In the last analysis, our only freedom is the freedom to discipline ourselves. - Bernard Baruch
Group Blog
 
All Blogs
 

ไม่รู้ว่าจะตั้งหัวข้อว่าอะไรดี

คราวก่อนที่เขียนบทความ “สิบอย่าในบอร์ดหุ้น” ก็ยังมีคนไม่เข้าใจมากพอสมควร ทั้งๆที่ผมก็ได้เขียนคำแนะนำไว้ข้างล่างด้วยแล้วว่าการถามที่ดี และจะได้รับคำตอบที่ดีนั้นน่าจะถามอย่างไร ผมเองนอกจากเคยเป็นผู้ถามแล้ว(และยังเป็นอยู่) ยังเป็นผู้ตอบอีกด้วย ผมเน้นเสมอว่าการทำความเข้าใจกับคำถามนั้นสำคัญมาก โดยเฉพาะเรื่องของการเงินและการลงทุน ทั้งนี้เพราะสภาวะการณ์ของแต่ละบุคคลนั้นแตกต่างกัน สิ่งที่ดีสำหรับเราอาจจะไม่ได้ดีสำหรับคนอื่น แน่ล่ะกระโปรงย่อมไม่เหมาะสำหรับผู้ชายไทย หรือรถจักรยานย่อมไม่เหมาะสำหรับขับขี่ข้ามจังหวัด (ใช่ ในทั้งสองกรณีมีคนทำ แต่คงไม่ใช่คนทั้งหมด หรือคนส่วนใหญ่แน่นอน) เช่นกันการให้คำตอบเดียวกันสำหรับคำถามเดียวกันอาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องใน โลกแห่งการลงทุน เพราะในโลกแห่งนี้ 1+1ไม่ได้เท่ากับ2เสมอไป

เผอิญ ว่าวันก่อนได้อ่านจดหมายข่าวของนักลงทุนท่านนึง หลายคนน่าจะรู้จัก และหลายคนคงได้เคยอ่านหนังสือที่เค้าเขียนแล้ว นั่นคือ “ขุมทองแห่งอนาคต : Tomorrow s Gold” ซึ่งเป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่อยากแนะนำให้อ่านกัน ถึงตรงนี้หลายคนคงรู้แล้วว่าผมกำลังเอ่ยถึง มาร์ค เฟเบอร์ นักลงทุนแถวหน้าของโลก(แอบปลื้มด้วยที่เค้ามีบ้านอยู่เมืองไทย อิอิ) ว่าแต่มาร์คมาเกี่ยวอะไรกับที่ผมเกริ่นไว้น่ะหรอ เพราะว่าในจดหมายข่าวเดือนมิถุนายน ย่อหน้าสุดท้ายเค้าเขียนไว้แบบนี้ครับ

I recently received an email: “Should I buy stocks and if so which ones?”
The same day a medical doctor received an email from someone he had
never met in his life and about whose medical condition, gender, age, etc
he had no idea. It read: “Do you recommend I take some medicine today
and if so which tablets?”

I hope my readers get the point: I really cannot be their personal financial
planner because I have no idea about their financial position, current asset
allocation, cash flow, risk tolerance, investment objectives etc.
Therefore, some questions, which I receive, I receive I simply cannot
answer.

ขออนุญาตแปลในแนวผมเองนะ อาจไม่ตรองกับเนื้อข่าวเป๊ะๆ

เมื่อเร็วๆนี้ผมได้รับอีเมล์ฉบับหนึ่ง ในนั้นเค้าเขียนมาถามผมว่า ”ผมควรจะซื้อหุ้นหรือเปล่า ถ้าควรผมควรจะซื้อหุ้นตัวไหน

ใน วันเดียวกันมีคุณหมอท่านนึงก็ได้รับอีเมล์จากใครบางคนที่คุณหมอคนนี้ไม่เคย เจอมาก่อนเลยในชีวิต และไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับคนที่ส่งอีเมล์มา ไม่ว่าจะเป็น อาการแพ้ยา เพศ และอายุ เค้าไม่รู้รายละเอียดใดๆพวกนี้เลย ในอีเมล์ฉบับนั้นถามว่า ”วันนี้คุณจะแนะนำให้ผมกินยาบ้างไหม และถ้าควรผมควรจะกินยาชนิดไหน

ผมหวังว่าผู้อ่านของผมคงเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อนะครับ ผม ไม่สามารถเป็นนักวางแผนทางการเงินส่วนบุคคลให้กับเขาเหล่านั้นได้ เพราะผมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเขาเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น สถานะทางการเงิน การลงทุนในปัจจุบัน กระแสเงินสด ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หรือแม้กระทั่งเป้าหมายในการลงทุน ดังนั้นคำถามบางคำถามที่ผมได้รับ ผมทำได้เพียงแค่รับรู้แต่ไม่สามารถตอบอะไรได้

