ชีวิตคือความไม่แน่นอนแต่ในความไม่แน่นอนของชีวิตเรากลับพบความสวยงามของชีวิต
Group Blog
 
All Blogs
 

กฎว่าด้วยความเป็นเจ้าของ

เคยมีรุ่นพี่คนนึงพูดให้ฟังว่า...

"ของอะไรถ้ามันจะเป็นของๆเรา มันก็ย่อมเป็นของเราวันยังค่ำ"

ผมเคยมีประสบการณ์เพจเจอร์ตกหายในรถแท็กซี่ ใช้เวลาไล่ล่าอยู่ ๒ อาทิตย์ สุดท้ายก็ได้เพจเจอร์คืนมา แต่พอจะต้องเดินทางไปเรียนหนังสือต่อในญี่ปุ่น ผมต้องเอาเพจเจอร์ไปคืนบริษัทที่ทำสัญญา ยังบอกกับตัวเองก่อนเอาเพจเจอร์ไปคืนบริษัทว่า

"ของมันเป็นของเราชั่วขณะ...ถึงเวลาก็ต้องพลัดพรากจากกันแล้ว"

พอทำเรื่องขอคืนเครื่องถอดจากเข็มขัดแล้วตั้งใจคืนบริษัท เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ต้องคืนเครื่องเขา ให้เก็บเอาไว้เถอะ ถ้าอยากจะมาใช้บริการอีกเมื่อไหร่ให้ติดต่อเขาใหม่โดยใช้เครื่องเดิม ผมอมยิ้มที่ได้ยินแบบนั้น ขนาดพยายามผลักไล่ไสส่งแล้วเพจเจอร์ก็ยังไม่ยอมไปอีก จนถึงตอนนี้...เพจเจอร์ยังคงอยู่ในห้องนอนผมอยู่

เคยพยายามค้นหาของบางอย่างมาหลายปี ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ต่างๆอย่างไรก็ไม่เจอของชิ้นนั้น แต่สุดท้ายกลับพบว่าของชิ้นนั้นไม่ได้อยู่ไกลเลย ของชิ้นนั้นอยู่ตรงหน้าเราในเวลาที่เหมาะสม

เคยพยายามสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วสรุปเป็นกฎที่เรียกว่า "กฎว่าด้วยความเป็นเจ้าของ" ที่กล่าวไว้ว่า

"ของสองสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ว่าเป็นเจ้าของซึ่งกันและกัน ของสองสิ่งนั้นต่างมีแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน อาจจะมีเหตุผลทำให้ของสองสิ่งต้องอยู่ห่างไกลกัน หรือพลัดพรากกันด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม...จะมีเหตุผลทำให้ของสองสิ่งเกิดแรงดึงดูดให้มาอยู่ด้วยกันในที่สุด แต่ถ้าไม่ใช่ของที่เป็นเจ้าของซึ่งกันและกันแท้จริง ถึงแม้ว่าจะมาอยู่ด้วยกันในช่วงเวลาสั้นๆหลังจากนั้นก็จะมีเหตุผลทำให้ของสองสิ่งนั้นพลัดพรากกันในที่สุด"

มีคนอาจจะสงสัยว่าแล้วคนที่ไม่มีคู่จนแล้วจนรอดเป็นเพราะคนๆนั้นเขาไม่มีเจ้าของหรืออย่างไร?

มีคนเคยอธิบายให้ฟังว่า...อาจจะเป็นไปได้ว่า้คนๆนั้นเคยอธิษฐานเอาไว้ในอดีตชาติว่าขอไม่มีคู่ แรงอธิษฐานจึงส่งผลทำให้มีเหตุทำให้ชวดเรื่องของคู่ครองหรือพลัดพรากจากการมีคู่ในชาตินี้ หรือคนเหล่านั้นไม่มีกรรมกับคนอื่นในอดีตชาติ เพราะการมีคู่ก็เป็นผลจากกรรมที่เคยทำร่วมกันในอดีตชาติ ทำให้วิบากกรรมชักนำให้คนสองคนมาทำกรรมร่วมกันอีกในชาติปัจจุบัน แรงอาฆาตในอดีตก็ส่งผลทำให้คนที่เคยใช้ชีวิตร่วมกันในอดีตกลับมาใช้ชีวิตคู่ในปัจจุบันแต่ชีวิตคู่นั้นเต็มไปด้วยปัญหาและอุปสรรค

