ในเส้นสาย มีลายแทง
ถ้าชีวิตนี้มีทางเลือกสองทาง ทางแรก คือคุณสามารถเลือกทำอะไรก็ไก้กับชีวิตของคุณ เช่น วันจันทร์ไปไหว้พระที่ภูฏาน เดือนหน้าไปช็อปปิ้งที่ลอนดอน หน้าหนาวไปนอนอาบแดดที่ชายทะเลแคริบเบียน ฯลฯ โดยไม่ต้องพะวงกับงานที่ทำหรือกังวลกับค่าใช้จ่าย กับทางเลือกที่สอง คือ ทำงนแปดชั่วโมงต่อวัน ห้าวันต่อสัปดาห์ คุณอยากได้ชีวิตแบบไหน? และคุณคิดว่าคนอื่นๆอยากได้ชีวิตแบบไหนกัน? ผมเชื่อว่าทางเลือกแรก หรือที่เรียกกันว่า ชีวิตที่มีอิสรถาพทางการเงิน นั้น คงมีคนเลือกมากกว่า95%อย่างแน่นอน เพราะชีวิตเรานั้นมีเวลาจำกัด ใครมีอายุเกิน80ปี ก็ถือว่ามีอายุยืนยาวมากแล้ว ดังนั้นในเวลาที่มีอยู่นี้ คงอยากทำอะไรตามที่ใฝ่ฝัน มากกว่ามานั่งทำงานในออฟฟิศอย่างแน่นอน โรเบิร์ต คิโยซากิได้แบ่งมือที่จะนำไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าไว้สามกลุ่ม คือ อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจ และตราสารทางการเงิน ในคอลัมน์นี้จะเป็นการพูดคุยถึงการลงทุนในตราสารทางการเงินที่เรียกว่า หุ้น การลงทุนในหุ้นนั้นมีมากมายหลายวิธี ในที่นี้ผมจะแบ่งคร่าวๆเป็นกลุ่มใหญ่ๆสามกลุ่มด้วยกันกลุ่มนักลงทุนคุณค่า กลุ่มนี้เน้นไปที่ การซื้อบริษัทที่มีราคาถูกกว่าที่คำนวณได้ ชอบของดีราคาถูก กลุ่มนักลงทุนทางเทคนิค กลุ่มนี้ดูที่ราคาอย่างเดียว ซื้อแพงได้ แต่ต้องขายแพงกว่า กลุ่มอารมณ์มวลชน พวกนี้เชื่อว่าคนกลุ่มใหญ่ผิดเสมอ จึงซื้อเมื่อคนส่วนใหญ่ขาย ขายเมื่อคนส่วนใหญ่ซื้อ อันที่จริงแล้ว การลงทุนในหุ้นนั้นไม่มีวิธีไหนที่ถือว่าถูกต้องที่สุด หรือดีที่สุดสำหรับทุกๆคนนะครับ การลงทุนที่ดีอย่างแท้จริงนั้น คือการลงทุนที่สามารถให้ผลตอบแทนเราได้ตามที่เราต้องการ ซึ่งความต้องการนั้นต้องสมเหตุสมผลด้วย ดังนั้นการลงทุนจะต้องเริ่มต้นจากการค้นหาตัวเองก่อนว่าเราต้องการผลตอบแทนเท่าไร ภายในระยะเวลาเท่าไร มีเงินทุนเริ่มต้นเท่าไร และจะพร้อมรับความเสี่ยงได้แค่ไหน ฯลฯ จากนั้นจึงมาวางแผนการว่า จะทำได้อย่างไร? หุ้นนั้นก็เป็นเพียงแค่ยานพาหนะ การลงทุนประเภทหนึ่งเท่านั้น และการลงทุนในหุ้นเอง ก็ยังแบ่งได้อีกหลายวิธีดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ซึ่งวิธีที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้นั้น เป็นการรวมเอาความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค(Technical Analysis) และการบริหารเงินเพื่อการลงทุน(Money Management) มาประกอบกันเป็นระบบพื่อใช้ในการตัดสินใจลงทุน หรือที่เรียกว่าMechanical Trading System ครับ ซึ่งวิธีการลงทุนอย่างเป็นระบบนี้ นอกจากจะสามารถใช้ได้กับหุ้นแล้ว ยังสามารถนำไปใช้ได้กับตราสารอนุพันธ์ต่างๆ เช่นSET50 Index Futures ในตลาดตราสารอนุพันธ์(TFEX) และสัญญาซื้อขายลวงหน้าต่างๆนตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย(AFET)ได้อีกด้วยการลงทุนอย่างเป็นระบบนั้น หมายถึงการที่เราตัดสินใจซื้อ-ขาย