|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
วันที่ 5 (3/3) PARIS: Place de la Concorde, Montmmartre, Sacre-Coeur and Opera
11 May 2006
หลังจากใช้เวลาในนอเตรอดามสองชั่วโมงกว่า (เพิ่งไปเปิดบันทึกดูแล้วรู้ว่าสองชั่วโมงกว่าต่างหาก ไม่ใช่หนึ่งชั่วโมงอย่างที่เขียนไปในบล็อกที่แล้ว ^^) เราก็จับเมโทรจาก St-Michel ไปเปลี่ยนสายรถที่ Chatelet เพื่อจะไปลงที่ Concorde โดยเป้าหมายก็คือ Place de la Concorde (ปลาซเดอลาคองคอร์ด) ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของประวัติศาสตร์แห่งฝรั่งเศสและยุโรป เพราะเป็นลานประหารที่ตั้งกิโยตินซึ่งคร่าชีวิตผู้คนนับพันในสมัยปฏิวัติ แต่ตอนนี้บริเวณนี้ไม่มีกิโยตินตั้งอยู่แล้วนะคะ (น่าเสียดายมาก อยากเห็นอ่ะค่ะ) สิ่งที่เข้ามาตั้งอยู่ตรงกลางแทนที่คือเสาโอบิลิสก์จากอียิปต์ค่ะ (ศิลปะจากอียิปต์เข้ามาในฝรั่งเศสเยอะมากเลย)
ภาพรวมของ Concorde ค่ะ
เสาโอบิลิสก์ที่มาตั้งแทนกิโยตินในอดีต
น้ำพุบริเวณ Concorde
เดินเก็บภาพรอบๆ แล้ว (คนค่อนข้างเยอะพอสมควร) เราก็เดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามที่เป็นสวนสาธารณะค่ะ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อ Jadin des Tuileries เห็นตำรวจขี่ม้าคอยตรวจตราความเรียบร้อยอยู่รอบๆ สวนด้วยค่ะ แต่เพราะไม่ค่อยมีเวลา บวกกับขาและฝ่าเท้าเริ่มไปแล้ว (ใช้งานมันหนักมากๆ) เราก็เลยตัดสินใจเดินแค่บริเวณรอบๆ สระน้ำของสวนเท่าไหร่
ถ่ายกลับไปยังเสาโอบิลิสก์จากในสวนสาธารณะค่ะ
รูปปั้นแบบนี้มีตั้งอยู่ทั่วสวนฯ เลยค่ะ
เดินออกจากมาสวนสาธารณะกลับไปขึ้นเมโทรที่สถานที่เดิม (Concorde) ต่อรถไฟใต้ดินไปยังสถานี Abbesses เพื่อจะไปยัง Montmartre (มงมาร์ต) เนินเขามงมาร์ตเป็นแหล่งชุมนุมของศิลปินมานานกว่า 200 ปี ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งตอนนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวและเป็นสถานที่ที่ซึ่งมีศิลปินนักวาดรูปต่างๆ มาคอยวาดรูปเพื่อขายนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก และบนยอดเขามงมาร์ตก็เป็นที่ตั้งของวิหารพระหฤทัย (Sacre-Coeur) ซึ่งถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นวัดของนิกายคาทอลิกค่ะ
