|
ประสบการณ์จากมาราธอน (ตอนที่ ๓)
หลังจากกล้ามเนื้อฝ่าเท้าอักเสบ ผมไม่มีโอกาสซ้อมเพราะต้องการให้สภาพฝ่าเท้าคืนสู่สภาพปกติเร็วที่สุด ทันการแข่งขัน หลายวันต่อมาอาการฝ่าเท้าเป็นปกติแต่ไม่กล้าเสี่ยงซ้อมวิ่ง กลัวว่าถ้าเป็นอะไรไป..จะไม่มีโอกาสได้แข่งมาราธอนครั้งแรกในชีวิต
การแข่งมาราธอนครั้งนี้สำหรับผมมันมีความหมายเพราะมันเป็นการแข่งมาราธอนครั้งแรก หลังจากที่เรามีข้ออ้างและผัดผ่อนมาตลอดเวลาที่อธิบายว่าทำไมเราไม่มีโอกาสได้ลงแข่งมาราธอนเสียทีตลอดระยะเวลากว่า ๑๐ ปีที่ผ่านมา ถ้าเราไม่เริ่มต้นนับหนึ่งก็จะไม่มีก้าวที่สอง ก้าวที่สามตามมา ทุกวันก็จะมีแต่จะนับแล้วก็ไม่เอาละ ไม่ได้ กลัวทำไม่ได้ สุดท้ายก็ไม่ได้ทำเสียที
ดังนั้นผมจึงตัดสินใจว่าผมจะลงแข่งมาราธอนระยะ ๑๐ กิโลเมตรในรายการคาวะกูจิมาราธอนให้ได้ ตั้งใจว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราจะวิ่งไปให้ถึงเส้นชัยให้ได้ จะไม่ถอดใจหยุดวิ่งก่อนถึงเส้นชัยเป็นอันขาด
ภาพความผิดพลาดตอนแข่งกีฬาสีของโรงเรียนสมัยมัธยมปลายยังตามหลอกหลอนมาตลอด เราต้องการลบภาพฝันร้ายที่ติดตามมาตลอดนับแต่การแข่งขันวิ่งระยะ ๑,๕๐๐ เมตรจบลง
พอถึงวันแข่งก็เดินจากบ้านไปที่สนามกีฬาของอำเภอคาวะกูจิ ในจังหวัดไซตาม่า ที่อยู่ห่างออกไปราวๆ ๒๐ นาที คนญี่ปุ่นมักจะไปไหนมาไหนด้วยการเดินเป็นเรื่องปกติ จากสถานีไปบ้าน ไปที่ทำงาน หรือไปมหาวิทยาลัย คนส่วนมากเขาก็เดินกัน ไม่แปลกใจที่โดยเฉลี่ยไม่ค่อยเจอคนญี่ปุ่นที่มีรูปร่างอ้วนพุงโย้มากนัก
ในพิธีการเปิดการแข่งขัน เขามีพิธีเชิญธงชาติฮิโนะมารุ และร้องเพลงคิมิกาโย ที่ฝ่ายขวาดันให้สภาผ่านยอมรับเป็นเพลงชาติของญี่ปุ่น หลังจากที่เพลงนี้ถูกใช้โดยสมมติว่าเป็นเพลงชาติมาเป็นเวลานาน คนไทยชอบสรุปกันว่า..คนญี่ปุ่นชาตินิยม คนญี่ปุ่นชาตินิยมจึงไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษ ผมว่าเราสรุปโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงแต่ตีความเอาจากสิ่งที่เราเห็น ซึ่งบ่อยครั้งก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป ถ้าคนไทยที่พูดภาษาอังกฤษได้ไม่ดีหรือพูดไม่ได้...คนไทยรายนั้นจะยังตะบี้ตะบันพูดภาษาอังกฤษไหม? แล้วการที่คนไทยไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษเพราะพูดไม่ได้ก็แสดงว่าเราชาตินิยมอย่างนั้นหรอครับ? ตอนที่มีพิธีเคารพธงชาติของญี่ปุ่นสิ่งที่เห็นแล้วประหลาดใจก็คือ...คนญี่ปุ่นจำนวนมากเดินไปเดินมาโดยไม่สนใจเพลงชาติ ไม่ยืนเคารพธงชาติ แล้วภาพที่เห็นบ่งบอกไหมว่าคนญี่ปุ่นเขารักชาติตามความเข้าใจแบบคนไทย เหตุผลที่คนญี่ปุ่นหลายคนไม่สนใจยืนเคารพธงชาติมีเหตุผลอยู่เบื้องหลังซึ่งคงไม่ขอหยิบขึ้นมาเขียนในกระทู้นี้
