Group Blog
 
All Blogs
 

ชุดที่ ๑๑ รักระหว่างรบ ตอนที่ ๑

พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด

ชุดที่ ๑๑ รักระหว่างรบ

ตอนที่ ๑ “หนาวน้ำค้างพร่างพรมลมรำเพย”

ฑ.มณฑา

หลังจากที่กรุงผลึกได้มีชัยชนะในสงครามเก้าทัพโดยเด็ดขาด เมื่อศึกสงบลง พี่น้องวงศาคณาญาติของพระอภัยมณีได้พบปะรู้จักกันหมดแล้ว สุดสาครก็ขอลาบิดา พาน้องหญิงชายทั้งสองกลับไปเมืองการเวก พระอภัยมณีอยากจะเผด็จศึกกรุงลังกา ให้สิ้นเสี้ยนหนาม จึงยกกองทัพข้ามมหาสมุทรไปตีเมืองลังกาบ้าง โดยให้ศรีสุวรรณ กับสินสมุทเป็นทัพหน้า พระอภัยมณีเป็นทัพหลวง พราหมณ์วิเชียรเป็นปีกขวา โมราเป็นปีกซ้าย และสานนเป็นกองหลัง

ฝ่ายนางละเวงวัณฬาเจ้ากรุงลังกา อายุเพียงสิบเก้าปี แต่มีความรู้ในเรื่องการรบ และเล่ห์กลของสตรี กับมีตราราหูประจำตัวสามารถป้องกันอันตรายทั้งปวง เป็นแม่ทัพ ได้ให้เจ้าเมืองที่อาสาสมัครอีกสองราย จากเมืองแขกและเมืองฝรั่ง เป็นแม่ทัพป้องกันนครลังกา เข้ารบกับกองทัพหน้าของเมืองผลึก ก็แตกพ่ายยับเยิน สินสมุทที่ถูกยิงตกลงไปในสะดือทะเล เมื่อกลับฟื้นขึ้นมาก็บุกเข้าไปถึงตัว นางละเวงแต่ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ เพราะนางแกว่งตราราหูป้องกัน มิให้เข้าใกล้ สินสมุทจึงจับแม่ทัพแขกและฝรั่งได้ เอาตัวไปจำขังไว้

และในเวลาค่ำพระอภัยก็ยกกองทัพหลวงขึ้นบก เข้าโจมตีเมืองใหม่ที่เป็นด่านหน้าของกรุงผลึกถึงขั้นแตกหัก เอาไฟเผาเมืองลุกไหม้ไปทั่ว แต่ทางกองทัพของกรุงลังกา ก็ย้อนตลบหลังเอาไฟเผากองทัพเรือของกรุงผลึกวอดวายไปเหมือนกัน และแม่ทัพของพระอภัยมณี ก็ถูกค่ายกลของนางละเวง ตกลงไปในกรงขังหมดทุกคน เหลือแต่พระอภัยมณีผู้เดียวถูกล้อมอยู่

เมื่อข้าศึกรุกล้อมเข้ามาใกล้รถทรงเข้ามาเต็มที หมดหนทางที่จะเอาตัวรอดได้แล้ว พระอภัยมณีจึงเป่าปี่เพื่อสะกดทัพข้าศึก

ดูทัพหน้าขวาซ้ายหายไปหมด เขาล้อมรถทรงไว้มิให้หนี
ตกพระทัยในอารมณ์ไม่สมประดี จึงทรงปี่เป่าห้ามปรามณรงค์
วิเวกหวีดกรีดเสียงสำเนียงสนั่น คนขยั้นยืนขึงตะลึงหลง
ให้หวิววาบทราบทรวงต่างง่วงงง ลืมณรงค์รบสู้เงี่ยหูฟัง
พระโหยหวนครวญเพลงวังเวงจิต ให้คนคิดถึงถิ่นถวิลหวัง
ว่าจากเรือนเหมือนนกมาจากรัง อยู่ข้างหลังก็จะแลชะแง้คอย
ถึงยามค่ำย่ำฆ้องจะร้องไห้ ร่ำพิไรรัญจวนหวนละห้อย
โอ้ยามดึกดาวเคลื่อนเดือนก็คล้อย น้ำค้างย้อยเย็นฉ่ำที่อัมพร
หนาวอารมณ์ลมเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยชื่น ระรวยรื่นรินรินกลิ่นเกสร
แสนสงสารบ้านเรือนเพื่อนที่นอน จะอาวรณ์อ้างว้างอยู่วังเวง
วิเวกแจ้วแว่วเสียงสำเนียงปี่ พวกโยธีทิ้งทวนชนวนเขนง
ลงนั่งโยกโงกหงับทับกันเอง เสนาะเพลงเพลินหลับระงับไป
จังหรีดหริ่งสิงสัตว์สงัดเงียบ เย็นระเยียบหย่อมหญ้าพฤกษาไสว
น้ำค้างพรมลมสงัดไม่กวัดไกว ทั้งเพลิงไฟโซมซาบไม่วาบวู ฯ

ในขณะที่พระเพลิงกำลังอาละวาดอยู่ทั่วเมืองใหม่นั้น นางละเวงได้หนีหลบไปอยู่ที่เขาพยนต์ คอยดูไพร่พลของนางฆ่าฟันทหารของกรุงผลึก ที่แตกจากทัพเรือล้มตายลงเป็นอันมาก เมื่อได้ยินเสียงปี่ของพระอภัยมณีเป็นครั้งแรก เห็นไพร่พลลงนอนกัน ระเกะระกะ แต่นางก็ไม่หลับ ใหลเหมือนคนอื่น เพราะมีตราราหูคุ้มครองอยู่ ก็อยากจะเห็นตัวผู้เป่า ซึ่งได้ยินชื่อเสียงกิตติศัพท์เล่าลือกันมา จึงขับม้าแอบย่องเข้าไปจนใกล้รถทรงของพระอภัยมณี แล้วยิงเกาทัณฑ์ไปถูกปี่หลุดจากมือ พอยิงซ้ำอีกดอกก็ติดเกราะเสื้อ จึงขับม้าชักทวนออกสวนแทง แต่พระอภัยมณีเอาพระแสงดาบปัดได้ทัน จึงไม่เป็นอันตราย แล้วเอาปืนยิงไปถูกปากม้าทรงของนางละเวง ม้าก็กระโดดวิ่งโลดไป นางจึงเผลอหวีดร้องออกมาเป็นสำเนียงสตรี

พระอภัยมณีจึงรู้ว่าข้าศึกผู้นี้เป็นหญิง และสังสัยว่าคงจะเป็นนางละเวง พระธิดาเจ้ากรุงผลึก ที่มีตราราหูประจำตัว จึงมิได้หลับไปตามเสียงปี่ พระอภัยมณีก็ลงจากรถขึ้นม้าควบตามไป พอทันกันก็เข้ารบประชิดตัวจนอาวุธหลุดจากมือทั้งสองฝ่าย นางก็จับสายสร้อยคล้องตรากวัดแกว่งป้องกันตัว พระอภัยมณีจึงได้เห็นใบหน้าของนางละเวงได้ถนัด แล้วก็หลงรักเสียยิ่งกว่าได้เห็นภาพเขียน จึงพยายามเจรจาพาทีด้วยคารมอ่อนหวานอันลือชื่อ ตอบโต้กันอยู่ถึงห้าสิบแปดบรรทัด นางก็ไม่ยอมปลงใจด้วยและแกล้งขับม้าหลบหน้าไปเสียอีก พระอภัยมณีจึงต้องใช้สำเนียงเสียงปี่เกี้ยวแทน

ต้อยตะริดติดตี่เจ้าพี่เอ๋ย จะละเลยเร่ร่อนไปนอนไหน
แอ้อีอ่อยสร้อยฟ้าสุมาลัย แม้นเด็ดได้แล้วไม่ร้างให้ห่างเชย
ฉุ ยฉา ยชื่นรื่นรวยระทวยทอด จะกล่อมกอดกว่าจะหลับกับเขนย
หนาวน้ำค้างพร่างพรมลมรำเพย ใครจะเชยโฉมน้องประคองนวล
เสนาะดังวังเวงเป็นเพลงพรอด เสียงฉอดฉอดชดช้อยละห้อยหวน
วิเวกแว่วแจ้วในใจรัญจวน เป็นความชวนประโลมโฉมวัณฬา ฯ

ผลของการเป่าปี่ในครั้งนี้ สามารถสะกดจิตใจของนางละเวง ให้หวั่นไหวยิ่งนัก สำนวนของท่านครูสุนทรภู่ ได้แสดงความในใจของนางไว้อย่างกระจ่างแจ้ง จึงขอคัดมาให้ท่านอ่าน ดังต่อไปนี้