ย้ำกันอีกครั้งนะ ครับ ผมไม่เคยบอกว่าอย่าถามเลยนะ ห้ามนะ แต่ผม”ให้ความเห็นว่า”ถ้าจะถามก็ควรจะมีรายละเอียดมาด้วยนะ ไม่อย่างนั้นคำแนะนำที่ได้มันจะเป็นอันตรายกับผู้ถามเองด้วย แต่จากกระทู้เก่าผมก็เห็นหลายคนต่อว่า ว่าถ้าไม่ให้ถามแล้วจะมีเวปบอร์ดไปทำไม ผมก็สงสัยว่ารีบอ่านจนไม่ได้อ่านคำแนะนำในส่วนท้ายหรือเปล่า

ถึงตรง นี้ผมก็ไม่ได้บอกว่าผมถูกต้องเสมอไปนะ ผมอาจจะยังยึดติดอยู่ในกรอบที่ผมเคยเรียนรู้และเข้าใจอยู่ ซึ่งโลกแห่งการเงินอาจจะก้าวหน้าไปมากกว่าความรู้ที่ผมมีอยู่แล้วก็ได้ อันนี้ไม่ได้ประชดนะ เพราะเห็นเด็กรุ่นใหม่ๆสมัยนี้แล้วรู้สึกทุกทีเลยว่า “เราแก่จัง”

(@_@)




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 26 กรกฎาคม 2553 20:32:29 น.
Counter : 765 Pageviews.  

สิบอย่าในบอร์ดหุ้น(2)

6) อย่าเชื่อตามที่เซียนบอก
อ้าวเมื่อกี้บอกว่าอย่าเชื่อคนโพสเยอะว่าเป็นเซียน นี่มาข้อนี้ก็ไม่ให้เชื่อเซียนอีกแล้วหรอ อันนี้สำหรับคนที่อยากจะหาปลากินเองได้ในอนาคตครับ ผมเห็นหลายคนที่เชื่อ ตามเซียนจนได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือ หากว่าเซียนเกไม่โพสต่อไปแล้ว ต่อไปเราจะหาหุ้นยังไง จะเอาอะไรมาพิจารณาว่าจะมองหุ้นตัวไหนดี มีบางเว็บที่คนกำไรกันมากมายเพียงคี่ซื้อตามเซียนแนะนำกัน แต่ถ้าต่อไปเซียนเลิกโพสกันแล้ว หรือว่าเว็บนั้นปิดไปแล้ว ต่อไปจะลงทุนกันยังไงหนอ

นอกเหนือจากนี้ ในหลายกรณีก่อนที่เซียนจะซื้อจะขาย เค้าจะกำหนดไว้แล้วว่าถ้าราคาขึ้นไปเท่านั้นเท่านี้จะขายหรือตกลงมาเท่าไหร่จะขาย หรือเมื่อซื้อแล้วเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เขาสามารถปรับเปลี่ยนแผนการลงทุนได้ ซึ่งแน่นอนว่าเค้าคงไม่มานั่งบอกทุกระยะว่าวันนี้ซื้อแล้วนะที่ราคานี้ พอเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงอีกก็มาบอกว่าถ้าเป็นแบบนี้ผมจะขายแล้วนะที่ราคานั้น ดังนั้นหากเราไม่สามารถตัดสินใจในการซื้อขายที่ลอกเลียนคนอื่นมาได้ น่าจะหลีกเลี่ยงคำแนะนำเหล่านั้นซะ

คำแนะนำ : แทนที่จะซื้อขายตามสิ่งที่เซียนเล่าว่า เซียนล่องจุ๊นทั้งหลายควรให้ความสนใจมากกว่าว่าเซียนเหล่านั้นมีเกณฑ์อะไรในการพิจารณาว่าหุ้นตัวไหนดีไม่ดีอย่างไร แล้วเอาวิธีนั้นมาปรับใช้กับตัวเอง หรือเพื่อประกอบการพิจารณาความเห็นของเซียนเหยียบเมฆในครั้งต่อๆไป