ตามหนังสือคู่มือท่องเที่ยวบอกไว้ว่า ขาขึ้นน่าจะนั่งรถรางขึ้นไป แล้วขาลงค่อยเดินลงชมร้านค้าต่างๆ ข้างทาง เราก็เชื่ออย่างดิบดี เดินตรงไปหาทางขึ้นรถราง แล้วก็เจอดีค่ะ...T-T เจอชาวแอฟริกา เป็นชายหนุ่มผิวดำทะมึนเดินเข้ามาหา (บริเวณนั้นมีอยู่หลายคนมาก) แล้วก็บอกว่ามีอะไรอยากให้ดู ขอเวลาหนึ่งนาที เราก็เดินหนีๆๆๆ แต่เขาเดินตามๆๆๆ เขาก็บอกว่านาทีเดียวๆ ในมือของเขาถือเชือกถักมาสีเขียว ดำ และเหลืองมาด้วย (เชือกไหมพรมน่ะค่ะ) เราก็แบบรำคาญปนใส่ซื่อ -_- เอ้า นาทีเดียวนะ เขาก็ให้เรายื่นนิ้วออกมา แล้วเอาเชือกในมือเขามาคล้องกับนิ้วเรา แล้วก็เริ่มถักเชือกไปเรื่อยๆ โดยปากก็คุยไปด้วยว่าเขาเป็นคนไนจีเลียนะ ชื่อนี้ๆ (จำชื่อไม่ได้) แล้วก็ถามว่าเรามาจากไหน เราก็บอกว่าไทย (ยังใจดีไปคุยกับเขาอีกอ่ะ) เขาก็ถามชื่อเรา เราก็ไม่ตอบ (เรื่องของเรื่องคือชื่อมันออกเสียงยากสำหรับต่างชาติอ่ะนะ ก็เลยตัดปัญหาไม่ตอบไป) เขาก็พยักเพยิดให้ดูคนอื่น ว่าตรงโน้นก็มีเหมือนกันนะ (คือมีคนที่ถูกหลอกเหมือนเราอยู่เหมือนกันนะ เป็นคุณลุงคุณป้านักท่องเที่ยวคู่หนึ่ง) เขาก็ชวนคุยว่าเคยไปแอฟริกามั้ย เราก็บอกว่าไม่เคย แต่ก็อยากไปนะ เขาก็ถามว่าอยากไปไหน ก็บอกว่าอียิปต์ เขาก็ทำหน้าตึงๆ แล้วบอกว่าอียิปต์ไม่ใช่แอฟริกาซะหน่อย อ้าว (ร้องในใจ) แล้วที่ตูเรียนมาล่ะเฟ้ย มันแอฟริกาชัดๆ เชียว ก็คาดว่าสำหรับคนแอฟริกาเขาคงไม่ชอบอียิปต์หรืออย่างไรกัน สักพัก (เกินนาทีแน่ๆ) เขาก็ถักเชือกเสร็จแล้วเอามาผูกกับข้อมือขวาของเรา มีกรรไกรตัดเล็บตัดเชื่อที่เหลือด้วย เสร็จเราก็จะตีจาก (คิดว่าง่ายอย่างนั้นเหรอ -_-) แน่นอน เขาก็พูดว่า ปกติราคา 7 ยูโรนะ (ไอ้บ้า เชือกแค่นี้นะ 7 ยูโร ซึ่งยูโรละ 47.50 บาทอ่ะ) แต่สำหรับเราลดให้เป็นพิเศษเหลือ 5 ยูโร เราก็บอกว่าไม่มีตังค์เฟ้ย มีเศษเหรียญแค่นี้ 2.5 ยูโร (พอดีมีเหรียญสองยูโร กับห้าสิบเซนต์อ่ะค่ะ) โอเคเปล่า เขาก็อือๆ ก็ได้ แต่มันแพงมากเลยนะ ตั้ง 2.5 ยูโรแน่ะ จ่ายเงินแล้วก็นึกด่าตัวเอง น่าจะบอกเขาไปว่ามีแค่ห้าสิบเซนต์จะเอาเปล่า T-T แบบว่านะ...แค้นตัวเองเหมือนกัน ตูไปหยุดให้มันหลอกทำไมว้า...โง่จริงเชียว (แต่จนป่านนี้เราก็ยังไม่ได้ถอดเชือกถักบนมือออกหรอกนะ เป็นพวกชอบเครื่องประดับบนข้อมืออยู่แล้ว ก็เลยทิ้งไว้แบบนั้นนั้นล่ะ)
เชือกนี้ล่ะ 2.5 ยโร