ฝ่ายโฉมยงองค์ละเวงฟังเพลงปี่ ให้รอรีรวนเรเสน่หา
คิดกำหนัดอัดอั้นหวั่นวิญญาณ์ นึกนึกน่าจะใคร่ปะพระอภัย
เธอพูดดีปี่ดังฟังเสนาะ จะฉอเลาะลูบต้องทำนองไหน
แม้ถนอมกล่อมกลอกเหมือนดอกไม้ จะชื่นใจน้องยาทุกราตรี
ยิ่งกลับฟังวังเวงเพลงสังวาส ยิ่งหวั่นหวาดวิญญาณ์มารศรี
ตะลึงลืมปลื้มอารมณ์ไม่สมประดี ด้วยเพลงปี่เป่าเชิญให้เพลินใจ
จนลืมองค์หลังรักชักสินธพ กลับมาพบพิศวงด้วยหลงใหล
พระเห็นนางวางปี่ด้วยดีใจ เข้าเคียงใกล้กล่าวประโลมโฉมวัณฬา
ขอเชิญนุชสุดสวาทไปราชรถ อย่าระทดท้อจิตขนิษฐา
นางรู้สึกนึกพรั่นหวั่นวิญญาณ์ กลับชักม้าควบขับไปลับองค์
อ้อมออกทางข้างเขาด้วยเศร้าจิต แล้วหยุดคิดแค้นใจด้วยใหลหลง
อันลมปี่นี้ละลวยให้งวยงง สุดจะทรงวิญญาณ์รักษาตัว
ถ้าขืนอยู่สู้อีกไม่หลีกเลี่ยง ฉวยพลาดเพลี่ยงเพลงปี่ต้องมีผัว
จะพลอยพาหน้าน้องให้หมองมัว เหมือนหญิงชั่วชายเกี้ยวประเดี๋ยวใจ
เหลือลำบากยากเย็นด้วยเป็นหญิง จำจะทิ้งกองทัพที่หลับไหล
ไปลังกาอย่าให้มีราคีภัย แล้วจะได้แต่งทหารมารานรอน
ดำริพลางนางขยับจับพระแสง สะพายแล่งลูกเกาทัณฑ์ถือคันศร
เหน็บกระบี่มีหอกซัดข้างอัศดร แล้วหยุดหย่อนยืนดูหมู่โยธา
ไม่ไหวติงนิ่งหลับระงับเงียบ ยิ่งเย็นเยียบเยือกจิตขนิษฐา
สุดจะช่วยด้วยทัพอัปรา ชลนานองเนตรสังเวชใจ ฯ

แล้วนางจึงต้องหลบหน้าไป ทิ้งให้พลโยธาทั้งปวงนอนสลบไสลไม่เป็นสมประดี อยู่ในกลางสมรภูมินั้นเอง.

พระอภัยมณีก็สุดแสนจะเสียดายที่นางละเวงได้หนีหน้าไปเสียแล้ว ด้วยความหลงใหลในเสน่ห์ของนาง ซึ่งตัวจริงยิ่งร้อนแรงกว่ารูปวาดหลายเท่า จึงเป่าปี่ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพื่อปลุกไพร่พลทั้งสองฝ่ายให้ฟื้นขึ้นทั้งหมด แต่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วก็ไม่ได้รบกันต่อ ต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันไปหาตัวนายของตน กองทัพของเมืองลังกาก็ยกกลับเข้าเมืองไป กองทัพของพระอภัยมณีทั้งทัพเรือและทัพบก ก็ได้มาบรรจบพบกัน ทั้งสินสมุท และศรีสุวรรณ

พระอภัยมณีก็เล่าเรื่องที่ตนได้พบแม่ทัพสตรีฝ่ายลังกา และเป่าปี่สะกดทัพ จนกระทั่งไพร่พลเลิกรบกัน ลงนอนกลิ้งไปทั้งสองฝ่าย แล้วนางก็หลบหนีไป และพระอภัยมณีก็ห้ามแม่ทัพทั้งสองไม่ให้ทำร้ายข้าศึก รวมทั้งทรัพย์สินและศาตราวุธที่ยึดมาได้ก็ให้เก็บเอาไว้คืนเขาไปด้วย

ทั้งสองอาหลานก็เกิดความสงสัยเป็นกำลัง ว่าพระอภัยมณีนั้นเกิดอะไรขึ้นมา จึงได้คิดแปลกไปเช่นนี้

ฟังพระพี่ศรีสุวรรณรำพันว่า นางวัณฬาข้านี้เบื่อเห็นเหลือหญิง
แต่รูปเขียนใครได้ยังไม่ทิ้ง ยิ่งรูปจริงแล้วก็เห็นจะเป็นการ
พลางเหลียวหน้ามาว่ากับสินสมุท เห็นร้ายสุดเสียกว่าเสือเหลือแล้วหลาน
สินสมุทสุดแค้นแสนรำคาญ จึงว่าวานนี้หม่อมฉันลั่นวาจา
ว่าขึ้นรบพบผู้หญิงอย่านิ่งไว้ สังหารให้ม้วยมุดสุดสังขาร์
พระบิตุรงค์ทรงธรรม์ก็สัญญา ว่าจะผ่าอกนางให้วางวาย
เหตุไฉนไม่สังหารผลาญชีวิต กลับจะคิดแผ่เผื่อเป็นเชื้อสาย
ฉวยเสียทีผีผู้หญิงเข้าสิงกาย จะมิอายเขาหรือนะพระเจ้าอา ฯ

พระอภัยมณีก็แก้ตัวไปข้าง ๆ คู ๆ แล้วก็สั่งให้ยกพลขึ้นบก เข้าไปยึดเมืองใหม่เป็นที่พัก เพื่อคิดการคืบหน้าต่อไป

##############




































































































 

Create Date : 26 มีนาคม 2551    
Last Update : 20 มิถุนายน 2552 9:34:33 น.
Counter : 1169 Pageviews.  

ชุดที่ ๑๐ เสร็จศึกก็เป็นสุข ตอนที่ ๒

พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด

ชุดที่ ๑๐ เสร็จศึกก็เป็นสุข

ตอนที่ ๒ แม้นมิตายหมายใจจะได้พบ

ฑ.มณฑา

สินสมุท ก็พา สุดสาคร กับน้องทั้งสองไปเฝ้า นางสุวรรณมาลี และพระเจ้าอาศรีสุวรรณ ต่างก็ทักทายไต่ถามถึงความเป็นมาของแต่ละคน สินสมุทเห็นว่ามัวแต่พูดจากันชักช้า จึงตัดบทว่าสุดสาครอาสาจะมาปราบผี ที่สิงอยู่ในรูปวาดให้พระบิดาพ้นโรคพ้นภัยในวันนี้ นางสุวรรณมาลีถามว่าจะต้องใช้เครื่องยาอย่างใดบ้าง สุดสาครก็ขอแต่รูปวาดต้นเหตุเท่านั้น สินสมุท ก็แอบเข้าไปลักเอาออกมา ในขณะที่ พระอภัยมณีกำลังหลับอยู่ สุดสาครก็เอามาวางคลี่ลงบนพื้น แล้วก็ภาวนามหามนต์ของพระเจ้าตา

เศกไม้เท้าดาบสจดกระดาษ เสียงรูปวาดหวีดร้องสยองขน
แล้วซ้ำตีผีร้ายก็วายชนม์ กระดาษป่นเป็นประกายวูบหายไป ฯ

เมื่อปีศาจสิ้นฤทธิ์แล้ว พระอภัยมณีก็ค่อยได้สติขึ้น แต่เรี่ยวแรงยังน้อยค่อยลุกขึ้นนั่งเหลียวแลดู เห็นมเหสีและพระญาติพระวงศ์ห้อมล้อมดูอาการอยู่ ก็ถามนางสุวรรณมาลีว่า เด็กเล็กสามคนนั้นเป็นลูกเต้าเหล่าใคร จึงไม่เคยรู้จัก นางสุวรรณมาลีก็ทูลความตามที่ทราบให้ฟัง พระอภัยมณีก็เรียกสุดสาครเข้ามากอดไว้ แล้วก็ถามถึง นางสุวรรณมัจฉา ผู้มารดา สุดสาครก็เล่าให้ฟังตั้งแต่คลอดจนจากพระเจ้าตามาตั้งแต่อายุได้สามขวบ ซึ่งมารดาก็โศกาอาลัยเป็นอันมาก บัดนี้ก็เป็นเวลาสิบปีกว่าแล้วเพิ่งจะเจอบิดา

แล้วสั่งมาว่าแม้นพบภูวนาถ ให้กราบบาททูลแจ้งแถลงไข
ว่าชาตินี้มิได้มาเป็นข้าไท แต่มีใจคิดถึงองค์พระทรงธรรม์
อันปิ่นทองของประทานของผ่านเกล้า พระแม่เจ้ามอบไว้ให้หม่อมฉัน
โอ้สงสารนานแล้วแต่แคล้วกัน จะนับวันเวลาตั้งตาคอย ฯ

แล้วพระอภัยก็ถาม เสาวคนธ์ กับ หัสไชย ถึงวันเดือนปีเกิดสองพี่น้องก็ตอบได้คล่องแคล่วดี แล้วก็ขออาศัยเป็นโอรสของพระอภัย เช่นเดียวกับสุดสาครด้วย ตอนนี้พระพี่เลี้ยงก็พา สร้อยสุวรรณ กับ จันทร์สุดา พระธิดาฝาแฝด ของนางสุวรรณมาลีมาให้รู้จักพี่น้องด้วย

