|
ศึกสงบ
เรื่องเล่าจากอดีต
ศึกสงบ
ย้อนอดีต
ศึกสงบ
พญาเขินคำ
เสียงปืนในแนวรบสงบลง ตามคำเสนอของญี่ปุ่น และความยินยอมพร้อมใจของไทยและอินโดจีน ต่อจากนั้นจึงเป้นการเจรจา ข้อตกลงในรายละเอียดต่าง ๆ ต่อไป สงสารแต่ทหารในแนวหน้า แม้ว่าสงครามยิงจะหยุดไปแล้วก็ตาม แต่ทหารเหล่านั้นต้องทำสงครามอีกแบบหนึ่ง คือตรึงแนวไว้ตามพื้นที่ต่าง ๆ ที่ตัวเป็นฝ่ายรุกเข้าไป แนวทหารในขณะนั้นได้รุกขึ้นไปถึงก.ม.๓๗ เส้นทางปอยเปต-ศรีโสภณ ส่วนทางกว้างนั้นไม่ทราบว่าเท่าใด
ในขณะที่การเจรจาต่อรองกำลังจะเป็นผลดี กำลังส่วนหนึ่งของทหารไทย ก็ถูกเรียกให้เดินทางเข้าพระนคร เตรียมปูนบำเหน็จรางวัลและเตรียมสวนสนาม อันเป็นการประกาศให้โลกทราบถึงชัยชนะอันมโหฬาร ซึ่งประเทศไทยได้ว่างเว้นมาเสียเกือบร้อยปี
มันเป็นกฎธรรมดาของคนหมู่มาก ที่มีการปกครองบังคับบัญชากัน ย่อมมีทั้งคนที่มีความผิดและมีความชอบ แต่ในกรณีพิพาทคราวนั้นคนผิดรู้สึกว่าจะมีน้อย จึงผ่านไปไม่ขอนำมากล่าว คงกล่าวแต่คนทำความชอบ ปรากฏว่านายทหารบางท่าน(ที่ไม่เสียชีวิต)เลื่อนยศ-ชั้น ข้ามขั้นกันอย่างเอิกเกริก ร้อยตรี เป็นร้อยเอก ร้อยเอกเป็นพันโท ทำให้หวนคิดถึงพระราชนิพนธ์ ของสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า ที่ทรงนิพนธ์ไว้ว่า
ผู้ใหญ่ต้องมีใจเป็นธรรม แม้ข้าทำดีดังประสงค์ บำเหน็จแจกให้ดังใจจง หวังให้มั่นคงจงรัก แม้นใครพลาดพลั้งทำผิด ท่านก็มิได้คิดหาญหัก อุตส่าห์เป็นห่วงท้วงทัก หวังให้ประจักษืแจ้งใจ จำเป็นต้องลงอาญา ใช่จะโกรธาก็หาไม่ ท่านต้องมั่นคงครงไว้ รักษาวินัยให้เที่ยงธรรม
สงสารแต่ทหารในแนวหน้า(อีกครั้งหนึ่ง) ที่ต้องกรำแดดกรำฝนเฝ้ารักษาแนวอยู่กลางท้องทุ่งและแนวป่า รอจนกว่าการเจรจาจะตกลงกัน ซึ่งกินเวลาเกือบสองเดือนจึงยุติ โดยญี่ปุ่นวึ่งทำตัวเป็นตาอยู่ แบ่งปลาให้ตาอินกับตานา ในหนังสือแบบเรียนเร็วสมัย ๓๐ ปีผ่านมา ตกลงให้อินโดจีนคืนดินแดนสี่จังหวัดภาคบูรพาให้แก่ไทย รวมทั้งดินแดนฝั่งขวาคือแคว้นจำปาศักดิ์ ให้แก่ไทยด้วย