7) อย่าเชิ่อโดยไม่คิด
การพินิจพิจารณาเป็นสิ่งที่จำเป็นโดยเฉพาะเวลาที่ผลของเรื่องนั้นๆมีค่ามาก ในการลงทุนการกระทำที่ไม่ผ่านสมองเอาซะเลยจะทำให้เราต้องน้ำตาตกได้ หลายคนอาจจะบอกว่าคิดแวก่อนตัดสินใจได้พิจารณาเป็นอย่างดีแล้ว คำถามคือ คิดจากอะไร หลายคนเชื่อที่”เขาเล่าว่า” “ได้ยินมาว่า” “มีคนบอกว่า” แต่ไม่เคยถามเลยว่า”เขาเหล่านั้นคือใคร” เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน การพิจารณาแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้นั้นมีความสำคัญมาก เราอาจจะเคยได้ยินว่า “รู้จักกับพนักงาน เค้าอกว่าหุ้นตัวนี้ไม่ดี” ซึ่งพนักงานคนนั้นทำตำแหน่งไหน คนขับรถรึพนักงานบัญชี แล้วเค้ามีทัศนคติยังไงกับบริษัท บางบริษัทมีกกที่เข้มงวดมากซึ่งดีสำหรับบริษัท แต่พนักงานอาจจะไม่ชอบก็ได้ ดังนั้นก่อนจะเชื่ออะไรสักอย่างพยายามมองหาหลักฐานและเหตุผลประกอบ รวมถึงพิจารณาแหล่งที่มาว่าน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน

คำแนะนำ : ฝึกให้น้ำหนักกับข้อมูลและหลักฐานว่าอะไรคือส่วนสำคัญ และคนที่ให้ข้อมูลมามีความน่าเชื่อถือมากแค่ไหน มีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่

8) อย่าโลกแคบ
หลายต่อหลายครั้งที่มีคำถามที่ว่า “อยากลงทุนเริ่มยังไงดี” จากนั้นจะมีเซียนล่องจุ๊นจำนวนมากเข้ามาแนะนำในสิ่งที่คิดว่าเจ๋งเป้งมากที่สุด แน่ล่ะคนเราย่อมอยากแสดงความคิดเห็นของตัวเอง คำถามคือ สิ่งที่ดีที่สุดของเซียนล่องจุ๊นนั้นเชื่อถือได้แค่ไหนกัน หลายครั้งที่ผมเห็นเซียนล่องจุ๊นแนะนำหนังสือว่าอ่านเล่มนั้นเล่มนี้แล้วลงทุนได้เลย เล่มนี้ดีมาก ดีที่สุดเท่าที่เคยอ่านมา ผมอยากถามเซียนล่องจุ๊นเหล่านั้นเหมือนกันว่าชีวิตนี้อ่านหนังสือการลงทุนมาแล้วกี่เล่ม อบรมมาแล้วกี่คอร์ส แล้วคนเขียนหนังสือเหล่านั้น หรือคนที่จัดอบรมนั้นเค้าทำกำไรในตลาดได้จริงๆหรือเปล่า หรือเขาเหล่านั้นรวยและมีชื่อเสียงจากการขายหนังสือและจัดอบรม

บางครั้งสิ่งที่ดีที่สุดของเราอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดของคนอื่น เพราะคนเราเกิดมาแตกต่างกัน บางคนชอบเล่นสั้นบางคนชอบถือยาว บางคนชอบเทคนิคบางคนซื้อเพราะพื้นฐาน แต่เซียนล่องจุ๊นยังคงแนะนำตามกรอยความคิดของตัวเองต่อไป โดยไม่ได้สนใจเลยว่าคนเราแต่ะคนนั้นแตกต่างกัน

คำแนะนำ : เปิดโลกทัศน์ให้กว้างมากขึ้น บางทีสิ่งที่เราคิดว่าสุดยอดแล้วอาจจะเป็นเรื่องไร้สาระไปเลยเมื่อเจอความรู้ใหม่ๆเข้ามา และสำหรับมือใหม่ทั้งหลายควรจะอ่านหนังสือการลงทุนหลายๆแนว แล้วเลือกศึกษาทางที่เราคิดว่าชอบ แล้วค่อยมาถามว่า “สนใจการลงทุนทางเทคนิคครับ มีหนังสือหรือคอร์สแนะนำไหม” จำไว้ครับไม่มีใครรู้จักเรามากเท่าตัวเราเอง