หลังพิธีเปิดการแข่งขัน เขาก็ปล่อยตัวนักวิ่งที่วิ่งแบบครอบครัวระยะ ๒ กิโลเมตร โดยพ่อหรือแม่จับเชือกพร้อมลูกวิ่งไปด้วยกันระยะ ๒ กิโลเมตร ดูแล้วรู้สึกดีที่ฝ่ายพละศึกษาเขาเข้าใจหากิจกรรมที่คนในครอบครัวทำอะไรด้วยกันได้ การวิ่งระบบครอบครัวถ้าพ่อหรือแม่คิดจะวิ่งเร็วๆโดยไม่ได้ดูกำลังลูก ก็จะไปไม่ถึงเส้นชัยพร้อมกัน ครอบครัวจะไปถึงเส้นชัยพร้อมกันก็ต่อเมื่อทั้งพ่อหรือแม่และลูกต่างพยายามวิ่งด้วยฝีเท้าความเร็วพร้อมกัน ถ้าจะเปรียบเทียบในชีวิตจริงของครอบครัว ถ้าพ่อคิดแต่ความสุขของตนเอง...คิดแต่จะไปถึงสิ่งที่ตนเองต้องการโดยไม่สนใจว่าลูกมีความสุขไหมที่ต้องพยายามทำเพื่อความสุขของพ่อ? ลูกจะไปถึงเป้าหมายที่พ่อต้องการได้ไหม? สุดท้ายครอบครัวจะไปถึงเป้าหมายนั้นร่วมกันได้อย่างไร? หรือถ้าไปถึงจุดหมายนั้นได้...จะมีความสุขไหม? ถ้าเพียงแต่พ่อยอมเสียสละบางอย่างเพื่อให้ลูกไปถึงเป้าหมายของครอบครัวพร้อมกัน เป้าหมายของครอบครัวที่ทุกคนสามารถไปถึงพร้อมกัน...ย่อมทำให้สมาชิกในครอบครัวมีความสุขร่วมกันมากกว่าจริงไหมครับ?
รายการแข่งขันระยะ ๑๐ กิโลเมตรถูกปล่อยตัวหลังรายการระยะฮาล์ฟมาราธอน ตอนผมวิ่งก็ยังกังวลว่าจะมีปัญหาเท้าหรือหัวเข่าในระหว่างวิ่งไหม? ตอนวิ่งมีคนประกบมีความรู้สึกที่แตกต่างไปจากที่เคยซ้อมวิ่ง รู้สึกว่าเราเร่งฝีเท้ามากขึ้น ผ่านระยะ ๑ กิโลเมตรแรกโดยใช้เวลาราวๆ ๔ นาทีนิดหน่อย ยังคงรักษาความเร็วโดยเฉลี่ยอยู่ราวๆ ๔ นาทีต่อกิโลเมตร จุดให้น้ำจุดแรกรับถ้วยน้ำเปล่ามาแต่ไม่มีจังหวะได้กิน ดูเหมือนเป็นแค่บ้วนปากไม่ให้คอแห้งเท่านั้น
ผ่านระยะ ๕ กิโลเมตรไปด้วยเวลาน้อยกว่า ๒๕ นาที เป็นความเร็วที่ดีกว่าตอนซ้อม ในขณะที่วิ่งมีฝนลงมาปรอยๆ เห็นนักวิ่งตาบอดรายหนึ่งเขาจับเชือกโดยมีลูกสาววิ่งประกบด้วย ทำให้ได้คิดว่าความพิการไม่ได้เป็นข้อจำกัดของผู้คนถ้าคิดจะวิ่งจริงๆ
