Group Blog
 
All Blogs
 

ชุดที่ ๘ เมืองผลึกรับศึกเทศ ตอนที่ ๒

พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด

ชุดที่ ๘ เมืองผลึกรับศึกเทศ

ตอนที่ ๒ “ไปข้างหน้าศึกจะใหญ่ขึ้นใจหาย”

ฑ.มณฑา

ในระหว่างที่สินสมุทไปเยี่ยมพระเจ้าปู่ที่เมืองรัตนา กับพระเจ้าอาศรีสุวรรณ และนางอรุณรัศมี ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่สุดสาคร ได้พาน้องทั้งสองคือ เสาวคนธ์กับหัสไชย เดินทางออกจากกรุงการะเวกนั้น ทางกรุงผลึกก็ได้เกิดศึกสงครามขึ้น ตามที่ได้คาดหมายเอาไว้ก่อนนานแล้ว

โดยอุศเรนโอรสของเจ้ากรุงลังกา ซึ่งพ่ายแพกองทัพของเมืองผลึก ต้องบาดเจ็บไปเมื่อครั้งก่อน ได้พักรักษาตัวอยู่เป็นเวลาถึงห้าปี พอหายดีแล้วก็จัดกองทัพยกมาตีเมืองผลึก เพื่อแก้แค้นอีกครั้ง โดยมีกำลังมากมายมหาศาล

แต่ทัพหน้าห้าแสนถือแหลนหลาว ทั้งปืนยาวปืนสั้นเข้าบรรจบ
ยังปีกป้องกองกลางควงเข้างบ ทหารรบห้าหมื่นพื้นฉกรรจ์
ทั้งกองหลังรั้งท้ายก็หลายแสน ล้วนปืนแม่นมีแรงแข็งขยัน
มารวมรอมพร้อมหมดกำหนดวัน ใครไม่ทันโทสาถึงผาทรวง
ราชบุตรอุศเรนเป็นทัพหน้า เจ้าลังกากำกับเป็นทัพหลวง
มาถึงทั่วหัวเมืองสิ้นทั้งปวง ตามกระทรวงศึกกษัตริย์ปราบดัสกร

ทางพระอภัยมณีเมื่อได้ทราบข่าวจากกองสอดแนม ที่ได้ส่งออกไปอยู่ตามหัวเมืองต่าง ๆ แล้ว ก็ปรึกษากับนางวาลี และนางสุวรรณมาลี เพื่อจะต่อสู้ป้องกันพระนคร นางวาลีก็วางแผนให้พระอภัย คุมกำปั่นแปดร้อยออกไประวังหน้า เมื่อทัพข้าศึกเข้ามาให้ถอยหนีออกไปนอกอ่าว ปล่อยให้กองทัพใหญ่เข้ายึดเมืองผลึก นางวาลีจะถุมพลซ่อนอยู่ในเมือง และนางสุวรรณมาลีคุมพลออกไปแอบอยู่นอกเมือง เมื่อข้าศึกเผลอก้จะเข้าโจมตี ทั้งในเมืองและนอกเมือง ให้พระอภัยคุมกองทัพเรือ หวนกลับมาตีกองเรือของข้าศึกที่อย่ในอ่าวหน้าเมืองพร้อมกันด้วย

ดังนั้นเมื่อกองทัพหน้าของกรุงลังกาถึงปากแม่น้ำ ยิงปืนสนั่นครั่นครื้น ก็ไม่มีกองทัพเรือของเมืองผลึกออกมาต่อสู้ป้องกันเลย แต่มีกองเรือขบวนหนึ่งเคลื่อนออกไปนอกอ่าว อุศเรนคุมทัพหน้ามีเรือสองพันลำก็ไล่ตามไป แต่กองเรือของเมืองผลึกก็หนีไป ไม่อยู่ต่อสู้ด้วย

พระเจ้ากรุงลังกาก็นำกองทัพหลวง เข้าไปถึงท่าเรือเมืองผลึก ยกพลขึ้นบกแล้วก็ไม่เห็นมีกองทัพออกมาต่อต้าน จับตัวชาวบ้านมาสอบสวนก็ได้ความว่าพระอภัยมณีขนครอบครัวและมบัติพัสถาน ลงเรือกำปั่นร่วมพันลำหนีออกทะเลไปแล้ และยังได้เผายุ้งฉางเสบียงอาหารในเมืองเสียสิ้น ควันไปยังกรุ่นอยู่ พวกราษฎรไม่มีอาหารกินก็แยกย้ายกันไปหาที่อยู่ใหม่ ไม่มีใครสู้รบด้วย ขอแต่ชีวิตรอดไว้ก่อน

พระเจ้ากรุงลังกาก็ยกกองทัพเข้าไปตั้งอยู่ในเมือง คอยเกลี้ยกล่อมให้ราษฎรที่อพยพหนีภัย กลับมาถิ่นฐานบ้านเดิม และคอยป้องกันไม่ให้มีการอพยพหนีออกจากเมืองไปอีก เรือรยของกรุงลังกานับพันลำก้เข้าไปจอดแออัดกันอยู่ในแม่น้ำเมืองผลึก ฝ่ายไพร่พลทั้งหลายก็ขึ้นไปอยู่บนบก ฉลองชัยชนะที่ได้มาอย่างง่ายดายกันเอิกเกริก

พอมืดค่ำลง นางสุวรรณมาลีก็ยกกองทัพที่ซ่อนอยู่นอกเมือง เข้ามาจุดไฟเผาทำลายเรือของเมืองลังกา แล้วก็ตัดสายสมอให้ลอยไปปะทะกัน เกิดเพลิงไหม้ลุกลามไปทั้งอ่าว ส่วนนางวาลีที่ซุ่มพลอยู่ในวังก็ยิงปืนใหญ่ถล่มกองทัพของข้าศึก แล้วก็ยกพลออกจากวังเข้าโจมตีทหารของข้าศึก ที่กำลังกินเลี้ยงรื่นเริงกันอยู่ นางสุวรรณมาลีก็ยกพลเข้าลุยข้าศึกอีกด้านหนึ่ง จนแตกตื่นอลหม่านกันไปทั้งกองทัพ

ตัวพระเจ้ากรุงลังกาซึ่งชราแล้ววิ่งไม่ไหว ก็ขี่คอทหารองครักษ์มีทหารห้อมล้อม ออกจากเมืองลงไปที่ท่าเรือ ก็เห็นกองเรือกำลังลุกไหม้อยู่ทั่วไป ทหารของนางวาลีและนางสุวรรณมาลี ก็ตีกองทัพเมืองลังกาไปบรรจบกันที่ท่าเรือ นางวาลีเห็นทหารพาเจ้ากรุงลังกาแบกบ่าจะหนีลงเรือ ก็เอาเกาทัณฑ์ยิงไปสามดอกถูกเกราะทะลุ แต่ลูกหนึ่งปักติดที่แขนขวา ทหารรักษาพระองค์ก็ห้อมล้อม พาลงเรือที่เหลือถอยออกไปจากอ่าวได้

ทางด้านอุศเรนนั้น นำเรือทัพหน้าไล่ตามขบวนเรือของเมืองผลึกทัน แล้วก็เข้ารบกันกลางทะเล แต่พระอภัยไม่ได้ไปกับกองเรือนั้น คงอยู่กับนางวาลี เมื่อจับเชลยและยึดศาสตรวุธของข้าศึกได้แล้ว ก็ลงเรือนำกองทัพกองละร้อยลำรวมสิบกอง ออกไปช่วยโจมตีกองเรือทัพหน้าของอุสเรน แต่เป็นเวลามืดค่ำแล้ว อุศเรนนำกองเรือของตนกลับมาสมทบกับทัพหลวง โดยไม่รู้ว่าทัพหลวงแตกและเจ้ากรุงลังกาลงเรือหนีกลับไปแล้ว เจอกับกองเรือของพระอภัยก็นึกว่าเป็นกองทัพหลวงของบิดา จึงถูกล้อมทั้งหน้าหลัง พอจะกลับลำไปออกทะเล ก็ถูกปืนใหญ่ยิงท้ายเรือแตกพินาศ น้ำทะลักเข้าเรือจนเอียงล่มจมลง พระอภัยก็นำเรือเข้าไปใกล้ ให้คนลงไปรับอุศเรนมาขึ้นเรือของตน แล้วก็ถอยทัพกลับเข้า เมืองผลึก

พระอภัยใจดีเป็นที่สุด เมื่อจับอุศเรนได้มิให้หมอง
ให้เชิญองค์ทรงเสลี่ยงเคียงประคอง หามมาท้องพระโรงรัตน์ชัชวาลย์
ทั้งทอดที่มีแท่นแสนสะอาด ให้ไสยาสน์เอนองค์ด้วยสงสาร
พวกมดหมอก็ให้มาพยาบาล เอาเครื่องอานพร้อมเพรียงตั้งเรียงราย

พออุศเรนฟื้นจากสลบรู้สึกสติ ก็คิดแค้นใจและเจ็บอายเป็นที่สุด คลำหาอาวุธประจำกายจะคิดฆ่าตัวตาย ก็ถูดยึดไปเสียแล้ว พระอภัยมองดูรู้ทีจึงค่อยเจรจาด้วยอย่างนุ่มนวล

จึงสุนทรอ่อนหวานชาญฉลาด เราเหมือนญาติกันดอกน้องอย่าหมองศรี
เมื่อแรกเริ่มเดิมก็ได้เป็นไมตรี เจ้ากับพี่ก็รักกันหนักครัน
มาขัดข้องหมองหมางเพราะนางหนึ่ง จนได้ถึงรบสู้เป็นคู่ขัน
อันวิสัยในพิภพแม้รบกัน ก็หมายมั่นจะใคร่ได้ชัยชนะ
ซึ่งครั้งนี้พี่พาเจ้าเข้ามาไว้ หวังจะได้สนทนาวิสาสะ
ให้นัดหมายคลายเคืองเรื่องธุระ แล้วก็จะรักกันจนวันตาย
ทั้งกำปั่นบรรดาโยธาทัพ จะคืนกลับไปให้เหมือนใจหมาย
ทั้งสองข้างอยู่ตามความสบาย เชิญภิปรายโปรดตรัสสัตย์สัญญา

