|
เปิด "จุดอ่อน" ที่ไร้ "จุดแข็ง" กม.มั่นคงของไทย VS ของนอก
ที่มา - ปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิชาการด้านความมั่นคง ให้ข้อคิดเห็นถึงกฎหมายแม่บทด้านความมั่นคงในต่างประเทศ เทียบเคียงกับ ร่าง พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ... ของไทย มีข้อน่าสนใจหลายประการ "มติชน" ขอนำเสนอ...
"...กฎหมายในลักษณะของซิเคียวริตี้แอ๊ค โดยหลักการแล้วจำเป็นต้องมี เพราะปัจจุบันภัยในรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะภัยการก่อการร้าย สงคราม และอาชญากรรมรูปแบบใหม่ต่างๆ เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน หลายประเทศยังไม่มีกฎหมายรับมือเรื่องนี้
"แต่สำหรับประเทศไทย ร่าง พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ...ที่อยู่ในขั้นการพิจารณาของกฤษฎีกา ผมมองว่าหลักการนั้นพร้อม แต่พอได้อ่านในเนื้อหา กลับคิดว่ายังไม่เหมาะ เพราะเขียนเอาไว้ค่อนข้างสับสน ทั้งเรื่องการใช้อำนาจและการตรวจสอบถ่วงดุลเมื่อเทียบกับต่างประเทศที่มีกฎหมายลักษณะนี้ยังห่างชั้น
"กฎหมายในลักษณะชิเคียวลิตี้แอ๊คมีหลายประเทศใช้อยู่ ไม่ว่าสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย สิงคโปร์ มาเลเซีย จะคล้ายคลึงกันในเรื่องหลักการ แต่กฎหมายของแต่ละประเทศจะออกแบบเพื่อให้กับสถานการณ์ในแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน แต่รวมๆ แล้วยังแตกต่างกับของไทย
"ในต่างประเทศ กฎหมายถูกออกแบบมาเพื่อการป้องกันและแก้ปัญหาภัยรูปแบบใหม่อย่างแท้จริง แต่ของไทยยังไม่นำไปสู่สิ่งเหล่านี้ ยังไม่เข้าหลักการที่กฎหมายด้านความมั่นคงพึงมี คิดว่า พ.ร.บ.ความมั่นคงเป็นการผสมผสานระหว่าง พ.ร.บ.กฎอัยการศึก และ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน คือ ถ้ากฎอัยการศึกอยู่ในระดับ 5 พ.ร.ก.ฉุกเฉินอยู่ในระดับ 3 พ.ร.บ.ความมั่นคงจะอยู่ในระดับ 4
"แต่กฎหมายทั้ง 3 ฉบับ ก็ยังไม่ตอบโจทย์ของการแก้ปัญหาความมั่นคง โดยเฉพาะการก่อการร้ายสากล แต่ส่วนใหญ่จะตอบการแก้ปัญหาทางการเมืองเสียมากกว่า เพราะมีหลายส่วนที่จำกัดสิทธิเสรีภาพ
"สหรัฐอเมริกาและอังกฤษที่มี พ.ร.บ.กระทรวงความมั่นคงประเทศ หรือที่เรียกกันว่า กระทรวงโฮมแลนด์ ฝ่ายทหารจะมีบทบาทน้อยมาก เป็นเพียงผู้ปฏิบัติ แต่อำนาจดำเนินการ บริการสั่งการ เป็นของฝ่ายบริหารและพลเรือน มีการตั้งกรรมการซึ่งมาจากฝ่ายบริหารและพลเรือนขึ้นมาโดยเฉพาะ รวมทั้งสิงคโปร์ มาเลเซียก็ให้ฝ่ายพลเรือนกำกับดูแลเกี่ยวกับกิจการความมั่นคงภายใน แต่ของไทยให้อำนาจฝ่ายทหารมากเกินไป แม้ พ.ร.บ.ความมั่นคงจะให้นายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงภายใน ซึ่งเป็นบอร์ดใหญ่ แต่อำนาจในการออกประกาศคำสั่ง สั่งการ กลับตกอยู่ในมือของ ผอ.รมน.ก็คือ ผบ.ทบ.โดยตำแหน่ง
