"ความสามัคคีปรองดอง เป็นกำลังอย่างสูงสุดของชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ความสามัคคีของคนในชาติ จะทำให้บ้านเมืองผ่านพ้นอุปสรรค และทำให้สังคมไทย ร่มเย็นเป็นสุข" พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
สนใจลงโฆษณา ในพื้นที่ข้างบน ติดต่อ email : nana_sara1000@ymail.com
Home Lover’s Corner นานา สาระ๑๐๐๐ นานา สารพัด พระพุทธประวัติ ภาคพิเศษ
Travel Around the World Real Estate Buyer's Guide สุขภาพกาย สุขภาพใจ Pets & Animals
ปางพระพุทธรูปตามพุทธประวัติ Horoscope 12 ราศี พระพุทธศาสนา World of Beautiful Musics
พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล


พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล
วัดเลียบ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี


ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย

พระอาจารย์เสาร์ ฉายา กนตสีโล เกิด ณ วันจันทร์ แรม ๔ ค่ำ เดือนยี่ ปีระกา ตรงกับ วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๔๐๒ ที่บ้านข่าโคม ตำบลหนองขอน อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี

เนื่องจากท่าน เป็นพระวิปัสสนากรรมฐานรุ่นแรกๆแต่ครั้งอดีต ก่อนที่จะมีการบันทึกจดจำประวัติของท่านได้โดยละเอียดถี่ถ้วน จึงทำให้ทราบแต่เพียงชีวประวัติย่อเท่านั้น เพราะคนไทยไม่ค่อยนิยมการเขียน หรือบันทึกเรื่องราวต่างๆ มาในอดีต โดยเฉพาะในส่วนของประชาชนทั่วไป เมืองไทยจึงค้นหาประวัติ หรือบันทึกต่างๆ ได้ยาก








ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรมและปฏิปทา


ภายหลังที่หลวงปู่เสาร์ ท่านได้สละเพศ ฆราวาสแล้ว ท่านอุปสมบท ที่วัดใต้ จังหวัด อุบลราชธานี ภายหลังต่อมา ได้ญัตติเป็นพระธรรมยุต ที่วัดศรีทอง (วัดศรีอุบลรัตนาราม ปัจจุบัน) มีพระครูทา โชติปาโล เป็นพระอุปัชฌายะ เจ้าอธิการสีทา ชยเสโน เป็นพระกรรมวาจาจารย์

ท่านนับเป็นผู้มีอัธยาศัย น้อมไปในสมาธิวิปัสสนา และพอใจที่จะแนะนำสั่งสอนผู้อื่นในทางนั้นด้วย เป็นผู้ใฝ่ใจในธุดงควัตร หนักแน่นในพระธรรมวินัย ชอบวิเวก ไม่ติดถิ่นที่อยู่ และท่านได้รับความสงบใจในการปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง
หลวงปู่เสาร์ กนตสีโล เจริญธรรมโดยลำดับ แห่งองค์ภาวนา ต่อมาท่านมีความคิดว่า การที่ท่านปฏิบัติภาวนาอยู่นี้ ก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ แต่ทางที่ดี ควรออกไปอยู่ป่าดง หาสถานที่สงบจากผู้คน จิตใจคงจะสงบกว่านี้ เป็นแน่แท้ ดังนั้น ท่านได้ออกธุดงค์ มุ่งสู่ป่าทันทีในวันรุ่งขึ้น ความปรารถนาของท่าน ก็เพื่อภาวนา และ พิจารณาสมาธิธรรม ถ้าแม้เป็นจริง ดังความตั้งใจแล้ว เมื่อกลับเข้าสู่วัด ท่านจะนำความรู้ ที่เกิดจากจิตใจเหล่านั้น มาเผยแผ่ยังผู้ที่หวังซึ่งความพ้นทุกข์ต่อไป

ภายหลังจาก หลวงปู่เสาร์ กนตสีโล ไปอยู่ป่าดง ฝึกฝนจิตใจ เจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา จำพรรษา ในท่ามกลาง สิงสาราสัตว์ ในหุบเขาถ้ำลึก เป็นเวลาอันสมควร ท่านจึงได้ ออกมาเปิดสำนักปฏิบัติธรรม ในวัดเลียบ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี









ในสมัยก่อนนั้น มีพระสงฆ์ฆราวาส ที่สนใจกันอย่างจริงจังไม่มากนัก ถึงกระนั้น ท่านก็ไม่ได้ลดละความพยายาม ท่านก็ได้ตั้งอกตั้งใจ ในการสอนอบรมผู้สนใจในธรรม ให้เกิดความรู้แจ้ง แก่ผู้ปฏิบัติ เพื่อเป็นหลักยืนยันว่า การเจริญศีล สมาธิ ปัญญา นี้ เป็นความสงบ และสามารถทำตนให้หลุดพ้นได้จริง
สหธรรมิกคู่หูของ หลวงปู่เสาร์ ก็คือ พระปัญญาพิศาลเถร (หนู) เป็นคนเกิดในเมืองอุบลฯ ท่านออกเดินธุดงค์ร่วมกับหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ท่านมีลูกศิษย์ที่สำคัญคือ "ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต"