ที่ว่าญี่ปุ่นทำตัวเป็นตาอยู่ ตัดท่อนหัวท่อนหางให้แก่ตาอินและตานาผู้หาลามาได้ แต่ตัวตาอยู่เอาท่อนกลางไปกินเสียอย่างอร่อยเหาะ เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าพุงปลานั้นกินอร่อย ทั้งไข่ทั้ง้ครื่องในแม้แต่เนื้อก็มีก้างแต่น้อย สะดวกต่อการเคี้ยวการกลืน หากญี่ปุ่นไม่รีบห้ามทัพ ปล่อยให้ไทยและอินโดจีนยิงกันตูม ๆ แผนการบุกของญี่ปุ่นคงไม่ง่ายดังคิดไว้ อาจถูกลูกหลงเข้าบ้างก็ได้ เพราะว่าหลังจากไทยเข้ายึดดินแดนได้ ๒๔ วัน ญี่ปุ่นก็บอกให้ไทยกลับได้ เหตุการณ์แถว ๆ อินโดจีนญี่ปุ่นจะดูแลให้เป็นอย่างดี ว่าแล้ว ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ พี่แกก็บุกตลุยผ่านอินโดจีนเข้าไทยทางอรัญประเทศ ผ่านไปโจมตี มาลายู สิงคโปร์ ต่อไปอย่างสะดวก
ทหารไทยในแนวหน้าต้องเฝ้าท้องทุ่งและแนวป่านั้น ก็ยังมีบางส่วนที่ไม่ถูกออกแนว ได้มีโอกาสเข้าเมืองได้บ้าง โดยผลัดกันมา การเข้าเมืองในสมัยนั้น คือการเที่ยวตลาดอรัญประเทศนั่นเอง ที่ตลาดอรัญ ฯ มีของกินของใช้ พอเหมาะกับสภาพของเมืองชายแดน สิ่งที่ขาดเสียไม่ได้คือสินค้า เนื้อสด ซึ่งมีบริษัทใหญ่ตั้งแข่งขันกันอยู่บริเวณท้ายตลาด ซึ่งต่อมารู้จักกันในนาม ป่าสะแก
สินค้านี้เป็นความปรารถนา ของคนแก่และคนหนุ่ม ยิ่งไปจมอยู่ในแนวตั้งหลายเดือน ย่อมจะเกิดความกดดัน ทำให้อัดอั้นต้องหาทางระบาย อันเป็นกฎธรรมชาติท ทหารในแนวคนไหนก็คนนั้น พอมาถึงในเมืองมักจะเกิดความต้องการทางเพศ พออิ่มท้องแล้วจึงมักจะแอบ ๆ ไปท้ายตลาด
การคัดคนเข้ากรุงเพื่อสวนสนาม คัดได้ตามใจคือไทยแท้ ผมเลยถูกอยู่โยง เพราะเชยเต็มที เหมาะที่จะขัดตาทัพต่อไป โดยได้รับหน้าที่ตามเคย แถมผู้ช่วยอีกคนหนึ่งเป็นพลทหาร ที่มีความรู้ความสามารถ แต่สติไม่ค่อยดีนัก ตัวผมมีงานพิเศษ ต้องเป็นผู้ป้องกันอันตราย ให้แก่ข้าราชการกรมไปรษณีย์ที่ถูกส่งไปวางสายโทรเลข ในเขตที่เรายึดไว้ได้ ข้าราชการเหล่านั้นมาอาศัยนอนอยู่กับพวกผม เช้าขึ้นออกรถวิ่งผ่านด่านปอยเปต ไปเก็บสายโทรเลขที่เขาวางไว้ก่อนลง แล้วเอาสายโทรเลขไทยขึ้นขึงแทน
มีที่น่าสังเกตคือ สายโทรเลขของเดิมเป็นสายทองแดง ไม่เอา เก็บลงเสีย แล้วเอาสายลวดขึ้นขึงแทน สายทองแดงดังกล่าว พอเสร็จสงครามไม่ทราบว่าหายไปไหนหมด หน้ากลัวจะกลายเป็นหัวกระสุนก็อาจเป็นได้