พระสอนให้ไหว้พี่สี่กษัตริย์ ต่างกอดรัดพูดจาน่าสงสาร
นางเสาวคนธ์บ่นว่าน่ารำคาญ เช่นนี้ฉานดูเฟือนช่างเหมือนกัน
พระน้องนางต่างว่าฉันฝาแฝด กษัตริย์แปดองค์ชวนกันสรวลสันต์
เสียงจ๋าจ๊ะคะขาจนสายัณห์ ส่วนทรงธรรม์ตรัสตามความแผ่นดิน ฯ

ในวันรุ่งขึ้นพระอภัยมณี ก็ยกกองทัพหลวงออกไปยังสนามหน้าเมืองผลึก โดยให้ ศรีสุวรรณเป็นทัพหน้า สินสมุทเป็นปีกขวาสุดสาครเป็นปีกซ้าย ส่วนพราหมณ์วิเชียร โมราและ สานน เป็นทัพหลัง เมื่อยกขบวนพยุหไปถึงหน้าค่ายข้าศึก ก็เห็นกองทัพทั้งแปดตั้งรออยู่แล้ว พระอภัยเห็นว่าทางเมืองผลึกมีทหารเอกครบครันแล้ว จึงคิดจะรบให้ปรากฏชื่อระบือไกล จึงไม่เป่าปี่สะกดทัพเหมือนเคย แต่ท้าให้ส่งแม่ทัพออกมาลองฝีมือกัน เพื่อจะได้ไม่สิ้นเปลืองไพร่พล ข้าศึกก็รับคำท้านั้น

ผลของการรบปรากฎว่า ศรีสุวรรณเอากระบองตี เจ้าคุลา ดับดิ้นสิ้นชีวิต สินสมุทก็ฟัน เจ้ากาวิน สิ้นชีพ สุดสาครเอาไม้เท้าฟาด เจ้าละเมด ศรีษะขาดตาย เหลือแต่เจ้าจีนตั๋งซึ่งถืออาวุธวิเศษ ฟาดไปทางไหนเป็นเกิดประกายไฟลุกไหม้ไปทางนั้น สินสมุทสุดสาครเข้าสู้รบด้วยก็ถูกไฟพิษลวกเอาถึงกับสลบไปทั้งสองคน ศรีสุวรรณเข้าไปช่วยเอากระบองป้องกัน ก็โดนไฟไหม้กระบองแดงฉานมือปอกพองไป นางเสาวคนธ์กับหัสไชยจะเข้าไปช่วย ก็ถูกไฟฟาดเข้าด้วย แต่มีแก้วตาผีเสื้อคุ้มครอง จึงไม่เป็นอันตราย นางเสาวคนธ์จึงยิงศร ไปปักลูกตาข้างขวาของจีนตั๋งจนตกลงจากหลังม้า พวกไพร่พลจึงพากันถอยทัพกลับเข้าค่ายไป

กองทัพของข้าศึกที่เจ้านายตาย ก็ส่งศพกลับไปเมืองของตน แต่จีนตั๋งขอร้องให้ กองทัพยังคงอยู่ช่วยรบกับกรุงผลึกต่อไป เพราะกำลังจะเป็นต่อแล้ว ส่วนตัวจีนตั๋งเองนั้นก็ต้องให้จีนแสเอายามารักษาลูกตา เพื่อจะสู้รบต่อไป

ทางฝ่ายกรุงผลึกนั้น ศรีสุวรรณก็มือพองทั้งสองข้าง ส่วนสินสมุทกับน้องสุดสาคร นอนสลบนิ่งไม่ติงกายอยู่ตลอดคืน หาหมอทั่วทั้งเมืองก็ไม่สามารถจะรักษาให้ฟื้นขึ้นมาได้ พระอภัยมณีก็เศร้าโศกถึงบุตรทั้งสอง

พระประคองสองบุตรสุดที่รัก ขึ้นวางตักข้างละองค์ทรงสะอื้น
โอ้เย็นฉ่ำน้ำค้างในกลางคืน เจ้าไม่ฟื้นขึ้นมาสั่งพ่อบ้างเลย
ประหลาดเหลือเนื้อละมุนยังอุ่นอ่อน สินสมุทสุดสาครของพ่อเอ๋ย
เคยกลับเป็นก็ไม่เห็นเหมือนเช่นเคย กระไรเลยแน่นิ่งไม่ติงกาย ฯ

และพระญาติกาทั้งหลายก็พากันโศกาอาลัยกัน เซ็งแซ่ไปทั้งพระราชวัง แต่บังเอิญในกองทัพทั้งเจ็ดนั้น ต่างก็อิจฉาเจ้าจีนตั๋ง กลัวว่าจะเป็นผู้ชนะแล้วจะได้ครอบครองกรุงลังกากับ นางละเวงวัณฬา จึงใช้ให้คนมาบอกว่า ถ้าจะดับพิษไฟนั้นจะต้องใช้ฝน พระอภัยก็ดีใจที่รู้วิธีแก้ แต่ก็จนปัญญาอยู่ด้วยเป็นฤดูแล้ง ครั้นนึกขึ้นมาได้จึงให้ไปตามพราหมณ์สานน มาโดยด่วน ให้ทำพิธีเรียกฝนตามวิชาที่ได้ร่ำเรียนมา สานนก็เรียกฝนได้ดังใจ

ทำพิธีพลีบวงสรวงพระเวท ศักดาเดชดินฟ้าโกลาหล
พรุณร้องก้องกระหึ่มครี้มคำรณ เป็นสายฝนฟุ้งฟ้าลงมาดิน
ให้ประคองสององค์ออกสรงน้ำ ค่อยชื่นฉ่ำชีวาตม์ด้วยธาตุสินธุ์
ถอนน้ำมันอันเป็นกรดหมดมลทิน หน่อนรินทร์รู้สึกลุกคึกคัก ฯ

แม้ทั้งสองพี่น้องจะฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาแล้ว แต่สานนก็ยังไม่ยอมหยุด คงเรียกฝนให้ตกลงมาอย่างหนักติดต่อกันไปอีก กองทัพของข้าศึกก็วุ่นวายกันไปหมด เพราะไม่มีที่จะอยู่อาศัย ทั้งหนาวเหน็บเจ็บตัว ด้วยมีลูกเห็บตกลงมามากมาย จนพลับพลาพังลง ทั้งลมก็พัดกระหน่ำรั้วค่ายพังทลาย ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ จึงไม่มีความคิดที่จะอยู่สู้รบต่อไป ต้องพากันอพยพลงเรือถอยกลับบ้านเมืองไปจนหมดสิ้น

พระอภัยได้ชนะเพราะพระเวท แสนวิเศษสานนคนขยัน
ฝรั่งแขกแตกตายเสียหลายพัน ที่เหลือนั้นจับได้ทั้งไพร่นาย
ให้เลิกทัพกลับหลังเข้าวังหลวง ค่อยสร่างทรวงเสร็จศึกเหมือนนึกหมาย
เสนานายใหญ่น้อยพลอยสบาย ทั้งหญิงชายชาวบุรินทร์ก็ยินดี ฯ

เมื่อเสร็จศึกทั้งเก้าทัพแล้ว พระอภัยมณีก็สั่งให้ประทานรางวัลแก่แม่ทัพ นายกอง ตลอดทั้งไพร่พลจนทั่วหน้ากันทุกฝ่ายแล้ว ขุนนางเมืองการเวกที่มาในกองทัพของสุดสาคร ก็กราบทูลพระอภัยมณีว่า พระเจ้ากรุงการะเวกให้สุดสาคร กับพระโอรสและธิดาทั้งสองมาติดตามหาพระบิดา บัดนี้ก็ได้พบปะรู้จักกันเรียบร้อยแล้ว ขอให้รีบกลับเมืองเพราะคิดถึงราชบุตรทั้งสามเป็นอันมาก

พระอภัยก็ไม่อาจจะขัดข้องได้ จึงอนุญาตให้สุดสาคร เสาวคนธ์และหัสไชย นำกองทัพกรุงการะเวกกลับไปบ้านเมืองของตน ตามที่ได้ให้สัญญาไว้ สุดสาครกับน้องทั้งสองก็ร่ำลา พระบิดา พระเจ้าอาศรีสุวรรณ พระเชษฐาสินสมุท และนางสร้อยสุวรรณ นางจันทร์สุดา กับพระมารดาสุวรรณมาลี กลับไปกรุงการะเวกด้วยความอาลัยอาวรณ์เป็นอย่างยิ่ง พระอภัยมณีกอดลูกแล้วก็คิดถึงแม่ผู้อาภัพ ที่ตั้งตาคอยอยู่ที่เกาะแก้วพิศดาร อันไกลโพ้น

แล้วจึงว่าถ้าแม้พบกับแม่เจ้า จงบอกเล่าว่าพ่อคิดพิษฐาน
ไปชาติหน้าขอให้พบยุพาพาล กับประการหนึ่งนั้นทุกวันนี้
แม้นมิตายหมายใจจะได้พบ ไม่ล้างลบลืมมัจฉามารศรี
สั่งโอรสพจนาในราตรี จนระวีวรรณสว่างสำอางค์องค์ ฯ

นางสุวรรณมาลี ก็สั่งเสียสุดสาคร ด้วยความอาลัยเช่นเดียวกัน

นิจจาเอ๋ยเคยเห็นทุกเย็นเช้า เมื่อไรเจ้าสายใจจะได้กลับ
โอ้อนาถวาสนาแม่อาภัพ ได้ลูกแก้วแล้วจะกลับครรไลไป
สุดสาครจรมาหาแม่มั่ง พ่อเหมือนดังดวงจิตอย่าคิดไฉน
แม่รักน้องของเจ้านั้นเท่าไร ก็รักใคร่ตัวเจ้านั้นเท่ากัน ฯ

เมื่อได้ร่ำลากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สุดสาครก็พาน้องทั้งสองกับกองทัพเรือของตนเดินทางกลับไปเมืองการเวก และได้อยู่อย่างสุขสบายสืบมาอีกเป็นเวลานาน.