ท่านสอน สอนสมาธิ โดยให้ ภาวนาพุทโธ ให้ตั้งใจภาวนาพุทโธ จริงๆ ไม่เฉพาะแต่เวลาเราจะมานั่งอย่างเดียว จะยืน จะเดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ ใจนึกพุทโธ ไว้ให้ตลอดเวลา ไม่ต้องเลือกว่า เวลานี้เราจะภาวนาพุทโธ เวลานี้เราจะไม่ภาวนาพุทโธ ท่านสอนให้ภาวนาทุกลมหายใจ แม้เข้าห้องน้ำก็ต้องภาวนา บางคนก็จะไปข้องใจว่า ภาวนาพุทโธ ในห้องน้ำห้องส้วม มันจะไม่บาปหรือ ท่านว่า ไม่บาป ธรรมะเป็นอกาลิโก ไม่เลือกกาล เลือกเวลา พระองค์เทศน์สอนไว้แล้ว ถ้ายิ่งเข้าในห้องน้ำ ห้องส้วมน่ะ ยิ่งภาวนาดี เพราะมันมีสิ่งประกอบ สิ่งที่จะทำให้เรามองเห็นสิ่งปฏิกูล น่าเกลียด โสโครก มันก็แสดงออกมาให้เราเห็น แล้วเราภาวนา พุทโธ พุทโธ แปลว่ารู้ รู้ในสิ่งที่เราทำอะไรอยู่ในขณะนั้น

ถ้าหากว่าท่านผู้ใดเชื่อในคำแนะนำของหลวงปู่ท่าน ไปภาวนาพุทโธอย่างเอาจริงเอาจัง ส่วนใหญ่จะไม่เกิน ๗ วัน บางคนเพียงครั้งเดียวจิตสงบ สว่าง รู้ ตื่น เบิกบานขึ้นมา ทีนี้เมื่อภาวนาจิตเป็นสมาธิเวลามาถามท่าน ภาวนาพุทโธแล้ว จิตของฉันนี่ตอนแรกๆ มันมีอาการเคลิ้มๆ เหมือนกับจะง่วงนอน ทีนี้มันสะลึมสะลือ เหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น

พอเผลอๆ จิตมันวูบลงไปสว่างตูมขึ้นมา เหมือนกับมันมองเห็นทั่วหมดในห้อง จนตกใจว่า แสงอะไรมันมาสว่างไสว พอตกใจแล้ว สมาธิถอน ลืมตาแล้วความมืดมันก็มาแทนที่ อันนี้เป็นจุดสำคัญ คือถ้าจิตของเราได้สัมผัสกับสิ่งแปลกใหม่ มันจะเกิดความตื่นตกใจหรือเกิดเอะใจขึ้นมา แต่ถ้าหากว่าเราไม่เกิดการตื่นใจหรือเกิดตกใจเกิดเอะใจ จิตของเราสามารถมีสติประคับประคองรู้อยู่โดยธรรมชาติจิตมันก็สงบนิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน มีปีติ มีความสุข







ทำไมหลวงปู่เสาร์สอนภาวนาพุทโธ
เพราะพุทโธเป็นกิริยาของใจ


หลวงพ่อพุธ เคยแอบถามท่านว่า ทำไมจึงต้องภาวนา พุทโธ ท่านก็อธิบายให้ฟังว่าที่ให้ภาวนาพุทโธนั้น เพราะพุทโธ เป็นกิริยาของใจ ถ้าเราเขียนเป็นหนังสือ เราจะเขียน พ-พาน-สระ อุ-ท-ทหาร สะกด สระ โอ ตัว ธ-ธง อ่านว่า พุทโธ อันนี้เป็นเพียงแต่คำพูด เป็นชื่อของคุณธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อจิตภาวนาพุทโธแล้วมันสงบวูบลงไปนิ่งสว่างรู้ตื่นเบิกบาน

พอหลังจากคำว่า พุทโธ มันก็หายไปแล้ว ทำไมมันจึงหายไป เพราะจิตมันถึงพุทโธแล้ว จิตกลายเป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นคุณธรรมที่ทำจิตให้เป็นพุทธะ เกิดขึ้นในจิตของท่านผู้ภาวนา พอหลังจากนั้น จิตของเรา จะหยุดนึกคำว่า พุทโธ แล้วก็ไปนิ่ง รู้ ตื่น เบิกบาน สว่างไสว กายเบา จิตเบา กายสงบ จิตสงบ มันแถมมีปีติ มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

“ อันนี้มันเป็น พุทธะ พุทโธ โดยธรรมชาติ เกิดขึ้นที่จิตแล้ว พุทโธ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นกิริยาของจิต มันใกล้กับความจริง แล้วทำไมเราจึงมาพร่ำบ่น พุทโธๆๆ ในขณะที่จิตเราไม่เป็นเช่นนั้น ที่เราต้องมาบ่นว่า พุทโธนั่น ก็เพราะว่า เราต้องการจะพบพุทโธ ”

“ ในขณะที่พุทโธยังไม่เกิดขึ้นกับจิตนี้ เราก็ต้องท่องพุทโธๆๆๆ เหมือนกับว่าเราต้องการจะพบเพื่อนคนใดคนหนึ่ง เมื่อเรามองไม่เห็นเขา หรือเขายังไม่มาหาเรา เราก็เรียกชื่อเขา ทีนี้ในเมื่อเขามาพบเราแล้ว เราได้พูดจาสนทนากันแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปเรียกชื่อเขาอีก ถ้าขืนเรียกซ้ำๆ เขาจะหาว่าเราร่ำไร ประเดี๋ยวเขาด่าเอา ”

ทีนี้ในทำนองเดียวกัน ในเมื่อเรียก พุทโธๆๆ เข้ามาในจิตของเรา เมื่อจิตของเราได้เกิดเป็นพุทโธเอง คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จิตของเราก็หยุดเรียกเอง ทีนี้ถ้าหากว่าเรามีความรู้สึกอันหนึ่งแทรกขึ้นมา เอ้า... ควรจะนึกถึงพุทโธอีก พอเรานึกขึ้นมาอย่างนี้ สมาธิของเราจะถอนทันที แล้วกิริยาที่จิตมันรู้ ตื่น เบิกบาน จะหายไป เพราะสมาธิถอน

ทีนี้ตามแนวทางของครูบาอาจารย์ที่ท่านแนะนำพร่ำสอน ท่านจึงให้คำแนะนำว่า เมื่อเราภาวนาพุทโธไป จิตสงบวูบลง นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่านก็ให้ประคองจิต ให้อยู่ในสภาพปกติอย่างนั้น ถ้าเราสามารถประคองจิตให้อยู่ในสภาพอย่างนั้นได้ตลอดไป จิตของเราจะค่อยสงบ ละเอียดๆๆ ลงไป

ในช่วงเหตุการณ์ต่างๆ มันจะเกิดขึ้น ถ้าจิตส่งกระแสออกนอก เกิดมโนภาพ ถ้าวิ่งเข้ามาใน จะเห็นอวัยวะภายในร่างกายทั่วหมด ตับ ไต ไส้ พุง เห็นหมด แล้วเราจะรู้สึกว่ากายของเรานี่ เหมือนกับแก้วโปร่ง ดวงจิตที่สงบ สว่างเหมือนกับดวงไฟ ที่เราจุดไว้ในพลบครอบ แล้วสามารถเปล่งรัศมีสว่างออกมารอบๆ จนกว่าจิตสว่างไสวอยู่ดวงเดียว ร่างกายตัวตนหายหมด ถ้าหากจิตดวงนี้มีสมรรถภาพพอ ที่จะเกิดความรู้ความเห็นอะไรได้ จิตจะย้อนกายลงมาเบื้องล่าง เห็นร่างกายตัวเองนอนตายเหยียดยาวอยู่ ขึ้นอึดเน่าเปื่อยผุพังสลายตัวไป








สมาธิในอริยมรรคอริยผล
สงบละเอียดเรียวไปเหมือนปลายเข็ม


ทีนี้ถ้าหากว่า จิตย้อนมามอง รู้เห็นอย่างนี้ จิตของผู้นั้นเดินทางถูกต้องตามแนวทางอริยมรรค อริยผล ถ้าหากว่า สงบ สว่าง นิ่ง รู้ ตื่น เบิกบาน ร่างกายตัวตนหาย แล้วก็สงบละเอียด เรียวไปเหมือนปลายเข็ม อันนี้เรียกว่า สมาธิขั้นฌานสมาบัติ ไปแบบฤาษีชีไพร

ถ้าหากจิตของผู้ปฏิบัติ ไปติดอยู่ในสมาธิแบบฌานสมาบัติ มันก็เดินฌานสมาบัติ ทีนี้ฌานสมาบัตินี้มันเจริญง่าย แล้วก็เสื่อมง่าย ในเมื่อมันเสื่อมไปแล้ว มันก็ไม่มีอะไรเหลือ แต่ถ้าหากสมาธิแบบอริยมรรค อริยผลนี้ ในเมื่อเราได้สมาธิ ซึ่งเกิดภูมิความรู้ ความเห็น เช่น เห็นร่างกายเน่าเปื่อยผุพังสลายตัวไปแล้ว ภายหลังจิตของเรา ก็จะบอกว่าร่างกายเน่าเปื่อยเป็นของปฏิกูลก็ได้ อสุภกรรมฐาน เนื้อหนังพังลงไปแล้วยังเหลือแต่โครงกระดูกก็ได้ อัฐิกรรมฐาน ทีนี้เมื่อโครงกระดูกสลายตัวแหลกไปในผืนแผ่นดิน จิตก็สามารถกำหนดรู้ ได้ ธาตุกรรมฐาน

แต่เมื่อในช่วงที่จิตเป็นไปนี่ จิตจะไม่มีความคิด ต่อเมื่อถอนจากสมาธิมาแล้ว สิ่งรู้หายไปหมด พอรู้ว่ามันมาสัมพันธ์กับกายเท่านั้นเอง จิตตรงนี้จะอธิบายให้ตัวเองฟังว่า นี่คือการตาย ตายแล้วมันก็ขึ้นอืด น้ำเหลืองไหล เนื้อหนังพังไปเป็นของปฏิกูล น่าเกลียดโสโครก ในเมื่อเนื้อหนังพังไปหมดแล้วก็ยังเหลือแต่โครงกระดูก ทีนี้โครงกระดูกมันก็แหลกละเอียดหายจมลงไปในผืนแผ่นดิน ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น ก็เพราะเหตุว่าร่างกายของคนเรานี้ มันมีแต่ธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไหนเล่าสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา มีที่ไหน

ถ้าจิตมันเกิดภูมิความรู้ขึ้นมาอย่างนี้ ภาวนาในขณะเดียว ความเป็นไปของจิตที่รู้เห็นไปอย่างนี้ได้ ทั้งอสุภกรรมฐาน อัฐิกรรมฐาน ธาตุกรรมฐาน ประโยคสุดท้าย ไหนเล่าสัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา มีที่ไหน จิตรู้อนัตตา เรียกว่า อนัตตานุปัสสนาญาณ ภาวนาทีเดียวได้ทั้งสมถะ ได้ทั้งวิปัสสนา







หลักสมถวิปัสสนาของหลวงปู่เสาร์
พิจารณากายแยกออกเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ


หลักการสอน ท่านอาจารย์ก็สอนในหลักของสมถวิปัสสนา ดังที่เราเคยได้ยินได้ฟังกันมาแล้ว แต่ท่านจะเน้นหนักในการสอน ให้เจริญพุทธคุณเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเจริญพุทธคุณจนคล่องตัว จนชำนิชำนาญแล้ว ก็สอนให้พิจารณากายคตาสติ เมื่อสอนให้พิจารณากายคตาสติ พิจารณาอสุภกรรมฐาน จนคล่องตัวจนชำนิชำนาญแล้ว ก็สอนให้พิจารณาธาตุกรรมฐาน

