ย้อนไปดูพฤติกรรมการเกิดเหตุครั้งนั้นกันสักนิดเพราะใช่ว่าจะเป็นเพียงแค่การวางระเบิด แต่เป็นการ ขว้างระเบิด!! ขว้างใส่รถแท็กซี่ ขว้างกันกลางวันแสก ๆ แถมคนร้ายยังพกระเบิดติดตัวออกมาจนพลาดเกิดบึมขึ้นเอง นอนขาขาดร้องครวญคราง จนมีคลิปภาพเผยแพร่ออกมา และแพร่หลายผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กไปอย่างรวดเร็ว คนในสังคมตื่น!!

ณ เวลานั้น มีบางคนคิดว่าหากเหตุไม่เกิดช่วงนั้น แต่ไปเกินในช่วงเย็นกว่านั้นอีกสักหน่อย ช่วงที่บรรดานักเรียนเริ่มจะเลิกเรียนทยอยกลับบ้าน ช่วงที่ผู้คนเลิกงาน ความวินาศอาจจะมากมายยิ่งกว่านี้ก็เป็นได้

หลังเกิดเหตุการเข้าตรวจค้น และการติดตามจับกุมคนร้ายเริ่มสตาร์ตขึ้นในทันที โดยต่างพุ่งไปที่นายฟาอิด โมราติ ผู้ต้องหาชาวอิหร่าน 1 ในกลุ่มคนร้ายที่พลาดท่าโดนระเบิดของตนเองจนต้องเสียขาไป และตามมาด้วยการเข้าค้นบ้านที่เช่าพักด้วยความระทึก อันเนื่องมาจากไม่มีใครรู้ว่าจะมีระเบิดอะไรถูกซุกซ่อนไว้ในบ้านอีกหรือไม่ รวมไปถึงการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในพื้นที่ทั้งหมด เพื่อหารูปพรรณสัณฐานของคนที่เกี่ยวข้องในงานนี้ทั้งหมด

เวลาผ่านไปไม่นาน เจ้าหน้าที่ตำรวจตามจับกุมตัวนาย โมฮัมเม็ด ฮาซาอี เพื่อนร่วมชาติ นายฟาอิดได้อีก 1 รายที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ขณะเตรียมจะเดินทางออกนอกประเทศโดยมีเป้าหมายที่ประเทศมาเลเซีย โดยยังเหลือผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องอีก 3 คน คือนายมาซูด เซดากัด ซาเดห์ ที่ภายหลังถูกจับกุมได้ที่ประเทศมาเลเซีย และอยู่ระหว่างการรอส่งตัวกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย และนายนูโรซิ ซายัน อารี อัคบาร์ กับ น.ส.ไลล่า โรฮานี ที่สามารถรอดหนีกลับประเทศอิหร่านไปได้สำเร็จ...

ขณะที่จากการตรวจสอบรายละเอียดต่าง ๆ ของวัตถุระเบิด เช่น แม่เหล็กที่พบนั้น มีความพยายามโยงเนื้อหาเข้าสู่เหตุการณ์ลอบวางระเบิดรถยนต์คณะทูตอิสราเอล ที่ประเทศอินเดียที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นไม่นาน โดยตั้งข้อสังเกตว่าส่วนประกอบระเบิดมีบางอย่างที่พบในเหตุการณ์ระเบิดที่อินเดียด้วย งานนี้จึงถูกมองว่าเป็นเรื่องใหญ่ข้ามชาติ มากกว่าเหตุระเบิดธรรมดาไปเสียแล้ว ซ้ำไปกว่านั้นนายเอฮุด บารัต รมว.กลาโหมของอิสราเอล ออกมาแถลงระหว่างการเยือนสิงคโปร์อย่างเป็นทางการอีกด้วย โดยกล่าวหาอิหร่านอยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดในประเทศไทย และย้ำว่าเหตุระเบิดในกรุงเทพฯ เป็นบทพิสูจน์อีกครั้ง ว่าอิหร่าน และตัวแทนของอิหร่าน ยังคงก่อการร้ายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพของภูมิภาคและของโลก

เหตุการณ์นี้จึงนับว่าเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและถูกหยิบยกสู่เวทีโลกไปเรียบร้อย ภายใต้หัวข้อเรื่อง "การก่อการร้าย" จนบัดนี้เวลาล่วงเลยมาปีเศษ ชื่อของประเทศไทยกับหัวข้อการก่อการร้ายในความรู้สึกของคนทั่วไปก็เริ่มลดความเข้ม สู่สถานะจาง ๆ ไปโดยปริยาย

ส่วนในทางคดีที่ต้องดำเนินการต่อนั้น 2 ผู้ต้องหาที่ถูกติดตามจับกุมตัวได้ ศาลอาญากรุงเทพใต้ได้มีคำพิพากษาออกมาเมื่อวันที่ 22 ส.ค.2556 โดยพิพากษาจำคุกนายซาอิด โมราติ ตลอดชีวิต พร้อมให้ชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจากเหตุระเบิดดังกล่าวแก่ บ.ทรู เป็นเงิน 6,691 บาท จากกรณีที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะที่อยู่ใกล้เคียงได้รับความเสียหาย และปรับเป็นเงิน 100 บาท ข้อหาพกพาอาวุธ และพิพากษาจำคุกนายโมฮัมเม็ด ฮาซาอี 15 ปี รวมถึงให้ชดใช้ค่าเสียหายเจ้าของบ้านเช่าที่ถูกระเบิดพังเสียหายอีก 2 ล้านบาท 

ส่วนผู้ต้องหาอีก 3 รายนั้น 1 รายอยู่ระหว่างจำเลยอุทธรณ์คดีส่งตัวข้ามแดนที่ประเทศมาเลเซีย และอีก 2 รายที่กลับอิหร่านได้สำเร็จ ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการติดตามตัวมาดำเนินคดีแต่อย่างใด

แต่….!! ปม "ก่อการร้าย" ในประเทศไทย สิ้นสุดลงเท่านี้เองหรือ …??

ต้องทิ้งท้ายไว้อย่างหนังที่มีภาคต่อให้ต้องขบคิดถึงความเชื่อมโยงต่อไปว่า ...

การอ่านคำพิพากษาคดีนี้มีเอกอัครราชทูตอิสราเอล ประจำประเทศไทยร่วมรับฟังด้วยเช่นกัน....?