร่วม 2,000 ล้านบาทไปแล้ว
อันที่จริงชาวบ้านจะนะได้เคลื่อนไหวคัดค้านต่อต้านโครงการแยกก๊าซเพื่อป้อนให้มาเลเซียมานานหลายปี และหลายรัฐบาลมาแล้ว ปัญหานี้เคยถูกนำเข้าพิจารณาในวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง แต่อำนาจตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัติไม่สามารถทำให้ฝ่ายบริหารทบทวนโครงการได้ อีกทั้งไม่ได้แรงหนุนจากสภาผู้แทนราษฎรด้วย
ด้วยเหตุดังนั้นชาวบ้านจึงจำเป็นต้องใช้การเมืองบนท้องถนนสืบมาเป็นเวลานาน
ปัญหาประเภทเดียวกันนี้ทั่วประเทศไทย ไม่เคยได้รับการตอบสนองจากรัฐสภา ชาวบ้านจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้การเมืองบนท้องถนน เพื่อสื่อความต้องการของตนให้เป็นที่รับรู้ของสังคม รวมทั้งต่อรองให้ฝ่ายบริหารทบทวนโครงการ
แน่นอนว่า ระบบราชการยิ่งไม่คิดว่าตัวมีหน้าที่สะท้อนปัญหาของชาวบ้านขึ้นไปสู่ระดับสูง นโยบายของรัฐบาลไม่ใช่สิ่งที่ราชการจะท้วงติง แม้แต่ท้วงติงภายในระบบก็ตาม (อย่าลืมว่า หวยบนดินซึ่งถูกคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่า ผิดกฎหมายนั้น ดำเนินการมาเกือบ 4 ปี โดยไม่มีสุภาพบุรุษท่านใดในคณะกรรมการนั้นสะกิด-คือบอกอย่างไม่เป็นทางการ-ให้รัฐบาลรู้เลยว่าผิดกฎหมาย จนกระทั่งรัฐบาลนั้นถูกรัฐประหารไปแล้ว)
นี่เป็นปัญหาในระบบการเมืองของไทย ใหญ่กว่าปัญหาการซื้อเสียงเสียอีก ซึ่งไม่มีวันที่เทวดาอันจุติมาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใดจะเข้าใจได้ และไม่เคยถูกนำมาเป็นประเด็นในการ "ปฏิรูปการเมือง" เลย
ในตัวระบบการเมืองเอง จึงผลักดันให้เกิดการเมืองบนท้องถนนอยู่แล้ว ไม่ว่าเทวดาและคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ จะชอบหรือไม่ก็ตาม
เพราะแท้ที่จริงแล้ว การเมืองบนท้องถนนเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองในระบบอย่างปฏิเสธไม่ได้ เมื่อใดที่คนกลุ่มใดรู้สึกว่าตัวไม่มีตัวแทนสำหรับส่งเสียงความต้องการของตนบนเวทีการเมือง เขาย่อมต้องส่งเสียงเองเป็นธรรมดา ทั้งนี้รวมทั้งคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ด้วย
"ม็อบ" (ถ้าจะเรียกอย่างนั้น) ครองพื้นที่ส่วนใหญ่บนเวทีการเมืองมาก่อนหน้าการรัฐประหาร เพราะความเดือดเนื้อร้อนใจของคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ (ไม่ว่าจะเพื่อส่วนตัวหรือส่วนรวม) ไม่อาจสะท้อนผ่านระบบการเมืองในปลายสมัยทักษิณได้ หรืออย่างได้ผล
เช่นเดียวกับ "ม็อบ" สนามหลวงในทุกวันนี้ ก็เพราะไม่มีองค์กรใดในระบบการเมืองที่จะสะท้อนความคิดความต้องการของประชาชนฝ่ายที่ไม่สนับสนุนการรัฐประหาร จึงเป็นธรรมดาที่ต้องใช้การเมืองบนท้องถนน
การเมืองบนท้องถนนจึงเป็นสิ่งปกติธรรมดาที่ใครๆ ก็ใช้ ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านซึ่งไม่มีพื้นที่การเมืองของตนเอง หรือคนชั้นกลางซึ่งครอบครองพื้นที่สื่อไว้ได้อย่างเหนียวแน่น และทำให้การเมืองบนท้องถนนของคนชั้นกลางครอบครองพื้นที่ทางการเมืองได้กว้างขวาง
