1 2 3 4 5 6
7 8 9 10 11 12 13
14 15 16 17 18 19 20
21 22 23 24 25 26 27
28 29 30 31
วันที่สอง จาก Paris สู่ Caen และ Mont St-Michel
**** คำเตือนก่อนอ่าน...รูปเยอะมากๆๆๆ โหลดโหดมากๆ ถ้าเตรียมใจพร้อมแล้วก็ไปกันเลย ฮา8 May 2006 วันนี้ตื่นตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมงเช้า เพราะว่าต้องออกเดินทางไปเมือง CAEN (ในหนังสือท่องเที่ยวภาษาไทยที่มีอยู่ออกเสียงว่า เคน แต่คนฝรั่งเศสออกเสียงว่า ก็อง ส่วนหนังสือท่องเที่ยวของญี่ปุ่นออกเสียงว่า แคน สรุปว่า ออกเสียงอย่างที่อยากออกเถอะนะ ฮา) ที่อยู่ทางตอนเหนือของปารีสค่ะ ในแคว้นนอร์มังดี (Normandy) ออกจากโรงแรมตอนแปดโมงเช้า ต่อรถไฟสองสายเพื่อจะไปขึ้นรถไฟด่วนที่สถานี Gare St-Lazare (เป็นรถไฟของ SNCF ค่ะ) ก่อนอื่นขอเอารูปรถไฟใต้ดินที่เรียกว่า เมโทร มาให้ดูกันก่อนน้า เห็นป้ายสีน้ำเงินตัวใหญ่ๆ มั้ยคะ Sortie มันแปลว่า ทางออก" นั่นเอง อ่านว่าอะไรก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเมื่อลงจากรถไฟ ก็จะต้องมองหาป้ายนี้ เพื่อจะหาทางเดินต่อไป ^^ ตอนขึ้นรถไฟนะคะ รถไฟที่นี่โดยมากประตูจะไม่เปิดอัตโนมัติค่ะ คือถ้าตู้ไหนไม่มีคนลงประตูก็จะไม่เปิดนะคะ แล้วถ้ามีคนลงจะทำไงเอ่ย สำหรับรถไฟใต้ดินจะมีที่จับสำหรับเปิดประตูแบบนี้ค่ะ ค่อนข้างแข็งนะ เปิดคราวแรกนี่ไม่ออกเลย ต้องดันขึ้นแรงๆ ประตูถึงจะเปิดค่ะ นอกจากนั้นรถไฟบางคันจะเป็นปุ่มให้กดเปิดค่ะ ส่วนตอนปิดนี่เป็นการปิดอัตโนมัตินะคะ เราไม่ต้องปิดเอง ^^ เห็นป้ายบอกสถานีในรถไฟคันนี้หรือเปล่าเอ่ย (คันนี้รถไฟค่อนข้างใหม่น้า ก็เลยมีป้ายบอกสถานีที่มีไฟติดอยู่ด้วย ปกติไม่มีหรอกค่ะ แถมไม่มีคนประกาศด้วยนะว่าถึงสถานีไหนแล้ว ต้องคอยเล็งเอาเอง ห้ามหลับ) ดูป้ายนี้ตอนแรกจะงงมาก เพราะไฟมันติดในสถานีที่ยังไปไม่ถึง และสถานีไหนผ่านมาแล้วไฟจะดับ ซึ่งมันแตกต่างจากของญี่ปุ่นอ่ะน้า ของญี่ปุ่นจะมีไฟขึ้นเมื่อผ่านสถานีนั้นๆ มาแล้ว ดูตอนแรกงงกันมากเลยกับน้องเอมิที่ไปด้วย ฮา มาถึงสถานี Gare St-Lazare ตอนแปดโมงสี่สิบได้ ก็เดินไปซื้อตั๋วรถไฟ Paris-Caen-Paris เป็นตั๋วไปกลับ ที่มีบัตรลดราคา 20% ที่ได้จากงาน conference ส่งมาให้ ค่าตั๋วไปกลับที่ลดราคาแล้ว เหลือ 44 ยูโร ค่ะ จองเรียบร้อย ก็พากันไปซื้อขนมปังมาเป็นอาหารเช้า สั่งครัวซองกับพายกรอบสอดไส้ช็อกโกแลตมากิน แล้วก็เดินไปกดน้ำ ก่อนจะพากันไปขึ้นรถไฟ สถานีรถไฟสายด่วน Gare St-Lazare เห็นตู้เหลืองๆ มั้ยคะ ตรงมุมภาพ มาขยายให้ดูอีกที ก่อนขึ้นรถไฟ เราก็ต้องเอาตั๋วไปประทับตราที่เจ้าตู้เหลืองๆ นี้ จะมีตู้แบบนี้ตั้งอยู่ตรงหน้าชานชาลาค่ะ หรือถ้าเป็นสถานีรถไฟเล็กๆ ก็จะตั้งอยู่ตรงทางเข้าชานชาลานะคะ พอขึ้นไปบนรถไฟ ก็จะมีเจ้าหน้าที่พนักงานเดินมาตรวจตั๋วค่ะ เวลา 9.08 น. รถไฟก็เคลื่อนตัว และวิ่งไปราวๆ สองชั่วโมง ก่อนจะไปถึงเมือง Caen ตอนสิบเอ็ดโมงนิดๆ ไปถึงตกลงกันว่าจะเดินไปโรงแรม เพราะว่าโรงแรมจะให้เช็คอินตอนเที่ยงไงคะ ก็เดินๆๆๆๆ ค่อนข้างไกลพอประมาณเลยอ่ะ แบบว่าตอนแรกนึกว่าใกล้ แต่เล่นเดินเอาเหนื่อยเหมือนกันนะเออ กว่าจะถึงโรงแรมก็เที่ยงนิดๆ แล้ว โรงแรมนี้ Ibis Caen Centre Paul Doumer เป็นโรงแรมที่อยู่กลางเมืองเลย ค่อนข้างแพงนะ ราคา 61 ยูโรต่อห้อง พักคนเดียวก็ราคานี้ พักสองคนก็ราคานี้ เราก็หารกับน้องญี่ปุ่นคนเดิม (ถูกดี ฮา) ห้องก็โอเคนะคะ กว้างใช้ได้ เป็นเตียงเดี่ยวสองเตียงตั้งติดกัน ห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำด้วย และห้องน้ำกว้างมาก ชอบ ฮา เอาของขึ้นไปเก็บ แล้วก็ปรึกษากันกับน้องว่าจะเอาไงดี จะเที่ยวเลย หรือว่าจะพัก เราก็อยากจะไป Mont Saint Michel (ตามคำแนะนำของพี่กณิศ และหนังสือคู่มือท่องเที่ยวฝรั่งเศสอ่ะน้า) เป็นอาคารบ้านเรือน และโบสถ์ที่สร้างขึ้นกลางทะเล (ก็ไม่กลางอะนะ ชายฝั่งทะเลล่ะกัน) เมื่อก่อนไม่มีทางไปต่อเชื่อมกับแผนดิน ต้องรอน้ำลงถึงจะเดินไปได้ แต่ตอนนี้มีถนนเชื่อมต่อแล้ว มีรถไปถึงอ่ะน้า Mont Saint Michel อยู่ทางตอนใต้ของ Caen อยู่ระหว่างแคว้น Normandy กับ Brittany (อ้างอิงจากหนังสือ Mont Saint Michel ที่ซื้อติดมือกลับมาหลังจากไปเที่ยว) หลังจากตัดสินใจว่าจะไปเสร็จ ก็ลงไปถามตารางเวลาที่ front มีรถไฟตอนบ่ายสอง นั่งรถไฟไปประมาณสองชั่วโมง และมีรถไฟเที่ยวกลับมารอบสุดท้ายตอนสามทุ่มสามสิบเจ็ดนาที เราก็ตกลงไปวันนี้ เพราะถ้าไปพรุ่งนี้มีรถไฟรอบเช้า (มาก) ก็จริง แต่รถไฟเที่ยวกลับมาเที่ยวเดียว ก็เลยไปวันนี้ เพราะไม่งั้นคงไม่ได้ไปแน่ๆ สรุปก็เลยไปคนเดียว เพราะน้องเอมิไม่ไป เนื่องจากบอกว่าเหนื่อย ก็นะ เลยฉายเดี่ยวเลย*** ขอเล่าประวัติ Mont St-Michel (อ่านว่า มงต์แซงค์มิเชล นะคะ) แบบคร่าวๆ นะคะ เมื่อศตวรรษที่ 8 มีการสร้างโบสถ์ขึ้นที่ยอดเขา Mont Tombe เพื่อสักการะเซนต์ไมเคิล (หรือแซงค์มิเชลนั่นเอง) แล้วสองร้อยปีต่อมาดยุกแห่งนอร์มังดีก็มีบัญชาให้ขยายวัดเพิ่มเติม แล้วก็สร้างต่อมาเรื่อยๆ จากโบสถ์อย่างเดียวก็มีบ้านเมืองเข้ามาอยู่ด้วย ก็เลยกลายเป็นเมืองย่อมๆ ขึ้นมา ช่วงเวลาปฏิวัติที่นี่เคยเป็นที่คุมขังนักโทษการเมืองด้วยนะคะ สมัยก่อนเวลาน้ำขึ้น Mont St-Michel จะลอยอยู่กลางน้ำ (ดูเหมือนลอยอ่ะนะ) แต่พอน้ำลงก็จะมีหาดทรายต่อเชื่อมกับแผ่นดิน (อ้างอิงจากหนังสือ คู่มือนักเดินทางฝรั่งเศส หนังสือในเครือเที่ยวรอบโลกค่ะ) ก็นั่งรถไฟกลางเมือง (รถรางกลางเมืองประมาณนั้นอ่ะนะ ที่นี่เขาเรียกว่า tram) ซื้อตั๋วขึ้นไป (ราคาเที่ยวล่ะ 1.2 ยูโร) แล้วก็ไปปั้มกับเครื่องบนรถไม่มีคนตรวจหรอกค่ะ ใช้ระบบเชื่อใจกันอ่ะน้า ^^ ไปถึงสถานีก็ไปถ่ายรูป เมืองนี้เงียบมากๆ อาจจะเป็นเพราะว่าวันนี้เป็นวันหยุดเนื่องจากเป็นวัน Victory Day of World War (ในหนังสือท่องเที่ยวของเรา ภาษาไทย เขียนว่าสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนะ แต่หนังสือของน้องญี่ปุ่นเขียนว่า สงครามโลกครั้งที่สอง ก็เลยไม่รู้จะเชื่อใครดี -_- แต่คาดว่าน่าจะเป็นสงครามโลกครั้งที่สองนะ เพราะว่าที่นี่เป็นแคว้นที่มีการยกพลขึ้นบกของทหารฝ่ายสัมพันธมิตรที่ขึ้นมาช่วยสู้ปลดปล่อยฝรั่งเศสออกจากกองทัพนาซี) ก็จะเห็นพวงหรีดต่างๆ ที่มีคนนำมาวางเคารพเหล่าผู้กล้าในสงครามโลกวางอยู่ สถานีรถไฟเมือง CAEN รางรถไฟ tram หน้าสถานีรถไฟของเมือง Caen (สังเกตฟ้า เมฆฝนก้อนโตมากๆๆๆ) พวงหรีดที่มีคนนำมาวางเคารพผู้เสียชีวิตในสงครามหน้าสถานีรถไฟ เดินไปซื้อตั๋ว Caen-Pontorson-Caen ราคาตั๋วไปกลับ 40 ยูโร แพงมากๆ รถไฟยังไม่มาเลยเดินไปถ่ายรูป แล้วก็กินขนมปังกับช็อกโกแลตร้อนเป็นอาหารกลางวัน พอบ่ายสองยี่สิบสองนาทีรถไฟก็เริ่มเคลื่อนตัวออก นั่งดูวิวเพลินๆ ก็มีคุณเจ้าหน้าที่พนักงานมาตรวจตั๋ว เป็นสาวสวยน่ารักเชียว ตอนนี้อากาศที่ฝรั่งเศสกำลังเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว ที่ปารีสกลางวันอากาศค่อนข้างอุ่น แต่ที่ Caen ยังค่อนข้างเย็นอยู่ และวันนี้ฝนก็ตก... สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้าเนินเขา มองเห็นปราสาทสูงสวยๆ ตามรายทางแบบนี้ สี่โมงยี่สิบแปดนาที เราก็เดินทางมาถึงสถานีรถไฟที่ชื่อ Pontorson Mont St-Michel เรียบร้อย ฝนตกปรอยๆ สถานีเล็กมากๆ ค่อนข้างตกใจ เพราะนึกว่าจะเป็นสถานีใหญ่ เนื่องจากว่า Mont St-Michel เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ก็จะหาบัสขึ้น (กะว่ายังไงต้องมีออกทุกชั่วโมงหรือทุกสามสิบนาทีอยู่แล้ว) ก็เดินไปที่ information หลังจากที่เดินผ่านตารางรถบัส แล้วพบว่า...รถบัสคันต่อไปจะมีตอนหกโมงยี่สิบนาที แต่เราก็ยังไม่เชื่อ เดินไปถามที่ information และพบว่า...จริง ฝนก็เริ่มตกหนัก...ทำไงดี ก็ถามคุณคนสวยไปว่านอกจากบัสแล้วมีอย่างอื่นเปล่า คุณคนสวยบอกว่านั่งแท็กซี่ไปได้ ประมาณ 12-13 ยูโร เราก็เอาฟ่ะ ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว แต่ว่านั่งคนเดียวมันไม่คุ้ม แพงไป (เพราะถ้านั่งบัสจะราคา 1.8 ยูโรเท่านั้น) ก็เล็งเห็นหนุ่มญี่ปุ่นคนหนึ่งที่ลงรถไฟมาพร้อมกันไว้แล้ว (ที่รู้ว่าเป็นหนุ่มญี่ปุ่นเพราะว่าเห็นถือหนังสือท่องเที่ยวฝรั่งเศสภาษาญี่ปุ่นอยู่) เราก็เลยอาศัยความหน้าด้านเข้าไปทักทาย แนะนำตัว (เพราะกะว่ายังไงต้องมางาน