#########




 

Create Date : 24 มีนาคม 2551    
Last Update : 24 มีนาคม 2551 9:10:12 น.
Counter : 463 Pageviews.  

ชุดที่ ๑๐ เสร็จศึกก็เป็นสุข ตอนที่ ๑

พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด

ชุดที่ ๑๐ เสร็จศึกก็เป็นสุข

ตอนที่ ๑ มาช่วยแก้แม่จึงได้พ้นภัยพาล

ฑ.มณฑา

สุดสาครซึ่งตีกองเรือของข้าศึกแตกแล้ว ก็นำกองเรือแล่นเข้าปากอ่าวตามน้ำมา เห็นข้าศึกมากมายล้อมกำแพงเมือง และรบกันอุดตลุดอยู่ จึงให้น้องทั้งสองอญุ่บนเรือรบ ตนเองขี่ม้ามังกร นำทหารหมื่นห้าพันยกขึ้นบกไปช่วย และเข้าตีตลบหลังของข้าศึกนอกกำแพงเมือง ตั้งแต่เวลากลางคืนจนถึงรุ่งเช้า ข้าศึกก็แตกพ่ายไปหมด นางสุวรรณมาลีก็หลุดออกจากที่ล้อม มาพบสุดสาครด้วยความยินดี

ลงจากรถบทจรมาจูงหัตถ์ หน่อกษัตริย์ทรุดคำนับนางรับขวัญ
ประคององค์ตรงขึ้นรถสุวรรณ ให้นั่งบัลลังก์รัตน์ชัชวาลย์
แล้วโลมลูบจูบจอมถนอมพักตร์ ยังเล็กนักเล็กหนาน่าสงสาร
มาช่วยแก้แม่จึงได้พ้นภัยพาล หาไม่มารดาหมายว่าวายชนม์
เพราะทรงฤทธิ์บิตุเรศของลูกรัก ประชวรหนักสารพัดจะขัดสน
ครั้นไพรีมีมาเข้าตาจน ต้องคุมพลรบพุ่งกันกรุงไกร
ซึ่งให้พ่อรอรั้งตั้งอยู่ด่าน คอยภูบาลบิตุรงค์ยังหลงใหล
พระลูกยาอย่าละห้อยน้อยพระทัย แม่นี้ไม่เกียดกันด้วยฉันทา

สุดสาครก็กราบพระมารดา แล้วก็ถามถึงอาการของพระบิดา อยากจะใคร่เข้าไปรักษาพาบาล นางสุวรรณมาลีก็รับว่า ถ้าการศึกสงบลงแล้วก็คงจะได้เฝ้า แต่ตอนนี้ควรจะคิดอ่านการสงครามให้เสร็จสิ้นไปก่อน สุดสาครก็รับอาสาว่าลำพังกองทัพที่ยกมาจากเมืองการะเวก ก็พอที่จะต่อสู้ข้าศึกได้ ขอเชิญพระมารดากลับเข้าไปอยู่ในวังให้สำราญใจ ไม่ต้องประหวั่นพรั่นกลัว

แล้วสุดสารครก็นำกองทัพของตน เข้าโจมตีกองทัพของข้าศึกบ้างขณะนั้นกองทัพที่ล้อมพระนครอยู่มาจากเมืองข้าศึกสี่เมือง มีพลสักสิบแสน สุดสาครก็ควบม้ามังกรเข้ารบ อย่างองอาจกล้าหาญทั้งม้าทั้งนาย นางสุวรรณมาลียังไม่ได้กลับเข้าวัง เมื่อเห็นสุดสาครอยู่ท่ามกลางข้าศึกมากมายเช่นนั้น กลัวว่าจะเสียที จึงนำทหารออกไปช่วยอีก แล้วก็เลยวนเวียนอยู่กลางสนามรบด้วยกัน แต่ เจ้าวลำนั้น ถูกธนูของนางสุวรรณมาลีหลบหนีไป

ฝ่ายเสาวคนธ์กับหัสไชยซึ่งรอกองทัพเรืออยู่ที่ค่ายปากน้ำเป็นเวลานาน ไม่เห็นสุดสาครกลับมา จนถึงเช้าจึงจัดทหารคนละหมื่นพร้อมด้วยองครักษ์เด็กอีกห้าร้อย ยกเข้ามาตามถึงสนามรบ เข้าช่วยสุดสาครและนางสุวรรณมาลี ทหารข้าศึกเห็นว่าเป็นเด็กเป็นเล็กก็ประมาทฝีมือ แต่ทหารเด็กของกรุงการะเวกทั้งหมดนี้ เคยฝึกวิทยายุทธมาตั้งแต่อายุสามขวบ จนสามารถหลบฝนไม่ให้ถูกตัวได้ ดังนั้นจึงไม่ได้ตกใจแต่อย่างใด

เสาวคนธ์ยิงศรถูกหน้าแข้งเจ้ามะหุ่งตกม้า ทหารก็มาพาหนีไป เจ้ากุเวนผู้ถือหลาวเหล็กสองมือ ขับม้าวิ่งเข้ามาจะแทง แต่พลาด เลยตกจากหลังม้าลงไปนอนตะแคงคลุกฝุ่น หัสไชยก็กระโดดลงจากม้าเอาคันศรฟาดซ้ำ จนต้องกระโดดลุกขึ้นวิ่งหนีไปอีกคนหนึ่ง สุดสาครก็กันเอานางสุวรรณมาลี ออกจากสนามรบเข้าเมืองได้ สองพี่น้องโอรสธิดาเจ้ากรุงการะเวกก็ตามเข้าไปด้วย

เมื่อเข้ามาถึงในเมืองแล้ว จึงรู้ว่านางสุวรรณมาลีถูกยิงด้วยธนูที่ไหล่ ต้องรีบไปใส่ยารักษาพยาบาล สุดสาครก้ว่าเชิญพระมารดาเข้าวังให้หมอหลวงแก้ไขแผลศรถอนยาพิษ ให้หายสนิทเสียก่อน ตนเองกับน้องทั้งสองจะคอยต่อสู้ข้าศึก ซึ่งขณะนี้ได้ยกมารวมกันทั้งหมดแล้ว

ฝ่ายศรีสุวรรณเมื่อได้รับหนังสือของนางสุวรรณมาลีแล้ว ก็รีบพาสินสมุท และนางอรุณรัศมี ลาท้าวสุทัศน์เจ้ากรุงรัตนา กลับมาแวะส่งนางอรุณรัศมีที่เมืองรมจักร พร้อมกับรับเอาพราหมณ์วิเชียร โมรา และ สานน ไปช่วยการศึกสงครามที่เมืองผลึกด้วย ระหว่างการเดินทางได้ถูกพายุใหญ่ พัดไปเจอเกาะใหญ่กลางมหาสมุทร พอแวะเข้าไปหาน้ำหาฟืนลงเรือ ก็มีสิงโตสองตัวผัวเมีย กับลูกอีกสองตัว ออกจากป่ามาทำร้ายพวกลูกเรือที่ขึ้นบก สินสมุทก็เข้าไปปล้ำฟัดกับสิงโตอยู่เป็นเวลานาน ต่างก็ไม่เป็นอันตราย บุตรนางผีเสื้อสมุทรจึงดำน้ำลงไปไล่จับปลา เอามาเสกให้สิงโตกิน

เมื่อสิงโตทั้งครอบครัวกินปลาเหล่านั้นเข้าไป ก็คลายความดุร้าย ยอมสยบให้กับสิน สมุทเหมือนลูกแมว สินสมุทจึงเสกมนต์ตบหัวลูบไล้ไปตลอดร่าง สิงห์ทั้งสี่ตัวจึงหมดฤทธิ์ ยอมให้สินสมุทจูงลงเรือเอาไปเลี้ยงไว้แต่โดยดี แล้วศรีสุวรรณก็สั่งให้ขบวนเรือเดินทางต่อมา ซึ่งต้องเดินทางอีกเจ็ดเดือนจึงมาถึงกรุงผลึก

ทางฝ่ายกรุงผลึกนั้น สุดสาครกับน้องเสาวคนธ์และหัสไชย ได้ตั้งยันข้าศึกทั้งแปดเมืองที่ล้อมกรุงอยู่ทางด้านบก ส่วนศรีสุวรรณกับสินสมุทมาถึงปากอ่าว ก็ได้ทราบจากนายด่านว่า กองทัพของข้าศึกยังตั้งยันอยู่ทางด้านเหนือจำนวนมากมาย จึงรีบเข้าไปเฝ้าพระอภัยมณีในวังทันที