ฉะนั้น จึงคาดเดาได้เลยว่า ความขัดแย้งใดๆ ก็ตามในสังคมไทยปัจจุบัน มีแนวโน้มที่จะใช้ท้องถนนเป็นเวทีต่อรองกัน แม้แต่การเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็ไม่น่าจะทำให้ความขัดแย้งเลื่อนขึ้นไปอยู่ในระบบการเมืองที่เป็นทางการ เพราะระบบการเมืองที่เกิดขึ้นใหม่นี้ จะมีคนจำนวนมากมองเห็นว่าขาดสิทธิธรรม (legitimacy) ที่จะสร้างอำนาจตามกฎหมายใดๆ ขึ้นมาได้
การเมืองบนท้องถนนซึ่งจะมีหนาตาขึ้น จะทำให้รัฐบาล (ทั้งรัฐบาลปัจจุบัน+คมช.และรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในภายหน้า) หวั่นไหวต่อการสูญเสียอำนาจที่ยึดกุมมาได้ (ผ่านปืนหรือหีบบัตรเลือกตั้ง) จนกระทั่งไม่มีความสนใจเหลืออยู่ที่จะแก้ปัญหาของประชาชนระดับล่าง การเมืองบนท้องถนนของคนระดับล่างยิ่งน่ารำคาญ เพราะมาซ้ำเติมความเพลี่ยงพล้ำของอำนาจซึ่งถูกการเมืองของคนชั้นกลางเขย่า
ฉะนั้น รัฐบาลจึงจะปล่อยให้อิทธิพลในท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นนายทุนใหญ่ที่ร่วมมือกับอิทธิพลท้องถิ่น หรือโครงการขนาดใหญ่ของเอกชนและรัฐว่าจ้างอิทธิพลท้องถิ่น ให้เข้ามาจัดการกับการเมืองบนท้องถนนด้วยความรุนแรง อย่างที่ชาวบ้านจะนะกำลังเผชิญอยู่ขณะนี้
ทำอะไรก็ได้ ขอแต่ให้ท้องถนนปลอดจากการเมืองไปเท่านั้น
จึงอาจคาดเดาได้ว่า การเมืองระดับล่างในสังคมไทยจะใช้ความรุนแรงเพื่อแก้ปัญหาเพิ่มขึ้น โดยรัฐบาลกลางไม่มีสมรรถภาพจะจัดการอะไรได้ อย่างเดียวกับที่เกิดกับคุณเจริญ วัดอักษร, และนักอนุรักษ์ท้องถิ่นอีกหลายสิบชีวิตที่ต้องสูญเสียไปกับการเมืองบนท้องถนน ในการต่อรองกับกลุ่มทุนและรัฐ
ความพยายามที่จะทำให้ชาวบ้านต้องใช้การเมืองบนท้องถนนน้อยลง คือการออกกฎหมายสภาชุมชน กฎหมายนี้ไม่ได้ให้อำนาจอะไรแก่ประชาชนมากไปกว่าอำนาจในการตรวจสอบ ซึ่งทำให้การมีส่วนร่วมของประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ เป็นไปอย่างมีความหมายมากขึ้น แต่ราชการไม่พร้อมที่จะให้ประชาชนตรวจสอบ มหาดไทยจึงเป็นหัวหอกที่จะขัดขวางมิให้ร่างกฎหมายนี้ผ่านออกมาใช้
และดูเหมือนหัวหน้ารัฐบาลเองก็หวังเพียงการประนีประนอม มากกว่าการให้อำนาจตรวจสอบแก่ประชาชนจริง ฉะนั้น เมื่อร่างกฎหมายนี้ผ่านออกมา ก็คงออกมาในรูปของการตรวจสอบที่ไม่มีประสิทธิภาพ และด้วยเหตุดังนั้นจึงไม่เพียงพอที่จะทำให้ราชการต้องรับผิดชอบ (account for) การกระทำของตนเองต่อประชาชนต่อไป
สรุปก็คือระหว่างสภาชุมชนและการเมืองบนท้องถนน อาจเป็นได้ว่าอำนาจรัฐในปัจจุบันจะเลือกการเมืองบนท้องถนนต่อไป
Create Date : 18 ตุลาคม 2550 |
|
14 comments |
Last Update : 18 ตุลาคม 2550 15:59:43 น. |
Counter : 1900 Pageviews. |
|
|
|
.....มีความสุขมากๆนะครับ.....