9) อย่าตามหาเครื่องมือลับสุดยอด
ในการศึกษาเรื่องการงทุนของผม ผมพบว่าสิ่งที่นักลงทุนทั้งหลายมักจะชอบกันก็คือ การตามหาวิธีใดๆก็ตามที่การันตีว่าจะประสบความสำเร็จ “อย่างมากมายในระยะเวลาสั้นๆ” ไม่ว่าจะเป็นพื้นฐาน เทคนิค หรือกลยุทธ์การลงทุนทั้งหลาย โดยที่สิ่งเหล่านั้นจะต้องมีเรื่องราวอันสะท้านโลกาว่าใครใช้แล้ว รวย รวย รวยล้นฟ้าขนาดไหนบ้าง แล้วพอมาใช้จริงทั้งๆที่อาจจะยังไม่เข้าใจวิธีการนั้นอย่างถ่องแท้ เมื่อขาดทุนก็จะโทษว่าความรู้นั้นๆ หรือคนที่เอามาเผยแพร่ โดยไร้ซึ่งความรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตัวเอง อยากจะให้การลงทุนของตัวเองกำไรมากๆทุกครั้งไป ทั้งๆที่ในความเป็นริงแล้วเซียนเหยียบเมฆที่ใช้วิธีนั้นๆก็อาจจะมีการขาดทุนบ้าง แต่เขาเหล่านั้นมีวิธีที่จะจัดการกับสิ่งไม่คาดฝันที่เกิดขึ้น รวมทั้งยังยึดมั่นในรูปแบการลงทุนที่เขาเหล่านั้นถนัดต่อไป ตรงกันข้ามกับเซียนล่องจุ๊น ที่เมื่อมีอะไรใหม่ๆเข้ามาก็ทำตามๆกันไปโดยไม่ศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ พอเกิดความผิดพลาดขึ้นมาแทนที่จะรับผิดชอบและค้นหาสาเหตุ ก็ไปโทษคนอื่นและแสวงหาหนทางใหม่ๆต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

คำแนะนำ : ลองค้นหาดูสิว่าเซียนคนไหนที่เรานิยมชมชอบ เขาเหล่านั้นเคยขาดทุนหรือไม่ เมื่อเกิดข้อผิดพล่าดขึ้นในการลงทุนเขาทำอย่างไร และการพัฒนาความรู้ใหม่ๆมากน้อยแค่ไหน ลองเปรียบเทียบกับสิ่งที่เราทำ เราเป็น ค้นหาความแตกต่างแล้วพยายามลดช่องว่างตรงนั้น


10) อย่าโพสเรื่องการเมืองในห้องหุ้น
รู้นะว่ามาโพสล่อเป้า ตรูเบื่อ เลิกอ้างว่าการงทุนมันเกี่ยวกับเศรษฐกิจ สังคม การเมือง นั่นมันถูกต้อง แต่ที่คุณๆโพสน่ะ มันไม่ได้เอามาโยงกับหุ้นเลยเฟร้ย!!!




 

Create Date : 11 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 11 พฤษภาคม 2553 0:38:22 น.
Counter : 683 Pageviews.  

สิบอย่า ในบอร์ดหุ้น(1)

ถึงจะใช้ชื่อว่าสิบอย่า แต่จริงๆคงไม่ถึงกับห้ามกันโดยเด็ดขาดหรอกครับ แต่เป็นเรื่องที่ผมคิด(เองเออเอง)ว่าน่าจะมีประโยชน์กับทั้งผู้โพส ผู้ตอบ และผู้อ่าน โดยอาศัยประสบการณ์ในการเป็นทั้งสามสถานะที่ว่ามา กว่าผมจะตัดสินใจเขียนได้ก็นานพอดู เพราะว่าหากผมจะเขียนผมคงเขียนออกมาตามที่คิดจริงๆ แต่ในหลายๆครั้ง ความจริงนั้นนำมาซึ่งความเจ็บปวด และผมก็ไม่รู้ว่าจะมีใครด่าป่ะป๊า หม่าม้าผมหลังจากได้อ่านบทความนี้หรือเปล่า แต่ในเมื่อเขียนแล้ว และในตอนเขียนทำไปด้วยความปราถนาดีต่อทุกคน ไม่ได้ต้องการที่จะต่อว่าใครเป็นการเฉพาะเจาะจง ดังนั้นผมหวังว่าเมื่อท่านเกิดความรู้สึกไม่พึงประสงค์ต่อบทความนี้ กรุณาปิดหน้าเว็บเถอะครับ และนึกถึงความหวังดีของผมแทนที่จะอารมณ์ไม่ดีเพราะสิ่งที่ผมเขียนเลยครับ

เอาล่ะ ขอพลีชีพ ณ บัดนี้

1) อย่าถามว่ามีเงินเท่านี้จะไปทำอะไรดี
นี่เป็นคำถามที่เรามักจะพบเจออยู่เสมอ และผมคิดว่าเป็นคำถามที่มักง่ายที่สุด เพราะอะไรครับ เพราะคุณไม่คิดจะทำอะไรเลย ไม่หาข้อมูลทำการบ้านมาก่อน หลายคนพอได้คำแนะนำที่ผิดบ้างถูกบ้างไปก็เอาไป”เดา”ต่อตามที่ตัวเองได้ยินมา ไม่มีการหาข้อมูลตามหลังเพื่อตรวจสอบเช่นกัน ในขณะที่ผมก็สงสัยมากว่า”เซียนล่องจุ๊น”ทั้งหลายที่มาแนะนำนั้นทำไมถึงได้เก่งแบบนี้หนอ