แต่อุศเรนไม่ยอมดีด้วย หาว่าพระอภัยเจ้ามารยา ที่มาวันนี้ก็ต้องการจะแก้แค้น เมื่อพลาดพลั้งลงแล้วก็ไม่ขอร้องอะไร ถือว่าเป็นชายชาติทหารเหมือนกัน จับได้ก็ฆ่าเสียเถิด พระอภัยก็อ้อนวอนว่า ถ้าจะให้หายโกรธจะให้ทำอย่างไร ก็จะยอม ข้างอุศเรนก็ระบายความแค้นว่า ถ้าตนเป็นฝ่ายชนะ จะจับทั้งพระอภัยและนางสุวรรณมาลี มามัดแล่เนื้อเอาเกลือทา แล้วตัดหัวเปลี่ยนตัวประจานไว้ให้สมกับที่ทำแก่ตน พระอภัยก็ว่าเกินศรัทธาที่จะให้เป็นไปได้เหมือนใจคิด แต่ก็ยังไม่โกรธอุศเรนคงดูแลอย่างดี

ส่วนนางวาลีกลับคิดตรงกันข้าม ต้องการจะกำจัดศัตรูตัวร้ายเสียให้สิ้นเสี้ยนหนามไปโดยเด็ดขาด

พระผ่านเกล้าเรานี้อารีเหลือ เหมือนดูถูกลูกเสือเบื่อหนักหนา
พระทัยซื่อถือว่าคุณเขามีมา ถึงจะว่าเห็นไม่ฟังกำลังเรา
ทั้งองค์พระมเหสีก็มิห้าม เพราะมีความการุณคิดคุณเขา
ด้วยเป็นมิตรบิตุรงค์ของนงเยาว์ เว้นแต่เราจะทำแต่ลำพัง
ประเพณีตีงูให้หลังหัก มันก็มักทำร้ายเมื่อภายหลัง
จระเข้ใหญ่ไปถึงน้ำมีกำลัง เหมือนเสือขังเข้าดงก้คงร้าย
อันแม่ทัพจับได้แล้วไม่ฆ่า ไปข้างหน้าศึกจะใหญ่ขึ้นใจหาย
ต้องตำรับจับให้มั่นคั้นให้ตาย จะทำลายภายหลังยากลำบากครัน

นางวาลีจึงจัดแจงแต่งกายอย่างนายทัพ เหน็บกริชถือธนู ทำพรวดพราดเข้าไปเฝ้าพระอภัยมณี โดยไม่มองว่าอุศเรนก็อยู่ในนั้นด้วย กราบทูลว่าตอนรบกับเจ้ากรุงลังกาเมื่อคืนนี้ ตนได้ยิงธนูถูกถึงสามดอก แล้วก็ลงเรือหนีไป เข้าใจว่าคงจะตายแน่ ไม่เกินสามวันนี้ ขออาสายกพลไปตามตีให้ถึงเมืองลังกา เพื่อเผด็จศึกเสียเลย

พระอภัยเกรงใจอุศเรน จึงห้ามว่าอย่าเพิ่งหักหาญกันถึงเพียงนั้นเลย สงสารอุศเรนซึ่งยังป่วยอยู่ นางวาลีก็ทำเป็นเพิ่งเห็นอุศเรนแล้วกราบทูลว่า ถ้าจะโปรดยกโทษไม่ฆ่าเสีย ก็ขอได้ปล่อยตัวให้กลับไปรักษาพยาบาลพระบิดาของเขาเถิด ป่านนี้จะเป็นตายอย่างไรก็ไม่รู้

อุศเรนได้ฟังน้ำเสียงเยาะเย้ยหยันของนางวาลีแล้ว ก็เกิดความโกรธแค้นแน่นหน้าอก

ด้วยตัวเราเขาจับมาอัปยศ ทั้งเสียยศเสียศักดิ์เสียหนักหนา
แล้วมิหนำซ้ำสมเด็จพระบิดา แก่ชราก็มาถูกลูกเกาทัณฑ์
แสนระกำช้ำอกเหมือนตกเหว อีหญิงเลวแลเหมือนเงาะมาเยาะหยัน
ยิ่งคิดดิดพิษลมระดมกัน สะอื้นอั้นอกแยกแตกทำลาย
ชักชะงากรากเลือดเป็นลิ่มลิ่ม ถึงปัจฉิมชีวาตม์ก็ขาดหาย
เย็นวันพุธอุศเรนถึงเวรตาย ปีศาจร้ายร้องก้องท้องพระโรง

เมื่ออุศเรนขาดใจตายไป ทั้ง ๆ ที่ยังพยาบาทอาฆาตแค้น ปีศาจอุศเรนจึงเข้าสิงนางวาลีให้ล้มป่วยลงทันที แล้วก็มีอาการหนัก รักษาวิธีใดก็ไม่ทุเลา จนในที่สุดก็รู้ตัวว่าไม่รอดแน่

ชันษาข้าบาทนี้ขาดแล้ว จะคลาดแคล้วมิได้อยู่ชูฉลอง
ขอดับสูญทูลลาฝ่าละออง กษัตริย์สองพระองคือยู่จงดี

ครั้นพระอภัยมณีจัดศพอุศเรนใส่โกศลงเรือกำปั่น ให้ทหารของกรุงลังกาที่เป็นเชลยประมาณเจ็ดแสนคน นำกลับไปบ้านเมืองของตนแล้ว ก็ต้องมารักษานางวาลี แต่หมอทั้งหลายก็ไม่สามารถจะรักษาให้ทุเลาลงได้ เกิดอาการคลุ้มคลั่งต้องดิ้นรนกระวนกระวายจนหมดแรง ถึงแก่ความตายไป ทั้งพระอภัยและนางสุวรรณมาลี ก็สุดที่จะโศกเศร้าโสกาอาดูรเป็นยิ่งนัก

นางสุวรรณมาลีนั้นครวญว่า

ตั้งแต่นี้มีทุกข์ถึงยุคเข็ญ ไม่แลเห็นผู้ใดทั้งไอศวรรย์
จะวายเว้นเป็นคนอื่นทุกคืนวัน จนสิ้นกัลป์สิ้นกัปไม่กลับมา
แม้วาลีมีทุกข์ไปทางอื่น ถึงทางหมื่นแสนไกลจะไปหา
นี่ขัดสนจนใจไปปาช้า อนิจจาใจหายเสียดายนัก

ส่วนพระอภัยมณีนั้นครวญว่า

แม้นกำเนิดเกิดไหนขอให้ปะ ได้เป็นพระมเหสีในที่สอง
ให้รูปงามทรามสงวนนวลละออง อย่าให้ต้องอดสูกับผู้ใด
จงพ้นทุกข์สุขโขอโหสิ ไปจุติตามประสาอัชฌาสัย
พระครวญคร่ำร่ำว่าด้วยอาลัย พระชลนัยน์ย้อยเยาะเหยาะเหยาะย้อย

ก็เป็นอันจบบทบาทของภรรยาคนที่สี่ของพระอภัยมณี ซึ่งแม้จะมีรูปชั่วตัวดำ แต่ก็มีน้ำใจดี ซื่อสัตย์กตัญญู ยอมสละชีวิตเพื่อบ้านเมืองลงแต่เพียงนี้.

##########





 

Create Date : 20 มีนาคม 2551    
Last Update : 20 มีนาคม 2551 20:07:57 น.
Counter : 455 Pageviews.  

ชุดที่ ๘ เมืองผลึกรับศึกเทศ ตอนที่ ๑

พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด

ชุดที่ ๘ เมืองผลึกรับศึกเทศ

ตอนที่ ๑ “ เมื่อไรจึงได้มาเห็นหน้ากัน “

ฑ.มณฑา

เมื่อพระอภัยมณีได้ครองกรุงผลึก และอภิเษกกับนางสุวรรณมาลี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก้เกิดความคิดถึงพระบิดามารดาที่กรุงรัตนา เพราะตั้งแต่ออกจากเมืองเนื่องจากไปเรียนวิชาเป่าปี่ อันไม่เหมาะสมกับตำแหน่งรัชทายาทเมื่อครั้งกระโน้นก็เป็นเวลาเนิ่นนานมาแล้ว ไม่ได้ข่าวว่ายังเป็นสุขหรือไฉน แต่ครั้นจะไปเยี่ยมเยียนในเวลานี้ ก็เกรงว่าทางเมืองลังกา ที่ยังมีข้อแค้นเคืองกันอยู่ จะยกทัพมาทำศึกสงคราม ก็จะไม่มีใครป้องกันเมืองผลึก

พระอภัยมณีจึงมอบหมายให้ศรีสุวรรณพระอนุชา และสินสมุทโอรสที่เกิดจากนางผีเสื้อสมุทร กลับไปเยี่ยมท้าวสุทัศน์พระราชบิดา แล้วให้รีบกลับมาเพื่อที่จะได้ช่วยเหลือการศึกในภายหน้า ศรีสุวรรณก็ยินดีที่จะได้พานางอรุณรัศมีธิดาของตนไปเยี่ยมปู่ด้วย จึงสั่งให้อังกุหร่านายกองเรือจัดเตรียมการที่จะเคลื่อนขบวนกำปั่นไปในวันรุ่งขึ้น

นางสุวรรณมาลีก็เศร้าสร้อย ที่สินสมุทลูกเลี้ยงและหลานอรุณรัศมี จะต้องจากไปไกลในครั้งนี้

