|
John Murphy's Ten Laws of Technical Trading
ผมมีกระดาษอยู่สองแผ่นที่เป็นกฏการลงทุนทางเทคนิค ว่าจะเอามาแปลให้ได้อ่านกัน แต่ผ่านไปเป็นปีแล้วงงเหมือนกันว่าไปเอามาจากไหน โชคดีที่เทคโนโลยีมันก้าวหน้าไปมาก ผมว่าผมไปเอามาจากที่นี่แหละครับ ดีนะที่ยังหาเจอจะได้ให้เครดิตเจ้าของเค้าด้วย //stockcharts.com/school/doku.php?id=chart_school:trading_strategies:john_murphy_s_ten_laws การแปลของผมอย่างที่ทำมาก่อนนะครับ ไม่ได้แปลคำต่อคำ แต่เอาแบบอ่านแล้วเข้าใจง่ายๆดีกว่าเนอะ
1 หาแนวโน้มให้เจอ ใช้กราฟราคาระยะยาว การวิเคราะห์กราฟระยะเดือนหรือรายสัปดาห์จะเห็นภาพของเวลาหลายๆปี ภาพของตลาดที่กว้างและมีข้อมูลมากขึ้นจะทำให้เราเห็นภาพ และความคิดของตลาดได้ดีมากขึ้น เมื่อเราเห็นภาพกว้างจากกราฟรายเดือนหรือสัปดาห์แล้ว เราค่อยมาดูกราฟรายวันหรือระหว่างวัน การดูกราฟระยะสั้นๆอย่างเดียวมักจะทำให้เราเห็นภาพที่อาจจะผิดไป แม้ว่าคุณจะเป็นพวกซื้อขายระยะสั้นมากๆก็ตาม คุณจะทำได้ดีมากขึ้นถ้าคุณซือ-ขายตามแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว
2 ไปพร้อมกับแนวโน้ม พิจารณาแนวโน้มให้ดีว่าไปทางไหน แล้วก็ตามไปทางนั้น แนวโน้มของตลาดจะมาในหลากหลายขนาด ระยะยาว ระยะกลาง และระยะสั้นๆ อันดับแรก คิดก่อนว่าคุณเป็นนักลงทุนประเภทไหน สั้น กลาง ยาว แล้วก็ใช้กราฟให้เหมาะสม และให้เทรดไปตามทิศทางของแนวโน้มตามระยะเวลาที่คุณเลือก ซื้อตอนที่ราคาลดต่ำลงมาในขณะที่เป็นขาขึ้น (ซื้อตอนมันปรับฐาน พักตัว) ขายเมื่อมันดีดตัวขึ้นในตลาดขาลง (ขายตอนที่มีรีบาวด์) ถ้าคุณเลือกที่จะเป็นนักลงทุนระยะกลางให้ใช้กราฟรายวันและรายสัปดาห์ ถ้าคุณเป็นพวกซื้อขายในวันเดียว ใช้กราฟรายวันและระหว่างวัน อย่างไรก็ตามในทุกแบบที่เลือก เราต้องดูกราฟที่ยาวกว่าเพื่อดูเทรนด์ก่อน แล้วใช้กราฟเวลาที่เลือกสำหรับการซื้อ-ขาย
3 หาจุดต่ำและจุดสูงสุดของราคา หาแนวรับและแนวต้าน ที่ๆดีที่สุดในการซื้อคือซื้อที่แนวรับ แนวรับมักจะเป็นจุดต่ำของช่วงก่อนหน้า ที่ๆดีที่สุดในการขายคือใกล้ๆกันกับแนวต้าน แนวต้านมักจะเป็นจุดยอดที่ราคาผ่านมาแล้ว(ดอยนั่นเอง) หลังจากที่ราคาทำยอดสูงใหม่กว่าจุดนั้นจะกลับมาเป็นแนวรับเมื่อราคาวกกลับลงมา หรือจะเรียกได้ว่า "สูงเก่ากลายเป็นต่ำใหม่" ในอีกแง่นึงหากราคาทะลุจุดต่ำสุด(แนวรับ)ไปแล้ว มันจะกลับมาเป็นแนวต้านแทนทันที "ต่ำเก่ากลายเป็นสูงใหม่"