เพราะว่าการที่นักวางแผนทางการเงิน (Certified Financial Planner CFP) นั้นกว่าจะวางแผนทางการเงินให้กับผู้มารับคำปรึกษาได้ ต้องมีข้อมูลลูกค้าหลายอย่างมาก เช่น ทำงานอะไร มีกระแสเงินสดเท่าไหร่ ต้องการใช้เงินในช่วงไหนบ้าง มีข้อจำกัดใด และรับความเสี่ยงได้แค่ไหน นั่นคือสิ่งที่นักวางแผนทางการเงินที่ได้สอบมาแล้วยังต้องการ ในขณัที่เซียนล่องจุ๊นทั้งหลายสามารถบอกได้เลยว่าควรเอาเงินทำนั่นทำนี่ โดยที่ไม่ต้องถามข้อมูลอื่นๆเลย ผมเข้าใจนะว่าหลายคนมีความปราถนาดีอยากแนะนำให้กับคนอื่นๆ แต่คำถามคือความปราถนาดีที่เรามีให้มันจะส่งผลดีกับคนที่รับเอาคำแนะนำของเราไปใช้หรือเปล่าล่ะ เซียนล่องจุ๊นหลายคนก็ยังทำงาน ยังขาดทุน ยังลงทุนไม่เป็นเลย แล้วทำไมเซียนล่องจุ๊นถึงกล้าแนะนำให้คนอื่นทำแบบเราหนอ

แต่ทั้งหลายทั้งปวงผมก็ยังขอบคุณเขาเหล่านั้นในการมาให้คำแนะนำกับคนอื่น แต่สำหรับคนที่มาถามเรื่องพวกนี้ คุณครับการลงทุนหรือการวางแผนทางการเงินไม่ใช่มาม่านะครับ ที่จะได้เทน้ำร้อนแวรอสามนาทีได้มาม่าเลย เรื่องพวกนี้ต้องการการเอาใจใส่มากๆ แล้วใครล่ะจะรู้จักเราเท่าตัวของเราเอง ได้โปรดเถอะครับ ทำการบ้านมาบ้าง หรือถ้าไม่รู้อะไรจริงๆ หลังจากมีคนให้คำแนะนำแล้ว ไปหาข้อมูลต่อบ้างว่ามันดีหรือไม่ดีอย่างที่”เค้าว่า”จริงมั้ย อย่ามักง่ายเลยครับ

คำแนะนำ : ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อความเหมาะสมของคำแนะนำ เช่น ผมมีเงินอยู่1แสนบาท เงินก้อนนี้เป็นเงินเก็บแยกจากเงินที่ใช้นีวิตประจพวันแล้ว อีกสามปีจะใช้เงินก้อนนี้เพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศครับ ผู้ให้คำแนะนำจะได้รู้ว่าเงินก้อนนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ในสามปี และไม่ควรลงทุนในหหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง

2) อย่าถามว่าหุ้นตัวไหนดี
คำถามนี้ก็เป็นอีกหนึ่งคำถามที่พบเจอได้เป็นประจำนะครับ สำหรับผมแล้วถึงมันจะเป็นคำถามที่เฉพาะเจาะจงกว่าคำถามแรก แต่ก็ยังไม่วายแสดงออกถึงความมักง่ายอยู่ดี “หุ้นดี” จริงๆแล้วมันคืออะไรหรอครับ สำหรับนักลงทุนแนววีไอ อาจจะบอกว่าอ่อหุ้นที่มีผลประกอบการดี พีอีต่ำ แต่ต้องถือสักสามปีนะ ในขณะที่คนเล่นสั้นอาจจะบอกว่า “ดี” เพราะสโตห้านาทีตัดขึ้นมาแล้ว แต่อย่าถือเกินสามนาทีนะ ผมเลยยังสงสัยว่าเวลาเซียนล่องจุ๊นให้คำแนะนำว่าหุ้นตัวไหนดีๆ เค้าเอาอะไรมาวัดว่ามันดียังไง หุ้นหลายตัวที่ถูกแนะนำ นอกจากจะแย่ในเชิงพื้นฐานแล้ว ยังดูทุเรศในทางเทคนิคอีกด้วย เหตุผลหนึ่งเดียวที่คนแนะนำมีก็คือ เค้ามีหุ้นตัวนี้อยู่ และแน่นอนมันขาดทุน(และเป็นที่มาของคำว่า “เซียนล่องจุ๊น”) เค้าแค่อยากให้ใครสักคนมาร่วมหัวจมท้ายกับเค้า คำถามคือ คุณพร้อมแล้วใช่ไหมที่จะขาดทุนร่วมกับเค้า หรือคุณคิดว่ามันอาจจะเหมาะสมแล้วก็ได้ การถือหุ้นที่ทำกำไรอาจจะไม่ต้องลุ้นมากเท่ากับการถือหุ้นที่ขาดทุน ประเดี๋ยวมันจะไม่สนุก…มั้ง