พอเข้าระยะ ๗ กิโลเมตรเริ่มมีอาการเสียดที่ท้อง เป็นผลจากการเร่งมากเกินไป ฝีเท้าเริ่มแผ่วเบาลง พอเหลือระยะ ๒ กิโลเมตรสุดท้ายเริ่มรู้สึกว่าแรงจะหมดเอาดื้อๆ แต่ก็อดทนวิ่งต่อไป พอเข้าใกล้สนามที่เป็นจุดสิ้นสุดของการแข่งขัน ได้ยินเสียงกลองที่ทางผู้จัดได้ว่าจ้างนักตีกลองไทโกะซึ่งเป็นกลองญี่ปุ่นที่ใช้ตีในงานเทศกาลสำคัญๆ เสียงกลองทำให้รู้สึกฮึกเหิมมากขึ้น มีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นมาอีกนิดนึง พยายามเร่งความเร็วแต่แรงเกือบหมดแล้ว ได้แต่วิ่งซอยเท้าเพื่อไปให้ถึงเส้นชัย พอผ่านเส้นชัย ตัวชิปที่ติดอยู่ที่หมายเลขนักวิ่งส่งสัญญาณดังวี๊ดยาวๆ เจ้าหน้าที่เขาถอดชิปออกจากกระดาษหมายเลขนักวิ่ง แล้วก็ไปรับใบประกาศนียบัตรแสดงผลการแข่งขัน เขาพิมพ์ออกมาจากเครื่องพิมพ์ทันที ปรากฏว่าผมวิ่งระยะ ๑๐ กิโลเมตรโดยใช้เวลา ๕๑ นาที ที่เคยคิดว่าเราไม่สามารถวิ่งด้วยเวลาน้อยกว่า ๕๕ นาทีเป็นอันว่าเราพิสูจน์ด้วยตนเองแล้วว่าถ้าเราตั้งใจทำอะไรอย่างจริงจัง ทุ่มเทอย่างเต็มที่ ความพยายามและความมุ่งมั่นจะทำให้เราไปถึงเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้
การวิ่งวันนี้ทำให้ได้ข้อคิดว่า ข้ออ้างที่ผู้คนชอบสร้างขึ้นมาเป็นกำแพงให้เชื่อมั่นว่าทำไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ ข้ออ้างนี้ทำลายความเชื่อมั่นในตัวเองไป แต่ถ้าวันใดที่ใจของเรากล้าที่จะพิสูจน์ศักยภาพในตัวเราโดยละทิ้งเอาข้ออ้างไว้ข้างหลัง เราอาจจะพบว่าแท้ที่จริงแล้วกำแพงที่เราสร้างหลอกตัวเราเองต่างหากที่เป็นตัวทำให้เราไปไม่ถึงสิ่งที่เราตั้งใจทำ ถ้าเรามุ่งมั่นอย่างจริงจังทำอย่างเต็มกำลังความสามารถ...วันนึงเราจะไปถึงเป้าหมายที่เราตั้งเอาไว้
มีความสุขกับผลลัพธ์การแข่งขันวันนี้ และได้พบว่าสิ่งที่รอคอยมาหลายปีปรากฏขึ้นเป็นจริงอย่างที่เราอยากให้เป็น ลบภาพฝันร้ายที่คอยตามหลอกหลอนมาหลายปี ได้ความมั่นใจกลับมาหลังจากที่เคยหายไปนับแต่การแข่งขันวิ่ง ๑,๕๐๐ เมตรสมัยมัธยมปลาย
การแข่งมาราธอนยังไม่สิ้นสุดแค่นี้ แต่ผมหาการแข่งขันมาราธอนระยะอื่นลองท้าทายให้ตัวเองต่อไป
Create Date : 16 พฤษภาคม 2550 | | |
Last Update : 16 พฤษภาคม 2550 19:58:35 น. |
Counter : 575 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ประสบการณ์จากมาราธอน (ตอนที่ ๒)