4 รู้หน่อยว่ามันจะปรับฐานลึกแค่ไหน วัดอัตราส่วนในการปรับฐานหรือปรับตัวของราคาหุ้น ราคาหุ้นที่ปรับฐานหรือพักตัวนั้น มักจะปรับตัวเป็นสัดส่วนจากแนวโน้มก่อนหน้า เราสามารถวัดการปรับตัวที่เกิดขึ้นได้ในสัดส่วนง่ายๆ การปรับตัวของราคาที่ระดับ50%ของแนวโน้มก่อนหน้าเป็นสิ่งที่เราพบเห็นได้บ่อยที่สุด สัดส่วนที่น้อยที่สุดมักจะเป็นหนึ่งในสามของแนวโน้มก่อนหน้า(33.33%) และมากที่สุดที่สองในสาม(66.66%) สำหรับการปรับตัวตามอัตราไฟโบแนคซีคือ38%และ62%เป็นสิ่งที่ต้องจับตามองเช่นกัน ระหว่างการปรับตัวลงในแนวโน้มขาขึ้นหากจะซื้อเราควรรอที่33-38%ของการปรับตัว
5 วาดเส้น(แนวโน้ม) วาดเส้นแนวโน้ม เส้นแนวโน้มเป็นสิ่งที่ง่ายแต่ได้ผล สิ่งที่ต้องทำก็แค่ลากเส้นตรงระหว่างจุดสองจุด เส้นแนวโน้มขาขึ้นก็แค่ลากเส้นไปตามจุดต่ำที่สำคัญของแนวโน้มสองจุด(ตรงการพักตัวนั่นแล) เส้นแนวโน้มขาลงก็ลากระหว่างจุดที่มันดีดตัวขึ้นไปครั้งสำคัญๆสองจุดเช่นกัน ราคามักจะพักตัวมาที่เส้นแนวโน้มที่เราวาด ก่อนที่มันจะดีดกลับไปตามแนวโน้มเดิมของมัน การทะลุของราคาออกจากเส้นแนวโน้ม มักจะเป็นสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มราคา เส้นแนวโน้มที่ดีควรจะมีการแตะของราคาที่เส้นอย่างน้อยสามครั้ง(แตะนะครับไม่ทะลุนะ) เส้นนี้ยิ่งยาวยิ่งมีผลสำคัญ และยิ่งมันถูกทดสอบโดยการแตะของราคามากเท่าไหร่ มันยิ่งเป็นเส้นสำคัญที่ต้องพิจารณา
6 ใช้เส้นค่าเฉลี่ย(MA MOV Moving Average) เส้นค่าเฉลี่ยจะให้สัญญาณในการซื้อ-ขาย มันบอกเราว่าแนวโน้มขณะนั้นยังดำเนินต่อไปหรือว่าเปลี่ยนแล้ว แม้ว่าเส้นค่าเฉลี่ยไม่ได้บอกอนาคตว่าราคาจะไปทางไหน แต่มันก็บอกถึงการเปลี่ยนแนวโน้มได้ดีมากๆ การใช้เส้นค่าเฉลี่ยสองเส้นในกราฟเป็นที่นิยมในการหาสัญญาณซื้อ-ขาย ส่วนใหญ่จะใช้เส้น4และ9วัน 9และ18 หรือ5และ20เป็นต้น สัญญาณซื้อคือเมื่อเส้นสั้นตัดเส้นยาวขึ้นไป และขายเมื่อมันตัดลงมา การใช้เส้นค่าเฉลี่ย40วันเพื่อหาจุดซื้อ-ขายก็เป็นสัญญาณที่ดีอีกตัวหนึ่ง และเนื่องจากเส้นค่าเฉลี่ยเป็นตัวหาแนวโน้ม ดังนั้นมันจะใช้ได้ดีก็ต่อเมื่อตลาดนั้นมีแนวโน้มชัดเจน
7 รู้จุดกลับ(ตัวกลับใจ) Oscillator(ขอทับศัพท์นะครับคำนี้)ช่วยให้เรารู้ว่าตอนนี้ หุ้นที่เราดูน่ะ มันมีคนซื้อมากไป หรือขายมากไปหรือเปล่า เส้นค่าเฉลี่ยจะทำให้เรารู้ว่าแนวโน้มเปลี่ยนไปรึยัง ในขณะที่Oscillatorจะบอกเราล่วงหน้า ว่าหุ้นนั้นมันขึ้น หรือตกมากเกินไปแล้ว และกำลังจะกลับตัวกลับใจ Oscillatorที่เป็นที่นิยมที่สุดสองตัว คือRSI และStochastic