เรียนให้ทราบแล้วว่าผมเป็นเพียงผู้คุมกัน พอพวกเขาลงมือทำงาน ผมก็ออกหายิงสัตว์ เลือกยิงเอาขนาดตัวเหมาะ ๆ ตัวเล็ก ๆ ไม่พอแบ่งกัน ตัวใหญ่กินไม่ค่อยหมด จึงต้องเลือกเอา เขียนเรื่อยไปได้ ทำยังกะว่าสัตว์มีให้เลือกงั้นแหละ มีครับ เลือกได้จริง ๆ ฝูงสัตว์ป่าในเขตอินโดจีน ถ้าจะพูดว่า ชุมยิ่งกว่าฝูงวัวควายที่มีเจ้าของในเมืองไทยเสียอีก ก็ไม่ผิด เพราะมันมากมายเสียจริง ๆ ขณะที่เราวิ่งรถอยู่บนถนน มองไปชายทุ่ง กลางทุ่ง ริมป่า คุณจะเห็นฝูง เก้ง กวาง วัวกระทิง ควายป่า เดิน วิ่ง นอนผึ่งแดดเป็นฝูง ๆ พอได้ยินเสียงเครื่องยนต์ พวกมันจะหยุดชะเง้อดู แล้วก้มหน้ากินหญ้าต่อไป ทำไมมันชุมยังงั้น
งานปลดสายโทรเลขชนิดทำด้วยทองแดงก็หมดไปแล้ว คราวนี้ถึงตาที่จะต้องเอาสายลวดขึ้นแทน ผมยังทำหน้าที่เป็นผู้ป้องกันอันตราย ต้องติดรถไปกับเขาทุกครั้ง แต่เนื่องจากฝนตกติดต่อกันมา ๒-๓ วัน การขึงสายโทรเลขจึงต้องงด ผมอยู่ที่พักรำคาญมาก จึงชวนช่างสายโทรเลขชื่อพี่สุดออกตะเวนป่าหลังห้วยพรมโหด แต่ก็ไม่มีอะไร พบแต่ชาวไร่ซึ่งปลูกผักหญ้าตามประสา จึงกลับที่พัก พอดีได้รับโทรศัพท์จากแนว ชวนไปกินน้ำขาวในวันรุ่งขึ้น ผมจึงชวนพี่สุดให้ออกทำงานวันพรุ่งนี้ แม้ว่าฝนตกก็ช่าง
เรามาถึงสถานีโทรศัพท์กลางป่า สุขาติ ลูกศิศย์เก่าเป็นนายสถานีดีใจมากบอกลูกน้องให้เอาเสื่อมาปูบนลานโคนต้นไม้ พอประมาณ ๑๗.๐๐ น.แดดร่มลมตกอากาศอันแสนสบายกลางป่า สุชาติสั่งยกน้ำขาวออกมาตั้ง แกล้มด้วยปลาสลิดเค็มย่างไฟ ใช้กะลามะพร้าวขัดเสียจนเป็นมันแทนจอก เป็นการดื่มน้ำขาวซึ่งแสนจะอร่อยเหาะ ขณะที่นั่งดื่มกันอยู่นั้น พี่สุดสะดุ้งเป็นจังหวะ ผมถามว่า
เป็นอะไรพี่สุด ท้องเสียหรือไง
เปล่าท้องไม่เสีย พี่สุดสั่นหัว
แล้วสะดุ้งทำไม หรือเส้นกระตุก
เปล่า พี่สุดสั่นหัว แล้วสะดุ้งเฮือก ก้มลงมองที่เสื่อหวายอย่างสงสัย
เอ๊ะ พี่สุดร้อง
ฮึ อะไรแน่ ผมร้องบ้าง
ไม่รู้ซีเฮ้ย พี่สุดร้องลั่น แล้วก้มลงมองเสื่ออีก
น่ากลัวท้องเสียแน่ผมนึก พี่สุดตามธรรมดาเป็นคนเฉย ๆ ไม่มีพิษมีภัย ชอบดื่มแต่ระงัยสติอารมณ์ได้ดี เป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพ ผมก็ร้องบอก
พี่สุดท้องสียก็เข้าป่าไป๊ ไม่ต้องอายน่า เด็ก ๆ ของเราทั้งนั้น