ตามสัญญาณจากระบบที่เราออกแบบ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามที่เราต้องการ โดยใช้ความรู้ทางเทคนิคมาช่วยบอกจุด(ราคา) ที่จะซื้อแบะขาย ส่วนจำนวนหุ้นที่จะซื้อ-ขายนั้น จะใช้ความรู้จากส่วนของ Money Management มาช่วยครับ ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะขอพูดถึงรายละเอียดในตอนต่อๆไปนะครับ สำหรับในตอนแรกนี้ ผมจะขอแนะนำการลงทุนด้วยวิธีทางเทคนิคสักเล็กน้อยก่อนนะครับ เพราะยังมีอีกหลายคนที่สงสัยและอาจจะเข้าใจผิดไปต่างๆนาๆ เช่น คิดว่าเป็นการลงทุนของพวกเก็งกำไรเท่านั้น การเอาราคาในอดีตมาทำนายอนาคตนั้นไม่มีเหตุผล ไม่มีทางทำได้ และที่ถูกเข้าใจผิดมากที่สุด การลงทุนทางเทคนิค ไม่มีใครที่ประสบความสำเร็จ ...ผมขอลองมาเป็นทนายแก้ตางกันเป็นข้อๆไปนะครับ อันดับแรกที่หลายคนพูดถึงเสมอ คือ การลงทุนทางเทคนิคนั้น ไม่มีใครที่ประสบความสำเร็จ เป็นคำถามที่น่าคิดครับว่า ไม่มีคนสำเร็จจริงๆ หรือคุณไม่รู้เองว่ามีคนที่ประสบความสำเร็จ จากประสบการณ์ของผม พบว่ามีหลายคนที่ลงทุนด้วยการวิเคราะห์ทางเทคนิคแล้วประสบความสำเร็จ จนมีอิสระภาพทางการเงิน ไม่เพียงแค่นั้นนะครับ บริษัทรับลงทุนบางแห่งก็ยังใช้แต่วิธีการลงทุนทางเทคนิคอย่างเดียว ซึ่งถ้าหากท่านต้องการรวยระดับโลกผมไม่แน่ใจว่าการลงทุนทางเทคนิคคือคำตอบหรือไม่ แต่หากต้องการอิสรภาพทางการเงิน วิธีการลงทุนทางเทคนิคนั้นพอเพียงอย่างล้นเหลือเลยครับเทคนิคเป็นการก็งกำไรเท่านั้น และราคาสามารถทำนายอนาคตได้จริงหรือ ผมขอตอบด้วยหลักการพื้นฐานที่ว่า Why does technical analysis work? นั่นคือหลักการสามข้อที่เป็นพื้นฐานขงการวิเคราะห์ทางเทคนิคทั้งหลายครับ หลายคนที่เป็นนักลงทุนทางเทคนิคแต่ไม่รู้ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ก็จะได้เข้าใจด้วยว่าทำไมการดูแต่ราคาหรือเส้นแนวโน้มถึงได้ผล1) ราคาคำนวณรวมทุกอย่างไว้แล้ว(Price Discount Everything) ถ้าราคาหุ้นถูกกำหนดโดยคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาเฉพาะ หรือถูกซื้อขายกันที่ราคาตามบัญชีเท่านั้น เทคนิคคงใช้ไม่ได้ครับ แต่ในตลาดหุ้นราคาขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ซื้อและผู้ขาย และความพึงพอใจนั้นมองได้จากปริมาณการซื้อขาย(Volume) คือ ถ้ามีคนอยากซื้อขายที่ราคานั้นมากๆก็จะทำให้มีปริมาณการซื้อขายมากขึ้นตามไปด้วย เช่น นายนูไปรู้มาว่าบริษัทAมียอดขายที่ดีมาก และราคาจะต้องขึ้นไปอย่างแน่นอน นายนูก็จะไปซื้อหุ้นAเพื่อหวังราคาหุ้นที่สูงขึ้น คือมีความโลภ หรือที่เราเรียกให้สละสวลยว่ามีอุปสงค์ในหุ้นA ในที่นี้ นายนูก็จะซื้อหุ้นมากเท่าที่เค้ามั่นใจ เช่น ถ้ามั่นใจสุดๆว่าหุ้นกำไรขนาดนี้ราคาหุ้นต้องขึ้นเป็นเท่าตัวอย่างแน่นอน นายนูก็อาจจะขายรถขายบ้านมาซื้อ(ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่งนะครับ ควรใช้เงินเก็บหรือเงินเย็นเท่านั้น ถ้าใช้เงินกู้มาลงทุนอาจทำให้ร้อนผ่าวๆได้) แต่หากนายนูมั่นใจน้อยหน่อยก็อาจซื้อสัก20-30%ของเงินลงทุนในหุ้นทั้งหมด ลองมาดูนายโน้ตกันบ้าง