นางสุวรรณมาลีต้อนรับน้องของสามีและลูกเลี้ยง แล้วก็เล่าความให้ฟังถึงการศึกสงครามทั้งสามครั้ง ตั้งแต่หนแรกอุสเรนยกมาแก้แค้น แล้วพ่ายแพ้ถึงแก่ความตายไป พร้อมกับนางวาลีและเจ้ากรุงลังกา

ครั้งที่สองเจ้าละมาน อาสาเจ้ากรุงลังกาคนใหม่มารบ ก็เสียทีถูกพระอภัยมณีจับได้ เอาไปปล่อยเกาะ แต่ยึดรูปวาดของนางละเวงวัณฬาไว้ พอเจ้าละมานตายแล้ว มีปีศาจมาสิงอยู่ในรูปวาด ทำให้พระอภัยหลงใหลใฝ่ฝันไม่เป็นอันกินอันนอน ประชวรมาหลายเดือนแล้ว

จนมาถึงครั้งที่สามนี้ เจ้าต่างเมืองแปดหัวเมืองอาสาเจ้ากรุงลังกา ยกมารุมตีกรุงผลึกทั้งทางบกทางทะเล พระอภัยก็ไม่ได้สติสมประดี ไม่อาจจะออกรบได้ นางจึงต้องต่อสู้กับข้าศึกอยู่เพียงผู้เดียว เคราะห์ดีที่สุดสาครโอรสของพระอภัยมณี จากกรุงการะเวกมาถึงพอดี จึงช่วยรบกับข้าศึกทั้งแปดหัวเมืองไม่ถึงกับพ่ายแพ้แต่ตัวนางเองก็ต้องบาดเจ็บรักาตัวอยู่จนบัดนี้ ต้องให้สุดสาครออกไปตั้งรับข้าศึกอยู่ทางทิศเหนือ

ศรสุวรรณกับสินสมุทก็ยอมรับว่ามีความประมาท ไม่คิดว่าจะมีศัตรูมารุกราน จึงพักอยู่ที่เมืองรัตนาเป็นปี แล้วนางสุวรรณมาลีก็พาทั้งสองเข้าไปเฝ้าพระอภัยมณี ซึ่งจำใครไม่ได้เลย เมื่อเห็นอาการของเจ้ากรุงผลึกเป็นไปถึงเพียงนี้ ศรีสุวรรณก็รำพึงรำพันออกมาว่า

โอ้ไฉนใยองค์พระทรงยศ ลืมโอรสลืมน้องทั้งสองศรี
เฝ้าโลมลูบรูปนางอยู่อย่างนี้ มิรู้ที่คิดอ่านประการใด
โอ้พระองค์ทรงเดชเกศษัตริย์ เวรวิบัติบาปสร้างแต่ปางไหน
เมื่อยังเยาวืเล่าก็พรากจากกันไป ไม่บรรลัยก็ได้มาเห็นหน้ากัน

สินสมุทก็แค้นรูปวาดนั้น จึงจะแย่งเอมาเผาไฟเสีย แต่พระอภัยก็ไม่ยอมตามเคย นางสุวรรณมาลีจึงหารือกับสองอาหลานว่า สุดสาครนั้นพอจะรู้จักบ้างหรือไม่ ว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ศรีสุวรรณก็รำลึกได้ว่า พระอภัยเคยเล่าให้ฟังเหมือนกัน

เมื่ออยู่เกาะพิศดารพระผ่านเกล้า ไปคลึงเคล้านางมัจฉาที่พาหนี
ได้รักใคร่ไปมาอยู่กว่าปี จนนางมีครรภ์แล้วจึงแคล้วมา
จะไปถามความดูให้รู้แน่ แม้ลูกแม่แน่ชัดนางมัจฉา
จะมีธำรงค์ครุฑบุษรา กับจุฑามณีที่ประทาน

นางสุวรรณมาลีจึงให้สินสมุทออกไปหาสุดสาคร ถามไถ่ให้ได้ความตามจริง เมื่อสินสมุทได้พบกับสุดสาคร ซึ่งตั้งกองทัพอยู่ที่ท้องทุ่งหน้าเมืองผลึกแล้ว เห็นหน้าตาผิวพรรณผ่องนวลอย่างนางมัจฉา และมีแหวนประจำนิ้วเป็นสำคัย ก้เชื่อว่าเป็นโอรสของพระบิดาอย่างแน่นอน จึงได้สนทนาปราศรัยกันตามประสาพี่น้อง สุดสาครก็เล่าเรื่องราวของตนให้พี่ชายฟัง แล้วก็ถามถึงอาการของพระบิดา

สินสมุทสุดสนิทไม่ปิดป้อง บอกพระน้องตามจริงทุกสิ่งสรรพ์
ผีผู้หญิงสิงองค์พระทรงธรรม์ ให้ป่วนปั่นเป็นบ้าถึงนารี
ได้กระดาษวาดรูปมาจูบกอด แล้วหลงพลอดเพลินจิตด้วยฤทธิ์ผี
พี่ชิงองค์ทรงธรรม์มาวันนี้ ฉีกขยี้มิอยากขาดประหลาดใจ

สุดสาครก็บอกว่าไม่ต้องวิตก ถึงจะมีปีศาจเข้าสิงรูปนั้น ตนก็สามารถจะแก้ไขได้ เพราะมีไม้เท้าวิเศษของพระเจ้าตา มีฤทธิ์ปราบผีได้ทุกชนิด เคยรบกับผีดิบมาแล้วนับหมื่นนับแสน ยังแตกกระเจิงไปหมด ผีผู้หญิงตัวเดียวจะไปกลัวอะไร คอยอยู่แต่ว่าเมื่อไหร่จะได้เข้าไปเฝ้า

ก็คงจะต้องรอดูว่า สุดสาครลูกศิษย์พระเจ้าตา แห่งเกาะแก้วพิศดาร จะสามารถแก้ไขเหตุร้ายที่ผู้อื่นไม่อาจแก้ได้ ด้วยวิธีใด.

#############




 

Create Date : 24 มีนาคม 2551    
Last Update : 24 มีนาคม 2551 9:03:46 น.
Counter : 536 Pageviews.  

ชุดที่ ๙ สงครามเก้าทัพ ตอนที่ ๒

พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด

ชุดที่ ๙ สงครามเก้าทัพ

ตอนที่ ๒ หลงเสียแล้วกรรมเอ๋ยกรรมจะทำไฉน

ฑ.มณฑา

ก่อนที่ เจ้าละมาน จะเข้าตีเมืองผลึก ก็ได้ส่งสารไปข่มขวัญนายด่านตามธรรมเนียมการสงครามของกษัตริย์

ให้คนใช้ไปหาตรงหน้าป้อม ว่าพระจอมฟันเสี้ยมซึ่งเหี้ยมหาญ
ยกพหลพลนิกรมารอนราญ จะทำการแก้แค้นแทนลังกา
แม้นว่าองค์พระอภัยเจ้าไตรจักร ยังคิดรักเผ่าพงศ์พวกวงศา
มาคำนับรับพระราชอาชญา จะไม่ฆ่าหญิงชายให้วายปราณ
มินอบนบรบสู้จะพรูพร้อม ทำลายป้อมปืนวังไล่สังหาร
ชั้นลูกอ่อนนอนฟูกลูกพึ่งคลาน จะเผาผลาญเพลิงคลอกเร่งบอกนาย

เมื่อนายด่านเข้ามาเฝ้า และเล่าความตามที่ข้าศึกแจ้งมาแล้วนั้น พระอภัยมณีก็มิได้หวาดกลัว สั่งให้ต่อกรงเหล็กใหญ่ และเตรียมโซ่ตรวนให้ไพร่พลไว้พร้อม กับให้เอาขี้ผึ้งอุดหูไว้ทุกคน คอยดูธงสัญญาณบนป้อมเป็นสำคัญ

จากนั้นพระอภัยมณีก็เสด็จขึ้นไปบนพลับพลาที่ประทับบนเชิงเทิน นั่งเก้าอี้มีอำมาตย์เฝ้าตามตำแหน่ง พร้อมทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง แล้วก็หยิบปี่แก้วขึ้นบูชาครู บรรจงเป่าไปให้ได้ยินถึงข้าศึก ที่หน้ากำแพงเมือง

เปิดสำเนียงเสียงลิ่วถึงนิ้วเอก หวานวิเวกวังเวงดังเพลงสวรรค์
ให้ชื่นเฉื่อยเจื้อยแจ้วถึงแก้วกรรณ เหล่าพวกฟันเสี้ยมฟังสิ้นทั้งทัพ
ยืนไม่ตรงลงนั่งยิ่งวังเวก เอกเขนกนอนเคียงเรียงลำดับ
เจ้าละมานหวานทรวงง่วงระงับ ลงล้มหลับลืมกายดังวายปราณ