โอ้ลูกเอ๋ยเคยเห็นอยู่เย็นเช้า จะเปลี่ยวเปล่าอกแม่ชะแง้หา
เมื่อยากเย็นเห็นกันทุกวันมา ถึงพาราแล้วจะไปเสียไกลลับ
ยามเสวยเคยร่วมสุวรรณภาชน์ เมื่อไสยาสน์ยามหลับเคยรับขวัญ
ถึงยามสรงทรงสุคนธ์ปนสุวรรณ แม่เคยกันเกศเกล้าพระเมาลี
จะจากไปไกลเนตรทุเรศร้าง ฬครจะสางสระผมให้สมศรี
ทั้งทางไกลไปมาก็กว่าปี ถูกธุลีลมต้องจะหมองมัว

แล้วศรีสุวรณก็ลาพี่ชายพี่สะใภ้ พาลูกหลานมาลงเรือกำปั่น แล่นใบไปได้เดือนหนึ่งก็ถึงเมืองรมจักร ซึ่งนางมณฑามารดาของนางเกษรา ยกให้ศรีสุวรรณครอบครองทั้งเมืองทั้งธิดา แต่ศรีสุวรรณได้ฝากเพื่อนพราหมณ์ วิเชียน โมรา สานน อยู่ดูแล ในระหว่างที่ตนเองออกไปตามหาพี่ชาย เมื่อแวะเยี่ยมมเหสีเกษราได้สามวันแล้ว ก็เดินทางต่อไปอีกเดือนหนึ่งก็ถึงกรุงรัตนา ท้าวสุทัศน์ และนางประทุมมเหสีก็ดีใจมาก ที่โอรสซึ่งจากไปนานกว่าสิบปี ได้พาหลานมาให้เชยชมถึงสองคน

ศรีสุวรรณก็เล่าเรื่องที่ผ่านมา ตั้งแต่พลัดพรากจากพระอภัยมณี เพราะนางผีเสื้อสมุทรลักพาตัวไป จนเกิดสินสมุท ส่วนตนเองได้ครองเมืองรมจักร และอภิเษกกับนางเกษรา จนเกิดนางอรุณรัศมี แล้วจึงได้พบกับพระอภัยซึ่งได้ครองเมืองผลึก อภิเษกกับนางสุวรรณมาลี แต่ที่ไม่ได้พามาด้วยก็เพราะต้องอยู่รักษาเมืองผลึก ซึ่งกำลังมีศึกติดพันกันอยู่ ท้าวสุทัศน์ก็ชื่นชมหลานชายหญิง ที่เพิ่งจะได้พบหน้ากัน

ประโลมลูบจูบจอมถนอมแนบ น้อยหรือแทบย่าปู่ไม่รู้จัก
ล้วนละม้ายคล้ายพ่อนรลักษณ์ พลางเชยพักตร์พิศวาสนาถนัดดา
กุมารชายฝ่ายท้าวสุทัศน์อุ้ม นางประทุมกอดอรุณอุ่นหนักหนา
ทรงสำรวลสรวลสันต์จำนรรจา ด้วยนัดดาโอรสยศยง

ส่วนทางกรุงผลึกนั้น พระอภัยมณีก็จัดการให้บำเหน็จรางวัลแก่พวกพ้องชาวเรือแตก ที่มาจากเกาะแก้วพิศดารด้วยกัน และได้ช่วยราชการสงครามจนมีชัยแก่อุศเรนโอรสเจ้ากรุงลังกา โดยประทานเมียสาวให้ตามเผ่าพันธุ์ภาษาของแต่ละคน ให้เงินอีกคนละห้าร้อยชั่ง พร้อมด้วยกำปั่นบรรทุกข้าวปลาอาหาร และบ่าวไพร่อีกคนละร้อย เหมือนกันหมดทั้งร้อยคน บรรดาพวกเรือแตกทั้งสิบสองภาษาเหล่านั้นก็ดีใจ พากันกลับไปบ้านเมืองเดิมของตน และอาสาจะช่วยเป็นหูเป็นตา สอดส่องศัตรูที่จะมาย่ำยีกรุงผลึกให้ต่อไป

พวกจีนแล่นแผนที่ตะวันออก ออกเส้นนอกแหลมเรียวเลี้ยวเฉลียง
ไปกังตั๋ง กังจิ๋ว จุนติ๋วเชียง เข้าลัดเลี่ยง อ้ายมุ้ย แล่นฉุยมา
ทั้งพวกแขกแยกเยื้องเข้าเมืองเทศ อรุมเขต คุ้งสุหรัด ปัตหนา
ไปปะหัง ปังกะเราะ เกาะชวา มะละกา กะเลหวัง ตรังกานู
วิลันดามาแหลมโล้บ้านข้าม เข้าคุ้งฉลาม แหลมเงาะ เกาะราหู
อัดแจจาม ข้ามหน้ามลายู พวกญวนอยู่เวียตนามก็ข้ามไป
ข้างพวกพราหมณ์ข้ามไปเมืองสาวถี เวสาลี หูโลม โรมวิสัย
กบิลพัศดุ์ โรมพัฒน์ ถัดถัดไป เมืองอภัยสาลีเป็นที่พราหมณ์
ข้างพวกไทยได้ลมก็แล่นรี่ เข้ากรุงศรีอยุธยาภาษาสยาม
พม่ามอญย้อนเข้าอ่าวพุกาม ฝรั่งข้ามฟากเข้าอ่าวเยียระมัน

เมื่อจัดการบ้านเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็มีความสุขสำราญอยู่กับนางสุวรรณมาลี มเหสีที่กว่าจะได้อภิเษกก็แสนจะยากเย็น จนมีพริดาแฝดสององค์ ให้ชื่อว่า สร้อยสุวรรณ กับ จันทร์สุดา

แล้วพระองค์ทรงสำราญผ่านสมบัติ แต่นางกัตริย์มเหสีนั้นขี้หึง
เห็นโปรดใครใหญ่ขึ้นก็มึนตึง จึงทรงครรภ์ไม่ทันถึงในครึ่งปี
ครั้นคลอดราชธิดาเป็นฝาแฝด ดังทองแปดนพคุณจรูญศรี
ไม่คลาดเคลื่อนเหมือนกันสิ้นทั้งอินทรีย์ พระอัยกีก็รักใคร่กระไรเลย
เห็นหลานมากอยากเลี้ยงเข้าเคียงข้าง พระทัยนางนึกนิยมชมลูกเขย
แล้วว่าดีมีถมหรอกนมเนย ขอให้เคยคู่แฝดสักแปดคราว

ทางฝ่ายสุดสาครซึ่งอยู่ที่เมืองการะเวกนั้น ก็เลี้ยงน้องที่เป็นทายาทของพระสุริโยทัย กับมเหสีจันทวดีสองคน คือ นางเสาวคนธ์กับหัสไชย เพลิดเพลินอยู่จนเวลาล่วงไปถึงสิบปี ก็เกิดรำลึกขึ้นมาได้ว่า ตนได้ลาพระเจ้าตาออกจากเกาะแก้วพิศดารมา ก็เพื่อจะเที่ยวตามหาพระอภัยมณีผู้เป็นบิดา และสินสมุทพี่ชาย แต่กลับมาหลงความสุขอยู่ในวังเมืองการะเวกจนถึงป่านนี้ จึงคิดจะลาพระเจ้ากรุงการะเวก ออกไปติดตามหาพระบิดา แต่ผู้เดียวกับม้ามังกร จึงสั่งเสียน้องทั้งสอง

แม่นงเยาว์เสาวคนธ์อย่าซนวิ่ง เป็นผู้หญิงเนื้อตัวจะมัวหมอง
พระอนุชาอย่าไปเต้นเล่นคะนอง อยู่ในห้องหัดหนังสืออย่าดื้อดึง
พลางสวมสอดกอดสองพระน้องแก้ว แม้ไปแล้วพี่จะนึกรำลึกถึง
ไม่รู้เรื่องเมืองผลึกยังลึกซึ้ง เมื่อไรจึงจะได้มาเห็นหน้ากัน

แต่ทั้งสองพี่น้องไม่ยอมให้สุดสาครไปคนเดียว จะขอตามไปด้วย ถึงจะห้ามปรามอย่างไรก็ไม่ฟัง จึงพากันไปเฝ้าพระบิดาพร้อมกันทั้งสามองค์ สุดสาครก็ขอลาไปคนเดียว เจ้ากรุงการะเวกก็ไม่ห้าม แต่ให้จัดพลโยธีลงเรือสักพันลำ ไปส่งให้ถึงเมืองผลึก สุดสาครก็ว่าอย่าต้องให้ลำบากถึงเพียงนั้นเลย ไปตามลำพังกับม้ามังกรจะสะดวกกว่า สองพี่น้องก็อ้อนวอนพระบิดา ขอตามสุดสาครไปด้วย

เจ้ากรุงการะเวกก็สงสารลูก ว่ารักใคร่สนิทสนมกลมเกลียวกันมาตลอดเวลาสิบปี ถ้าจะแยกจากกันก็จะเป็นการทำลายจิตใจลูก จึงอนุญาตให้ไปได้และสั่งให้จัดเรือกำปั่นร้อยลำ เอาไพร่พลบงเรือไปห้าหมื่นคน มีอาวุธน้อยใหญ่ครบเป็นกองทัพเรือ ส่วนเรือลำทรงนั้นเป็นเรือใหญ่ ยาวสามเส้นมีห้องหับเรียบร้อย ตกแต่งเหมือนอย่างอยู่ในวัง มีพี่เลี้ยงนางกำนัลครบตามตำแหน่ง

ฝ่ายโฉมจันทวดีนารีราช แสนสวาทลูกน้อยละห้อยไห้
จะจากวังทั้งสามตามกันไป เป็นจนใจที่จะขัดจะทัดทาน
จัดสุรางค์นางสนมพี่เลี้ยงพร้อม ทั้งคนกล่อมกล่าวเกลี้ยงล้วนเสียงหวาน
เจ้าขรัวนายสำหรับบังคับการ ตรวจเครื่องอานพร้อมเพรียงจนเสียงเครือ
เร่งให้คนขนส่งลงกำปั่น ทั้งกำนัลน้อยใหญ่ดีใจเหลือ
พอรุ่งรางต่างคนมาลงเรือ มีหมอนเสื่อสารพัดจัดประจง