ให้พิจารณาแยกกาย แยกออกเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วก็พยายามพิจารณาว่า ในร่างกายของเรานี้ ไม่มีอะไร มีแต่ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมกันอยู่เท่านั้น หาสัตว์บุคคล ตัวตนเราเขาไม่มี ในเมื่อฝึกฝนอบรมให้พิจารณาจนคล่องตัว จิตก็จะมองเห็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน คือ เห็นว่าร่างกายนี้ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน เป็นอนัตตาทั้งนั้น จะว่ามีตัวมีตน ในเมื่อแยกออกไปแล้ว มันก็มีแต่ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ

สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขาไม่มี แต่อาศัยความประชุมพร้อม ของธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ มีปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิวิญญาณ มายึดครองอยู่ในร่างอันนี้ เราจึงสมมติบัญญัติว่า สัตว์บุคคลตัวตน เราเขา อันนี้เป็นแนวการสอนของพระอาจารย์เสาร์ พระอาจารย์มั่นและพระอาจารย์สิงห์ การพิจารณาเพียงแค่ว่า พิจารณากายคตาสติก็ดี พิจารณาธาตุกรรมฐานก็ดี ตามหลักวิชาการ ท่านว่าเป็นอารมณ์ของสมถกรรมฐาน แต่ท่านก็ย้ำให้พิจารณาอยู่ในกายคตาสติกรรมฐาน กับธาตุกรรมฐานนี้เป็นส่วนใหญ่

ที่ท่านย้ำๆ ให้พิจารณาอย่างนั้น ก็เพราะว่าทำให้ภูมิจิต ภูมิใจ ของนักปฏิบัติ ก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสสนาได้เร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพิจารณากายคตาสติ แยก ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น ออกเป็นส่วนๆ เราจะมองเห็นว่าในกายของเรานี้ ก็ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน มันเป็นเพียง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูกเท่านั้น

ถ้าว่ากายนี้เป็นตัวเป็นตน ทำไมจึงจะเรียกว่าผม ทำไมจึงจะเรียกว่าขน ทำไมจึงจะเรียกว่าเล็บ ว่าฟัน ว่าเนื้อ ว่าเอ็น ว่ากระดูก ในเมื่อแยกออกไปเรียกอย่างนั้นแล้ว มันก็ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา นอกจากนั้นก็จะมองเห็นอสุภกรรมฐาน เห็นว่าร่างกายนี้เต็มไปด้วยของปฏิกูลน่าเกลียดโสโครก น่าเบื่อหน่าย ไม่น่ายึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นอัตตาตัวตน

แล้วจึงพิจารณาบ่อยๆ พิจารณาเนืองๆ จนกระทั่งจิตเกิดความสงบ สงบแล้วจิตจะปฏิวัติตัว ไปสู่การพิจารณาโดยอัตโนมัติ ผู้ภาวนาก็เริ่มจะรู้แจ้งเห็นจริง ในความเป็นจริงของร่างกายอันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิจารณาธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ พิจารณากายแยกออกเป็นส่วนๆ ส่วนนี้เป็นดิน ส่วนนี้เป็นน้ำ ส่วนนี้เป็นลม ส่วนนี้เป็นไฟ

เราก็จะมองเห็นว่าร่างกายนี้ สักแต่ว่าเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ สัตว์บุคคล ตัวตนเราเขาไม่มี ก็ทำให้จิตของเรามองเห็นอนัตตาได้เร็วขึ้น เพราะฉะนั้น การเจริญกายคตาสติก็ดี การเจริญธาตุกรรมฐานก็ดี จึงเป็นแนวทางให้จิตดำเนินก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสสนาได้

และอีกอันหนึ่งอานาปานสติ ท่านก็ยึดเป็นหลักการสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรรมฐานอานาปานสติ การกำหนดพิจารณากำหนดลมหายใจนั้น จะไปแทรกอยู่ทุกกรรมฐาน จะบริกรรมภาวนาก็ดี จะพิจารณาก็ดี ในเมื่อจิตสงบลงไป ปล่อยวางอารมณ์ที่พิจารณาแล้ว ส่วนใหญ่จิตจะไปรู้อยู่ที่ลมหายใจเข้าออกอยู่เป็นปกติ

จิตเอาลมหายใจเป็นสิ่งรู้ สติเอาลมหายใจเป็นสิ่งระลึก ลมหายใจเข้าออกเป็นไปตามปกติของร่างกาย เมื่อสติไปจับอยู่ที่ลมหายใจ ลมหายใจก็เป็นฐานที่ตั้งของสติ ลมหายใจเป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องด้วยกาย สติไปกำหนดรู้อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก จดจ่ออยู่ที่ตรงนั้น วิตกถึงลมหายใจ มีสติรู้พร้อมอยู่ในขณะนั้น จิตก็มีวิตกวิจารอยู่กับลมหายใจ

เมื่อจิตสงบลงไป ลมหายใจก็ค่อยละเอียดๆ ลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุด ลมหายใจก็หายขาดไป เมื่อลมหายใจหายขาดไปจากความรู้สึก ร่างกายที่ปรากฏว่ามีอยู่ก็พลอยหายไปด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าลมหายใจยังไม่หายขาดไป กายก็ยังปรากฏอยู่ เมื่อจิตตามลมหายใจเข้าไปข้างใน จิตจะไปสงบนิ่งอยู่ในท่ามกลางของกาย แล้วก็แผ่รัศมีออกมารู้ทั่วทั้งกาย