นายโน้ตรู้มาว่าแม้ยอดขายของบริษัทAจะเพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนเพิ่มขึ้นมากกว่า ทำให้บริษัทนี้ขาดทุน แล้วนายโน้ตก็มีหุ้นของบริษัทนี้อยู่ด้วย นายโน้ตจึงเกิดความกลัว ว่าราคาหุ้นAจะลดลง เลยต้องการขายหุ้นAออกไป หรือที่เราเรียกว่าอุปทานในหุ้นA แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในตลาดหุ้นไม่ได้มีแค่นายนูกับนายโน้ต แต่ยังมีนายหนุ่ม นายโจ้ นายอ๋อง ซึ่งแต่ละคนก็จะมีข่าวสารเกี่ยวกับบริษัทA ที่แตกต่างกัน เช่น จากหนังสือพิมพ์ จากเพื่อน จากการทำงาน ทุกคนก็จะเอามาคำนวณว่าควรซื้อหรือขาย และยืนยันความมั่นใจด้วยปริมาณที่เขาซื้อหรือขายนั่นเอง ดังนั้นการลงทุนทางเทคนิคจึงเชื่อว่า ราคาและปริมาณการซื้อขายนั้น สามารถบอกได้ถึงพื้นฐานของหุ้น ผ่านทางพฤติกรรมการซื้อขายของคนในตลาดครับ2)ตลาดเคลื่อนไหวตามแนวโน้ม(Price Move In Trend) จากกราฟนี้เรารู้ว่าราคาหุ้นนั้นไม่ได้ขึ้นลงเป็นเส้นตรง แต่จะมีการพักตัวเป็นระยะๆ ลักษณะคล้ายกับฟันปลา อย่างไรก็ดี หากเราลากเส้นจากจุดต่ำสองจุด(ในกรณีขาขึ้น) หรือจุดสูงสุดสองจุด(ในกรณีขาลง) เราจะได้เส้นที่เรียกว่าเส้นแนวโน้ม(Trend Line) เส้นนี้บอกเราว่าราคาหุ้นนั้น เมื่อวิ่งไปทางใดทางหนึ่งแล้วจะวิ่งไปทางนั้นตลอดจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแนวโน้ม ดังนั้นเมื่อราคาผ่านเส้นA-Bขึ้นไป เราก็จะคาดหมายถึงแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น เราจึงเข้าซื้อที่จุดB จากนั้นเราก็ถือไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ราคายังอยู่เหนือเส้นB-C เพราะยังแสดงถึงแนวโน้มว่าหุ้นเป็นขาขึ้นอยู่ เม่อราคาหุ้นได้ตกลงมาต่ำกว่าเส้นB-Cแล้วเราก็จะขายหุ้นนั้นออกไป จากกราฟเราจะขายหุ้นที่จุดC(และขายช็อตเซลล์หากตลาดนั้นๆมีการอนุญาตให้ขายช็อตเซลล์ได้) แล้วถือสถานะช็อตไว้ตราบเท่าที่ราคายังไม่วิ่งทะลุเส้นC-D ซึ่งเป็นเส้นที่บ่งบอกถึงแนวโน้มขาลง ณ จุดD เมื่อราคาหุ้นได้วิ่งทะลุเส้นแนวโน้มขาลงขึ้นไปแล้ว เราจึงซื้อคืนหุ้นที่ขายออกไปก่อนหน้า(เพื่อปิดสถานะช็อต) และซื้อเพิ่มเพื่อทำกำไรในขาขึ้น เห็นไหมครับ แค่ดูจากรูปแบบของราคาอย่างเดียวราก็สามารถทำกำไรได้แล้ว การลงทุนหุ้นทางเทคนิคนั้น แท้จริงแล้วเราไม่ได้ต้องการซื้อที่จุดต่ำสุด และขายที่จุดสูงสุดนะครับ จากรูปเราได้เห็นแล้วว่าจุดต่ำสุดมีแค่จุดเดียวเท่านั้น และจุดสูงสุดก็มีแค่จุดเดียวเช่นกัน ดังนั้นเมื่อพิจารณาในด้านของสถิติแล้ว มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะทำกำไรจากการพยายามช้อนซื้อที่จุดต่ำสุด แล้วไปขายที่จุดสูงสุด เพราะการช้อนซื้อนั้นจะขาดทุนทุหครั้งครับ ยกเว้นครั้งสุดท้ายครั้งเดียวที่เป็นจุดต่ำสุดจริงๆ และการพยายามขายที่จุดสูงสุดก็จะผิด(ขาดทุนกำไร) ทุกครั้งเช่นกัน เพราะราคาจะยังคงขึ้นไปเรื่อยๆ ยกเว้นครั้งสุดท้ายครั้งเดียว ที่เป็นจุดสูงสุดจริงๆ ดังนั้นวิธีที่ควรทำก็คือ เข้าซื้อเมื่อหุ้นนั้นเปลี่ยนแนวโน้มเป็นขาขึ้นแล้ว