หลังจากถูกหลอก (ตรงนั้นมีเยอะมากเลยนะคะ กับชาวแอฟริกาที่มาหลอกขายเชือกถักแบบมัดมือชก) เราก็เดินไปดูที่ทางขึ้นรถราง แล้วพบว่าแพงมากๆ ไปกลับประมาณ 14 ยูโร ทั้งๆ ที่มันไม่สูงมากเท่าไหร่ เราก็เลยตัดสินใจเดินขึ้นบันไดไป เล่นเอาหอบแฮ่กเหมือนกัน
วิวด้านบนของมงมาร์ต คนเยอะมากๆ เห็นในหนังสือคู่มือแนะนำว่าตอนกลางคืนวิวสวยมาก เพราะจะเห็นแสงไฟของอาคารบ้านเรือนระยิบระยับ แต่เราไม่มีเวลารอถึงขนาดนั้น เพราะหน้านี้กว่าพระอาทิตย์จะตกก็สามทุ่มครึ่ง ก็เลยได้ดูแค่วิวกลางวันอย่างเดียว
ชมความงามและพักเหนื่อยบวกกับเลียแผลใจที่ถูกหลอกเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินไปดูวิหารพระหฤทัย (Sacre-Coeur) ค่ะ
วิหารพระหฤทัย (นึกถึงโรงเรียนคอนแวนต์เลยเนอะ)
ด้านหน้า
ประตูวิหารค่ะ
ข้างในไม่ให้ถ่ายรูป เพราะเขากลัวรบกวนคนมาสวดมนตร์ค่ะ อืม การเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ของปารีส ข้าวของของเราจะต้องผ่านเครื่องแสกนแบบที่สนามบินก่อนนะคะ แทบจะทุกที่เลย อาจจะเพราะกลัวมีวางระเบิดมั้งคะ เนื่องเพราะเมื่อช่วงก่อน ปารีสมีปัญหาเรื่องวางระเบิดค่อนข้างเยอะค่ะ
หลังจากชมความงามและเงียบสงบไร้แสงแฟลชในโบสถ์แล้ว เราก็เดินออกมาเก็บภาพรอบนอกอีกพักหนึ่ง
ด้านข้างของวัด
มีเจ้าตัวนี้เหมือนกันเลย
แล้วก็เดินไปตามทางที่มีคนเขาเดินกัน จริงๆ มันมีตรอกซอกซอยเล็กๆ เต็มไปหมด มีร้านค้าสวยงามเยอะแยะ แต่เราก็เลือกไปทางที่มีคนเดินเยอะที่สุดค่ะ เพราะกลัวหลง (แต่ให้พูดจริงๆ ที่เดินมานี่ก็ไม่ได้มีแผนที่อะไรเลยนะ อาศัยเดินมั่วเอา)
คุณคนนี้คงยืนอยู่นานแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อยหรือเปล่า
แล้วเดินไปอีกนิดหนึ่งก็ถึงลานกว้างๆ ที่มีศิลปินมานั่งวาดรูปขายนักท่องเที่ยวมากมาย หลายคนไม่ยอมให้ถ่ายรูป (เขียนป้ายติดไว้เลยว่าห้ามถ่าย) ศิลปินชาวเอเชียก็มีนะคะ เพราะเห็นพูดภาษาญี่ปุ่นอยู่ (พูดถึงคนญี่ปุ่นก็อดอิจฉาไม่ได้ เดินทางไปประเทศไทยไม่จำเป็นต้องทำวีซ่า ไปได้เลย แต่อยู่ไม่เกินสามเดือนเท่านั้น)
บรรยากาศลานวาดรูป
โดยมากเขาจะวาดรูปให้นักท่องเที่ยวน่ะค่ะ แบบวาดภาพเหมือนอ่ะนะ ตอนที่เราเดินๆ ดู ก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามา แล้วบอกกับเราว่า
ผมชอบสไตส์ของคุณมากเลย