จิตสามารถที่จะมองเห็นอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายได้หมดทั้งตัว เพราะลมย่อมวิ่งเข้าไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย ลมวิ่งไปถึงไหนจิตก็รู้ไปถึงนั่น ตั้งแต่หัวจรดเท้า ตั้งแต่เท้าจรดหัว ตั้งแต่แขนซ้ายแขนขวา ขาขวาขาซ้าย เมื่อจิตตามลมหายใจเข้าไปแล้ว จิตจะรู้ทั่วกายหมด ในขณะใด กายยังปรากฏอยู่ จิตสงบอยู่ สงบนิ่ง รู้สว่างอยู่ในกาย วิตก วิจารณ์ คือจิตรู้ อยู่ภายในกาย สติก็รู้พร้อมอยู่ในกาย

ในลำดับนั้น ปีติและความสุขย่อมบังเกิดขึ้น เมื่อปีติและความสุขบังเกิดขึ้น จิตก็เป็นหนึ่ง นิวรณ์ ๕ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจกิจฉา ก็หายไป จิตกลายเป็นสมถะ มีพลังพอที่จะปราบนิวรณ์ ๕ ให้สงบระงับไป ผู้ภาวนาก็จะมองเห็นผลประโยชน์ ในการเจริญสมถกรรมฐาน นี่เป็นปฏิปทาย่อๆ ของครูบาอาจารย์ที่นำมาเล่าเพื่อจะเป็นประโยชน์แก่สหธรรมมิก


ทีนี้หลักบริกรรมภาวนาพุทโธ เมื่อบริกรรมภาวนาพุทธโธ ทำจิตให้เป็นสมาธิคล่องตัวจนชำนิชำนาญพอสมควรแล้ว เพื่อจะให้จิตมีสติปัญญาก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสสนา

อันดับที่ ๒ ท่านให้พิจารณา กายคตาสติ ให้พิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ให้มองเห็นเป็นสิ่งปฏิกูลน่าเกลียดโสโครก การพิจารณากายคตาสติ ท่านถือคติเป็น ๒ อย่าง อย่างหนึ่งพิจารณาไปโดยอนุโลม ไปตามลำดับจนครบอาการ ๓๒ และอีกอย่างหนึ่ง ท่านให้พิจารณาเพียงอย่างเดียว คือ ให้กำหนดจดจ้องมองดูที่บริเวณหน้าอก แล้วกำหนดจิต ลอกหนังออก ลอกเนื้อออก มองไปให้ถึงกระดูก

พิจารณากลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น จนจิตเชื่อมั่นว่า มีกระดูกอยู่ที่ตรงนี้ ในอันดับต่อไป ท่านก็ให้บริกรรมภาวนาอัฐิ ๆ ๆ แล้วก็จ้องความรู้สึกของจิต ลงไปในบริเวณหน้าอก พยายามทำบ่อยๆ ทำเนืองๆ ทำให้มากๆ ในที่สุด เมื่อจิตสงบลงไปแล้ว จะได้นิมิตมองเห็นโครงกระดูก บริเวณหน้าอก หรือโดยทั่วตัว ในเมื่อเห็นโครงกระดูกขึ้นมาแล้ว ก็เพ่งจ้องมองดูที่โครงกระดูก จนกระทั่งโครงกระดูกมันแหลกละเอียด สลายตัวไป หรือได้อสุภกรรมฐาน ในเมื่อพิจารณาอสุภกรรมฐาน รู้จริงเห็นจริง เป็นอุบายระงับราคะ ความกำหนัดยินดี ไม่ให้เกิดขึ้นกลุ้มรุมจิตใจ เพื่อจะได้มีโอกาสบำเพ็ญเพียรภาวนาในขั้นต่อไป

จากนั้น พระอาจารย์เสาร์ ท่านสอนให้พิจารณาร่างกาย ให้มองเห็นด้วยความเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ คือแยกออกไปว่า ร่างกายนี้มีแต่ดิน แต่น้ำ แต่ลม แต่ไฟ เมื่อแยกออกไปแล้ว ก็ไม่มีสัตว์บุคคล ตัวตน เราเขา พิจารณาให้มองเห็นเป็นนิมิต ว่าร่างกายนี้มีแต่ดิน น้ำ ลม ไฟ กันแท้จริง จนกระทั่งจิตยอมรับว่า สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ในดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่มีความเป็นคนเป็นสัตว์ เพราะอาศัยดิน น้ำ ลม ไฟ ยังคุมกันอยู่ มีปฏิสนธิวิญญาณ มายึดครองโดยความเป็นเจ้าของ เพราะอาศัยกิเลสตัณหา อุปทาน กรรม จึงทำให้เราเกิดยึดมั่นถือมั่นว่า อัตตาตัวตน ยึดว่าของเราของเขา ร่างกายของเราของเขา

ในเมื่อเห็นว่าร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ หาสัตว์ บุคคลตัวตนเราเขาไม่มี ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จิตของผู้ภาวนา ก็ได้อนัตตานุปัสสนาญาณ เห็นว่าร่างกายเป็นอนัตตาหมดทั้งสิ้น ภูมิจิตภูมิใจ ก็ก้าวขึ้นสู่ภูมิธรรมเองโดยอัตโนมัติ อันนี้เป็นปฏิปทาของท่านอาจารย์เสาร์ และท่านอาจารย์มั่น ที่ หลวงพ่อพุธ ได้ฟังมา และนำมาเล่า เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่วงการนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย








ปฏิปทาและธรรม ของท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล


เวลาท่านพระอาจารย์มั่น ออกเที่ยวธุดงคกรรมฐานทางภาคอีสาน ตามจังหวัดต่างๆ ในระยะต้นวัย ท่านมักจะไปกับท่านพระอาจารย์เสาร์เสมอ แม้ความรู้ทางภายในจะมีแตกต่างกันบ้างตามนิสัย แต่ก็ชอบไปด้วยกัน สำหรับท่านพระอาจารย์เสาร์ ท่านเป็นคนไม่ชอบพูด ไม่ชอบเทศน์ ไม่ชอบมีความรู้แปลกๆ ต่างๆ กวนใจ เหมือนท่านพระอาจารย์มั่น