conference เดียวกันแหงๆ เพราะเมืองนี้มันเล็กไง คงไม่ค่อยมีคนญี่ปุ่นมาเที่ยวเท่าไหร่หรอก) และก็จริงด้วย เขาก็มางาน conference เดียวกัน และจะไป Mont St-Michel เหมือนกัน ก็เลยชวนนั่งแท็กซี่ไปซะเลย เพราะเขาเองก็กำลังคิดไม่ออกว่าจะเอาไงดี (คุณพี่กำลังเรียนเอกอยู่ที่ Hiroshima University เป็นคอร์สแบบคนทำงานมาเรียนน่ะค่ะ เขาเรียกว่า shakaijin doctor อายุมากกว่าเราปีหนึ่ง) ฝนก็ตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ยืนรอสักพักแท็กซี่ก็มา แล้วก็นั่งกันไปที่จุดหมายปลายทาง ขอบอกว่าน้องคนสวยที่ information โกหก (สรุปว่าคนฝรั่งเศสก็ชอบโกหกเหมือนกัน ไม่ใช่คนญี่ปุ่นอย่างเดียวซะหน่อย ฮา) ไม่ใช่ 12-13 ยูโรซะหน่อย ล่อเข้าไป 22 ยูโรกว่าๆ แน่ะ (ก็จากสถานีรถไฟมาที่นี่มันประมาณ 9-10 กิโลเมตรน่ะค่ะ) แต่เอาเหอะ ไงก็มาถึงแล้ว ฝนก็ตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตา คุณพี่ญี่ปุ่นก็วิ่งนำเราไปอย่างรู้ทาง เพราะเขาเคยมาแล้วทีหนึ่งเมื่อสองปีก่อน (มาสอบถามทีหลังตอนกลับถึงทราบว่าคราวก่อนเขามากับภรรยา มาฮันนีมูน อิจฉา ฮา) เดินฝ่าสายฝนที่ร่มก็ช่วยอะไรท่านไม่ได้ขึ้นบันไดหินผ่านร้านค้าต่างๆ ไปตรงทางเข้า วัด Abbey du Mont St-Michel ที่ตอนหน้าร้อน (หรือฤดูใบไม้ผลิจนถึงหน้าร้อน) จะเปิดให้ชมจนถึงหนึ่งทุ่มตรงค่ะ แต่ต้องเข้าก่อนเวลาปิดครึ่งชั่วโมงนะคะ ไปหอบแฮ่กๆ ที่หน้าคนขายตั๋ว แล้วเอาตั๋วผู้ใหญ่หนึ่งใบราคา 8 ยูโร ค่ะ ก่อนจะเดินไปยังช่องตรวจตั๋วตรงนี้ แล้วก็เดินเข้าไปชมโบสถ์ข้างในท่ามกลางฝนตกหนักมากๆๆๆ ข้อดีของฝนตกวันนี้ก็มีน้า ตรงที่ทำให้คนมาเที่ยวไม่เยอะมากไง ^^ เข้าไปเดินดูข้างใน สวยมาก ดูยิ่งใหญ่ แล้วก็...อืม ยิ่งใหญ่น่ะ ดูรูปเอาล่ะกัน ไม่เล่าอะไรมากล่ะ ทางเข้าโบสถ์ด้านหน้า โมเดลของ Mont Saint Michel ข้างในมีห้องหลายห้องให้ดู สวยอ่ะ ชอบมากๆ ดูเยือกเย็น ยิ่งใหญ่ และเงียบสงบ คนที่เราหลอกให้มาแชร์ค่ารถแท็กซี่ (ถ่ายให้เห็นไกลๆ ก็พอเนอะ ฮา) จะมีสถาปัตยกรรมหินแกะสลักสวยๆ ตามเสาหินแบบนี้ (อาจจะมืดไปหน่อย เพราะข้างในค่อนข้างมืด และถ่ายไม่ใช้แฟลชอะน้า) ชอบเจ้าตรงนี้มากๆ เหมือนมิกกี้เม้าส์ (ฮา) เดินไต่บันไดขึ้นไปหลายชั้น ไม่รู้ว่าชั้นไหนแล้ว โผล่ออกไปเจอสวนที่มีทางเดินรอบๆ สวยดี ออกไปยืนที่ริมกำแพงหิน แล้วมองลงไปข้างล่างสวยมาก เห็นเป็นเนินทรายกว้างๆ เพราะตอนนี้เป็นช่วงน้ำลง ฝนหยุดตกแล้ว แต่ยังสลัวมัวทึบอยู่เล็กน้อย เดินไปเรื่อยๆ สักพักฟ้าก็สว่างขึ้น หาดทรายเมื่อครู่ก็เห็นชัดขึ้น อีกด้านหนึ่งเป็นลานจอดรถ และถนนเส้นที่ทอดตรงมายัง Mont St-Michel ไม่มีอะไรอื่นเลย นอกจากกลุ่มโรงแรมที่เห็นอยู่ไกลๆ ตรงโน้นนน (โปรดจำไว้ให้ดี