เปล่าพี่ไม่ท้องเสีย แต่เอ๊ะ ว่าแล้วพี่สุดก็ลุกขึ้น มือถือปลาสลิดปิ้งค้าง ก้มมองเสื่ออีกครั้ง ผมมองตามสายตาพี่สุด ซึ่งจ้องมองเสื้อที่นั่งเมื่อตะกี้ ก็ไม่เห็นมีอะไร พี่สุดถอนใจยาว ยกปลาสลิดขึ้นแทะ หันไปรับกะลาซึ่งบรรจุน้ำขาวจนล้นปรี่ ที่ทหารส่งให้ ก้มลงดื่มอึก ๆ มองเห็นลูกกระเดือกวิ่งขึ้นวิ่งลงจนหมด ส่งกะลาคืนแล้วทรุดตัวลงนั่งที่เดิม การดื่มเริ่มรอบต่อไป
พี่สุดรั่งไ ๒-๓ นาทีพอจะเพลิน ๆ ก็ต้องสดุ้งอีก คราวนี้แกลุกขึ้นเต้นอย่างโมโห บ๊ะแล้ว คนจะกินให้สบาย ๆ อะไรก็ไม่รู้มารบกวน แกเต้นแล้วร้องบอกสุชาติว่า
เฮ้ยสุชาติ พี่ว่าผีเจ้าที่เจ้าทางคงจะแรง พี่นั่งเฉย ๆ ไม่รู้ว่าอะไรมากระทุ้งว่ะ
กระทุ้ง สุชาติทำหน้าฉงน กระทุ้งอะไร อะไรกระทุ้ง
ไม่รู้ นั่งเพลิน ๆ มันก็แหย่ เฮ้ยไม่ใช่แหย่ มันกระทุ้งทีเดียวนี่ ตรงนี้
ว่าแล้วก็ชี้ด้วยหัวแม่มือตรงเสื่อที่เคยนั่ง
เอ๊ะ อะไรหว่า สุชาติสงสัย มองคนโน้นทีคนนี้ที หันมามองทางผมแล้วว่า
พี่ว่าอะไรแน่ ที่กระทุ้งพี่สุด เอ มันไม่เคยมีอะไรนี่นา
ผมนั่งนึก อะไรกระทุ้ง พอนึกได้ก็เลยร้องขึ้นว่า เฮ้ย งูโว้ย
ว้าย ตาเถนหัวถลอก ลูกน้องคนหนึ่งของพี่สุดร้องขึ้น
ไหน งูที่ไหน พี่สุดกระโดดโหยง ผมว่า
ใต้เสื่อนั่นแหละ ไม่งูก็ปลาไหล
บ่อแม่นปลาเอี่ยน ลูกน้องชาวอีสานร้องขึ้น งูแน่ ๆ แม่นบ่อนาย
จั๊ก แต่คิดว่าเป็นงูแน่
ทำไงดีล่ะพี่ สุชาตร้องขึ้น
ไม่ต้องทำอะไร เปิดเสื่อขึ้นปล่อยมันไปก็แล้ว กัน
ทุกคนพากันออกความคิด ถ้าเป็นงูจริงควรเอาบ่วงคล้องหลังคอมันเวลาออกจากรู บ้างก็ว่าต้มน้ำกรอกรูมัน บ้างว่าตีเอามาแกล้มเหล้าเสีย เสียงล้งเล้งราวกับเจ๊กตีกัน ทหารคนหนึ่งเป็นชาวไทยเชื้อสายเขมร วิ่งมาจากทางหลังครัว มาถึงพอรู้เรื่องบอกว่า
ถอยหน่อยครับ ผมแสดงเอง
พวกเราถอยไปรวมกันอยู่ที่โคนต้นสะแกอีกต้นหนึ่ง ทหารคนนั้นค่อย ๆ ดึงเสื่อหวายออก พวกเราจับตาดูจึงมองเห็นรูอะไรรูหนึ่ง อยู่ตรงกลางเสื่อพอดี พอเสื่อพ้นไปแล้ว เราจ้องมองที่ปากรูจึงเห็น งูตัวหนึ่งตัวดำมะเมื่อม ค่อย ๆ โผล่หัวออกมา พอพ้นปากรู สักศอกมันแผ่แม่เบี้ยเต็มอัตราศึก หันดูทางโน้นดูทางนี้ เราจึงรู้ว่ามันเป็นงูเห่าหม้อตัวไม่เบา ขนาดท่อนแขน เกร็ดย่น ตาขาวขุ่น ส่งเสียงขู่ฟ่อ เพราะความโกรธที่อยู่ดี ๆ มีคนสัปดนเอาอะไรมาปิดปากรู แล้วยังนั่งทับจนหายใจไม่ค่อยจะออก ต้องออกแรงกระทุ้ง จนที่สุดต้องเผ่น
