นายกรัฐมนตรีอินเดีย เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกรัฐบาล ระหว่าง 30-31 พ.ค. นี้ มุ่งยกระดับความสัมพันธ์ไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน...
นายมันโมฮัน ซิงห์ นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดีย เดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐบาล ระหว่างวันที่ 30-31 พ.ค.นี้ ตามคำเชิญของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
โดยรัฐบาลไทยจัดพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 พ.ค. ณ ทำเนียบรัฐบาล และจะหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีสองฝ่าย เพื่อสานต่อความร่วมมือที่ผู้นำทั้งสองประเทศ ได้ประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันเมื่อม.ค. ปีที่แล้ว ที่จะยกระดับความสัมพันธ์ไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) ระหว่างกัน บนพื้นฐานของหลักประชาธิปไตย การเคารพสิทธิมนุษยชน และผลประโยชน์ร่วมในการส่งเสริมการเจริญเติบโตและการพัฒนาอย่างยั่งยืน
นายกรัฐมนตรีทั้งสองจะทบทวนพัฒนาการของความร่วมมือที่มีอยู่ และพิจารณาสาขาความร่วมมือใหม่ ซึ่งทั้งสองประเทศมีผลประโยชน์ร่วมกัน นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีอินเดียและคณะในเย็นวันเดียวกัน ก่อนที่นายกรัฐมนตรีอินเดียและคณะจะเดินทางออกจากประเทศไทยในวันที่ 31 พ.ค.นี้
การเยือนครั้งนี้ เป็นการเยือนประเทศไทยในระดับทวิภาคีอย่างเป็นทางการครั้งแรกของ นายมันโมฮัน ซิงห์ นายกรัฐมนตรีอินเดีย โดยก่อนหน้านี้ นายซิงห์ เคยเดินทางมาประเทศไทย เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอด BIMSTEC ครั้งที่ 1 เมื่อปี 2547 และเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 15 เมื่อปี 2552 ส่วน นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เยือนอินเดียถึง 2 ครั้งในปี 2555 โดยเป็นการเยือนอย่างเป็นทางการเมื่อเดือน ม.ค. ในฐานะแขกเกียรติยศงานเฉลิมฉลองวันสถาปนาสาธารณรัฐของอินเดีย (Republic Day) และเพื่อเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย สมัยพิเศษ เมื่อเดือนธ.ค.
การแลกเปลี่ยนการเยือนแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ระหว่างไทยกับอินเดีย ทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี โดยเฉพาะการสะท้อนถึงนโยบาย มองตะวันตก (Look West) ของไทยที่มุ่งเน้นการกระชับความร่วมมือกับอินเดียและเอเชียใต้ และนโยบาย มองตะวันออก (Look East) ของอินเดียที่ต้องการกระชับความร่วมมือกับไทยและอาเซียน โดยเฉพาะการมุ่งเสริมสร้างความร่วมมือด้านการค้าการลงทุน และการเชื่อมโยง (connectivity) เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศและของภูมิภาคโดยรวม ความร่วมมือที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นระหว่างทั้งสองประเทศจะเป็นประโยชน์ต่อความร่วมมือในระดับภูมิภาคและระดับสากล ในประเด็นที่มีผลประโยชน์ร่วม รวมถึงประเด็นความมั่นคงด้านอาหารและพลังงานเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ไม่ว่าในกรอบองค์การสหประชาชาติ กรอบพหุภาคี และกรอบภูมิภาค.