เมื่อข้าศึกพากันหลับไปทั้งกองทัพแล้ว ทหารที่พลับพลาก็โบกธงให้สัญญาณ ทหารเมืองผลึกที่เตรียมพร้อมอยู่ ก็เปิดประตูเมืองออกไป เอาโซ่ประจำตัวมัดทหารข้าศึกทั้งกองทัพ และเก็บเครื่องศาสตราวุธไว้ทั้งสิ้น ส่วนองค้าวเจ้าละมานนั้นให้ล่ามโซ่ตรวน แล้วก็ยกขึ้นคานหามเอามาใส่กรงเหล้กที่เตรียมไว้ในวัง แล้วพระอภัยมณีก้เปลี่ยนเป็นเพลงปลุก ทหารข้าศึกก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา แต่ก็ติดโซ่มัดคออยู่ทุกคน พระอภัยก็สั่งเสนาให้ควบคุมทหารข้าศึกไว้ ดูท่าทีสักสองสามวัน แล้วก้เสด็จกลับเข้าวัง

ฝ่ายเจ้าละมานฟื้นขึ้นมา เห็นตนเองถูกผูกมัดด้วยโซ่ตรวนอยู่ในกรงเหล็ก ก็เจ็บใจเป็นอันมาก สู้อุตส่าห์ยกกันมาเป็นแสน ยังไม่ทันได้รบเลย ก็ถูกจับเสียแล้ว

สงสารท้าวเจ้าละมานให้ร่านร้อน ด้วยอาวรณ์นางวัณฬามารศรี
เสียน้ำใจในอารมณ์ไม่สมประดี จนราตรีตรึกตรองนองน้ำตา
โอ้เสียดายสายสวาทประหลาดโฉม ชวดประโลมลับเนตรของเชษฐา
แต่รูปทรงองค์ละเวงแม่วัณฬา ยังติดมาในเสื้อเป็นเยื่อใย
ยิ่งนึกรักชักกระดาษที่วาดรูป มากอดจูบจิตปลงด้วยหลงใหล
เฝ้าลูบเล่นเคล้นเคล้าเปล่าเปล่าไป ยิ้มละมัยหมายว่าองค์อนงค์นาง

พวกผู้คุมเห็นเจ้าละมานคลั่งรูปวาดในกระดาษก็สงสัย ใครจะขอดูก็ไม่ให้ นอนกอดอยู่จนเช้าก็หลับไป ผู้คุมจึงแอบลักเอามาถวายพระอภัย เมื่อได้ทอดพระเนตรก็เห็นว่างามหนักหนา จึงเก็บเอาไว้ แล้วให้เสนาไปคุมตัวเจ้าละมานมาสอบสวนทั้งที่ยังติดโซ่ตรวน เจ้าละมานก็ไม่เกรงกลัว ถามอะไรก็ไม่ตอบ พระอภัยรำคาญแต่ไม่อยากฆ่า จึงให้ขุนนางนำตัวลงเรือสำเภา ไปปล่อยไว้ที่เกาะร้างกกลางทะเล ไกลไปทางทิศเหนือ

เมื่อเจ้าละมานรู้ว่ารูปนางละเวงของตนหายไป ก้เสียใจไม่เป็นอันกินอันนอน อดอาหารจนถึงแก่ความตายอยู่บนเกาะนั้น แต่ขณะที่ดับจิตยังคิดถึงรูปนางละเวงจึงกลายเป้นผี มาสิงอยู่ในรูปที่พระอภัยเก็บเอาไว้ ทำให้พระอภัยหลงเสน่ห์รูปวาดนั้นไปอีกคนหนึ่ง ไม่เป็นอันว่าราชการ เอาแต่กอดรูปจูบกระดาษ เพ้อพกไปดังคนบ้าเช่นเดียวกับที่เจ้าละมานเคยเป็นมาแล้วเหมือนกัน

ในกรุงผลึกจึงเหลือแต่นางสุวรรณมาลีเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่ต้องปกครองเมือง โดยไม่มีญาติพี่น้องลูกหลานคอยช่วยเหลือแม้แต่คนเดียว

ขณะนั้นก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่สุดสาคร นำกองทัพเรือจากเมืองการะเวก มาถึงเมืองผลึกพอดี

นางสุวรรณมาลีก็ต้องคอยเฝ้าดูแลอาการของสามี ด้วยความเศร้าใจยิ่ง เพราะไม่อาจช่วยเหลือประการใดได้ แม้จะจับมาฉีกอย่างไร กระดาษที่วาดรูปนั้นก็ไม่ขาด เอาไปเผาไฟก็ไม่ไหม้ และผู้ใดมาแย่งชิงเอารูปนั้น พระอภัยก็ไล่ตีกระเจิดกระเจิงไปหมด รวมทั้งนางสุวรรณมาลีด้วย ต้องไปกราบทูลพระมารดาให้มาช่วยปลอบโยน ซึ่งพระอภัยพอจะเชื่อฟังอยู่บ้าง พระมารดาก็พาธิดาฝาแฝดของพระอภัยมาด้วย พอเห็นหน้าพระธิดาก็จำได้ จึงพูดจาหยอกเย้าเล่นกันเป็นปกติ นางสุวรรณมาลีก็แอบเอารูปวาดไปโยนทิ้งน้ำเสีย แต่พอตอนดึกรูปนั้นก็กลับมาอยู่กับพระอภัยอีก ทั้งนางสุวรรณมาลีและพระมารดาก็ให้มหาอำมาตย์ผู้ใหญ่ เชิญโหราจารย์มาดูดวงชตาหาทางแก้ไข แล้วก็ทำพิธีปัดรางควาญ ขับไล่ผีร้ายที่สิงสู่อยู่ในรูปวาด ก็ไม่ได้ผลแต่ประการใด ทั้งสองนางก็หมดปัญญา ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ได้แต่คร่ำครวญ

โอ้พระร่มโพธิ์ทองของน้องแก้ว หลงเสียแล้วกรรมเอ๋ยกรรมจะทำไฉน
พระมารดาว่าพ่อคุณเคยอุ่นใจ เหมือนฉัตรชัยช่วยบำรุงให้รุ่งเรือง
มาเกิดเป็นเช่นนี้วิปริต เหมือนมืดมิดแหล่งหล้าฟ้าจะเหลือง
แม้ข้าศึกฮึกอึงมาถึงเมือง เมื่อแค้นเคืองขุ่นเข็ญจะเห็นใคร

นางสุวรรณมาลีหมดปัญญา ที่จะแก้ไขเหตุการณ์ได้ด้วยตนเอง จึงสั่งให้อำมาตย์ถือหนังสือไปแจ้งแก่ศรีสุวรรณน้องชาย และสินสมุทบุตรชาย ที่พักอยู่กับบิดาและปู่ที่เมืองรัตนา ให้รีบกลับมาช่วยป้องกันเมืองผลึกโดยด่วน

และเมื่อนางสุวรรณมาลีได้รับแจ้งจากนายด่านว่า สุดสาครเดินทางมาขอพบบิดา และรออยู่ที่ปากน้ำ นางก็ปรึกษากับเหล่าขุนนาง เห็นว่าไม่ควรเข้าไปทูลให้พระอภัยทราบ เพราะขณะนี้สติฟั่นเฟือนไปแล้ว ควรจะรอให้ศรีสุวรรณกลับมาเสียก่อน เพราะไม่มีใครรู้จักสุดสาคร แต่จะไม่ต้อนรับก็ไม่เหมาะ จึงให้เสนาไปแจ้งว่าการศึกยังติดพันอยู่ ขอให้พักอยู่ที่ด่านชานเมือง เพื่อจะได้ช่วยกันต่อสู้ข้าศึกป้องกันเมืองด้วย

เสนาผู้ใหญ่ที่เดินทางไปกับนายด่าน ก็เข้าเฝ้าสุดสาครบนเรือ เล่าถึงเรื่องที่พระอภัยมณีหลงเสน่ห์รูปนางละเวงวัณฬา จนสติฝั่นเฝือไป ขณะนี้ก็กำลังมีข้าศึกยกจากเมืองลังกาหนุนมาอีก นางสุวรรณมาลีจึงขอร้องให้สุดสาคร ช่วยป้องกันข้าศึกที่จะเข้ามาถึงปากอ่าวด้วย และได้แจ้งข่าวไปยังศรีสุวรรณพระเจ้าอาแล้ว อีกไม่ช้าก็คงจะยกพลมาถึง

สุดสาครเป็นห่วงอาการประชวรของพระบิดา จึงฝากขุนนางให้คอยแจ้งข่าวมาให้ทราบเป็นระยะไป ตนเองจะขออยู่ป้องกันข้าศึกที่ด่านนี้จนกว่าจะเสร็จสงคราม

ฝ่ายกองทัพเมืองต่าง ๆ ที่อาสานางละเวงมารบเมืองผลึก ก็มาพร้อมกันทั้งแปดทัพ เมืองเหล่านั้นมีชื่อแปลก ๆ เรียกยาก จำยาก แต่ตัวนายทัพนั้นชื่อ เจ้ามะหุ่ง เจ้าวะลำ เจ้ากุเวน เจ้าวิลยา เจ้าคุลา เจ้ากวิน เจ้าละเมด และ เจ้าจีนตั๋ง นับทั้งเจ้าละมานด้วยก็จะเป็นเก้าทัพพอดี ทั้งแปดทัพก้เข้าตีกรุงผลึกทั้งทางบกและทางน้ำพร้อมกัน