"หลักการของการออกกฎหมายความมั่นคง ต้องไม่ขัดหลักการกฎหมายทุกฉบับ ทั้ง กฎหมายอาญา กฎหมาย ปปง. โดยเฉพาะกฎหมายสูงสุด คือรัฐธรรมนูญ เพราะถ้าขัดหลักการตรงนี้จะนำไปสู่การใช้อำนาจตามอำเภอใจได้
"นอกจากนี้ต้องได้ดุลพอสมควรระหว่างการใช้อำนาจกับการตรวจสอบการใช้อำนาจ และฝ่ายบริหารต้องรับผิดชอบโดยตรง หากการใช้อำนาจตามกฎหมายมีปัญหา ในต่างประเทศถึงขนาดฝ่ายบริหารต้องลาออก แต่ของไทยกลับมีบทบัญญัตินิรโทษกรรมในมาตรา 37 ที่ไม่ต้องรับผิดทางแพ่ง อาญา และวินัย รวมถึงมาตรา 36 ที่ไม่ถือว่าเป็นวิธีพิจารณาคดีทางปกครองคือ ฟ้องศาลไม่ได้ ของต่างประเทศเปิดโอกาสให้ฟ้องได้ สมมุติว่าถูกอายัดบัญชีเงินฝาก พอสู่ภาวะปกติแล้วไม่ปรากฏว่าผู้ถูกอายัดเกี่ยวข้องกับภัยความมั่นคง สามารถฟ้องศาลเรียกค่าเสียหายระหว่างถูกอายัดได้ ดังนั้น ต้องเปิดให้กระบวนการยุติธรรมทางศาลมามีบทบาทด้วย
"ในต่างประเทศต้องยุติลดระดับการใช้อำนาจทันที เมื่อสถานกาณ์คลี่คลายลง ตัวอย่างเช่น ที่ลอนดอนของอังกฤษเมื่อไม่นานมานี้ที่เกิดเหตุคาร์บอมบ์ รัฐบาลได้ประกาศภาวะฉุกเฉินขั้นสูงสุด คือในระดับ 5 มีความเป็นไปได้ที่อาจมีการโจมตีสู้รบเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่เมื่อมีการคุมสถานการณ์จับกุมได้แล้ว เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ลดระดับลงทันที เหลือระดับ 4 และลดลงมาสู่ภาวะปกติ ตรงนี้ระบุไว้ชัดในตัวกฎหมาย แต่ของไทยไม่มี ดังนั้น ควรกำหนดระดับขั้นในการปฏิบัติด้วย อาจแบ่งเป็น 5 ขั้นก็ได้
"ที่สำคัญคือฝ่ายปฏิบัติของไทยคือ กอ.รมน.ต้องมีขีดความสามารถและศักยภาพ ในการปฏิบัติและรับมือต่อภัยรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะการก่อการร้ายสากล แต่เชื่อว่า ฝ่ายปฏิบัติของเราก็ยังไม่เชี่ยวชาญ ที่สำคัญอีกอย่างคือ หลายถ้อยคำเกี่ยวกับการใช้อำนาจเขียนเอาไว้ให้มีการตีความ อาจเกิดความผิดพลาดได้ โดยเฉพาะการใช้อำนาจเกินขอบเขต
"ของสิงคโปร์ มาเลเซีย ให้ฝ่ายพลเรือนมามีบทบาทมาก ตั้งเป็นหน่วยที่เรียกว่า อินเทอร์นอล ซิเคียวลิตี้ ดีพาร์ตเมนต์ (กองความมั่นคงภายใน) ขึ้นมา แต่ กอ.รมน.ของเรายังไม่มีสถานภาพเทียบเคียงได้
"นอกจากนี้ในต่างประเทศจะมีมาตรการถ่วงดุลการใช้อำนาจ อาทิ การหมดอายุของกฎหมาย โดยต้องมีการต่ออายุโดยรัฐสภาที่เป็นตัวแทนประชาชน รวมทั้งมีการตั้งกรรมมาธิการอิสระขึ้นมาตรวจสอบการใช้อำนาจโดยเฉพาะ แต่ของไทยยังไม่ครอบคลุม..."
มติชน วันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10720 หน้า 11
Create Date : 17 กรกฎาคม 2550 |
Last Update : 17 กรกฎาคม 2550 17:10:47 น. |
|
1 comments
|
Counter : 923 Pageviews. |
|
|
|
โดย: เด็กผู้ชายที่ไม่แตะบอลตอนกลางวัน (kanapo ) วันที่: 17 กรกฎาคม 2550 เวลา:20:12:59 น. |
|
|
|
|
|
|
|
และก็ส่วนใหญ่ก็ขึ้นด้วยไว้ว่าคนที่นำมาใช้ ใช้ยังไง
ได้คนดีมาใช้ก็โชคดีประชาชนเรา