เมื่อกองทัพเรือของกรุงการะเวกแล่นออกสู่ปากน้ำ สุดสาครก็บริกรรมคาถาเรียกม้ามังกรให้ขึ้นมาบนเรือ แล้วสั่งว่าในเวลากลางวันจะไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ตามใจ แต่เวลาค่ำต้องกลับมานอนที่กำปั่นลำทรงนี้

กองเรือเดินทางมาได้สิบห้าวัน ก็ถึงเกาะกาวินจึงแวะจอดเรือเข้าไปหาน้ำท่ามาเป็นเสบียงบนเรือ เกาะนี้เป็นที่อาศัยของผีเสื้อยักษ์ พอได้กลิ่นมนุษย์มันก็พากันบินมาฝูงใหญ่นับหมื่นแสน แต่ละตัวโตใหญ่ขนาดแบเอาผู้คนไพร่พลจากเรือ ขึ้นไปบนเกาะได้

สุดสาครกับน้องออกมาจากห้อง ผีเสื้อก็โฉบเอาเสาวคนธ์และหัสไชยไปได้ สุดสาครจึงฉวยไม้เท้าวิเศษ ขึ้นหลังม้ามังกรรีบตามขึ้นไปบนเกาะ เข้าฟาดฟันกับหมู่ผีเสื้อ จนตายยับเยินไปเป็นอันมาก ต้องทิ้งผู้คนและน้องทั้งสองลง

สุดสาครก็อุ้มน้องขึ้นม้ามังกร พากลับมาที่เรือกำปั่นให้อยู่แต่ในห้อง และสั่งการให้ลูกเรือถอนสมอกางใบเรือเตรียมออกเดินทาง แต่ตนเองคว้าเกาทัณฑ์เขาควาย ขึ้นม้ามังกรกลับไปที่เกาะ ข้ามป่าละเมาะไปจนถึงเนินเขา หน้าถ้ำนางพญาผีเสื้อยักษ์ ใหญ่ตัวเท่าช้าง นอนจำศีลอยู่ สุดสาครก็เอาเกาทัณฑ์ยิงถูขมับถึงสองครั้ง แต่ไม่ระคายผิวหนัง ผีเสื้อยักษ์ก็โมโหโกรธาคลานออกมาจากถ้ำ พอบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ก็ถูกฟ้าผ่าเปรี้ยง หัวขาดกระเด็นตกลงมาตายคาที่ สุดสาครก้เข้าไปควักแก้วตาผีเสื้อมาได้ทั้งสองดวง

เมื่อกลับมาถึงเรือกำปั่น สุดสาครก็ให้ช่างในเรือทำสายสร้อยเพ็ชร ประดับแก้วตาผีเสื้อยักษ์ ผูกข้อมือน้องทั้งสองให้ติดตัวไว้ป้องกันอันตราย แล้วก้ออหกเรือเดินทางต่อไปอีกสามเดือน ก็เข้าเขตกรุงผลึก เห็นกองตระเวนเรือกวดขันเหมือนกับอยู่ในระหว่างศึกสงคราม จึงจอดพักอยู่ที่หน้าด่าน แล้วให้นายด่านเข้าไปกราบทูลพระเจ้ากรุงผลึก ให้ทราบควมว่าบัดนี้ได้มีโอรสชื่อสุดสาคร จะมาขอเฝ้าพระบิดา

แต่ขณะนั้นทางกรุงผลึกกำลังมีเรื่อง เดือดร้อนวุ่นวายอย่างใหญ่หลวง สุดสาครจึงต้องจอดเรือรออยู่ที่ด่านนั้นนานสักหน่อย เหตุการณ์ภายในเมืองเป็นอย่างไร ก็จะได้นำมาขยายให้ทราบ ในตอนหน้า.

##########




 

Create Date : 20 มีนาคม 2551    
Last Update : 20 มีนาคม 2551 20:00:12 น.
Counter : 547 Pageviews.  

ชุดที่ ๗ สุดสาครศิษย์พระเจ้าตา ตอนที่ ๒

พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด

ชุดที่ ๗ สุดสาครศิษย์พระเจ้าตา

ตอนที่ ๒ เหตุทั้งนี้เพราะกรรมกระทำไว้

ฑ.มณฑา

จะกล่าวถึงเมืองการะเวก ซึ่งเป็นเมืองที่ สุดสาคร มุ่งหน้ามาตามหาไม้เท้าวิเศษของพระเจ้าตา ที่ถูกชีเปลือยลักเอาไป เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่มีกัตริย์ชื่อ พระสุริโยทัย อายุได้ยี่สิบสองปี เพิ่งจะขึ้นครองราชสมบัติต่อจากองค์ก่อนที่สิ้นพระชนม์ไปไม่นานนัก มเหสีชื่อ นางจันทวดี มีพระราชธิดาน้อยอายุเพิ่งจะสองปีกับสี่เดือนชื่อ เสาวคนธ์ เมืองการะเวกนี้มีความเจริญรุ่งเรือง ผาสุขสมบูรณ์มาก เพราะข้าราชการและประชาชนพลเมืองล้วนเป็นผู้อยู่ในศีลธรรมอันดี

วันหนึ่งเสนาก็มาทูลว่า มีตาเฒ่าชีเปลือยไม่นุ่งห่มเสื้อผ้า ขี่ม้าหน้าเหมือนมังกร ถือไม้เท้าหัวเป็นงูเข้ามาในเมือง อ้างว่าเป็นผู้วิเศษจากเกาะพนมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองนี้ เดินทางมาช่วยโปรดสัตว์ กำจัดโรคภัยแก่ผู้คนทั้งหลายด้วยการพรมน้ำมนต์ บัดนี้มีราษฎรมากมายคอยรอรดน้ำมนต์ อญุ่ตั้งแต่ท้ายเมืองจนถึงหน้าวัง

พระสุริโยทัยก้เลื่อมใส ให้อำมาตย์ออกไปนิมนต์ผู้วิเศษเข้ามาทำพิธีในวังด้วย เมื่อชีเปลือยเที่ยวรดน้ำมนต์ให้ชาวบ้านจนรอบเมืองแล้ว อำมาตย์ก็พาเข้ามาในวัง เหล่าชาววังทั้งหลายไม่เคยเห็นคนไม่นุ่งผ้า ก็มีอาการไปต่าง ๆ นานา

“หม่อมผู้หญิงชิงกันดูผู้วิเศษ คิดว่าเปรตตกประหม่าหน้าเป็นหลัง
ร้องหวาดหวีดเกรียดเสียงสำเนียงดัง นางชาววังวิ่งพัลวันเวียน
บ้างร้องด้วยแม่เจ้าคุณเอ๋ย กระไรเลยเหลือร้ายไม่หายเหียร
บ้างซ่อนตัวกลัวสุดเที่ยวมุดเมี้ยน ตกใจเจียนจะเป้นลมไม่สมประดี
............................................... .......................................................
บ้างว่าม้าน่ากลัวหัวเหมือนนาค บ้างจุปากว่าไม้เท้ายาวจำหนับ
บ้างบอกความกระซิบสั่งนั่งคำนับ ตรัสให้รับคุณเข้าไปในพระโรง “

เมื่อถึงหน้าท้องพระโรง ตาเฒ่าชีเปลือยก็ลงจากหลังม้าจะเข้าไปเฝ้าเจ้าเมือง ม้ามังกรได้โอกาสก็กระโดดออกวิ่งโลดกลับไปหาเจ้านายที่จากมา ชีเปลือยใจหายเสียดายม้าถึงกับลมจับ ล้มกลิ้งล้มหงายให้เหล่าเสนาช่วยกันพาไปที่ทิมริมโอสถ ซึ่งมีหมอหลวง พักรักษาตัวอยู่ที่นั่น แต่ชีเปลือยก็วิตกว่าม้าหนีไปแล้ว ตนเองก้ไปไหนไม่รอด จึงป่วยไข้ได้ทุกข์อยู่หลายวัน

จนกระทั่งสุดสาคร ขี่ม้ามังกรเข้ามาถึงเมืองการะเวก ผู้คนเห็นม้าจำได้ว่าเป็นของชีเปลือย คงจะเป็นลูกหลานท่านฤๅษี ก็ไต่ถามเรื่องราว สุดสาครก็ถามหาชีเปลือยว่าอยู่ที่ใด ชาวบ้านก็บอกว่าอยู่ในวัง สุดสาครก้เข้าไปหาถึงในวัง

“ สุดสาครวอนว่าช่วยพาฉัน ไปถึงทั่นหน่อยเถิดจ้าเมตตาหลาน
พวกขุนนางต่างเอ็นดูพระกุมาร จึงว่าท่านลงเดินดำเนินไป
ในวังเวียงเยี่งอย่างไปข้างหน้า อ้ายม้าลาอย่างนี้ขี่ไม่ได้
ห่อกษัตริย์ตรัสตอบว่าขอบใจ สอนอย่างไรฉันจะทำไม่ก้ำเกิน
พระว่าพลางทางลงจากหลังม้า ดังสิทธาเทพบุตรสุดสรรเสริญ
ส่วนเสนีปรีชาพากันเดิน นาดดำเนินตรงไปเข้าในวัง “

พอถึงโรงหมอที่ในวังเห็นชีเปลือยนอนหลับอยู่ สุดสาครก็รีบเข้าไปคว้าไม้เท้าที่พิงอยู่ข้างฝา เอามากวัดแกว่งแผลงศักดา ร้องตวาดด่าว่าเฒ่าเจ้าเล่ห์อยู่เอ็ดอึง ตาเฒ่าชีเปลือยตกใจตื่นขึ้นมาเห็นสุดสาคร ซึ่งตนผลักตกลงเหวไปแล้วกลับคืนมาได้ ก้กลัวหัวหด วิ่งเตลิดออกจากที่พัก พวกเสนาข้าราชการก้วิ่งตามกันไปเป็นพรวน ส่งเสียงอื้ออึงไปทั่ววัง พระสุริโยทัยได้ยินก็ไต่ถามพวกขุนนางที่เฝ้าอยู่ใกล้ ก็ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