นางสุวรรณมาลีรู้ข่าวก็ตกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะพระอภัยมณียังหลงรูปจูบกระดาอยู่ ทูลความอะไรก็ไม่ยอมอือออด้วย นางสุวรรณมาลีก็ได้แต่สะอื้นกลืนน้ำตา

โอ้ปิ่นเกล้าเจ้าประคุณของเมียเอ๋ย ไม่ฟื้นเลยแล้วหรอกรรมทำไฉน
ศึกจะมาธานีไม่มีใคร ช่วยแก้ไขคิดอ่านการณรงค์
โอ้เวียงวังครั้งนี้ไม่มีรอด จะม้วยมอดเหมือนเขาเบื่อไม่เหลือหลง
และมิหนำซ้ำสูยประยูรวงศ์ นางร่ำทรงโสกาถึงธานี

เมื่อไม่มีทางที่จะแก้ไขอย่างอื่นได้ นางสุวรรณมาลีก็จำเป้นต้องออกมาบัญชาการรบด้วยตนเอง โดยสั่งให้ทหารเข้าประจำป้อมหอรบและเชิงเทิน คอยระวังป้องกันนครอย่างกวดขันทั้งกลางวันและกลางคืน

ทางกองทัพเรือข้าศึกที่จะเข้าปากอ่าว ก็ปะทะกับกองเรือของสุดสาคร เสาวคนธ์และหัสไชย สองพี่น้องจากกรุงการะเวก ซึ่งจัดชบวนรออยู่ที่ค่ายปากน้ำ

สุดสาครสอนสองพระน้องน้อย ให้สวมสร้อยสังวาลย์ประสานสาย
กุมารีพี่แต่งแปลงเป็นชาย สอดสะพายลูกแล่งพระแสงทรง
สุดสาครกรกุมไม้เท้าแก้ว สำเร็จแล้วลีลาดังราชหงส์
ขึ้นบนหลังถังน้ำทั้งสามองค์ ให้โบกธงตีฆ้องเร่งกลองรบ

ที่ต้องขึ้นไปยืนบนถังน้ำนั้น ก็เพราะว่ายังเป็นเด็กเล็กด้วยกันทั้งสามคน คงจะกลัวว่าไพร่พลจะมองไม่เห็นแม่ทัพ ทั้งตนเองเมื่ออยู่ที่สูงก็จะได้เห็นเหตุการณ์ข้างหน้า สามารถบัญชาการรบได้อย่างถูกต้องตามสถานการณ์ด้วย ทหารในกองทัพเรือของเมืองการะเวกที่อยู่ในบังคับบัญชาของสุดสาครนั้น มีความกล้าหาญเก่งกาจ สามารถต้านทานกองทัพเรือของข้าศึกไว้ได้ และกองทัพที่มาพร้อมกันนั้น ต่างฝ่ายต่างก้เข้ารบตามคำสั่งนายของตน ไม่ได้รวมกำลังสามัคคีกันแต่ประการใด เพราะต่างคนต่างก็อยากได้ชัยชนะ เพื่อบำเหน็จจากนางละเวงด้วยกันทั้งนั้น

กองทัพบางเมืองของข้าศึกขึ้นบกได้ ก็ยกเข้าล้อมกรุงผลึก นางสุวรรณมาลีก็แต่งกายเป้นชาย ออกจากวังมาบัญชาการรบที่กำแพงเมืองด้านเหนือ ทหารของกรุงผลึกนั้นไม่มีขวัญและกำลังใจในการที่จะสู้รบ จึงถูกข้าศึกปีนกำแพงขึ้นมาฆ่าตายไปมากมาย แต่ก็ยังไม่สามารถยึกป้อมได้ นางเห็นว่าถ้าไม่ออกไปสู้รบกับข้าศึกนอกกำแพง คงจะต้องเสียที จึงยกพลเปิดประตูออกไปตีข้าศึกที่ล้อมกำแพงเมืองอยู่ ซึ่งเป็นกองทัพของเจ้าวิลยาและเจ้ามะหุ่ง ข้าศึกก็รุมรบสับสนอลหม่าน จนนางสุวรรณมาลีต้องตกอยู่ในวงล้อม จะถอยกลับเข้าเมืองก็ไม่ทัน ทหารรักษาพระองค์ก็รุมล้อมนางกษัตริย์ ต่อสู้ข้าศึกอย่างเข้มแข็งจนค่ำมืดง ก็ไม่สามารถแหวกวงล้อมออกมาได้

คงจะต้องคอยให้ใครมาช่วย ในตอนหน้า.

########




 

Create Date : 23 มีนาคม 2551    
Last Update : 23 มีนาคม 2551 5:52:10 น.
Counter : 654 Pageviews.  

ชุดที่ ๙ สงครามเก้าทัพ ตอนที่ ๑

พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด

ชุดที่ ๙ สงครามเก้าทัพ

ตอนที่ ๑ ดูจิ้มลิ้มหลงเล่ห์ในเลขา

ฑ.มณฑา

ฝ่ายท่านท้าวเจ้ากรุงลังกานั้น เมื่อถอยทัพมาถึงเมืองแล้วก็ปลงทัพคอยอุศเรนอยู่หน้าเมือง ตัวพระองค์เองก็ถูกลูกธนูของนางวาลี ให้เจ็บปวดรวดร้าวยิ่งนักเอายาอะไรปิดแผลก็ไม่บันเทาลงได้เลย พอทัพฟน้าถอยกลับมาถึง เสนาก็เอาโกดศใส่ศพของอุศเรนมาถวาย แล้วรายงานเรื่องราวให้ทรงทราบทุกประการ เจ้ากรุงลังกาก็พิโรธโกรธกริ้วเป็นที่สุด สั่งให้เก็บโกศทองและเครื่องประดับทั้งหมดนั้นไว้ ถ้าจับตัวพระอภัยมณีได้เมื่อไร ให้สับร่างใส่โกศกลับคืนไปบ้าง แล้วพระองค์ก็โสกาอาดูรอยู่กับศพของราชบุตรอุศเรนจนถึงค่ำคืน

เมื่อดวงใจไปจากอุระแล้ว ไม่คลาดแคล้วกายาคงอาสัญ
สิ้นชีวิตบิตุรงค์สิ้นพงศ์พันธุ์ ใครจะกันเขตแคว้านแดนลังกา
ยังแต่น้องของเจ้าเป็นสาวรุ่น แม้นสิ้นบุญบิตุเรศกับเชษฐา
จะเปล่าเปลี่ยวเดี่ยวดิ้นกินน้ำตา โอ้นึกน่าหนักทรวงเป็นห่วงใย
หวังจะปลูกลูกรักทั้งชายหญิง ให้ยอดยิ่งญาติกาได้อาศัย
ไม่สมคิดบิตุราชแทบขาดใจ เหลืออาลัยลูกยาธิดาดวง
เสียดายศักดิ์รักตระกูลพูนเทวษ น้ำพระเนตรมิรู้สิ้นรินรินร่วง
เหมือนอกเจ็บเหน็บเข็มไว้เต็มทรวง โอ้บาทหลวงพระไม่ช่วยฉันด้วยเลย
ระทวยทอดกอดศพซบสอื้น ไม่พลิกฟื้นวรองค์ทรงเสวย
พอสายัณห์จันทร์กระจ่างน้ำค้างเชย ท้าวก็เลยล่วงสวรรค์ครรไล

เมื่อพระเจ้ากรุงลังกาโศกเศร้าจนสิ้นพระชนม์ไปแล้ว เสนามหาอำมาตย์ทั้งหลาย ก็จัดการแห่พระศพทั้งสองเข้าไปในกรุงลังกา แล้วกราบทูลความทั้งหมด ให้นางละเวงวัณฬา กุมารีได้ทราบ นางก็ตกตลึงสิ้นเรี่ยวแรงร้องกรีดแล้วก็ล้มสลบลงไปในทันที เมื่อพี่เลี้ยงแก้ไขจนฟื้นขึ้นมา ก็เฝ้าแต่ร่ำรำพันถึงพระบิดาและพระเชษฐา ถึงกับคิดจะตายตามไปด้วย แต่พี่เลี้ยงและขุนนางได้พากันยื้อยุดและห้ามปรามไว้ แล้วก็เชิญนางขึ้นครองราชสมบัติกรุงลังกาแทน

นางละเวงก็ไม่ยอมรับ ด้วยคิดว่าตนเองเป็นหญิง คงไม่สามารถปกครองบ้านเมืองให้เรียบร้อยไปได้ตลอดรอดฝั่ง แต่ขุนนางน้อยใหญ่ก็ช่วยกันอ้อนวอน

อันคนอื่นพื้นแต่ไพร่มิใช่กษัตริย์ สุดจะจัดขึ้นเป็นปิ่นบดินทร์สูร
แม่เป็นหญิงจริงอยู่แลแต่ตระกูล สืบประยูรปกเกล้าชาวลังกา
แม้นเมืองน้อยร้อยเอ็ดไม่เข็ดขาม จะปราบปรามข้าศึกทรงปรึกษา
ข้าพเจ้าเหล่าอำมาตย์มาตยา ขออาสาสิ้นชีวิตไม่คิดกาย
ประการหนึ่งซึ่งตราพระราหู เป็นของคู่ขัตติยาเทวาถวาย
เป็นตราแก้วแววเวียนวิเชียรพราย แต่เช้าสายสีรุ้งดูรุ่งเรือง