พองูออกมาพ้นปากรู ทหารคนนั้นซึ่งทราบชื่อว่า พลทหารเคลือบ ยกมือขึ้นจ่อปาก พ่นลมเบา ๆ สองครั้งแล้วตรงรี่เข้าหางู เอื้อมมือโบกผ่านหน้างูไปมา ๒-๓ กลับ เจ้างูเห่าตัวโตซึ่งเมื่อกี้แผ่แม่เบี้ยขู่ฟ่อ ๆ เงียบ คอของมันซึ่งแบะออกจนแบบที่เรียกว่าแม่เบี้ยหุบหาย หางของมันซึ่งแกว่งอย่างลำพองเมื่อกี้ ค่อยหดเข้ามารวมเป็นวงกลม พลเคลือบเอื้อมมือลูบหัว ท่ามกลางความเสียวไส้ของพวกเรา พอลูบได้สองครั้งงูก็เอาคางเกยดินทำตาปริบ ๆ เหมือนถูกนะจังงัง ท่ามกลางความแปลกใจของพวกเรา
เฮ้ยเคลือบ แกไปหัดเล่นปาหี่มาจากไหน สุชาติร้องถาม
เปล่า ไม่ใช่ปาหี่ ผมมีคาถาครับ หมู่คงไม่รู้ ผมอยู่บ้านมรอาชีพจับงูขายครับ
เออแน่ะ อยู่ด้วยกันตั้งนานไม่ยักกะรู้ แล้วนั่นจะทำไงต่อไปล่ะ
แล้วแต่หมู่จะเลี้ยงไว้ดูเล่น หรือจะผัดแกล้มเหล้าก้เอา
ผัดใบกระเพราเด็ดน้องสุชาติ พี่สุดว่า
ตกลง เอ้าเคลือบจัดการซี
ต้องคนอื่นครับ ผมไม่ฆ่างู ไม่กินงู ขืนกินหรือฆ่า ผมจะถูกงูกัด อาจารย์สั่งไว้
เอา อ้ายซิมเถอะวะ นักฆ่าหมู วันนี้ฆ่างูให้ที สุชาติหันไปสั่งทหารไทยลูกจีนคนหนึ่ง
ผมเองครับ ทหารอีกคนโดดเข้ามา มือถือมีดเหน็บ ทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ บุญมี เป็นชายฉกรรจ์ในเขตอำเภอสระแก้ว รับอาสา
พลเคลือบคว้าคองูเห่าตัวนั้นโยนมาตกตรงหน้า พล บุญมีหวดด้วยสันมีดเข้าคอต่องูเห่าเลยงอก่องอขิง บุญมีจับหางงุหายไปทางโรงครัว ร้องบอกมาว่า
รอผมครึ่งชั่วโมงเป็นได้กิน
เป็นอันว่าเราได้กินงูผัดพริกใส่ใบกระเพรา แกล้มน้ำขาวอร่อยเหาะ แต่แหมอย่าบอกใครเชียว มันทั้งเผ็ดทั้งร้อน โฮ้ย
พอตกดึกผมถ่ายท้องเกือบแย่ เพราะพิษน้ำขาวผสมงู รุ่งขึ้นเจอหน้าพี่สุดและลูกน้องต่างพากันส่ายหน้า ตากลวงโบ๋ไปตาม ๆ กันเพราะถ่ายท้อง ต้องนอนพักไปทำงานไม่ไหวเพราะหมดแรง กรรมเวรแท้ ๆ
ผมอยู่อรัญประเทศต่อมา พวกที่สวนสนามใน กรุงเทพกลับค่ายจักรพงษ์ ผมจึงได้เดินทางกลับบ้าง ขากลับทหารและนักเรียนตลอดจนครอบครัว พากันมาต้อนรับมีการยืนรายทาง โปรยดอกไม้เมื่อทหารเดินผ่าน
สงครามอินโดจีนสงบลงแต่เงา ของสงครามโลกครั้งที่สอง กำลังแผ่ทมึนอยู่ทั่วโลก.
#########
Create Date : 05 พฤษภาคม 2559 |
Last Update : 5 พฤษภาคม 2559 6:03:19 น. |
|
0 comments
|
Counter : 660 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|