จนกระทั่งสุดสาครถือไม้เท้าเดินเข้ามากลางท้องพระโรง ร้องบอกแก่ผู้คนทั้งปวง ว่าตนมาเอาไม้เท้าคืนเท่านั้น ไม่ได้คิดจะทำร้ายผู้ใด พระสุริโยทัยเห็นฤๅษีองค์น้อยน่ารัก จึงนิมนต์ให้ขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ แล้วซักถามเรื่องราวความเป็นมาตั้งแต่ต้น

“ พระหน่อไทได้ฟังรับสั่งถาม จึงตอบความตามจริตกิจฤๅษี
อาตมาอายุได้สามปี พระชนนีชื่อมัจฉาวิลาวัลย์
พระบิตุรงค์องค์อภัยมณีนาถ โอรสราชรัตนามหาสวรรค์
เมื่อตัวข้ามากำเนิดเกิดในครรภ์ พระจากกันจากเกาะแก้วพิศดาร
ครั้นคลอดข้าดาบสท่านรักใคร่ ช่วยเลี้ยงไว้พันผูกเหมือนลูกหลาน
ช่วยสอนฝึกศึกษาวิชาการ แล้วให้ฉานชื่อว่า สุดสาคร ”

แล้วก็เล่าต่อถึงเรื่องที่มาแวะพักผ่อนที่เกาะพนม ก็ถูกตาเฒ่าชีเปลือย หลอกลวงให้ขึ้นไปบนภูเขา ว่าจะสอนเวทย์มนต์กันน้ำกรดให้ แต่กลับผลักตกลงเหวหวังจะฆ่าให้ตาย แล้วยึดเอาไม้เท้ากับม้ามังกรไป แต่บังเอิญยังไม่ถึงที่และม้าหนีกลับไปรับได้ จึงรอดชีวิตตามมาเอาไม้เท้าคืน

เจ้ากรุงการะเวกก็โกรธแค้นว่าชีเปลือยมาหลอกลวงราษฎร จึงให้เสนาไปตามจับตัวมาให้ได้ ซึ่งชีเปลือยก็ไม่ได้หนีไปไกล คงวนเวียนอยู่ในวังนั้นเอง พวกเสนาก็ฉุดลากเอาตัวมาหมอบอยู่หน้าที่นั่ง แม้จะสอบสวนเท่าไรชีเปลือยก้ไม่ยอมรับว่าตั้งใจจะฆ่าฤๅษีน้อย แกล้งทำเป็นบ้าบอฟั่นเฟือนไม่รู้เรื่อง เจ้ากรุงการะเวกจึงสั่งให้เอาเอาไปประหารชีวิตเสีย สุดสาครสงสารจึงขอชีวิตไว้

“ สุดสาครอ่อนจิตคิดสงสาร จึงทัดทานทูลท้าวเจ้ากรุงศรี
ว่าขอโทษโปรดอย่าได้ฆ่าตี เหตุทั้งนี้เพราะว่ากรรมกระทำไว้
ไม่หุนหันฉันทาพยาบาท นึกว่าชาติก่อนกรรมทำไฉน
จะฆ่าฟันมันก็ซ้ำเป็นกรรมไป ต้องเวียนว่ายเวทนาอยู่ช้านาน
รูปบวชกายหมายใจจะได้ตรัส ช่วยส่งสัตว์เสียให้พ้นวนสงสาร
จะเข่นฆ่าตาเฒ่าไม่เข้าการ ขอประทานโทษไว้อย่าให้ตาย “

พระเจ้ากรุงการะเวกก็ว่าจะยกโทษถวายให้ก็ได้ แต่ขอให้พระดาบสน้อยอยู่เป็นโอรสจะได้หรือไม่ สุดสาครก็ตอบขอบพระคุณ แต่อยากจะไปสืบหาพระบิดาให้พบเสียก่อน แล้วจะกลับมาอยู่ด้วย พระสุริโยทัยก็ขอร้องให้รออยู่ก่อน จะได้สืบสาวราวเรื่องว่า พระอภัยมณีอยู่ที่เมืองไหน เมื่อได้ข่าวคราวแน่นอนแล้ว จึงค่อยเดินทางไปหา สุดสาครก็ไม่สามารถที่จะขัดความปรารถนาดีของเจ้ากรุงการะเวกได้

พระสุริโยทัยจึงสั่งให้เสนา ปล่อยตัวชีเปลือยเป็นอิสระ แต่ให้ขับออกไปจากวัง สุดสาครก็ออกมาเรียกม้ามังกรสั่งว่า ตนจะต้องพักอาศัยอยู่ที่เมืองนี้ต่อไปก่อน เวลากลางวันจะออกไปเที่ยวที่ไหนในทะเลก็ตามใจ แต่เวลาเย็นต้องกลับมาพบกันที่พระลานหน้าวังทุกวัน

แล้วพระเจ้ากรุงการะเวก ก็อุ้มดาบสน้อยเข้าไปข้างในที่ประทับ เมื่อพระมเหสีได้เห็นหน้าและทราบเรื่องแล้ว ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะอยากจะได้บุตรชายอยู่แล้ว ทั้งสององค์ก็จัดเครื่องทรงอย่างกษัตริย์มาให้เปลี่ยน แต่สุดสาครปฏิเสธ

“ พระเห็นของสองกษัตริย์จัดมาให้ จะใคร่ได้เครื่องทรงน่าสงสาร
ว่าหม่อมฉันวันจะจากพระอาจารย์ ได้ตั้งสัตย์อธิษฐานต่อเทวา
มิได้กลับอภิวาทบาทดาบส ก็ไม่ปลดปลิดเปลื้องเครื่องสิกขา
ซึ่งสององค์ทรงพระกรุณา จะเมตตาแต่งหม่อมฉันประการใด
ขอประดับข้างนอกหนังเสือเหลือง ให้ประเทืองไม่ได้ขัดอัชฌาสัย
จะทรงเครื่องเปลื้องหนังเสียทั้งไตร เหมือนได้ใหม่ลืมเก่าดังเผ่าพาล “

สองพระองค์ผู้ครองกรุงการะเวกเอ็นดูว่ามีสัจจะ จึงไม่ขัดข้อง เมื่อได้จัดแจงแต่งองค์ทรงเครื่องเสรฌจเรียบร้อยแล้ว ก็เรียกพระธิดา เสาวคนธ์ มาให้รู้จักพี่ชาย ทั้งสองก็รักใคร่สนิทสนมกันเป็นอันดี มเหสีจันทราวดีก้เลี้ยงดูสองกุมารคู่กันไป โดยไม่ได้มีความเดียดฉันท์

“ สุดสาครนอนทับพระเพลาซ้าย แล้วดื่มสายโลหิตสนิทสนม
จนอิ่มหนำฉ่ำชื่นรื่นอารมณ์ นางจูบเคล้าเผ้าผมเฝ้าชมเชย
ครั้นราตรีสี่กษัตริย์เข้าไสยาสน์ สำราญราชร่วมเรียงเคียงเขนย
ถนอมพักตร์รักใคร่กระไรเลย ร่วมเสวยร่วมสรงพระคงคา “

ต่อมาพระเจ้ากรุงการะเวกก็คัดเลือกเด็กน้อย ลูกผู้ดีมีสกุลและข้าราชบริพาร ที่อายุใกล้เคียงกัน มาเป็นเพื่อนเล่นกับราชบุตรและธิดาทั้งสอง เมื่อเติบโตขึ้นก็เล่าเรียนวิชาการต่าง ๆ ด้วยกัน ทั้งความรุ้หนังสือและวิชาทหาร การรบทัพจับศึก

“ จนเจนจำชำนาญในการศึก อาจารย์ฝึกพลรบให้หลบฝน
ทหารเลวเร็วรับกลับกลอกตน แต่เม็ดฝนก็ไม่ถูกลูกเล็กเล็ก
ต่างคล่องแคล่วแกล้วกล้าปรีชาหาญ ล้วนกุมารเหมาะเหมาะใส่เกราะเหล็ก
บ้างไว้จุกลูกขุนนางไว้หางเจ๊ก ล้วนแต่เด็กน้อยน้อยห้าร้อยคน
ด้วยทิศาปาโมกข์เมืองการะเวก เป็นองคืเอกอาจรู้หลบสู้ฝน
สำหรับฝึกศึกกัตริย์ให้จัดพล รู้ผ่อนปรนปราบยุคทุกทุกองค์
จึงพาราผาสุขสนุกสนาน พระกุมารบันเทิงระเริงหลง
ลืมนักสิทธฺบิตุราชมาตุรงค์ ใจพะวงอยู่ด้วยเล่นไม่เว้นวัน “

ในปีนั้นพระมเหสีจันทวดี ก็ประสูติโอรสอีกองคืหนึ่งได้ชื่อว่า หัสไชย ก้เลยกลายเป็นสามคนพี่น้อง เติบโตด้วยกันมา สุดสาครก็อยู่อย่างมีความสุขในเมืองการะเวก จนเวลาล่วงไปถึงสิบปี ก็ยังไม่ได้ออกจากเมืองไปตามหาบิดา ตามที่ได้ตั้งใจไว้เดิมแต่อย่างใด.


##########











 

Create Date : 19 มีนาคม 2551    
Last Update : 19 มีนาคม 2551 5:41:44 น.
Counter : 1013 Pageviews.  