เพราะมีเรื่องเล่า ฮา) ยอดโบสถ์ แถมด้วยโมเดลวิธีสร้าง (น่าจะเป็นตอนบูรณะนะ เพราะว่ามีการใช้เฮลิคอปเตอร์ช่วยด้วย) เดินข้างในเสร็จก็หกโมงนิดๆ ก็ออกมาเดินข้างนอกต่อ สองข้างทางเป็นร้านขายของที่ระลึก, โรงแรม และโบสถ์เล็กๆ อื่นๆ เราก็แวะซื้อโปสการ์ด กับ แม็กเนตนิดหน่อย ไม่ได้ช้อปมาก เพราะว่าเกรงใจคนที่เราหลอกมาแชร์ค่ารถน่ะ (คือเขาตกลงจะกลับพร้อมเราไปเลย เพราะว่าบัสเที่ยวสุดท้ายมันมีตอนหกโมงครึ่ง ซึ่งมันเร็วไปยังดูอะไรไม่หมด ก็เลยตกลงว่าขากลับก็นั่งแท็กซี่กลับด้วยกันล่ะกัน และเขาจะเลื่อนรถไฟกลับจากตอนทุ่มนิดๆ มาเป็นสามทุ่มครึ่งแบบเรา) สองข้างทางร้านค้าสวยงาม ป้ายสวยๆ แบบนี้มีให้เห็นเต็มสองข้างทางเลย ชอบก๊อกน้ำอันนี้นะ ดูเก่าแบบเก๋าๆ ดีอะ เดินซื้อของที่ระลึกเล็กน้อย ก็พากันไปเดินอ้อมป้อมปราการออกไป เพื่อจะไปเดินสำรวจเนินทรายตามประสานักวิทยาศาสตร์ทางทะเลที่ดี (คนที่ถูกหลอกมาด้วยเขาก็ทำเรื่องโกหกมหาวิทยาลัยว่าจะมาทำการเก็บตัวอย่างที่เนินทรายนี่ เพราะเขามาฝรั่งเศสก่อนงานพรีเซนต์สองวันอ่ะนะ จริงๆ ก็ไม่ได้เก็บตัวอย่างหรอก แค่มาเที่ยวน่ะ ฮา อ้อ เขาทำวิจัยเรื่องหญ้าทะเลค่ะ แต่เป็นเกี่ยวกับเรื่องทางเคมีอ่ะน้า ไม่เกี่ยวกับชีววิทยาค่ะ) ตึกบ้านเรือนข้างทาง ถ่ายระหว่างที่เดินไป เดินผ่านป้อมปราการหินไปบนหาดทราย แล้วย้อนกลับมาถ่าย เอารองเท้าส้นสูงไปเดินลุยหายทรายผสมโคลนเช่นนี้ (สงสารรองเท้าและขาตัวเองมาก แต่อย่างว่านะ มาทำงาน มีพรีเซนต์ จะให้ใส่ผ้าใบก็กระไรอยู่ แต่จะให้แบกรองเท้ามาอีกคู่ ก็หนักเกินไป เลยต้องทน ฮา) หาดทรายที่มีเจ้าหอยตัวน้อยๆ เช่นนี้ (เหรียญข้างๆ คือเหรียญห้าสิบเซนต์ค่ะ เอามาเป็นมาตราเทียบขนาดน้า ถ่ายรูปตามหลักวิทยาศาสตร์ที่ดีจริงๆ น้า ^^) เดินอ้อม Mont St-Michel มาเกือบครึ่งเลย เงียบหน้าขึ้นถ่ายรูปนี้ได้มา ฟ้าสวยมากๆ แน่ใจนะว่าฝนเพิ่งตกไป เดินกันไปจนสุดทางเดิน อืม คือจริงๆ ก็ยังมีทางเดิน แต่หาดกลายเป็นโคลนปนทรายนิดหน่อยไปเสียแล้ว ถ้าเดินต่อก็คงเลอะแน่ๆ ก็เลยตัดสินใจเดินกลับ (ตอนแรกตั้งใจกันว่าจะเดินอ้อมจนวนกลับมาด้านหน้าเลย) เดินกลับไปล้างรองเท้าที่ก๊อกน้ำ (แต่จริงๆ เราจุ่มๆ รองเท้าล้างในอ้างน้ำทะเลที่ขังอยู่ตามหาดหินไปรอบแล้วอ่ะนะ) น้ำเย็นดี แต่แบบว่าถอดรองเท้าล้างไปเลย ถุงเท้าก็เปียก ฮา มันเปียกสะสมมาตั้งแต่ตอนฝนกระหน่ำทีแรกแล้วอ่ะนะ หลังจากนั้นก็เดินออกมาที่ลานจอดรถด้านหน้า เพื่อจะมาถ่ายรูป Mont St-Michel แบบเกือบเต็ม กลับไปเดินวนถนนใกล้ๆ โบสถ์อีกรอบ ประตูทางเข้าโบสถ์ปิดแล้ว เพราะเลยเวลาเข้าชม แล้วก็เหลือบไปเห็นเจ้านี่ ใครรู้บ้างว่าเจ้าทางยาวๆ เรียบๆ ที่ทอดตรงจากด้านบนโบสถ์ลงมาด้านล่างคืออะไร ใช่แล้วค่ะ มันคือลิฟต์เอาไว้ส่งของน้า คาดว่ามีมาตั้งแต่อดีตแล้วล่ะ คงไม่ได้เพิ่งมาสร้างหรอก เอาภาพโค้สอัพไปดูใกล้ๆ อีกที เดินดูนั่นดูนี่จนทุ่มกว่าๆ เราก็เริ่มวิตกกันแล้วว่าจะหาแท็กซี่กลับได้อย่างไร เพราะว่าไม่มีแท็กซี่ซักคัน แถมเบอร์โทรเรียกแท็กซี่ก็ไม่มี ฮา ก็เริ่มพากันออกเดินกะว่าถ้าเจอแท็กซี่จะได้เรียก แต่ว่าความหวังริบหรี่มากๆ เพราะว่ามันเป็นถนนเส้นเดียวที่ทอดตรงมา และที่สำคัญมันดึกแล้ว (แม้ฟ้าจะสว่าง แต่จริงๆ มันดึกแล้วนะจ๊ะท่านผู้อ่าน) ฮา คนส่วนมากที่มาจะมีรถขับมาเอง และมาพักในโรงแรมที่ Mont St-Michel เราก็เริ่มทำการโบกรถด้วยอาการเขินๆ และโบกไม่ได้เลยสักคัน T-T คนฝรั่งเศสใจร้ายยยยย (ฮา) อ้อ ลืมบอกที่ฝรั่งเศสขับรถคนละฝั่งกับเมืองไทยนะคะ ตอนข้ามถนนครั้งแรกเกิดอาการงงๆ มองผิดทางประจำเลย ฮา เริ่มมองเวลาบ่อยขึ้น และคุณคนที่ถูกเราหลอกก็เริ่มโทรหาเพื่อนที่โรงแรมในเมือง Caen บอกให้ไปถาม front ที่โรงแรม (ที่ Caen) ให้หน่อย ว่าแท็กซี่ที่นี่เบอร์อะไร แล้วให้โทรเรียกมารับหน่อย แต่คุณอาจารย์ (เพิ่งเข้าเป็นอาจารย์เลยเป็นเพื่อนกันเพราะอายุใกล้ๆ กัน) เพื่อนเขาที่อยู่โรงแรมไม่มีความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษ แต่ก็พยายามร่างบทสนทนาไปถาม front ให้ ส่วนเราน่ะกะไว้แล้วว่าจะเดินไปให้ถึงกลุ่มโรงแรม (จำรูปข้างบนได้มั้ยเอ่ย) ที่ผ่านมาตอนนั่งแท็กซี่ (คือตัวเองน่ะ เห็นสภาพแล้วก็กะไว้แล้วว่าถ้าไม่โทรเรียกแท็กซี่ไม่มีแน่ๆ ฮา ก็เลยเล็งๆ โรงแรมพวกนี้ไว้ตอนผ่านมาคราวแรกแล้วอ่ะน้า) เดินไปเหนื่อยเหมือนกันนะ เพราะไกลใช่เล่น พระอาทิตย์ก็เริ่มคล้อยแล้ว แต่ยังไม่มืด อากาศก็เย็นลงๆ เพราะจะสองทุ่มแล้ว ข้อดี...ยังไงฝนก็ไม่ได้ตกอ่ะนะ (มันหยุดไปแล้วไง ฮา) เดินจนเหนื่อย แต่...ก็ยังไม่วายหันกลับไปถ่ายรูปมา ฮา ก็มันสวยอ่ะ ชอบจริงๆ นะเออ (เขาเรียกว่าไม่สำนึกเลยว่ากำลังจะตกรถอยู่เห็นๆ ฮา) เดินมาถึงกลุ่มโรงแรมที่มองเห็นอยู่ไกลลิบจากยอดโบสถ์ ก็เดินแบบทรุดโทรมเข้าไปถาม front ว่าจะไปสถานีรถไฟนี้ จะไปยังไงเหรอ (จริงๆ น่ะรู้ แต่แกล้งถาม) ตอนนี้มีบัสหรือเปล่า คุณน้องคนสวย (สวยจริงๆ นะ) บอกว่าตอนนี้ไม่มีบัสแล้ว ต้องแท็กซี่อย่างเดียวเท่านั้น เราก็ทำตาใสซื่อ (ฮา) ถามไปว่าแล้วเรียกที่ไหนเหรอ เรียกยังไงเหรอ คุณน้องก็บอกว่าเดี๋ยวเรียกให้นะ แล้วก็จัดการโทรศัพท์ไปเรียกให้ ต้องต่อสองที่แน่ะ กว่าจะเรียกได้ เพราะเหมือนว่าที่แรกเขาไม่ยอมมา (คือฟังภาษาฝรั่งเศสไม่ออกหรอกนะ แต่สังเกตท่าทีเอา ฮา) ในที่สุดก็เรียกได้ น้องคนสวยบอกว่าอีกยี่สิบนาทีรถแท็กซี่จะมา เราก็โล่งเลย ฮา รีบขอบคุณใหญ่ น้องน่าร๊ากกก คุณคนที่เราหลอกมาก็โทรกลับไปหาเพื่อนอีกครั้ง โทรไปบอกว่าไม่ต้องเรียกแล้ว