คำแนะนำ : ลองใช้คำถามที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นว่าหุ้น”ดี”คืออะไร เช่น มีหุ้นตัวไหนบ้างที่ปันผลสูง มีหุ้นตัวไหนที่มีเงินสดต่อราคาสูง หรือถ้าอยากได้ความเห็นของคนอื่น ลองถามว่า คุณคิดว่าหุ้นตัวไหนน่าลงทุนบ้าง ”เพราะอะไร”

3) อย่าถามโดยไม่ค้นหากระทู้เก่าๆ
เป็นอีกประเภทของความมักง่าย คนสมัยนี้ชอบอะไรที่มันไวไวควิก บางคนเมื่อมีคำถามที่ตัวเองคิกว่า โหดีมากเลยคนอื่นต้องอยากรู้แน่ๆ เลยโพสถามซะ ซึ่งจริงครับมีคนอยากรู้จริง กระทู้พวกนี้เลยมาติดๆกันเต็มไปหมด บางกระทู้ถามเรื่องเดียวกันอยู่ห่ากันสองสามอันเท่านั้นเอง ทำไมเราไม่องค้นหากระทู้เก่าๆดูก่อนล่ะครับ เพราะว่าบางทีเค้าไปตอบประเด็นที่เราสงสัยกันในนั้นแล้ว และเมื่อเราอ่านอาจจะเจอคำถามใหม่ๆ จะได้เอามาถกกันเพิ่ม แทนที่จะวนอยู่ในประเด็นเดิมๆ อีกอย่างการที่มีกระทู้เรื่องเดียวกันเยอะมากๆทำให้บางทีมีคนเข้าไปตอบในกระทู้นึงแล้วไม่อยากโพสเรื่องเดิมๆหลายที่(คนเรามันก็มีเบื่อกันบ้าง) ทำให้เราอาจพลาดเรื่องดีๆจากกระทู้อื่นๆก็ได้ มันน่าจะดีกว่าที่เราเข้าไประดมสมองในที่เดียวกัน และเมื่อมีประเด็นอื่นที่แตกออกมาก็มาตั้งถามกันอีกห้อง

คำแนะนำ : บางเรื่องมีรายละเอียดเยอะมากหากอยากแตกเรื่องน่าสนใจน่าจะค้นหากระทู้เก่าๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ และนำลิงค์นั้นมาวางไว้ในกระทู้ คนที่เข้ามาจะได้มีข้อมูลที่หลากหลายเพิ่มมากขึ้น

4) อย่าเชื่อพวกใบ้หุ้น
หลายต่อหบายครั้งที่มีการบอกว่าหุ้นตัวนี้ดีนะ น่าซื้อเก็บไว้มั่ง ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าใครหนอไปขอความเห็นของคนพวกนี้ถึงได้มาโพสไว้เต็มไปหมด แล้วแทนที่จะบอกว่ามันดียังไงดีด้วยเทคนิคหรือพื้นฐาน อย่าหวังจะเห็นในกระทู้เหล่านี้ เราจะพบแต่ “ซื้อหุ้นABCด่วนเจ้าจะลากไปXXXบาท” เอ่อพี่เป็นอะไรกับเจ้าหรอครับ แล้วเจ้านี่เจ้าไหน อยู่ศาลไหนหรือเปล่า นี่มันตลาดหุ้นนะครับไม่ใช่สมาคมนักสังคมสงเคราะห์ ในสนามที่จ้องแต่จะกินเงินคนอื่นจะมีใครใจดีบอกให้เราเข้าไปแบ่งผลกำไรเค้าจริงๆหรอ หลายคนมาโพสเพราะว่าได้ซื้อหหุ้นนั้นๆไว้แล้วและหวังว่าการโพสจะทำให้มีคนไปซื้อตาม ซึ่งก็”อาจจะ”ทำให้ราคาหุ้นของเค้าขึ้นไปได้ อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล่นๆนะครับ มีเยาวชนในอเมริกาโดนจับเพราะกรณีแบบนี้มาแล้วครับ ซื้อหุ้นไว้ โพส หุ้นขึ้น

ในอีกกรณี หากเซียนล่องจุ๊นเข้ามาใบ้หุ้น เค้าอาจจะใช้กลยุทธ์บอกแต่ละกลุ่มหรือแต่ละบอร์ดไม่เหมือนกัน แน่นอนว่าต้องมีสักกลุ่มหนึ่งที่ซื้อแล้วมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ทีนี้กระแสความศรัทธาก็จะถาโถมเข้ามาในเซียนล่องจุ๊นคนนั้น จากนั้นเมื่อเค้าแนะนำหุ้นตัวไหนราคาก็มักจะขึ้น ไม่ใช่ว่าอะไรหรอก ก็พวกเชื่อๆนั่นแหละเข้าๆปไล่ราคาให้เซียนล่องจุ๊น