ชุดที่ ๗ สุดสาครศิษย์พระเจ้าตา ตอนที่ ๑

พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด

ชุดที่ ๗ สุดสาครศิษย์พระเจ้าตา

ตอนที่ ๑ "รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี"

ฑ.มณฑา


เมื่อพระอภัยมณีออกเดินทางจากเกาะแก้วพิศดาร อาศัยเรือกำปั่นของท้าวสิลราชกลับบ้านเมืองจนกระทั่งเรือแตก แล้วอุศเรนรัชทายาทของเจ้าเมืองลังกา มาช่วยรับไปจากเกาะร้าง และรบกับสินสมุทเพื่อชิงนางสุวรรณมาลี คู่หมั้นคู่หมายแต่ต้องพ่ายแพ้ไป สุดท้ายพระอภัยมณีกลับเป็นผู้ได้ครองกรุงผลึกและได้อภิเษกกับนางสุวรรณมาลีเสียเองนั้น เวลาก็คงจะผ่านมาประมาณห้าปี

ในระหว่างนั้นเองบุตรชายคนที่สองของพระอภัยมณี ซึ่งเกิดจากนางเงือกน้อยกลอยใจที่เกาะแก้วพิศดาร ก็ลามารดาและพระเจ้าตา ออกเดินทางไปตามหาบิดา ขณะที่มีอายุเพียงสามขวบ กุมารนั้นก็คือ สุดสาคร แม้อายุยังเยาว์ แต่ก็มีความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาจากพระเจ้าตามากมาย ทั้งได้ไม้เท้าวิเศษเป็นอาวุธคู่มือ มีม้ามังกรเป็นพาหนะ สามารถว่ายน้ำหรือวิ่งไปบนน้ำได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อตอนที่จะจากกันมา นางเงือกผู้มารดา รำพันไว้ว่าอย่างไรก็ยังจำได้ว่า

“ต้องลมแดดแผดเผาจะเศร้าสร้อย ทั้งกล้วยอ้อยพ่อจะได้ที่ไหนเสวย
กันดารแดนแสนไกลพ่อไม่เคย จะหลงเลยลดเลี้ยวอยู่เดียวดาย
แสนสงสรมารดาอุตส่าห์ถนอม จะซูบผอมเผือดผิวจะหิวโหย
เหมือนดอกไม้ไกลต้นจะหล่นโรย น้ำค้างโปรยปรายต้องจะหมองมัว
แม้ล้าเลื่อยเมื่อยเหน็บจะเจ็บป่วย ใครจะช่วยอนุกูลพ่อทูนหัว
ทั้งผีสางกลางชลาล้วนน่ากลัว จะจับตัวฉีกเนื้อเป็นเหยื่อกิน “

และตนเองก็ไม่วายคิดถึงมารดา ซึ่งเป็นมนุษย์ปนมัจฉาแสนอาภัพ

“ แล้วลานางย่างเยื้องชำเลืองเหลียว ให้เปล่าเปลี่ยวเยวทรวงสะท้อนถอน
ขึ้นทรงนั่งหลังพระยาม้ามังกร แล้วหยุดหย่อนยืนยั้งเหลียวหลังแล
เห็นศาลาอาลัยเพียงใจขาด จะนิราศแรมร้างไปห่างแห
สะอื้นไห้ใจคอให้ท้อแท้ คิดถึงแม่ถึงตายิ่งอาลัย “

สุดสารครเดินทางไปทางทิศพายัพได้ไม่เท่าไร ก็พบเมืองตั้งอยู่กลางทะเลเมืองหนึ่ง เมื่อมองแต่ไกลจะเห็นความเจริญรุ่งเรือง มีบ้านช่องแน่นหนา และผู้คนพลเมืองเดินกันขวักไขว่ ทำมาค้าขายกันทั้งทางบกทางน้ำ แต่พอควบม้ามังกรเข้าไปในเมือง ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปหมด บ้านช่องตึกรามก็หายไป มีแต่กำแพงเมืองดูคร่ำคร่าจมอยู่ในน้ำ ผู้คนที่เห็นมากมายก็กลายเป็นผีดิบ เข้ากลุ้มรุมสุดสาคร จะจับตัวดูดเลือดกิน สุดสาครก็แกว่งไม้เท้าคู่มือฟาดฟันกับผีร้าย ล้มหายไปก็มาก แต่ที่หนุนเนื่องเข้ามาก็มิใช่น้อย ม้ามังกรก็ช่วยขบกัดถีบกระทืบ ทั้งเอาหางซึ่งเป็นนาคฟาดพวกผี ก็ไม่อาจเอาชนะได้ ต่อสู้กันอยู่ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน จนเหนื่อยอ่อนไปทั้งคนและม้า แทบจะจมน้ำตายอยู่แล้ว ก็ร้อนถึงพระอาจารย์ต้องมาช่วยเหลือ

“................................................... .................................................
พอเสียงดังหง่างหง่างมากลางลม ปีศาจจมหายวับไปลับตา
เห็นโยคีขี่เมฆมาเสกเวท จึงอาเพทพวกผีหนีคาถา
ขึ้นหยุดยั้งนั่งลนใบเสมา ไหว้เจ้าตาทูลถามไปตามแคลง “

พระฤๅษีจึงเล่าให้ฟังว่า แต่เดิมเป็นเมืองของเท้าปักกา แต่เลิกนับถือพระพุทธศาสนา จึงเกิดอาเพททำให้ข้าวยากหมากแพง ประชาชนอดอยากล้มตายลงมาก มายร่วมร้อยล้าน และในที่สุดเมืองนี้ก็ล่มจมมหาสมุทรไป เหลือแต่เสมาบนกำแพงเมืองโผล่พ้นน้ำอยู่นิดเดียว แล้วพระอาจารย์ก็แนะให้สุดสาครออกเดินทางต่อไป ถ้าพบผีร้ายชนิดนี้อีกก็อย่าไปสู้กับมัน ให้รีบหนีไปเสีย ถ้ามันเข้ามาใกล้จึงใช้ไม้เท้าฟาดให้สลายไป

สุดสาครพาม้ามังกรขึ้นไปพักบนเกาะร้างแห่งหนึ่งที่อยู่แถวนั้น หาผลไม้กินพออิ่มท้องหายเหนดเหนื่อย แล้วก็นอนพักเสียคืนหนึ่ง ปล่อยให้ม้ามังกรออกไปเที่ยวหากินตามสบาย พอรุ่งเช้าจึงออกเดินทางต่อไป

สุดสาครเดินทางต่อมาอีกกระมาณเดือนเศษ ก็ถึงเกาะแห่งหนึ่ง อยู่ไม่ไกลจากเมืองการะเวก เมื่อขี่ม้ามังกรเดินสำรวจไปทั่วเกาะ ก็พบกุฎีหลังหนึ่งอยู่ในป่าละเมาะใกล้เนินเขา พอเข้าไปใกล้ศาลา จึงเห็นว่ามีชายชราผู้หนึ่งนอนหลับอยู่ ตาเฒ่าผู้นี้ท่าทางดูเหมือนจะเป็นฤาษีชีไพร แต่เปลือยกายไม่นุ่งผ้าผ่อน ผมเผ้าและหนวดเคราก็หงอกขาวยาวเฟื้อยเลื้อยถึงดิน ก็มีความสงสัยเป็นกำลัง

"ประหลาดใจใยหนอไม่นุ่งผ้า จะเป็นบ้าไปหรือว่าถือศีล
หนวดถึงเข้าเคราถึงนมผมถึงตีน ฝรั่งจีนแขกไทยก็ใช่ที"

สุดสาครจึงตะโกนเรียก ให้ตื่นขึ้นมาพูดจากันหน่อย ว่าเป็นอย่างไรจึงไม่นุ่งผ้า ตามแก่ชีเปลือยก็บอกว่า

"อันร่างกายหมายเหมือนหนึ่งเรือนโรค แสนโสโครกคืออายุกเป็นทุกขัง
เครื่องสำหรับยับยุบอสุภัง จะปิดบังเวทนาไว้ว่าไร
เราถือศีลจินตนาศิวาโมกข์ สละโลกรูปนามตามวิสัย
บังเกิดเป็นเบญจขันธ์มาฉันใด ก็ทิ้งไว้เช่นนั้นจนฉันนี้"

สุดสาครได้ฟังก็หลงเชื่อว่าคงจะเป็นผู้บำเพ็ญพรตขั้นสูง จนละกิเลสไม่อาลัยใยดีต่อสังขารร่างกาย เกิดมาอย่างไรก็อยู่อย่างนั้นไม่ปรุงแต่งให้สวยงามตามปกติเช่นคนทั่วไป ก็บังเกิดความนับถือเลื่อมใส จึงลงจากหลังม้ากราบขอโทษ และเล่าความเดิมให้ฟัง พร้อมทั้งไต่ถามหนทางที่จะไปหาบิดา กับพี่ชายที่จากไปกว่าสามปีแล้ว

ชีเปลือยนั้นเดิมเป็นพราหมณ์อยู่เมืองไกล นั่งเรือมาแตกแถวนี้ แต่รอดชีวิตมาอยู่บนเกาะ ก็อาศัยกินผลไม้อย่างเดียว เสื้อผ้าไม่มีจะนุ่งห่มก็เลยปล่อยตามสบาย อยู่มานานเข้าก็มีชาวเมืองการะเวกเดินทางมาพบ คิดว่าเป็นผู้วิเศษจึงก่อกุฏิให้อยู่อาศัย และชวนกันมาบนบานศาลกล่าวเรื่องราวต่าง ๆ เมื่อได้ผลสำเร็จบ้าง ก็เล่าลือกันต่อไป จนมีผู้นับถือมากขึ้น

ครั้นพิจารณาดูสุดสาคร ฤาษีน้อยอายุเพียงสามขวบ แต่มีม้ารูปร่างหน้าตาแปลกประหลาด สามารถเดินบนน้ำเป็นพาหนะ และถือไม้เท้าท่าทางจะมีฤทธิ์ ก็สนใจอยากจะได้มาครอบครองทั้งสองอย่าง จึงบอกว่าหนทางที่จะไปข้างหน้า มีทะเลน้ำกรดขวางอยู่ ถ้าไม่มีเวทมนต์คาถาแล้วก็ไม่สามารถข้ามไปได้ สุดสาครจึงขอฝากตัวเป็นศิษย์ เพื่อเรียนเวทมนต์นั้น

