รายงานผลการตรวจสอบอาวุธเคมีของสหประชาชาติชี้ ยืนยันว่ามีการใช้แก๊สซารินในการโจมตีที่เมืองหลวงซีเรีย เมื่อ 21 ส.ค.จริง แต่ไม่ชี้ชัดว่าฝ่ายใดเป็นผู้ลงมือ...
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 16 ก.ย. ว่า องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เปิดเผยรายงานภารกิจตรวจสอบการใช้อาวุธเคมีในสาธารณรัฐอาหรับซีเรีย ยืนยันว่ามีการใช้อาวุธต้องห้ามดังกล่างในกรุงดามัสกัส เมื่อวันที่ 21 ส.ค.จริง อย่างไม่มีข้อสงสัยและปราศจากอคติ แต่รายงานไม่ชี้ชัดว่ามีผู้เสียชีวิตจำนวนเท่าใด รวมทั้งยังไม่มีการระบุว่า รัฐบาลหรือฝ่ายต่อต้านกันแน่ที่เป็นผู้ใช้อาวุธเคมี
นายบัน คี มูน เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติ กล่าวในงานแถลงข่าวเมื่อวันจันทร์ ว่าเขารับรายงานฉบับนี้มาด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เนื่องจากภารกิจของสหประชาชาติได้ข้อสรุปว่า มีการใช้อาวุธเคมีเป็นวงกว้างในเขตกูตา ของกรุงดามัสกัสเมื่อวันที่ 21 ส.ค. ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากโดยเฉพาะในหมู่พลเมือง จากการเปิดเผยของผู้รอดชีวิต ภายหลังการโจมตีด้วยปืนใหญ่พวกเขาเริ่มมีอาการป่วยรูปแบบต่างๆอย่างรวดเร็ว ทั้งหายใจติดขัด, เกิดอาการมึนงง, ระคายเคืองตาและมองเห็นไม่ชัดเจน, เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน และอาการทั่วไปอื่นๆ หลายคนถึงกับหมดสติ โดยเจ้าหน้าที่ที่เดินทางถึงที่เกิดเหตุเป็นกลุ่มแรกระบุว่า พบเห็นผู้คนนอนเต็มพื้นไปหมด และบ้างส่วนเสียชีวิตแล้ว
นายบัน กล่าวต่อว่า คณะผู้ตรวจสอบจากสหประชาชาติ ได้ตรวจสอบตัวอย่างเลือด, เส้นผม, ปัสสาวะ และเศษซากจรวดที่หลงเหลือ และพบว่าตัวอย่างเลือดกว่า 85% ปนเปื้อนแก๊สพิษซาริน ซึ่งทำให้ได้ข้อสรุปว่า มีการใช้จรวด 'M14' ประเภทพื้นสู่พื้นที่บรรจุสารซาริน โจมตีในเขตกูตาจากพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ เขายังเรียกร้องให้นานาชาติร่วมกันประณามอาชญากรรมที่ชั่วร้ายครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นการโจมตีด้วยอาวุธเคมีครั้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เหตุโจมตีที่เมืองฮาลับจา โดยฝีมือของกองทัพรัฐบาลซัดดัม ฮุซเซน แห่งอิรัก
อย่างไรก็ตาม นายบันระบุว่า การตัดสินว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการใช้อาวุธเคมีครั้งนี้ ไม่ใช่งานของคณะผู้ตรวจสอบแห่งสหประชาชาติ แต่เป็นเรื่องที่ต้องหารือภายในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี)
ขณะที่นายโลรองต์ ฟาเบียส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศส กล่าวว่า เนื้อหาของรายงานฉบับนี้เป็นข้อพิสูจน์ ทำให้ไม่เหลือข้อสงสัยใดๆ ว่า ฝ่ายใดเป็นผู้ลงมือก่อเหตุ
เมื่อสัปดาห์ก่อนสหรัฐฯ และรัสเซียบรรลุข้อตกลงกำหนดกรอบเวลา ให้ซีเรียเปิดเผยรายละเอียดอาวุธเคมีภายใน 1 สัปดาห์ และเตรียมทำลายอาวุธเคมีทั้งหมดภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2014 ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ, อังกฤษ และฝรั่งเศส ต้องการให้สหประชาชาติออกข้อมติที่มีบทลงโทษรุนแรง กรณีซีเรียไม่ยอมทำตามข้อตกลงภายใต้กรอบเวลาที่กำหนดไว้ ส่วนรัสเซียคัดค้านการใช้กฎบัตรสหประชาชาติมาตรา 7 ซึ่งกำหนดบทลงโทษตั้งแต่การประณาม, คว่ำบาตร และใช้กำลังทหาร ทั้งนี้คาดว่ายูเอ็นเอสซีจะร่างข้อมติเกี่ยวกับเรื่องนี้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า.