ได้แท็กซี่แล้ว (แล้วก็เลยได้รู้ว่าเพื่อนยังไม่ได้ไปถามให้ เพราะกำลังร่างบทสนทนาภาษาอังกฤษเตรียมไปถาม front อยู่) สองทุ่มสี่สิบนาที รถแท็กซี่ก็มา หลังจากปล่อยให้เราใจตุ๊มๆ ต๊อมๆ รถจะมาไม่มาน้า จะทันรถไฟหรือเปล่าน้า ฮา พอรถมา ก็รีบขึ้นรถทันที พี่คนขับเจ๋งมากซิ่งแหลกเลย เพราะกลัวพวกเราตกรถไฟ ขากลับค่าแท็กซี่แค่ 18 ยูโรเอง (เพราะเดินย้อนกลับมาเป็นกิโลเมตรแล้วไง) แต่ก็ให้ไปเลยยี่สิบยูโร เพราะเกรงใจมาก ดึกแล้วยังอุตส่าห์ตีรถมารับ ไปถึงสถานีรถไฟตอนสามทุ่มนิดๆ ยังพอมีเวลา เพราะรถจะมาตอน 9.37 น. หลังจากโล่งใจที่มาถึงสถานีรถไฟแล้ว ท้องก็ร้อง ก็เลยเดินไปหาอะไรใส่ท้องกัน แต่ร้านอาหารที่เปิดโดยมากก็เป็นบาร์ หรือไม่ก็พิซซ่า ถ้าเข้าไปกินคงได้ตกรถไฟ (หลังจากรีบแทบตาย) แน่ๆ ก็เลยเดินไปอีกนิด ไปกิน Kebar (สะกดอย่างนี้เปล่าหว่า ลืมดูมา) เป็นอาหารตุรกี (คาดว่านะ ถ้าจำไม่ผิด) เป็นแป้งขนมปังคล้ายๆ แฮมเบอร์เกอร์ ใส่ไส้ด้วยเนื้อย่าง ผัก แล้วก็ซอสมะเขือ อันใหญ่มากๆ ราคา 4 ยูโร คุณพี่ที่ถูกเราหลอกมา ใจดีซื้อให้ ฮา ตอนรอของคุณพี่ดูกระสับกระส่าย ถามไปถามมาได้ความว่าคุณพี่เข้าใจผิดคิดว่ารถไฟจะมาตอนสามทุ่มยี่สิบ คุณพี่กลัวตกรถไฟ แต่คงงงๆ เพราะเห็นเราใจเย็นมาก ฮา พอคุณพี่ทราบว่ารถไฟมาตอนสามทุ่มสามสิบเจ็ด คุณพี่ก็โล่ง ได้ของกินมาไว้ในมือ ก็รีบจ้ำอ้าวกลับสถานีรถไฟทันที รออีกห้านาทีรถไฟก็มา ขึ้นไปนั่งบนรถไฟได้ ก็กินซ้า อร่อยเลย แต่เยอะมากๆๆๆ มันอันใหญ่อ่ะ กินขนมปังไปสองในสาม ก่อนจะจัดการไส้ข้างในจนหมด ฮา รถไฟกลับมาถึง Caen ตอนห้าทุ่มสี่สิบสามนาที คุณพี่ก็รีบชิ่งหนี เดินกลับโรงแรมไป ปล่อยให้เราไปยืนรอ tram เพื่อนั่งกลับโรงแรมคนเดียว กลับถึงโรงแรมตอนเที่ยงคืนครึ่งได้มั้งนะ หมดแรงเลย อาบน้ำ นอนสลบ ฮา จบวันยาวๆ ที่ไปหลอกคนมาแชร์ค่ารถไฟได้หนึ่งคน ฮาาาาา ปิดท้ายด้วยเหรียญต่างๆ ของสกุลเงินยูโรนะคะ ^^ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน พรุ่งนี้จะเริ่มงาน conference แล้วน้า จะเริ่มทำงานๆ แล้วล่ะ (เชื่อกันหรือเปล่าหนอ ฮา) ***** ข่าวดี ...หรือเปล่าหว่า ฮา คือว่ากำลังหยิบพี่อะ-อสมา (ยังจำกันได้มั้ย) ขึ้นมาปัดฝุ่นน้า ถ้าเป็นไปได้ ภายในอาทิตย์หน้าอยากจะเอามาลงล่ะ คาดว่าอาจจะลงถนนนักเขียนนะคะ ^^ ยังไงรอชมได้นะจ๊ะทุกท่าน **** เป็นการอัพที่ยาวนานมากๆๆๆๆ อัพตั้งกะเช้าตอนเก้าโมง มาเสร็จเอาตอนหนึ่งทุ่มครึ่ง ทำไมช่วงนี้ bloggang มันอืดขนาดนี้ แถมยังโหลดช้า, เข้ายาก และอื่นๆ อีกมากมาย...เหนื่อยมากๆ (รูปเยอะแล้วล่ะ ตั้งสี่สิบกว่ารูป ) อีกสองวันจะเอาวันที่สามมาให้ชมนะคะ
Create Date : 18 พฤษภาคม 2549
Last Update : 18 พฤษภาคม 2549 17:35:43 น.