ชีเปลือยก็หลอกพาสุดสาครขึ้นไปบนภูเขา หาที่สงบสงัดจะได้สอนคาถาให้ พอถึงปากเหวข้างบนก็ให้วางไม้เท้านั่งลงที่ขอบเหว สงบสติอารมณ์ทำสมาธิจนเผลอตัว ชึเปลือยก็ผลักสุดสาครหล่นลงไปในเหวลึก สลบสิ้นสติสมประดีไป

"ชีเปลือยได้ไม้เท้าของดาวบส แกถือจดจ้องเดินลงเนินไศล
ตรงมาหาพาลีด้วยดีใจ แกเงื้อไม้ม้ากลัวก้มหัวลง
ขึ้นขี่หลังรั้งสายหวายตะค้า สงสารม้าร้องเพียงจะเสียงหลง
แต่ป่วนปั่นหันเหียนวิ่งเวียนวง ด้วยรักองค์หน่อนาถไม่คลาดคลา"

แต่ในที่สุดชีเปลือยก็เอาไม้เท้าวิเศษ บังคับม้ามังกรจนยอมให้ขี่ แล้วก็ควบขับบ่ายหน้าไปยังกรุงการะเวก

ฝ่ายสุดสาครซึ่งเสียรู้แก่ชีเปลือย ถูกผลักตกลงไปในเหว ก็กระแทกหินเรื่อยไปจนลึก แต่เนื่องจากมีอาคมของพระเจ้าตาคุ้มตัว จึงคงทนไม่ถึงตาย แต่ก็สลบไปถึงสามวันสามคืน จึงได้ฟื้นคืนสติขึ้น แต่ด้วยความเจ็บช้ำไปทั่วร่างกาย ฤทธิ์เดชเวทมนต์ก็เสื่อมลง จะปีนป่ายขึ้นจากก้นเหวก็ไม่ไหว ทั้งอดอยากหิวโหยโรยแรง ต้องนอนคิดถึงพระเจ้าตาและมารดาอยู่แต่ผู้เดียว

"สงสารแต่แม่เงือกของลูกน้อย จะหลงคอยคิดถึงคนึงหา
ลูกอยากนมสมเด็จพระมารดา แม้นได้มากล้ำกลืนจะชื่นใจ
โอ้แม่คุณทูลกระหม่อมถนอมลูก ไม่ต้องถูกหนักหนาอัชฌาสัย
ได้สามปีชีวันจะบรรลัย มิทันได้แทนคุณกรุณา"

ขณะที่รำพึงอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงม้ามังกรร้องอยู่ที่ปากเหวแต่ไม่สามารถจะไต่หินผาขึ้นไปหาได้ จึงร้องบอกม้าให้รีบไปตามพระเจ้าตามาช่วยชีวิตไว้ด้วย แล้วก็สลบไสลไปอีก ม้ามังกรซึ่งแอบหลบหนีจากตาเฒ่าชีเปลือยกลับมาได้ ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยเจ้านายของมันได้อย่างไร นอกจากร้องไปตามประสาม้า แล้วก็นั่งเฝ้าอยู่ที่ปากเหวนั้นเอง

"บัดเดี๋ยวดังหง่างเหง่งวังเวงแว่ว สดุ้งแล้วเหลียวแลชะแง้หา
เห็นโยคีขี่รุ้งพุ่งออกมา ประคองพาขึ้นไปบนบรรพต"

ก็ไม่มีใครนอกจากพระเจ้าตา จากเกาะแก้วพิศดารนั่นเอง เมื่อเข้าฌาณรู้ว่าหลานรักกำลังตกอยู่ในอันตราย ก็รีบมาช่วยขึ้นจากเหว แล้วก็สอนสั่งเป็นสำนวนอมตะอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้

"แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
อันเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
มนุษย์นี้ที่รักอยู่สองสถาน บิดามารดารักมักเป็นผล
ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน เกิดเป็นยคนคิดเห็นจึงเจรจา
แม้นใครรักรักมั่งชังชังตอบ ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา
รู้สิ่งใดไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี"

พระฤาษีสั่งสอนหลานเสร็จแล้ว ก็ล่องหนหายตัวไป เหลือแต่ม้ามังกรผู้ซื่อสัตย์ ที่เข้ามาเอาคางเกยเท้าเจ้านาย แล้วก็เอาจมูกสูดดม แลบลิ้นเลียแข้งขาตามวิสัยสัตว์ สุดสาครก็จูงม้าพาไปเก็บผลไม้ในป่ากินแก้หิว แล้วก็ลงเล่นน้ำทะเลด้วยกัน จนสดชื่นคืนแรงขึ้นมาอย่างเดิมแล้ว ก็ขึ้นหลังอาชาคู่ชีพ ออกเดินทางจากเกาะ มุ่งตรงไปยังกรุงการะเวกในคืนนั้นเอง.


##########




 

Create Date : 19 มีนาคม 2551    
Last Update : 19 มีนาคม 2551 5:24:44 น.
Counter : 4337 Pageviews.  

ชุดที่ ๖โชคสองชั้นของพระอภัยมณี ตอนที่ ๒

พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด

ชุดที่ ๖ โชคสองชั้นของพระอภัยมณี

ตอนที่ ๒ "ถึงอยู่วังใจมาอยู่ที่ภูเขา"

ฑ.มณฑา

เมื่อ นางสุวรรณมาลี หนีการวิวาห์ไปบวชเป็นชีอยู่ที่ ภูเขาศีขิรินทร์ ปล่อยให้ พระอภัยมณี ปกครองกรุงผลึกอยู่อย่างเปล่าเปลี่ยวใจ ไม่รู้จะทำอะไรก็เลยหันมาปรับปรุงบ้านเมืองเตรียมรับทัพกรุงลังกา และฝึกทหารให้พร้อมที่จะทำศึกสงคราม ขณะเดียวกันก็แต่งประกาศหา ผู้ที่มีฝีมือในการใช้อาวุธ และมีความรู้ความสามารถ ในการรบ ให้มาสมัครเข้ารับราชการเพิ่มขึ้น จึงมีผู้คนพลเมืองมาสมัครเป็นทหารกันมามายทุกวัน

มีนางสาวอยู่คนหนึ่งชื่อ วาลี อายุสามสิบสี่ปี รูปชั่วตัวดำ เป็นกำพร้า บิดามารดามาแต่เล็ก อาศัยตายายอยู่ปลายนา แต่เป็นเชื้อสายของพราหมณ์มีตำราวิชาความรู้ต่าง ๆ เป็นมรดกตกทอดมาแต่โบราณ เมื่อโตขึ้นนางก็อุตส่าห์เล่าเรียนคัมภีร์นั้น จนเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง มีความรู้เวทย์มนต์คาถา ดูฤกษ์ยามต่าง ๆ แล้วก็เผาตำราทิ้งเสีย อาศัยอยู่กับยายตาช่วยทำไร่ไถนา และอาศัยความรู้ว่าปีไหนเดือนไหนจะมีฝนตกชุกหรือแห้งแล้ง ก็พยากรณ์ได้แม่นยำ จนชาวบ้านเชื่อถือมีของกำนัลมาให้ไม่อดอยาก

ครั้นรู้ข่าวว่าพระอภัยมณีเจ้ากรุงผลึกคนใหม่ ประสงค์จะรับผู้ที่มีวิชาความรู้ ก็ตั้งใจจะไปสมัคร แต่นางหมายสูงไม่ได้คิดจะรับราชการเท่านั้น กะว่าจะต้องเข้าไปเป็นหม่อมห้ามเสียเลย สองตายายรู้ความคิดก็นึกขำ ในความทะเยอทะยานของหลานสาว

"นางบอกว่าข้าจะไปเป็นหม่อมห้าม คงสมความปรารถนาอย่าสงสัย
ทั้งผัวเมียหัวร่ององอไป ร้องเรียกให้เพื่อนบ้านช่วยวานแล
หลานข้าเจ้าเขาจะไปเป็นหม่อมห้าม มันเหลืองามอยู่เพียงนี้แล้วอีแม่
กูเห็นการท่านจะเอาไว้เป่าแตร ไฉนแน่กระนี้นาข้าขอฟัง"

นางวาลีก็ไม่ฟังเข้าไปสมัครในวัง เจ้าหน้าที่รู้ว่าจะมาสมัครเป็นทหาร ก็ถามว่า มีวิชาอยู่ยงคงกระพัน หรือมีฝีมือในทางใด

"นางฟังคำทำหัวเราะเยาะอำมาตย์ ว่าท่านทาสปัญญาอย่ามาถาม
วิชาคนทนคงเข้าสงคราม เป็นแต่ความรู้ไพร่เขาใช้แรง
อันวิชาข้านี้ดีกว่านั้น ของสำคัญใครเขาจะเล่าแถลง
แม้นพระองค์ทรงศักดิ์จักแสดง มิควรแพร่งพรายให้ไพร่ไพร่ฟัง"

เจ้าหน้าที่ก็ทักท้วงว่า การเป็นทหารนั้นไม่ใช่เรื่องของผู้หญิง เมื่อไม่บอกก็จะไม่พาไปเฝ้า นางก็ว่าในการสงครามนั้น ใครมีความชอบก็ได้รับบำเหน็จรางวัลใครผิดก็ประหารไปไม่ได้เลือกว่าชายหญิง หรือคิดว่าผู้หญิงฆ่าผู้ชายไม่ตาย อำมาตย์เห็นว่าเจรจาแข็งขันนัก จึงพาไปเฝ้าพระอภัยมณี พอเห็นหน้าก็นึกประหลาดว่า

"เหมือนคุลาหน้าตุเหมือนปรุหนัง ดูดังตะไคร่น้ำดำมิดหมี
แต่กิริยามารยาทประหลาดดี เห็นจะมีความรู้อยู่ในใจ"