คำแนะนำ : ถ้ามีคนแนะนำหุ้นให้ระวังไว้ก่อนหากเค้าไม่ได้บอกเหตุผลรองรับ อย่าไปตื่นเต้นกับคำว่า “ได้ยินมาว่า” “เจ้าจะลาก” คำพวกนี้แม้จะดูน่าตื่นเต้น แต่มันเป็นเหตุผลปกติเลยที่จะพาคนขึ้นดอย

5) อย่าเชื่อเพียงเพราะล็อกอินนั้นโพสบ่อยๆ
หนึ่งในความผิดพลาดของนักลงทุน คือ เมื่อเข้าไปในบอร์ดที่เกี่ยวกับการลงทุนแล้ว สิ่งหนึ่งที่มักจะเป็นกันก็คือ ความเข้าใจว่าคนที่โพสบ่อยหรือมีคนมาตอบกระทู้เค้าเยอะๆ นั่นแสดงว่าเค้ามีความเก่งฉกาจ มาดฉมังในการลงทุนเป็นแน่แท้ และเมื่อเซียนล่องจุ๊นท่านนั้นๆโพสอะไรก็มีแนวโน้มที่จะ “เชื่อ” ว่านั่นคือคำที่แสนวิเศษที่เซียนประทานให้

คำถามคือ เค้าคนนั้นเป็นเซียนหรือเวียนล่องจุ๊นกันแน่นะ หลายคนมีเวลามาโพสมากเพราะว่ารวยแล้วไม่ต้องเฝ้าจอหุ้น แต่อีกหลายคนมาโพสเพราะว่าติดหุ้น เลยมีเวลาเหลือเยอะ ดังนั้นแล้วการที่คิดว่าใครสักคนโพสเยอะแล้วน่าเชื่อถือ ไม่ใช่การตรวจสอบที่ถูกต้อง การคิดแบบนี่ก็แย่มากเท่าๆกับเวลาเห็นนักวิเคราะห์คนไหนออกทีวีแปลว่าเก่งนั่นแหละ

คำแนะนำ : แทนที่จะดูค่าคนไหนโพสเยอะ คนไหนโพสบ่อย ลองคิดถึงเหตุผลของเค้าว่ามีประกอบไหม มากน้อยแค่ไหน และลองติดตามสิว่าพอเค้าอกนู่น นี่ นั่นแล้ว “มันเกิดขึ้นจริงไหม”




 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 9 พฤษภาคม 2553 20:50:23 น.
Counter : 7545 Pageviews.  

ข้อคิดการทำงาน จากวัดเขาวันชัย

ไปช่วยพระท่านถือของตอนบิณฑบาต ได้ความรู้ในการทำงาน รอสึกก่อนจะมาเขียนครับ




 

Create Date : 23 ธันวาคม 2552    
Last Update : 23 ธันวาคม 2552 23:49:07 น.
Counter : 1077 Pageviews.  

ของดี ต้องแพง หรือต้องถูก?

วันนี้อ่านข่าวเกี่ยวกับราคาที่ดิน เลยเกิดความสงสัยขึ้นมาและเป็นประเด็นที่นำมาเขียนในวันนี้ครับ

ผมเคยอ่านความเห็นของนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ท่านหนึ่ง ท่านบอกว่าลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต้องซื้อที่ๆราคาแพง เช่นเขตใจกลางเมือง อย่าไปซื้อที่ราคาถูกๆ เพราะที่ๆแพงแปลว่ามันมีความต้องการสูง ละความต้องการมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในขณะที่ที่ดินมันไม่เพิ่ม ส่วนที่ราคาถูกคือไม่มีคนต้องการดังนั้นราคาอาจจะไม่ขึ้น หรือต่อให้ขึ้นก้ไม่เยอะ เพราะที่ดินยังมีพอต่อความต้องการอยู่

เอ ฟังแล้วก็นึกไพล่มาถึงเรื่องหุ้น ปกติที่เราถูกสั่งสอนกันมา คือ ให้ซื้อหุ้นราคาถูกๆ แล้วไปขายแพงๆ นี่สิถึงจะถูกต้อง

ขัดแย้งกันดีไหมครับ

จริงๆแล้วไม่ได้ขัดกันเลยครับ เท่าที่ผมศึกษาเรื่องของการทำธุรกิจและการลงทุนมา ทุกสิ่งล้วนมีความคิดพื้นฐานที่เหมือนกันมากๆ ครั้งนึงของการอบรมอสังหาผมตกใจมาก เพราะเพียงแค่เปลี่ยนคำว่าอสังหาเป็นหุ้น ก็จะเหมือนกับที่อบรมเรื่องหุ้นมาเป๊ะๆเลย