ช่วงที่เตรียมตัวฝึกซ้อมเพื่อจะลงแข่งขันคาวะกูจิมาราธอน พบว่าการพยายามจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นทำเวลาที่ใช้ให้น้อยลงเป็นเรื่องที่ยากมากๆ การจะลดเวลาลง ๑ นาทีเท่ากับว่าต้องพยายามเร่งความเร็วในแต่ละรอบให้เหลือน้อยลงเรื่อยๆ การพยายามรักษาความเร็วในแต่ละรอบพบว่า...การทำแบบนั้นทำให้ความเร็วในรอบท้ายๆใช้เวลามากขึ้น สุดท้ายเวลาโดยรวมแย่ลงกว่าที่เคยทำไว้
การวิ่งมาราธอนสอนอะไรบางอย่าง...เวลาที่เสียไปช่วง ๕ กิโลเมตรแรก เราไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้ แต่ระยะทางที่เหลือ ๕ กิโลเมตรสุดท้ายเราสามารถเร่งเพื่อเอาเวลาที่เหลือให้ดีขึ้นได้ ซึ่งสุดท้ายเวลาทั้งหมดโดยเฉลี่ยจะดีขึ้น มันก็เหมือนการใช้ชีวิตถ้าเราทำอะไรผิดพลาดในอดีต..เราเรียกกลับคืนมาไม่ได้ ไม่ว่าจะเสียใจ เสียดายขนาดไหน แล้วทำไมเราไม่เริ่มทำในสิ่งที่ดี แก้ตัวใหม่จากนี้ไป แล้วผลลัพธ์ที่ปรากฏขึ้นในชีวิตก็จะดีขึ้นมาเอง
ผมพยายามฝึกวิ่งเพื่อให้เวลาที่ใช้กับการวิ่งระยะ ๑๐ กิโลเมตรให้เหลือน้อยกว่า ๕๕ นาทีแต่ไม่สำเร็จ
วันหนึ่งขณะที่ซ้อมมีอาการเจ็บบริเวณฝ่าเท้า แต่ก็ฝืนวิ่งเพราะถ้าไม่ถึงเส้นชัยเราจะไม่มีทางทราบว่าวันนี้เราใช้เวลาทั้งหมดเท่าไหร่ ผมสามารถเข้าถึงเส้นชัยภายในเวลา ๑ ชั่วโมง แต่ปรากฏว่าเกิดอาการเจ็บและเสียวฝ่าเท้ามาก
วันรุ่งขึ้นแวะไปพบแพทย์ คุณหมอเอ็กซเรย์เช็กสภาพกระดูกและฝ่าเท้า แล้วลงความเห็นว่ากล้ามเนื้อฝ่าเท้าเกิดอาการฉีกขาด บอกคุณหมอว่าผมสมัครมาราธอนเอาไว้และนี่เป็นการวิ่งมาราธอนครั้งแรกของผม คุณหมอห้ามวิ่ง ถามคุณหมอว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน..กว่าอาการบาดเจ็บที่ฝ่าเท้าจะหายดี หมอบอกว่าประมาณ ๑ เดือน ดูจากอาการแล้ว...อาจจะหายไม่ทันแข่งขัน
แต่จากประสบการณ์แล้วยาที่ใช้รักษาในญี่ปุ่นเป็นยาที่ออกฤทธิ์อ่อนเมื่อเปรียบเทียบกับยาที่ใช้ในไทย คนญี่ปุ่นเชื่อกันว่ายาที่มีฤทธิ์แรงมีผลเสียต่อร่างกายมากกว่า ดังนั้นคนญี่ปุ่นจึงต้องทนกินยานานๆกว่าอาการเจ็บป่วยจะทุเลา
ผมใช้ยาเคาน์เตอร์เพนบาล์มจากเมืองไทยนวดฝ่าเท้า และทานยาแก้อักเสบที่หมอให้มา และหยุดซ้อมเพื่อให้ฝ่าเท้าคืนสภาพปกติเร็วที่สุด
Create Date : 15 พฤษภาคม 2550 | | |
Last Update : 15 พฤษภาคม 2550 20:58:38 น. |
Counter : 561 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
พูดผิด-พูดใหม่ได้
วันนี้อ่านหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์ส่วนจุดประกาย หน้าแรกเขาพาดเฮดไลน์ว่า "พูดผิด พูดใหม่ได้" พออ่านไปแล้วรู้สึกสะใจจริงๆ เพราะไม่ค่อยมีใครออกมาพูดในลักษณะแบบนี้ มุมมองนี้