22 comments
Counter : 3099 Pageviews.
โดย: เตย (terrynop ) วันที่: 18 พฤษภาคม 2549 เวลา:12:57:08 น.
โดย: ปุ้ม IP: 158.108.15.18 วันที่: 18 พฤษภาคม 2549 เวลา:14:07:49 น.
โดย: lonely sea (seenil ) วันที่: 18 พฤษภาคม 2549 เวลา:14:54:32 น.
โดย: lily <lovekalo> (lovekalo ) วันที่: 18 พฤษภาคม 2549 เวลา:19:15:43 น.
โดย: พู่ไหม IP: 203.209.106.215 วันที่: 18 พฤษภาคม 2549 เวลา:21:00:43 น.
โดย: arshura IP: 210.213.12.200 วันที่: 19 พฤษภาคม 2549 เวลา:9:05:21 น.
โดย: กณิศ IP: 58.136.66.165 วันที่: 19 พฤษภาคม 2549 เวลา:10:19:13 น.
โดย: oa IP: 202.28.9.80 วันที่: 19 พฤษภาคม 2549 เวลา:16:30:50 น.
โดย: YUI_MUNMOO วันที่: 19 พฤษภาคม 2549 เวลา:21:21:03 น.
โดย: น้องไก่กุ๊กๆ IP: 124.120.4.204 วันที่: 19 พฤษภาคม 2549 เวลา:23:39:42 น.
โดย: ปลากัด IP: 124.121.0.240 วันที่: 20 พฤษภาคม 2549 เวลา:3:32:25 น.
โดย: แพงเมือง IP: 203.114.111.162 วันที่: 20 พฤษภาคม 2549 เวลา:15:37:19 น.
โดย: ange du riz IP: 82.233.116.193 วันที่: 20 พฤษภาคม 2549 เวลา:16:36:11 น.
โดย: เปียร์รุส วันที่: 20 พฤษภาคม 2549 เวลา:18:34:40 น.
โดย: nurin (Nontagorn ) วันที่: 20 พฤษภาคม 2549 เวลา:20:25:37 น.
โดย: CPMZ IP: 203.113.16.241 วันที่: 20 พฤษภาคม 2549 เวลา:23:54:37 น.
โดย: Clear Ice วันที่: 22 พฤษภาคม 2549 เวลา:8:33:48 น.
โดย: NACBIZ วันที่: 6 พฤศจิกายน 2551 เวลา:2:39:31 น.
โดย: NACBIZ วันที่: 20 มกราคม 2552 เวลา:21:05:36 น.
โดย: Sassy girl IP: 125.27.165.72 วันที่: 4 กรกฎาคม 2552 เวลา:15:41:48 น.
Location :
ตอนใต้ Japan
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [? ]
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์ โดยการนำรูปภาพ และบทความงานเขียน รวมทั้งข้อความต่างๆ ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมดในบล็อกแห่งนี้ไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีตามที่กฏหมายบัญญติไว้สูงสุด
เตยเคยไปฝรั่งเศสหลายปีมาแล่วค่ะ ไปแค่ปารีสกับเมืองแถบชายแดนที่ติดกับสเปนอ่ะค่ะเมืองซาราโกซ่า เตยไปขึ้นรถไฟที่นั่นข้ามมาฝรั่งเศส นั่งราวๆ 2-3 ชม.มาลงที่ปารีส เตยไปกับทัวร์ค่ะ การเที่ยวก็เป็นอีกแบบ ทำให้ไม่ได้สัมผัสประเทศเค้าจริงๆมากนัก เพราะเวลาจำกัด เตยไปสเปนกับฝรั่งเศส สวยดีค่ะ ไม่รู้จะมีโอกาสไปอีกไม๊ ได้ไปเที่ยวอย่างคุณลิปิการ์ดีจังเลย อิสระดีค่ะ แล้วเตยจะมาอ่านอีกนะ