คำถามก็คือว่า แล้วเราจะอธิบายความขัดแย้งที่ผมยกขึ้นมาข้างต้นได้อย่างไร

หุ้นนั้นผมขอแบ่งเป็นสองประเภท คือ เทคนิค และพื้นฐาน
สำหรับนักเทคนิคนั้นไม่ต้องห่วงครับ เรานิยมซื้อของแพง ไปขายแพงกว่าอยู่แล้ว ดังนั้นสายนี้จึงเข้ากันได้กับเรื่องข้างบนอย่างไม่ต้องสงสัย และเผอิญเราก็เชื่อเหมือนกันว่า ของแพงต้องดี เพราะของดีคนเลยอยากได้ อยากได้ก็แย่งกันซื้อ มันก็ต้องแพงสิ ดังนั้นของดีมักจะแพง และจะแพงขึ้นเรื่อยๆ ส่วนของไม่ดีจะไปยุ่งกับมันทำไม

แล้วสายพื้นฐานล่ะ เค้าเน้นซื้อหุ้นถูกนี่นา
ตรงนี้ต้องเข้าใจนะครับ ระหว่างหุ้นราคาถูก กับหุ้นราคาต่ำ หุ้นNPARK(เขียนอย่างนี้ป่าวเอ่ย) ที่ราคา0.01บาท อาจจะเป็นหุ้นราคาต่ำ แต่ราคา"แพงมากเมื่อเทียบกับคุณภาพ" แต่หุ้นTF ที่500 ถึงจะราคาสูง "แต่อาจจะถูกมากๆเมื่อเทียบกับคุณภาพ"

ดังนั้นสิ่งที่นักลงทุนแนวนี้สนใจคือหุ้นที่มีราคาถูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเกิดวิกฤติที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความสามารถในการทำกำไรของหุ้นนั้นๆ เช่น ราคาหุ้นตกลงมาตามตลาดโดยรวม แต่อย่างไรก็ตามหุ้นที่ลงทุนก็จะต้องเป็นหุ้นที่มีคุณภาพดี

หากนักลงทุนกลุ่มนี้ไปลงทุนในอสังหา ก็จะเลือกทำเลที่ดีก่อน แน่นอนว่าอาจจะมีราคาแพง แล้วพวกเค้าก็จะรอ ร้อ รอครับนกว่าราคามันจะตกลงมา ซึ่งก็มีโอกาสเป็นไปได้หลายประการ เช่น เจ้าของจะไปต่างประเทศ ผ่อนไม่ไหว ได้ที่อยู่ใหม่

ดังนั้นผมเลยสรุปว่าในการลงทุนนั้นการเลือกลงทุนในทรัพย์ที่มีคุณภาพดีเป็นสิ่งที่สำคัญ ต่อมาคือราคา ในขณะที่คนกลุ่มหนึ่งซื้อของดีโดยไม่ต่อราคา ก็จะมีของให้เลือกมากกว่า ไม่เสียเวลา ในขณะที่คนอีกกลุ่มก็ต้องการของที่ดีเช่นกัน แต่ขอต่อรองราคาให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ก็ต้องแลกด้วยความอดทนรอโอกาสซึ่งนานแค่ไหนไม่มีใครรู้

ผมก็คิดว่าจริงๆแล้วสิ่งที่นักลงทุนท่านนั้นพูดก็ถูกครับ แล้วก็ไม่ได้ขัดแย้งกับการลงทุนอื่นๆเลย ดังนั้นเวลาที่เราๆท่านๆลงทุนก็ควรจะถามตัวเองด้วยนะครับ ว่าสิ่งที่กำลังลงทุนนั้นมันมีคุณภาพดีหรือเปล่า

ไม่ใช่เอาการลงทุนมาบังหน้าการพนันเท่านั้นเอง




 

Create Date : 10 ตุลาคม 2552    
Last Update : 10 ตุลาคม 2552 3:47:58 น.
Counter : 795 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

ขอบฟ้าบูรพา
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 19 คน [?]




ผู้ประกาศกรุงเทพธุรกิจทีวี พิธีกรรายการแกะรอยหยักสมองและ World Class Smart Thai
สนใจประวัติศาสตร์ ศาสนา ปรัชญา ต่างประเทศ เทคโนโลยี สังคม และชนชั้น

ติดตามทวิตเตอร์ได้ที่ @atis_kttv นะครับ
New Comments
Friends' blogs
[Add ขอบฟ้าบูรพา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.