เวลาจำเป็นต้องเทศน์ ท่านก็เทศน์เพียงประโยคหนึ่งหรือสองเท่านั้น แล้วก็ลงธรรมาสน์ไปเสีย ประโยคธรรมที่ท่านเทศน์ซึ่งพอจับใจความได้ว่า " ให้พากันละบาปและบำเพ็ญบุญ อย่าให้เสียชีวิตลมหายใจไปเปล่า ที่ได้มีวาสนามาเกิดเป็นมนุษย์ " และ " เราเกิดเป็นมนุษย์มีความสูงศักดิ์มาก แต่อย่านำเรื่องของสัตว์มาประพฤติ มนุษย์ของเราจะต่ำกว่าสัตว์ และจะเลวกว่าสัตว์อีกมาก เวลาตกนรกจะตกหลุมที่ร้อนกว่าสัตว์มากมาย อย่าพากันทำ " แล้วก็ลงธรรมาสน์ไปกุฏิ โดยไม่สนใจกับใครต่อไปอีก

ปกตินิสัยของท่านเป็นคนไม่ชอบพูด พูดน้อยที่สุด ทั้งวันไม่พูดอะไรกับใครเกิน ๒ - ๓ ประโยค เวลานั่งก็ทนทานนั่งอยู่ได้เป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมง เดินก็ทำนองเดียวกัน แต่ลักษณะท่าทางของท่าน มีความสง่าผ่าเผย น่าเคารพเลื่อมใสมาก มองเห็นท่านแล้วเย็นตาเย็นใจไปหลายวัน ประชาชนและพระเณร เคารพเลื่อมใสท่านมาก ท่านมีลูกศิษย์มากมายเหมือนท่านพระอาจารย์มั่น








หลวงปู่เสาร์สอนทำอะไรให้เป็นเวลา
ให้ทำวัตร นอน ๔ ทุ่ม ตื่นตี ๓


ท่านอาจารย์หลวงปู่เสาร์ ท่านเป็นสาวกแบบชนิดที่ว่าเป็นพระประเสริฐ ท่านสอนธรรมนี้ท่านไม่พูดมาก ท่านชี้บอกให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่การปฏิบัติของท่านนี้ ท่านเอาการปฏิบัติแทนการสอนด้วยปาก ผู้ที่ไปอยู่ในสำนักท่าน ก่อนอื่นท่านจะสอนให้ทำวัตร นอน ๔ ทุ่ม ตื่นตี ๓ นี่เป็นข้อแรกที่ต้องทำให้ได้ก่อน

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เคยเรียนถามท่านว่า “ หลวงปู่ทำไม สอนอย่างนี้ ” การนอนเป็นเวลา ตื่นเป็นเวลา ฉันเป็นเวลา อาบน้ำเข้าห้องน้ำเป็นเวลา มันเป็นอุบายสร้างพลังจิต แล้วทำให้เรามีความจริงใจ แต่นักปฏิบัติทั้งหลายไม่ได้ทำอย่างนี้ แม้แต่นักสะกดจิต เขาก็ยังยึดหลักอันนี้ มีอยู่คำหนึ่ง ที่หลวงพ่อไม่เคยลืม เป็นหลักปฏิบัติที่เวลาไปปฏิบัติ ท่านจะพูดขึ้นมาลอยๆ ว่า " เวลานี้จิตข้ามันไม่สงบ มันมีแต่ความคิด " ก็เลยถามว่า "จิตมันฟุ้งซ่านหรือไงอาจารย์ " "ถ้าให้มันหยุดนิ่งมันก็ไม่ก้าวหน้า" กว่าจะเข้าใจความหมายของท่านก็ใช้เวลาหลายปี ท่านหมายความว่า เวลาปฏิบัติถ้าจิตมันหยุดนิ่งก็ปล่อยให้มันหยุดนิ่งไป อย่าไปรบกวนมัน ถ้าเวลามันจะคิดก็ให้มันคิดไป เราเอาสติตัวเดียว เป็นตัวตั้งเป็นตัวตี

คำพระธรรมเทศนา โดยพระอาจารย์บุญเพ็ง เขมาภิรโต แสดงที่ วัดถ้ำกลองเพล เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๓๒ เรื่อง “ปฏิปทาของพระกรรมฐาน” ที่เล่าเกี่ยวกับหลวงปู่เสาร์ ตอนหนึ่งมีว่า " หลวงปู่เสาร์ เป็นบูรพาจารย์ ของพระกรรมฐานทั้งหลายในภาคอีสาน แต่ก่อนพระกรรมฐาน ไม่ได้มีมากมาย เหมือนอย่างสมัยปัจจุบันนี้ เพราะว่าไม่มีใครไปศึกษา และนำไปประพฤติปฏิบัติ ไม่มีใครหอบเอาความรู้ จากพระไตรปิฏกมาสอนคน โดยมากสมัยก่อน เทศน์ ไปตามหนังสือ อ่านให้โยมฟัง พออ่านเสร็จ โยมก็สาธุ นึกว่าได้บุญแล้ว และก็พากันกลับบ้าน บางวันเทศน์ เรื่องพระโพธิสัตว์ ใช้ชาติ เช่น สัญชัย ท้าวก่ำกาดำ เรื่องมโฆสก ฯลฯ ไม่ให้เอาธรรมะ มาสอนใจ ของตัวเราเอง เพราะฉะนั้น หลวงปู่ ครูอาจารย์ ทั้งหลายนี้ ท่านเอาแต่ ประพฤติปฏิบัติ รู้ธรรมแจ้งมาสอนเรา.. "

ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล เป็นพระอาจารย์ ทางวิปัสสนากัมมัฏฐาน ของภาคอีสาน รุ่นเก่าแก่ ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ควรแก่การกราบไหว้บูชาอย่างสูงยิ่ง ปฏิปทาของท่าน เด็ดเดี่ยว เยือกเย็น มั่นคง น่าเคารพ เลื่อมใส ยิ่งนัก ชีวประวัติของท่านก็งดงามยิ่ง ไม่มีความด่างพร้อย ตลอดเวลาที่ทรงดำรงเพศบรรพชิต จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต ก็ยิ่งเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจในความเด็ดเดี่ยว เคร่งครัด ของการทรงศีล ครองธรรม ตามพระธรรมวินัยของบูรพาจารย์ ผู้เป็นทั้งพ่อแม่ และครูอาจารย์ ของพระภิกษุสามเณร จริยาวัตร ของท่านสมบูรณ์ บริสุทธิ์ผุดผ่อง สง่าผ่าเผย จิตใจเปี่ยมล้นเมตตา เป็นที่ยึดเหนี่ยวหัวจิต หัวใจ ของปวงชน ลูกศิษย์ ลูกหา ทั้งหลาย









ตลอดทั้งสองฝั่งลุ่มแม่น้ำโขง วาจาของท่านนั้น ว่ากันว่า มีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ปรกติท่านพูดน้อยมาก แต่ไม่ว่าจะกล่าวคำใดออกไป มักจะเป็นจริงตามนั้นเสมอ ท่านพระอาจารย์เสาร์ ได้มอบกาย ถวายชีวิตนี้ ปฏิบัติกิจพระศาสนา ฝากฝังจิตใจ ไว้ในบวรพระพุทธศาสนา ท่านเจริญเดินตามทาง ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ทุกประการ มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา นำคณะศรัทธาทั้งหลาย ให้ได้เจริญศีล สมาธิ ปัญญา ให้ได้รู้จักแยกแยะซึ่ง บาป บุญ คุณ โทษ ทั้งหลายทั้งปวง

"กล่าวได้ว่า ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีลเถร เป็นพระอาจารย์ ทางด้านวิปัสสนาธุระ รุ่นแรก ที่บุกเบิกชักนำหมู่คณะ ออกเดินธุดงค์ ด้วยเท้าเปล่า ไปตามป่าตามภูเขาทางภาคอีสาน หลีกลี้หนีความพลุกพล่านวุ่นวาย เที่ยวแสวงหาที่วิเวก เพื่อบำเพ็ญเพียร ปฏิบัติธรรม โดยท่านถือปฏิบัติจนเป็นนิสัย คือ ภายหลังจากออกพรรษา ท่านจะพากันออกเดินทางตามหลังกันเป็นแถว บ่าข้างหนึ่งสะพายบาตร บ่าข้างหนึ่งสะพายย่าม แลแบกกลด มือถือกระบอกน้ำ ครองผ้าจีวรสีกรัก (ย้อมด้วยแก่นขนุน) แต่ละย่างก้าว อยู่ในอาการสำรวม เป็นที่น่าแปลกตา แปลกใจ และน่าทึ่งอยู่ไม่น้อย สำหรับผู้คนในสมัยนั้น ที่พึ่งจะได้ประสบพบเห็น หมู่คณะพระธุดงค์แบบอย่างนี้ "

ในช่วงปัจฉิมวัย ท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ท่านมรณภาพ ที่วัดอำมาตย์ เมืองจำปาศักดิ์ คณะศิษย์ ได้นำสรีระท่าน มาถวายเพลิงที่วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี








หลวงปู่มั่นเทศน์งานศพหลวงปู่เสาร์


ลูกศิษย์พระอาจารย์มั่นต้องปฏิบัติอย่างพระอาจารย์มั่นปฏิบัติ

เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๖ ท่านอาจารย์เสาร์ได้มรณภาพลง แล้วก็ได้มีการ ถวายพระเพลิงเผาศพของท่านอาจารย์เสาร์ ในงานนั้นท่านอาจารย์มั่นก็ไปร่วมในงานด้วย ในฐานะที่ท่านก็เป็นอันเตวาสิกของท่านอาจารยเสาร์ ซึ่งอยู่ในระดับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง

ท่านอาจารย์มั่น ได้แสดงธรรมว่า " เมื่อสมัยท่านอาจารย์เสาร์ยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็เป็นครูบาอาจารย์อบรมสั่งสอนเรา บัดนี้ท่านอาจารย์เสาร์ ได้มรณภาพไปแล้ว ก็ยังเหลือแต่เราพระอาจารย์มั่น จะเป็นอาจารย์อบรมสั่งสอนหมู่ในสายนี้ต่อไป ดังนั้น ท่านผู้ใดสมัครใจเป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่น ต้องปฏิบัติตามปฏิปทาของท่านอาจารย์มั่น ถ้าใครไม่สมัครใจ หรือปฏิบัติตามไม่ได้ อย่ามายุ่งกับท่านอาจารย์มั่นเป็นอันขาด ทีนี้ถ้าเราคืออาจารย์มั่นตายไปแล้ว ก็ยังเหลือแต่ท่านสิงห์นั่นแหละ พอจะเป็นครูบาอาจารย์สั่งสอนหมู่ได้"