ฮ่วย จะหลอกตูอีกอ่ะดิ เสื้อยืดกางเกงยีนส์สะพายเป้ใบโตกับกล้องถ่ายวิดีโอนี่อ่ะนะ เราก็เดินหนีเลย หลอกตูไม่ได้แล้วเฟ้ย จะมาหลอกเราไปเสียเงินวาดรูปน่ะสิไม่มีอะไรหรอก ฮา
ระหว่างทางเดินลงเขาก็ถ่ายรูปมาเรื่อยๆ ค่ะ สวยดี
จากมงมาร์ต เราก็นั่งเมโทรมาลงที่สถานี Opera
ไม่ได้จะมาดูการแสดงโอเปร่าหรืออย่างไรหรอกค่ะ (บอกแล้วว่าปัจจัยมันไม่อำนวย) มาถ่ายบรรยากาศเก็บไว้เท่านั้นเอง พอโผล่ขึ้นมาจากสถานีรถไฟก็เจอเจ้าตัวนี้
สีสรรสดใสมาก นึกอยากซื้อนมสักขวดจริงๆ
ข้างๆ ก็มีเจ้าตัวนี้อีกตัว
แล้วเราก็เดินไปถ่ายรูปอาคารอันยิ่งใหญ่ที่อยู่อีกฟากถนน น่าจะเป็น Opera National de Paris-Garnier นะคะ
อีกมุมหนึ่ง
แถบนี้มีอาคารใหญ่โตหรูหรามากมาย แต่เนื่องจากความไม่รู้ของเราก็เลยไม่ทราบว่าเขาเรียกว่าอะไร เอาเป็นว่าชมภาพกันแล้วกันนะคะ
ถนนหนทางต่างๆ แถว Opera
เขาทำตึกเป็นมุมสวยดีเนอะ
ถ่ายรูปได้เยอะแล้ว เราเดินไปเรื่อยๆ ก่อนจะแวะเข้าไปดูในห้างสรรพสินค้าอันยิ่งใหญ่ที่ชื่อ Printemps (อ่านว่า แพรงตองส์) เป็นห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่มาก มีอะไรหลายอย่างมากมาย และคนต่างชาติเยอะมาก โดยเฉพาะคนจีน คนไทยก็มีค่ะ ได้ยินเขาคุยภาษาไทยกัน เราไม่ได้ดูอะไรเป็นพิเศษ เพราะว่าไม่ได้ตั้งใจช้อป และไม่รู้จะซื้ออะไร เนื่องจากเป็นพวกไม่นิยมแบรนด์เนม ก็เลยขึ้นไปชั้นบนๆ ที่เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ต ซื้อช็อกโกแลต ของกินต่างๆ มาฝากคนที่นี่กับคนที่บ้านที่เมืองไทย แล้วก็ซื้อเครื่องดื่ม จริงๆ หิวมาก เพราะทั้งวันมีขนมปังสองชิ้นตกลงท้องไปเมื่อเช้า กับช็อกโกแลต Twix ที่นอเตรอดามเท่านั้น แต่ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะกินไรดีก็เลยไม่ซื้อซะอย่างนั้น
เดินลงมาข้างล่างกะจะซื้อของฝากที่ปลอดภาษีที่ชั้นหนึ่ง เลือกแล้วเรียบร้อย แต่พอเดินไปจะจ่ายเงินก็พบว่าคนเยอะมากๆ ก็เลยเกิดอาการเซ็งเดินเอาไปวางที่เดิม แล้วก็เดินจากมา ขึ้นรถไฟที่สถานี Havre Caumartin แล้วไปลงเปลี่ยนสายที่ Reaumur Sebastopol เพื่อไปลงยังสถานีปลายทาง Porte dOrleans อันเป็นที่ตั้งของโรงแรมเรานั่นเอง (แผนที่เมโทรช่วยท่านได้จริงๆ กับการนั่งรถไฟใต้ดินนะคะ ต้องมีติดมือเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เลยล่ะ ฮา)
กลับถึงโรงแรมตอนพระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน (แต่เวลาก็สองทุ่มกว่าๆ) เอาของไปไว้ ก่อนจะออกมาอีกรอบเพื่อหาอะไรใส่ท้อง อยากไปนั่งกินที่ Café ตรงริมถนน แต่ก็ไม่รู้จะกินอะไร บวกกับราคาค่อนข้างแพง (มื้อหนึ่งประมาณ 20 ยูโร) เราก็เลยตัดสินใจแวะเข้าร้านขายพิซซ่าแบบเทกเอาต์และนั่งกินข้างในได้ คล้ายๆ อาหารจานด่วนน่ะค่ะ ก็จัดการจะสั่งพิซซ่าเพื่อเอากลับไปกินที่โรงแรม แต่ขอโทษ...พูดกันไม่รู้เรื่องค่ะ คนขายเป็นลุงแก่ๆ มีหนวด ลุงโยนให้ลูกมือที่เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี (กรี๊ด) แต่สงสัยสำเนียงเรามันจะแย่เกินไป เขาเลยฟังเราไม่ออก T-T ร้อนถึงลุงอีกคนที่เป็นลูกค้าคนก่อนหน้าเราช่วยฟังให้ (คาดว่าลุงคงไม่ใช่ฝรั่งเศส ขอบคุณมากนะคะลุง) เราก็สั่งพิซซ่า แต่ไม่รู้จะกินหน้าอะไรดี ก็เลยสั่งมั่วๆ เพราะเมนูเป็นภาษาฝรั่งเศส เลือกเอาอันที่อ่านออก (เมนูอยู่บนบอร์ดด้านหลังคนขาย) เราก็สั่งพิซซ่าหน้านโปเลียน (กินมันซะเลย) ราคาหกยูโร รอสักพัก กว่าที่พิซซ่าที่อบใหม่ๆ จะเสร็จ ให้เราถือกลับโรงแรมไป
พอถึงห้องก็จัดการเปิดกิน คำแรกที่เข้าปาก...กรี๊ด นี่มันอะไร ทำไมเค็มเป็นบ้าอย่างนี้ เมื่อสังเกตดูจึงบนว่าบนชีสสีเหลืองนุ่มนั้นเป็นปลาเค็มค่ะ ปลาเค็มผ่าครึ่ง เป็นปลาหมัก Anchovy (ขอโทษท่านอาจารย์ที่สอนวิชา Taxonomy ปลา เพราะ A ที่ได้มาคืนอาจารย์ไปหมดแล้ว จึงลืมไปแล้วว่าชื่อไทยมันคือปลาอะไร แต่ถ้าความทรงจำไม่ผิดเพี้ยน...น่าจะเป็นตระกูลปลากระตักนะคะ) ยัง...มันยังไม่พอกับความเค็มที่ท่านอยากให้ลิ้มลอง เพราะโอลีฟหรือดองสีเขียวขี้ม้าจนเกือบดำถูกผ่าครึ่งและโรยไปทั่วแผ่น กินไปอยากร้องไห้ไป ทำไมมันเค็มแบบนี้ฟ่ะ คนที่นี่เขากินแบบนี้จริงๆ น่ะเหรอ ฝืนกินลงคอไปได้หนึ่งชิ้น ส่วนที่เหลือเราก็จัดการเขี่ยแอนโชวี่กับโอลีฟดองออกไป แล้วก็ทนกล้ำกลืนฝืนกินจนเหลือสองแผ่น (เก็บไว้ทรมานต่อตอนเช้า ของมันแพง อย่ากินทิ้งขว้าง แค่ทิ้งปลากับมะกอกก็เกินพอแล้ว)
ทรมานกับพิซซ่าหน้าปลาเค็มเรียบร้อยแล้ว (เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู) เราก็อาบน้ำอาบท่า ก่อนจะไปดูหอไอเฟล...จากหน้าต่างห้องนอน สี่ทุ่มพอดี ไอเฟลเปิดไฟระยิบระยับ สวยมากๆ
ไอเฟลจากห้องนอน