คนไทยหลายคนได้แต่นั่งดูตาปริบๆที่ภาษาไทยวิบัติมากขึ้นเรื่อยๆเพราะสื่อมวลชนและคนรุ่นใหม่หลายคนพยายามดัดแปลงภาษาไทยตามความพอใจโดยไม่นึกถึงความถูกต้องในการใช้ภาษาไทย ซึ่งถ้าปล่อยออกไปเรื่อยๆสุดท้ายเราจะไม่พบการใช้ภาษาไทยที่ถูกต้องต่อไป
ถ้าวันนี้เราพูดและใช้ภาษาไทยผิดๆเพี้ยนๆ เราก็สามารถเริ่มต้นพูดและใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องกันใหม่ได้ เพื่อให้ภาษาไทยภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนของโลกดำรงอยู่ต่อไปในโลกใบนี้ ไม่วิบัติไปตามกาลเวลาจนวันนึงหายไปจากโลกใบนี้
คนเขียนคอลัมน์นี้ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจเขาไปสัมภาษณ์คนที่อยู่ในวงการข่าวและบันเทิงที่มีความสามารถในการใช้ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แต่คนเหล่านั้นแสดงความเห็นว่าภาษาไทยมีเสน่ห์ควรค่าแก่การอนุรักษ์ และสมควรใช้ให้ถูกต้อง ไม่ใช้ดัดจริตทำเป็นพูดภาษาไทยไม่ชัด หรือพูดภาษาไทยปนภาษาอังกฤษ ที่ทำให้ดูว่าเท่เพราะไปร่ำเรียนถึงต่างประเทศมา เด็กรุ่นใหม่หลายคนแกล้งเขียนสะกดภาษาไทยเพี้ยนๆ หรือสื่อมวลชนประดิษฐ์คำเพี้ยนๆออกมาจนกลายเป็นกระแสเอาอย่างกัน
โดยส่วนตัวผมจะรู้สึกอึดอัดและรำคาญเวลาพูดกับคนไทยที่ชอบพูดภาษาไทยปนภาษาต่างประเทศ ไม่ว่าจะพูดภาษาไทยปนภาษาอังกฤษหรือว่าภาษาไทยปนภาษาญี่ปุ่น จะพูดภาษาอะไรก็พูดซักอย่าง ถ้าอยากโชว์ว่าพูดภาษาญี่ปุ่นได้ก็พูดตั้งแต่ต้นจนจบเลย ไม่ใช่พูดภาษาไทยไปซักพักแล้วก็ดันมาพูดว่า "ดูแล้วคิโมจิวารุ่ย" ฟังแล้วอนาถจริงๆ ภาษาไทยคำง่ายๆว่า ดูแล้วรู้สึกแย่ เสียความรู้สึก แบบนี้พอไปอยู่ญี่ปุ่นนานๆก็คิดเป็นภาษาไทยไม่ออก
พอได้เดินทางไปต่างประเทศได้พบเห็นว่าประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งหลายประเทศไม่มีอักษรของตนเอง ถึงเขาจะมีภาษาก็ตามแต่อักษรกลายเป็นเอาตัวโรมันมาใช้แทน ตัวอักษรดั้งเดิมไม่มีที่ใช้อีกแล้ว เห็นแล้วก็ภูมิใจในภาษาไทยที่เป็นเอกลักษณ์ และภาษาไทยเป็นสือกลางในการสื่อสารระหว่างเราที่เป็นคนไทยด้วยกัน
มีคำในภาษาไทยหลายๆคำที่สามารถสื่อความหมายได้มากกว่าภาษาอื่น ภาษาไทยเล่นคำหรือสลับคำให้ความหมายลึกซึ้งที่แตกต่างกันซึ่งในภาษาอื่นไม่สามารถทำได้ ภาษาไทยสามารถถ่ายทอดความรู้สึกระหว่างพวกเราคนไทยได้ดีกว่าภาษาอื่น