และขายก็ต่อเมื่อหุ้นนั้นเปลี่ยนแนวโน้มเป็นขาลงแล้วเท่านั้นครับ เราบองมามองในมุมใหม่กันนะครับ เพราะเราต้องการลงทุนให้ได้กำไร ไม่ใช่เพื่อพิสูจน์ว่าเราคิดถูก เพราะไม่ว่าจะยังไง ตลาดเป็นฝ่ายถูกเสมอครับ3)ตลาดมักจะซ้ำรอยเสมอ(History Tends To Repeat Itself) อย่างที่บอกไปในกฏข้อแรกว่า การขึ้นลงของราคาหุ้นนั้นขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานในหุ้นตัวนั้นๆ หรือที่เรียกกันตามประสาชาวหุ้นว่าความโลภและความกลัว ของนักลงทุนนั่นเอง และไม่ว่าเมื่อใด หรือยุคสมัยไหน ความโลภและความกลัวก็ยังคงอยู่ในจิตใจของมนุษย์เสมอ ดังนั้นผลที่สะท้อนออกมาในราคาหุ้นนั้น ก็จะวนเวียนอยู่แบบเดิมเรื่อยไป ทำให้เรื่องของเส้นแนวโน้ม(Trend Line) เส้นแนวรับ(Support Line) เส้นแนวต้าน(Resistant Line) และรูปแบบของราคา(Price Pattern) เช่น Double Top, Double Bottom, Head and Shoulders ฯลฯ ยังคงใช้ได้อยู่ตลอดมา หากจะให้อธิบายเหตุผลว่าทำไมกฏข้อนี้ทำให้เส้นหรือรูปแบบราคาเหล่านี้ใช้ได้แล้ว ต้องใช้เนื้อที่อีกเยอะมากครับ หากมีโอกาสพี่ๆท่านอื่น(คอลัมน์ของเราเขียนกันหลายคนครับ) คงจะได้มาอธิบายถึงเบื้องหลังของการทำงานของกฏข้อนี้กันครับ นี่เป็นหลักการพื้นฐานสามข้อของการลงทุนทางเทคนิคนะครับ ผมหวังว่าหลายท่ายที่ไม่เคยสนใจการลงทุนแบบนี้เลย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม หรือคนที่ใชเทคนิคประกอบการลงทุนอยู่แล้ว แต่ไม่เคยรู้ว่ามีหลักการหรือที่มาอย่างไร จะได้เข้าใจว่า เครื่องมือที่นำมาประกอบการตัดสินใจลงทุนนั้น มีหลักการและเหตุผลรองรับครับ ไม่ได้คิดขึ้นมาง่ายๆเพื่อเป็นข้ออ้างในการเก็งกำไรเท่านั้นอย่างที่เคยเข้าใจกัน กลุ่มผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคอลัมน์ของพวกรานี้จะช่วยให้เห็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลงทุน เพราะเราเชื่อว่าโลกนี้ไม่มีสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน(No One Best Way) ดังนั้นเราจึงเสนออีกทางเลือกหนึ่งให้กับกลุ่มคนที่ตื่นตัว แต่ไม่ตื่นตูม ซึ่งผมได้พบเห็นหลายคนเลือกวิถีตามคนอื่น ซึ่งตัวเองอาจไม่ได้ถนัดในแนวทางนั้นๆ ทำให้ผลการลงทุนอาจไม่เหมือนต้นแบบที่เราชื่นชมก็เป็นได้ Be Your Own Use your way
Create Date : 08 เมษายน 2552
Last Update : 8 เมษายน 2552 2:49:44 น.
4 comments
Counter : 986 Pageviews.
โดย: ลุงบ้านนอก IP: 117.47.221.216 วันที่: 8 เมษายน 2552 เวลา:7:36:23 น.
โดย: สำเร็จด้วยใจ IP: 61.7.146.131 วันที่: 8 เมษายน 2552 เวลา:8:08:36 น.
โดย: ขอบฟ้าบูรพา วันที่: 10 เมษายน 2552 เวลา:3:27:25 น.
Location :
สมุทรปราการ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 19 คน [? ]
ผู้ประกาศกรุงเทพธุรกิจทีวี พิธีกรรายการแกะรอยหยักสมองและ World Class Smart Thai สนใจประวัติศาสตร์ ศาสนา ปรัชญา ต่างประเทศ เทคโนโลยี สังคม และชนชั้น ติดตามทวิตเตอร์ได้ที่ @atis_kttv นะครับ