ซูมมากไปหน่อยภาพเลยอาจจะแตกไปบ้างนะคะ
สวยดี จริงๆ พวก Light up ตอนกลางคืนอยากไปดูหลายที่มากๆ แต่ว่ามันมืดช้า บวกกับว่ามีคนเตือนว่าเที่ยวปารีสคนเดียวอย่ากลับดึกนัก เพราะมันอันตราย ก็เลยต้องเซฟตัวเองด้วยการกลับที่พักเร็วกว่าที่อยากทำน่ะค่ะ เลยไม่ค่อยมีภาพตอนกลางคืนเท่าไหร่
หมดวันยาวๆ ที่เที่ยวแหลกแบบไม่เจียมสังขาร (ปวดขากับเท้ามากๆ เพราะใส่ส้นสูงเดิน) แสนเศร้าใจกับพิซซ่าหน้าปลาเค็มกับมะกอกดอง (ดับเบิ้ลเค็มเลย)
แล้วพบกับวันต่อไป...ทัวร์พิพิธภัณฑ์นะคะ ^^
เด็กทะเล 06.6.18
** ขอบคุณหนังสือคู่มือนักท่องเที่ยวฝรั่งเศสสำหรับข้อมูลนะคะ
Create Date : 18 มิถุนายน 2549 |
Last Update : 19 มิถุนายน 2549 22:17:52 น. |
|
14 comments
|
Counter : 1681 Pageviews. |
|
|
|
โดย: err_or วันที่: 18 มิถุนายน 2549 เวลา:21:13:25 น. |
|
|
|
โดย: TopFee วันที่: 19 มิถุนายน 2549 เวลา:9:56:31 น. |
|
|
|
โดย: arshura (Masaomi ) วันที่: 19 มิถุนายน 2549 เวลา:12:38:12 น. |
|
|
|
โดย: bee_beam IP: 203.113.34.61 วันที่: 21 มิถุนายน 2549 เวลา:10:10:44 น. |
|
|
|
โดย: lily <lovekalo> IP: 124.121.18.130 วันที่: 21 มิถุนายน 2549 เวลา:19:24:47 น. |
|
|
|
โดย: nurin (Nontagorn ) วันที่: 22 มิถุนายน 2549 เวลา:22:43:22 น. |
|
|
|
โดย: zalapao (Beaut ) วันที่: 24 มิถุนายน 2549 เวลา:19:52:21 น. |
|
|
|
โดย: หมวยอี๋ (zephyr_zilch ) วันที่: 26 มิถุนายน 2549 เวลา:21:25:05 น. |
|
|
|
โดย: ecco IP: 202.57.181.143 วันที่: 29 มิถุนายน 2549 เวลา:1:15:33 น. |
|
|
|
โดย: ธารตวัน IP: 58.9.45.119 วันที่: 29 มิถุนายน 2549 เวลา:20:39:12 น. |
|
|
|
โดย: โมเม IP: 202.183.222.7 วันที่: 4 กรกฎาคม 2549 เวลา:17:18:43 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
ตอนใต้ Japan
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]
|
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์ โดยการนำรูปภาพ และบทความงานเขียน รวมทั้งข้อความต่างๆ ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมดในบล็อกแห่งนี้ไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีตามที่กฏหมายบัญญติไว้สูงสุด
|
|
|
|
|
|
|
แต่ว่าเชือกอันกะติ๋ว ไมแพงจังอะ