ตัวอย่างเช่น คำว่า "คอยรอ" กับ คำว่า "รอคอย" สองคำนี้ให้ความรู้สึกแตกต่างกัน
ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า "wait" ในภาษาญี่ปุ่นใช้คำว่า 待ち "มัทจิ" ในความหมาย การรอ แต่ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่นไม่สามารถเล่นคำว่า "คอยรอ" หรือว่า "รอคอย" ที่มีความหมายลึกซึ้งได้เหมือนภาษาไทย
คำว่า "คอยรอ" เป็นคำที่มีความหมายลึกซึ้งมากกว่าแค่การรอ แต่เป็นการคอยที่จะรอ...รออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มีความสุขที่เป็นฝ่ายเฝ้ารอ ไม่ท้อที่จะรอต่อไป
แต่คำว่า "รอคอย" เป็นคำที่มีความหมายว่า รอและคอยว่าสิ่งที่รอจะมาถึง บางครั้งความรู้สึกของการรออาจจะไม่มีความสุขนักถ้าจะต้องรอไปเรื่อยๆ คอยไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย ผู้รออาจจะอารมณ์เสียถ้าคนที่รอหรือสิ่งที่รอยังไม่มา
ดังนั้นถ้ามีใครซักคนที่คุณนัดหมายยังไม่มา คุณจะรู้สึกอย่างไรระหว่าง คอยรอเขาคนนั้น หรือว่าเพียงแต่รอคอยเขาคนนั้น? คุณจะรู้สึกอย่างไรที่รู้ว่ามีคนคอยรอคุณอยู่ตอนนี้?
Create Date : 14 พฤษภาคม 2550 | | |
Last Update : 14 พฤษภาคม 2550 18:32:07 น. |
Counter : 746 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
นิยามความรัก
เึคยอ่านเรื่องราวความรักที่หลายๆึคนเขียนเอาไว้ นิยามความรักที่คนเหล่านั้นเขียนดูมุ่งเน้นไปที่ความรักแบบชายหนุ่มหญิงสาว แท้จริืงความรักในโลกนี้มีมากกว่ารูปแบบความสัมพันธ์ชายหนุ่มหญิงสาว
ทำไมคนเรามีความรักแล้วคนเรายังเป็นทุกข์? มีหลายคนพยายามเอาพุทธโอวาทที่กล่าวไว้ว่า "ที่ไหนมีรักที่นั้นมีทุกข์" ยิ่งมีความรักสิบเท่าก็มีทุกข์สิบเท่า
คนเรารักคนอื่นแล้วคาดหวังว่าจะต้องได้รับความรักตอบแทน...คนส่วนใหญ่คิดแบบนี้จริงไหม? ดังนั้นเมื่อมีความคาดหวังในความรัก...ความคาดหวังจึงเป็นเกณฑ์ที่ทำให้คนเรามีความสุขเมื่อได้รับรักตอบแทน แต่เมื่อไม่ได้รับรักตอบแทนจึงเป็นทุกข์
ให้หลายคนนิยามความหมายของคำว่า "ความรัก" สิบคนก็นิยามไม่เหมือนกัน ร้อยคนก็นิยามไม่เหมือนกัน ผมเคยอ่านนิยามความหมายของคำว่า "ความรัก" จากนักเขียนหลายๆคน แต่คนที่เขียนนิยามความหมายของคำว่า "ความรัก" ได้โดนใจที่สุดคือ ท่านกฤษณะ มูรติ ท่านกฤษณะนิยามเอาไว้ว่า "ความรักคือการไม่โกรธ พร้อมที่จะให้อภัย พร้อมที่จะช่วยเหลือ"