แต่ถึงพระอภัยจะซักถามความรู้อย่างไร นางวาลีก็ตอบเลี่ยงไปมาว่า เรื่องใช้เรี่ยวแรงนั้นคงจะไม่ได้ แต่ถ้าจะเอาให้มีชัยแก่ข้าศึก ก็คงจะสมประสงค์ เจ้า กรุงผลึกจึงแกล้งถามว่า ถ้าข้าศึกมาสักสิบแสน มีแต่นางคนเดียวจะคิดการอย่างไร นางวาลีก็ว่าการศึกยังมาไม่ถึงจะพูดล่วงหน้าไปก็ไม่ถูกต้อง เมื่อเห็นว่าข้าศึกมีกลอุบายอย่างใด จึงแก้ไขเอาชนะกันในขณะนั้น วิชาที่เรียนมานี้ไม่ต้องใช้ไพร่พลมาก ขอแต่เพียงคู่คิดคนเดียวเท่านั้น พระอภัยสงสัยถามว่าจะหาคู่คิดได้ที่ไหน นางวาลีก็เผยความในใจว่าขอให้ได้อยู่ใกล้ชิดพระองค์เท่านั้น พระอภัยก็ชอบใจว่าจะเลี้ยงไว้เป็นที่ปรึกษา

"นางนบนอบตอบรสพจนารถ คุณพระบาทกรุณาจะหาไหน
แต่ยศศักดิ์จักประทานประการใด ไม่ชอบใจเจตนามาทั้งนี้
ด้วยเปลี่ยวใจไม่มีที่จะเห็น จะขอเป็นองค์พระมเหสี
แม้นโปรดตามความรักจะภักดี ถ้าแม้นมิเมตตาจะลาไป"

พระอภัยก็ไม่โกรธหัวเราะแล้วว่า ซึ่งมีแก่ใจมารักใคร่นั้นไม่ได้ถือสา แต่ต้องพิจารณารูปโฉมของตนเอง ว่าสมควรจะเป็นมเหสีได้หรือไม่ นางก็ทูลตอบอย่างฉาดฉาน ว่า

"นางทูลว่าข้าน้อยนี้รูปชั่ว ก็รู้ตัวมั่นคงไม่สงสัย
แต่แสนงามความรู้อยู่ในใจ เหมือนเพชรไพฑูรย์ฝ้าไม่ราคี
แล้วหมายว่าฝ่าพระบาทก็มีห้าม ล้วนงามงามเคยประณตบทศรี
แต่หญิงมีวิชาเช่นข้านี้ ยังไม่มีไม่เคยเลยทั้งนั้น
จึงอุตส่าห์มายอมน้อมประณต ให้พระยศใหญ่ยิ่งทุกสิ่งสรรพ์
บรรดาผู้รู้วิช่สารพัน จะหมายมั่นพึ่งพาบารมี
แม้นทรงศักดิ์รักโฉมประโลมสวาท ไม่เลี้ยงปราชญ์ไว้บำรุงซึ่งกรุงศรี
ก็ผิดอย่างทางทำเนียมประเวณี เห็นคนดีจะไม่มาสามิภักดิ์"

พระอภัยชอบใจวาจานางวาลี จึงยอมรับไว้เป็นนางสนม ต่อเมื่อได้ทำ ความดี แสดงความรู้ความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว จึงจะยกขึ้นเป็นมเหสีทีหลังนางก็ยินยอม

พระอภัยมณีจัดการบ้านเมืองในกรุงผลึกอยู่เป็นเวลานาน ก็คิดถึงนางสุวรรณมาลี ที่ไปบวชแล้วไม่ยอมสึก จึงชวน ศรีสุวรรณ น้องชายไปเยี่ยมถึงอาศรม แล้วก็รำพันว่า

"แล้วว่าโยมโทมนัสประหวัดหวัง ถึงอยู่วังใจมาอยู่ที่ภูเขา
ไม่คลาดเคลื่อนเหมือนหนึ่งเห็นอยู่เย็นเช้า เหลือจะเล่าแล้วที่จิตคิดอาลัย
คุณคะนึงถึงโยมอยู่บ้างหรือ เห็นเพลินถือธรรมขันธ์ไม่หวั่นไหว
ตัดสวาทขาดเด็ดสำเร็จไป เจียวหรือใจเจ้าคุณพระมุนี"

นางสุวรรณมาลีได้ฟังคำเกี้ยวก็อดหวั่นไหวไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่อยู่ในชุดทรงศีล แต่ก็หักห้ามใจไว้ได้ตามวิสัยสตรี จึงตอบไปว่า

"ได้ตรวจน้ำรำลึกนึกไม่ขาด ถึงเบื้องบาทบพิตรอดิศร
มิตรจิตมิตรใจอาลัยวรณ์ เว้นแต่นอนหลับไปมิได้คิด
ทั้งทราบว่าวาลีมีความรู้ เขามาสู่สมภารสำราญจิต
พอเข้านอกออกในได้ใช้ชิด สำเร็จกิจข้าน้อยพลอยยินดี"

พระอภัยก็แก้ว่า นางวาลีเป็นคนมีความนู้ จึงรับไว้ใช้สอย เพื่อเอาไว้เป็นข้ารับใช้ในภายหน้า เวลานี้ก็จัดการบ้านเมืองเป็นที่เรียบร้อยดีแล้ว ขอนิมนต์ให้สึกไปครองกรุงก่อน เอาไว้แก่เฒ่าแล้วค่อยมาบวชเสียด้วยกันจนวันตาย นางสุวรรณมาลีก็ ทำใจแข็ง ชวนพูดคุยไปในทางธรรม พระอภัยก็ไม่ฟังแต่อ้อนวอนสักเท่าไร นางก็ไม่ยอมปลงใจด้วย จึงคาดคั้นว่าถ้าไม่สึกภายในสามวัน ก็ไม่ต้องเห็นหน้ากันอีกต่อไป แล้วก็กลับเข้าวัง โดยไม่ได้ร่ำลา

แต่สามวันผ่านไปแล้ว นางสุวรรณมาลีก็ไม่ยอมสึก พระอภัยก็ได้แต่เสียใจไม่เสวยอาหาร และไม่ยุ่งกับสาวสนมนางกำนัลทั้งปวง นางวาลีก็สงสารถึงเวลาเข้าเฝ้าจึงขับกล่อมด้วยเพลงที่ตรงกับความในใจ พระอภัยก็ขอให้นางช่วยหาอุบาย ให้นางสุวรรณมาลีสึกออกมาอภิเษกให้ได้ นางวาลีก็รับอาสาว่าจะจัดการให้เรียบร้อย ภายในเจ็ดวัน แต่ไม่บอกว่าจะทำอย่างไร

"พระชื่นชอบปลอบถามถึงความคิด นางป้องปิดมิได้พร้องสนองสาร
แล้วทูลว่ามิเสร็จสำเร็จการ จงประหารชีวันให้บรรลัย
แต่เดี๋ยวนี้ยังมิทำได้สำเร็จ กลเม็ดมิดม้วนไม่ควรไข
แม้นสำเร็จวิวาห์เวลาใด จึงจะได้เห็นจริงทุกสิ่งอัน"

พอรุ่งเช้านางวาลีก็ไปเฝ้าศรีสุวรรณ ถือรับสั่งของพระอภัย ให้จัดตั้งพิธีอภิเษกในวันเจ็ดค่ำ ศรีสุวรรณก็สั่งการให้เจ้าหน้าที่ข้างหน้าและข้างใน ดำเนินการ ตามราชประเพณีกันเป็นการใหญ่

นางมณฑา พระมารดานางสุวรรณมาลีทราบข่าวก็ตกใจว่าพระราชธิดา ยังบวชไม่สึก แล้วพระอภัยจะอภิเษกกับใคร ก็ร้อนใจเป็นกำลัง จึงรีบออกจากวังพร้อมด้วยพวกข้าหลวง ไปหาแม่ชีที่อาศรม แล้วก็เล่าเรื่องที่พระอภัย สั่งให้ตั้งพิธีอภิเษกในวันเจ็ดค่ำจะทำอย่างไร นางสุวรรณมาลีก็พลอยร้อนใจ บอกว่าไม่ทราบเรื่องราวอะไรเลย พระมารดาก็ซ้ำเอาว่า เพราะมัวแต่แสนงอนอยู่อย่างนี้ เขาจึงคิดจะอภิเษกกับคนอื่น

"นางวาลีมิใช่ชั่วเขาตัวโปรด จะเป็นโสดสูงเสริมเฉลิมศักดิ์
ผู้ดีเดิมเหิมฮึกทำคึกคัก จะต้องหักทบทับอัประมาณ
เหมือนครั้งนี้วิวาห์ถ้าไม่สึก เมืองผลึกก็จะแหลกต้องแตกฉาน
สงสารเหล่าเผ่าพงศ์พวกวงศ์วาน เคยสำราญราษฎรจะร้อนนัก”

นางมณฑาก็ได้ตัดพ้อต่อว่าต่าง ๆ นา ๆ จนนางสุวรรณมาลีต้องยอมสึกพร้อมกับลูกหลานทั้งสองคือ สินสมุท และ อรุณรัศมี กลับเข้าไปอยู่ในพระราชวังดังเดิม

พระอภัยมณีก็ชอบใจในปัญญาของนางวาลี จึงประทานสร้อยสังวาลย์ที่ทรงอยู่กับตัวให้เป็นรางวัล แล้วยกขึ้นเป็นมเหสีฝ่ายซ้าย พร้อมกับนางสุวรรณมาลีด้วย

"ถีงวันเสร็จเจ็ดค่ำเป็นกำหนด มาพร้อมหมดเหมือนหมายทั้งซ้ายขวา
ภิเษกสองครองสมบัติขัตติยา ชาวพาราเริงรื่นทุกคืนวัน"

พระอภัยมณีจึงมีโชคถึงสองชั้น โดยได้อภิเษกสมรส กับนางสุวรรณมาลี สมความปรารถนา และได้นางวาลีซึ่งแม้จะมีรูปชั่วตัวดำ แต่ก็มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเอาไว้ช่วยบ้านเมืองในเวลาคับขันได้อีกด้วย.

##########







 

Create Date : 18 มีนาคม 2551    
Last Update : 18 มีนาคม 2551 12:00:34 น.
Counter : 681 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.