สมัยที่ท่านอาจารย์มั่น ท่านอาจารย์เสาร์ยังอยู่ บางสิ่งบางอย่างที่เราอนุโลมตามความต้องการของชาวโลกแทบจะไม่ปรากฏ แม้แต่การทำบุญมหาชาติ การจัดงานวัด มีมหรสพต่างๆ เราไม่เคยมี มาสมัยปัจจุบันนี้ ครูบาอาจารย์ก็เป็นนักธุรกิจไปกันเสียไม่ได้หยุด จากเหนือไปใต้ จากใต้ไปเหนือ ไปเที่ยวโปรดญาติโยม ไม่แน่นักว่า ไปเที่ยวให้ญาติโยมโปรด หรือไปโปรดญาติโยมกันแน่ก็ไม่ทราบ นี่ก็คือของฝากให้ลูกศิษย์ครูบาอาจารย์ได้นำไปพิจารณาเป็นการบ้าน

จะเห็นได้ว่า ปฏิปทาและวัตรปฏิบัติ ของท่านอาจารย์เสาร์ ได้ก่อให้เกิดสานุศิษย์ มากมาย ที่ดำเนินรอยตามท่าน เพื่อสืบทอด ธุดงควัตร มาจนกระทั่งบัดนี้

NippananG


เรียบเรียงจาก
หนังสือ ฐานิยตฺเถรวตฺถุ โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล พระปรมาจารย์ใหญ่แห่งกองทัพธรรมพระกัมมัฏฐาน
//www.dhammathai.org/monk/sangha23.php
ภาพจาก
//www.dhammajak.net/gallery/displayimage.php?album=42&pos=11


Create Date : 21 พฤษภาคม 2552
Last Update : 21 พฤษภาคม 2552 18:29:26 น. 4 comments
Counter : 3801 Pageviews.

 
ขอบคุณมากครับ ที่ได้นำสิ่งดีๆ มาให้ได้อ่านกัน


โดย: กิรกร IP: 118.173.58.90 วันที่: 7 สิงหาคม 2552 เวลา:12:19:57 น.  

 
ขอบคุณสำหรับข้อมูล และเพลงดีๆนะคะ


โดย: ส้มโอ IP: 117.47.161.25 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2552 เวลา:21:45:15 น.  

 
ขอบคุณที่ทำให้ผมได้ความรู้ดีๆ แต่อยากให้เปิดเพลงสากลแบบบรรเลงมากว่า


โดย: สมหวัง IP: 125.26.179.5 วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:22:52:04 น.  

 
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ สายพุทโธ จริงได้ผลจริง แน่นอน


โดย: วิทย์ IP: 125.24.30.214 วันที่: 20 ธันวาคม 2554 เวลา:19:23:57 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

travelaround
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 164 คน [?]





ยินดีต้อนรับทุกท่านที่แวะเข้ามาชม blog มีข้อคิดเห็น เชิญ comment มาได้นะครับ ถ้าตอบได้ จะตอบให้ทันทีครับ แต่ถ้าไม่ทราบ ต้องขอเวลา จะค้นคว้ามาให้อ่านกัน ท่านที่จะถามคำถาม หรือติดต่อเรื่องบทความ ได้ทาง Email :- d_sign_place@yahoo.com ครับ


เรื่องต่างๆที่ผมได้เขียนหรือรวบรวม เรียบเรียงมานี้ ยินดีให้ทุกท่านได้อ่านเป็นวิทยาทานและเพื่อการศึกษา ถ้าจะนำไปโพสต่อใน website สาธารณะ หรือ website อื่นใดที่ไม่ใช่ทางพาณิชย์ กรุณาระบุที่มา คือ https://www.travelaround.bloggang.com และนามปากกาผู้เขียนคือ TraveLArounD ด้วย

แต่ขอสงวนสิทธิ์สำหรับการนำไปใช้ ในเชิงพาณิชย์ หรือโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง จะถูกดำเนินคดี ตามกฏหมายลิขสิทธิ์

ส่วนบทความหรือภาพถ่ายใดๆ ที่ได้นำมาจาก website อื่น เพื่อเป็นข้อมูลประกอบเรื่องนั้นๆ เป็นการถ่ายทอดจากวิจารณญาณแล้วว่า มีความถูกต้องเป็นจริง มากที่สุด และได้นำมาจาก website ที่เป็นสาธารณะ ถ้าเรื่องราวหรือภาพของท่านที่ได้นำมาถ่ายทอดนี้ ไปละเมิดลิขสิทธิ์ของท่าน กรุณาแจ้งมาทาง email :– nana_sara1000@ymail.com ผมจะทำการลบข้อมูลหรือภาพที่ละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าว ออกทันที

Acknowledges that I try to write or report accurately but postings may contain fact , speculation or rumor. I find images from the Web that are believed to belong in the public domain. If any stories or images that appear on the site are in violation of copyright law, please email to :- nana_sara1000@ymail.com and I will remove the offending information as soon as possible.


Website counter
: Users Online









ที่ดินเชียงใหม่ ทางไปแม่ริม ใกล้ศาลากลาง และสนามกีฬา 700 ปี ติดน้ำปิง ในหมู่บ้านเพชรริมปิง พื้นที่ 667 ตารางวา @ 14,000.- บาท สภาพแวดล้อมดี สนใจติดต่อ โทร. 0859559950



DESIGN PLACE CO.,LTD. รับออกแบบ และตกแต่งภายใน บ้านพักอาศัย ในแบบไทย และไทยร่วมสมัย



มรดก ฉบับที่ 1

มรดก ฉบับที่ 2

มรดก ฉบับที่ 3

มรดก ฉบับที่ 4

มรดก ฉบับที่ 5

มรดก ฉบับที่ 6

มรดก ฉบับที่ 7

ช่วยสนับสนุนการจัดทำ BLOG ด้วยการซื้อหนังสือ "มรดก" 1ชุด 7เล่ม (หนังสือเก่า) ในราคาชุดละ 700 บาท (รวมค่าส่งทางไปรษณีย์)

สนใจสั่งซื้อทาง E-mail :- nana_sara1000@ymail.com



New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add travelaround's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.