คนที่เคยอธิษฐานร่วมกันเอาไว้ในอดีต...แม้จะพบปะเจอะเจอคนที่คิดว่าน่าจะใช่ แต่สุดท้ายก็มีเหตุให้เลิกรากันไปจนกระทั่งได้มาเจอคนที่เคยอธิษฐานร่วมกันเอาไว้ในอดีตชาติ

อดีตชาติของผู้คนมีหลายชาติ และความสัมพันธ์กับผู้คนต่างๆในแต่ละชาติก็แตกต่างกัน แต่กรรมที่ทำร่วมกันในอดีตชาติกับคนต่างๆส่งผลทำให้เขาเหล่านั้นได้มาพบปะเจอะเจอกันอีกด้วยวิบากกรรมที่เคยทำร่วมกันในอดีต คู่แท้ที่เคยเชื่อๆกันว่าตามไปทุกภพทุกชาติ...ตอนนี้มีคนอธิบายว่าคู่แท้ในแต่ละชาติอาจจะแตกต่างกัน คู่แท้ที่เคยร่วมทุกข์สุขกันในอดีตอาจจะกลับมาเป็นพี่น้องเพื่อนพ้องที่คอยเกื้อหนุนซึ่งกันและกันในปัจจุบันชาติแทน

ดังนั้นอย่าเสียใจไปเลยถ้าจะอยู่เป็นโสดไร้คู่ครอง เพราะความจริงการมีชีวิตโสด...มีแง่มุมที่น่าสนใจและข้อดีที่การมีชีวิตคู่ไม่สามารถทดแทนได้ โดยเฉพาะการมีอิสระ เพียงแต่บางครั้งผู้คนมักเอามาตรฐานของคนรอบข้างมาเป็นเกณฑ์วัดความสุข เมื่อคนรอบข้างต่างมีคู่แต่ตนเองยังไม่มีคู่ก็รู้สึกเป็นทุกข์เพราะตนเองต่างจากคนรอบข้าง

ความเหงามักเป็นข้ออ้างที่ผู้คนใช้เป็นเหตุผลอธิบายว่าทำไมอยากแต่งงาน ความจริงแล้วต่อให้ใช้ชีวิตคู่แต่อยู่กับคนที่ไม่เข้าใจ...ถูกปล่อยให้อยู่ตามลำพัง ความเหงาก็จะกลับมาเยือนได้ไม่ต่างจากชีวิตโสด ความเหงาเป็นสภาวะที่เปลี่ยนแปลงขึ้นๆลงๆ ความเหงามักจะเกิดตอนที่เราใช้พลังงานไปกับการหมกมุ่นครุ่นคิดตามลำพัง อยู่กับตัวเองมากจนเกินไป แต่ความเหงามักจะไม่ค่อยแวะมาเยี่ยมเยียนในยามที่หัวคิดของเราไม่ค่อยว่าง มีอะไรที่ต้องทำออกมากมาย

ความสุขในชีวิตจริง...ควรเป็นความสุข ความพึงพอใจที่เกิดกับตัวเรา หรือว่าเป็นความสุขที่เราพยายามทำเพื่อให้คนอื่นมีความสุขกันแน่ เป็นคำถามที่ทิ้่งให้ไว้คิดและตอบกันเอง เพราะแต่ละคนต่างมีนิยามความสุขต่างกัน




 

Create Date : 20 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 21 พฤษภาคม 2550 18:27:12 น.
Counter : 580 Pageviews.  

ปัญหานี้ควรแก้ที่ไหนดี?