ดวงตราพระราหูนี้ เป็นของคู่บ้านคู่เมืองลังกา สำหรับกษัตริย์ทรงไว้ติดกายป้องกันภัยได้ทุกประการ ทั้งยามปกติและยามศึก

แม้นเดินหนฝนตกไม่ถูกต้อง เอาไว้ห้องเห็นแห่งตำแหน่งไหน
ไม่หนาวร้อนอ่อนอุ่นละมุนละไม ถ้าชิงชัยแคล้วคลาดซึ่งสาตรา
แต่ครั้งนี้ท้าวมิได้เอาไปศึก เพราะท้าวนึกห่วงพระแม่แน่หนักหนา
ด้วยเป็นหญิงทิ้งไว้จึงได้ตรา ไว้รักษาก็เป็นอันตราย
จึงธนูผู้หญิงมันยิงถูก ควรพระลูกทดแทนให้แค้นหาย
หญิงผลึกศึกกล้าเสียกว่าชาย เชิญพระแม่แก้อายอย่าวายวาง

นางละเวงจึงยอมรับตำแหน่งเจ้ากรุงลังกา ตามที่ขุนนางถวาย ขณะที่มีอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น เมื่อจัดการพระศพของพระบิดาและเชษฐาเรียบร้อยแล้ว ก็ปรึกษาราชการกับสมเด็จพระสังฆราชพระบาทหลวงว่า จะทำอย่างไรกับข้าศึกทางเมืองผลึก พระบาทหลวงก็ว่าเมืองผลึกนั้นดีแต่สู้กับผู้ชาย บัดนี้กรุงลังกามีกษัตริย์เป็นผู้หญิง คงจะเอาชนะได้ไม่ยากนัก แล้วพูดเป็นปริศนาทิ้งท้ายไว้ให้คิดว่า

จะต้องตรองตรึกตราวิชาหญิง สละทิ้งเสียทั้งตราพระราหู
แม้นคิดเห็นเช่นเราทั้งทั้งชมพู ไม่หาญสู้ศึกโยมนะโฉมงาม

นางละเวงวัณฬาเฝ้าแต่คิดถึงปริศนาของพระบาทหลวง ก็คิดไม่ออกว่าให้ทิ้งตราราหูรู้อย่างหญิงนี้ จะต้องทำอย่างไร ซักถามท่านก็ไม่เฉลย คิดอยู่นานจนเสวยไม่ได้บรรทมไม่หลับมาหลายราตรี สุดท้ายก็ติองตามไปเฝ้าที่อารามท้ายเมือง เพ่อขอร้องให้ท่านแนะนำให้แจ่มแจ้ง

พระบาทหลวงก็ยอมเปิดเผย ข้อปริศนาที่ให้ไว้ว่า จำเป็นจะต้องสละดวงตราราหู โดยป่าวประกาศไปยังเมืองต่าง ๆ ถ้าใครยกกองทัพมารบชนะเมืองผลึก ก็จะให้เป็นครองนครลังกา ได้รับตราราหูไว้ครอบครอง และในใบบอกนั้นจะต้องวาดรูปของนางให้สวยงาม เพื่อให้เจ้าเมืองทั้งหลายหลงใหลพากันมาอาสาสมัคร

แล้วก็ไขตู้เอาแผนที่อาณาเขตประเทศต่าง ๆ รอบกรุงลังกา พร้อมทั้งตำราทำเสน่ห์เล่ห์กล สำหรับหญิงใช้ผูกใจชายให้อยู่ในกำมือ มาถวายนางละเวง อีกทั้งกำชับให้พากเพียรเรียนร่ำตำราให้รู้แจ้งเห็นจริง แล้วเอาไว้ใช้ให้เป็นประโยชน์สืบไป

นางละเวงก็รับเอาแผนที่และตำรานั้น มาศึกษาหาความรู้พร้อมกับได้ฝึกสาวสนมกำนัลใน ให้รู้จักกลสตรีตามตำรับนั้นอีกร้อยคน กับเอามาฝึกเพลงอาวุธเช่นชาย เพื่อจัดเป้นกองทหารรักษาพระองค์อีกสามพันคน แล้วก็ระดมฝึกไพร่พลในกองทัพให้คล่องแคล่วในการรบอยู่อีกสองปี พร้อมทั้งดำเนินการสร้างวังขึ้นใหม่ที่ท่าข้ามหน้าเมืองลังกา สำหรับเป็นที่พำนักในเวลาทำสงคราม ระยะห่างจากพระราชวังเดิมไปเมืองใหม่นั้น ใช้เวลาเดินทางสามวัน ก่อสร้างอยู่ปีครึ่งจึงแล้วเสร็จ

แล้วนางก้แต่งตั้งขุนนางผู้ใหญ่ให้ว่าราชการงานเมืองแทน ส่วนตนเองยกพลจำนวนแสน กับองครักษ์อีกสามพัน ไปตั้งมั่นที่เมืองใหม่ให้ใกล้ทะเล จากนั้นก็ร่างพระราชสาร พร้อมด้วยรูปวาดสวยสดงดงามเหมือนองค์จริง ใส่กล่องแก้วให้ราชทูตคุมทหารร้อยคน ลงเรือออกไปเจริญพระราชไมตรียังเมืองต่าง ๆ ตามแผนที่ของพระบาทหลวง

รายแรกที่ไปถึงก็คือ เจ้าละมาน อยู่เมืองทมิฬรูปร่างใหญ่โตสูงได้หกศอก จมูกแหลมแก้มแฟบฟันเสี้ยม หน้าตาเหี้ยมหาญเหมือนมารร้าย ไม่กินข้าว กินแต่ปลากับเนื้อสัตว์ดิบ ๆ มีกำลังวังชาแข็งแรง ใช้เหล็กทำคันธนู สายธนูทำด้วยลวด จะยิงช้าง แรด วัว ควาย ตายทุกที เจ้าละมานองค์นี้เป็นม่าย เพราะมเหสีตายแล้วไม่ยอมมีใหม่ รักองค์เก่ามากหานางใดก็ไม่เหมือน

เมื่อราชทูตมาถึงเมืองทมิฬก็เข้าเฝ้าเจ้าละมานและถวายสาร เจ้าละมานรับกล่องมาเปิดออกดู พอเห็นรูปวาดก็ตกตลึงถึงกับสิ้นสติไปทันที เมื่อหมอหลวงแก้ไขให้ฟื้นขึ้นมา ก็หลงชมความงามของรูปนั้นจนไม่ยอมวาง

งามเสงี่ยมเอี่ยมอิ่มดูพริ้มพักตร์ พระเกศปักปิ่นทองใส่ช้องผม
นิ้วนิดนิดชิดแช่มแฉล้มกลม แต่ทรวงห่มส่านพับนั่งหลับตา
นวลละอองสองแก้มเหมือนแย้มยิ้ม ดูจิ้มลิ้มหลงเล่ห์ในเลขา
พระโอษฐ์อิ่มพริ้มพรายชม้ายมา พอปะตาเต็มรักพระยักคิ้ว

จากนั้นก็เฝ้าคลั่งใคล้ใหลหลง เวลานอนก็เอาวางไว้ข้างหมอน เวลาจะไปไหนก็พับแอบเอาไว้แนบอก แล้วสวมเสื้อทับไม่ให้ใครรู้

เมื่อ่านสารได้ความว่าจะให้ไปปราบเมืองผลึก ถ้าได้ชัยชนะก็จะให้ตราพระราหู และยกกรุงลังกาให้ครอบครองสืบวงศ์กษัตริย์ต่อไป เจ้าละมานก็ยกกองทัพเรือถึงพันห้าร้อยลำ มีพลประจำลำละพันคน ถือคันศรประจำมือทุกคน เคลื่อนพลไปทางตะวันออกเป็นเวลาเดือนหนึ่งก็ถึงเมืองใหม่ ที่ท่าข้ามกรุงลังกา

ครั้นขึ้นไปเฝ้านางละเวงวัณฬา สนทนาปราศัยไต่ถามทุกข์สุขกันตามธรรมเนียมแขกบ้านแขกเมืองแล้ว นางละเวงก็จัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงดู และให้นางสนมกำนัลคอยปฏิบัติดูแล ไม่ให้อนาทรร้อนใจ

เจ้าละมานพักอยู่เพียงคืนเดียว รุ่งขึ้นเช้าก็ยกกองทัพเรือออกจากกรุงลังกา มุ่งไปเมองผลึกโดยไม่ชักช้า เดินทางได้สิบห้าวันถึงปากอ่าวเมืองผลึก ก็ยกพลขึ้นบกข้ามท้องทุ่งมาจนถึงกำแพงเมือง เตรียมเข้าตีเมืองให้แตกหักเสียโดยเร็ว จะได้กลับไปรับบำเหน็จรางวัล ตามประกาศต่อไป.

#############







 

Create Date : 23 มีนาคม 2551    
Last Update : 23 มีนาคม 2551 5:45:09 น.
Counter : 575 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.