ถ้าลองพิจารณาจากนิยามนี้ จะเห็นว่าไม่มีความหมายของการต้องได้รับรักตอบแทนเลย ลองพิจารณาดูดีๆ ถ้าเรารักสัตว์เลี้ยง เราก็มีความรู้สึกแบบนี้ใช่ไหม ไม่ว่าสัตว์เลี้ยงจะทำให้เราผิดหวังแต่เราก็ไม่โกรธมัน เราให้อภัยแก่มันได้ เพราะเรามีความรักต่อมัน
พ่อแม่รักลูก พ่อแม่พร้อมที่จะช่วยเหลือให้ลูกมีความสุข ตอนที่ลูกมีแฟน หัวใจของลูกมีแต่แฟน พ่อแม่เคยคิดจะไปยื้อแย่งความรักที่ลูกมีต่อแฟนกลับมาเป็นความรักที่มีต่อตนเองไหม? เปล่าเลย พ่อแม่กลับมีความสุขที่เห็นลูกตัวเองกำลังมีความสุึขในช่วงแห่งความรักแบบชายหนุ่มหญิงสาว หรือในยามที่ลูกผิดหวังจากความรัก...ผิดพลาด...พ่อแม่ก็ให้อภัยแก่ลูกของตนเอง คอยปลอบโยนลูกตัวเองที่ทำในสิ่งผิดพลาดมา หัวไหล่ของพ่อแม่เป็นที่ซับน้ำตาให้แก่ลูกได้เสมอ
รักแบบเพื่อน เพื่อนเราทำอะไรผิดพลาด ทำให้เราโกรธเราให้อภัยแล้วก็ยังคบเป็นเพื่อนกันต่อ ในยามที่เพื่อนเราลำบาก เรายินดีช่วยเหลือเพื่อนเราให้ผ่านความยากลำบาก
ความรักในรูปแบบของการมีเมตตา อยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ยื่นมือไปช่วยเหลือในเวลาที่เหมาะสม ยิืนดีเมื่อเขามีความสุข ไม่มีการคาดหวังว่าจะต้องได้รับอะไรตอบแทนจากการหยิบยื่นความช่วยเหลือไปให้แม้แต่คำว่าขอบคุณ ถ้าความรักแบบนี้เกิดขึ้นในใจของใคร ไม่ว่าจะมีความรักกี่ครั้งคงไม่เป็นทุกข์ เพราะใจเต็มไปด้วยความโปร่งเบาสบาย ยินดีที่ได้ช่วยเหลือ และวางอุเบกขาถ้าคนที่เราช่วยเพราะเรามีเมตตากลับไม่ีได้สนใจ ไม่สำนึกในความปรารถนาดีที่เราหยิบยื่นช่วยเหลือ
ในการช่วยเ้หลือคนอื่น...ทำไมเราต้องหวังว่าจะต้องได้รับคำว่าขอบคุณกลับมา ถ้าในเมื่อการช่วยเหลือเพราะใจเรามีเมตตาอยากใ้ห้เขาเหล่านั้นพ้นทุกข์ เมื่อเขาพ้นทุกข์จิตใจเราก็ยินดี สิ่งที่ตามมาภายหลังจากได้ช่วยเหลือเป็นผลพลอยได้แต่ไม่ควรเป็นความคาดหวัง เราเป็นทุกข์กันทุกวันนี้ก็เพราะเรามีความหวังเป็นที่ตั้งใช่ไหม?
ถ้าเรารักผู้คนและสิ่งต่างๆด้วยความรักที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาโดยไม่มีเงื่อนไข เราจะไม่เป็นทุกข์ เพราะใจเราจะเบิกบานที่ได้ช่วยเหลือคนเหล่านั้น ไม่คาดหวังว่ารักแล้วต้องได้รับรักตอบแทน
Create Date : 12 พฤษภาคม 2550 | | |
Last Update : 12 พฤษภาคม 2550 23:29:44 น. |
Counter : 625 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|