ทั้งสองตัวจะวิ่งอยู่ในระดับ0-100 สำหรับRSIนั้น ถ้ามันมากกว่า70คือซื้อมากไปแล้ว กำลังจะถอยแล้ว และต่ำกว่า30คือขายมากไปแล้วนะ สำหรับStochasticนั้นเราดูที่ระดับ80และ20 และดูแบบเดียวกับRSI สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่จะใช้ค่า14วันสำหรับStochastic และ9หรือ14วันสำหรับRSI Oscillatorที่ไปคนละทางกับราคาหุ้นมักจะเตือนว่ามันกำลังจะกลับตัว(Bullish Bearish Divergence) เครื่องมือนี้เหมาะมากในตลาดหรือหุ้นที่ไม่มีแนวโน้มชัดเจน เราสามารถใช้สัญญาณในกราฟระดับสัปดาห์มากรองสัญญาณให้กราฟรายวันก็ได้ และเช่นเดียวกันสัญญาณในกราฟรายวันก็นำมากรองเพื่อใช้กับกราฟระหว่างวันได้
8 สัญญาณอันตราย!!! MACD นั้นเป็นส่วนประกอบของการตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ย และการบอกภาวะซื้อ-ขายมากเกินไปของOscillator สัญญาณซื้อเกิดขึ้นเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดเส้นช้าขึ้นไปและทั้งสองเส้นอยู่ต่ำกว่า0(มีค่าเป็นลบ) สัญญาณขายคือเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดเส้นช้าลงมาและทั้งสองเส้นอยู่เหนือค่า0ขึ้นไป สัญญาณในกราฟรายสัปดาห์นั้นมีความสำคัญมากกว่าในกราฟรายวัน MACD Histogramนั้นจะบอกเราถึงความแตกต่างของเส้นMACDทั้งสองเส้น และจะให้สัญญาณล่วงหน้าถึงการเปลี่ยนปลงของแนวโน้ม มันถูกเรียกว่าhistogramเพราะเส้นแนวตั้งที่แสดงถึงความแตกต่างของเส้นMACDสองเส้นนั่นเอง
ขออธิบายนิดนึงนะครับ เพราะว่าการที่MACDตัดขึ้นลงนั้นจะหมายถึงการเปลี่ยนแนวโน้ม ดังนั้นการที่บอกว่าhistogramจะบอกล่วงหน้าถึงการเปลี่ยนแนวโน้มก็หมายถึงว่า ถ้าเส้นมันสั้นลงเรื่อยๆไม่วาจะทางใดก็ตาม หมายความว่าMACDใกล้จะตัดกันแล้ว คือกำลังจะเปลี่ยนแนวโน้มแล้วนั่นเองครับ
9 มีแนวโน้มอ๊ะเปล่า ใช้ADXสิ ADXจะบอกเราได้ว่าตลาดหรือหุ้นตัวนั้นๆตอนนี้มันมีแนวโน้มอยู่รึเปล่า หรือแค่ไซด์เวย์เฉยๆ ADXจะวัดระดับของแนวโน้มและทิศทางที่มันจะไป หากADXมีคาเพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่าแนวโน้มนั้นๆแข็งแกร่งมากๆ ค่าADXที่ตกลงหมายถึงมันออกข้าง(sideway) ดังนั้นหากADXมีค่าเพิ่มขึ้นเราควรใช้เส้นค่าเฉลี่ย หากลดลงเราควรใช้Oscillator การใช้ADXจะทำให้นักลงทุนสามารถใชกลยุทธ์ในการลงทุน และเครื่องมือได้เหมาะสมกับสภาพตลาดในตอนนั้นครับ
10 หน่วยสนับสนุน ปริมาณการซื้อขายและสัญญาคงค้าง ทั้งสองตัวนี้ช่วยในการยืนยันในตลาดล่วงหน้า ปริมาณการซื้อขายนั้นจะบอกถึงราคาได้ มันสำคัญมากที่จะต้องใช้ปริมาณการซื้อขายที่สูงเพื่อยืนยันแนวโน้มในขณะนั้น ในแนวโน้มขาขึ้น ปริมาณการซื้อขายมากๆต้องมาในวันที่ปิดบวก การเพิ่มขึ้นของสัญญาคงค้างจะยืนยันว่ายังมีเงินใหม่ๆเข้ามาสนับสนุนแนวโน้มปัจจุบัน การลดลงของสัญญาคงค้างมักจะเป็นคำเตือนว่าแนวโน้มมันกำลังจะหมดลงแล้วนะ ราคาที่เพิ่มขึ้นในภาวะขาขึ้น ควรจะถูกยืนยันด้วยปริมาณการซื้อขายและสัญญาคงค้างที่เพิ่มมากขึ้น
11 ความสามารถในการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้น จะเพิ่มมากขึ้นจากประสบการณ์และการศึกษา จงเป็นนักเรียนที่รักการเรียนรู้อยู่เสมอๆ
ผมว่าจะทำอะไรก็ตาม ต้องใช้กฏข้อนี้หมดและครับคุณเมอร์ฟี่
หวังว่าทุกคนคงได้ประโยชน์กันไปตามสมควรนะครับ
Create Date : 04 กรกฎาคม 2552 |
Last Update : 6 กรกฎาคม 2552 15:55:45 น. |
|
13 comments
|
Counter : 3490 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: ขอบฟ้าบูรพา IP: 124.120.201.42 วันที่: 4 กรกฎาคม 2552 เวลา:23:01:18 น. |
|
|
|
โดย: กัญจนา วันที่: 14 กรกฎาคม 2552 เวลา:10:18:14 น. |
|
|
|
โดย: Budratsa วันที่: 16 กรกฎาคม 2552 เวลา:15:57:01 น. |
|
|
|
โดย: ขอบฟ้าบูรพา วันที่: 20 กรกฎาคม 2552 เวลา:14:31:35 น. |
|
|
|
โดย: ไหมพรมสีชมพู IP: 61.19.67.15 วันที่: 4 สิงหาคม 2552 เวลา:15:26:24 น. |
|
|
|
โดย: ไหมพรมสีชมพู IP: 61.19.67.176 วันที่: 12 สิงหาคม 2552 เวลา:16:12:21 น. |
|
|
|
โดย: anatarsia IP: 172.20.100.171, 203.150.235.242 วันที่: 21 สิงหาคม 2552 เวลา:18:24:34 น. |
|
|
|
| |
|
|
Location :
สมุทรปราการ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 19 คน [?]

|
ผู้ประกาศกรุงเทพธุรกิจทีวี พิธีกรรายการแกะรอยหยักสมองและ World Class Smart Thai สนใจประวัติศาสตร์ ศาสนา ปรัชญา ต่างประเทศ เทคโนโลยี สังคม และชนชั้น
ติดตามทวิตเตอร์ได้ที่ @atis_kttv นะครับ
|
|
|
|
|
|
|
|
|
วิธีการเล่น (กองทุนหุ้น) ของผมก็ใช้หลักการคล้ายๆกับที่พี่เขียนมาเลยครับ
ที่ผมเล่นเป็นกองทุน chaina equity ซึ่งตอนนี้มันทำ new high มา 4 วันติดแล้วพี่
ดังนั้นภาพรวมทั้งกราฟ day & week นั้นสดใสมาก
indicator ตัวอื่นๆก็ไปในทางบวกหมด
volume ก็มากกว่าแต่ก่อนมากๆ
ติดอยู่เพียงตัวเดียว ให้พี่ทายดีกว่าว่ามันคืออะไร
มันคือเจ้า RSI ซึ่งตอนนี้มันทะลุไป 80 แล้ว
แต่ผมไม่สนนะ ผมกัดฟันถือมันต่อไป let profit run อิอิ