เมื่อคืนดูรายการ "ดิไอคอน" คุณสัญญาเชิญเจ้าคุณอลงกตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุมาออกอากาศ ผมรู้จักเจ้าคุณอลงกตครั้งแรกตอนมีคนส่งฟอร์เวิร์ดเมลมาให้อ่านเกี่ยวกับวัดพระบาทน้ำพุที่เป็นสถานที่รักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ มีข่าวลือมานานว่าวัดคงปิดไม่นานนี้เพราะว่ามีแต่ค่าใช้จ่ายแต่รายรับไม่เพียงพอที่จะดูแลคนป่วยที่นับวันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เคยดูรายกาีรทีวีเมื่อเร็วๆนี้เกี่ยวกับวัดพระบาทน้ำพุ พบว่าข้อเท็จจริงวัดมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนหลักล้านบาท เจ้าคุณต้องออกบิณฑบาตรับปัจจัยและอาหารของแห้งที่มีคนตามที่ต่างๆศรัทธาบริจาคทำบุญให้วัด

น่าคิดว่า...ถ้าจำนวนคนป่วยโรคเอดส์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันย่อมเป็นไปได้ที่ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนวัดรับภาระไม่ไหว เพราะไม่เพียงแต่คนป่วยที่เป็นภาระให้วัดรับเลี้ยงดูแต่บุตรและธิดาของผู้ป่วยที่จะกลายเป็นเด็กกำพร้าภายหลังผู้ป่วยโรคเอดส์เสียชีวิตลงต่างก็เป็นภาระให้วัดต้องเลี้ยงดูต่อไป

ชื่นชมและศรัทธาในสิ่งที่ท่านเจ้าคุณอลงกตมีเมตตาแก่บรรดาคนป่วยโรคเอดส์ที่สังคมรังเกียจ แต่ภาระที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ น่าคิดว่าวันนึงจะเกินภาระที่ท่านเจ้าคุณอลงกตสามารถช่วยเหลือไว้ได้

ปัญหาคนติดโรคเอดส์ที่เพิ่มมากขึ้น...ต้นเหตุของปัญหาอยู่ตรงไหนกันแน่? การเปิดสถานที่สุดท้ายให้คนป่วยโรคเอดส์เป็นที่พักก่อนที่เขาเหล่านั้นจะเสียชีวิตเป็นเรื่องที่ดี แต่นี่ไม่ใช่วิธีควบคุมคนติดเอดส์ให้น้อยลง

ต้นเหตุของเอดส์มีหลายสาเหตุแต่เท่าที่ฟังรายการทีวี ท่านเจ้าคุณอลงกตกล่าวว่าระยะหลังผู้ป่วยโรคเอดส์มีอายุเฉลี่ยลดลง บ่งบอกว่าผู้ป่วยเป็นเด็กวัยรุ่นมากขึ้นเพราะคนเหล่านี้มีเำพศสัมพันธ์ตั้ังแต่เด็ก โดยไม่มีความรู้เรื่องการป้องกัน เด็กเหล่านี้เสพจากสื่อยั่วยุให้มีเพศสัมพันธ์ในวัยที่ยังไม่สมควร โดยสื่อไม่ได้บอกต่อว่า...ผลลัพธ์ที่ตามมาจากการมีเพศสัมพันธ์มีอะไรบ้าง

จำได้ว่าสมัยเด็กๆ หนังฝรั่งน้อยเรื่องมากที่มีฉากพระเอกรักกับนางเอกแล้วถอดเสื้อผ้ามีกิจกรรมทางเพศ แต่ปัจจุบันหนังฝรั่งน้อยเรื่องที่จะไม่เห็นฉากแบบนี้ ราวกับว่าคนทำหนังกลัวคนดูหนังไม่เข้าใจว่าพอพระเอกมีความรักกับนางเอกแล้วต้องแสดงออกด้วยการมีเพศสัมพันธ์

ความรักกับความใคร่ สองคำนี้มีความหมายต่างกันมากแต่คนหลายคนกลับเอาคำสองคำนี้มาใช้แทนกัน โดยตีความว่าความใคร่คือการแสดงออกซึ่งความรักโดยผ่านการสัมผัสทางร่างกาย

ความใคร่เป็นการแสดงออกของอารมณ์ความต้องการทางเพศของสัตว์โลก ถ้ามนุษย์มีความใคร่โดยขาดสติ ขาดศีลธรรม มนุษย์ก็ไม่ต่างจากสัตว์โลกชนิดอื่นที่ระบายอารมณ์ทางเพศโดยขาดการควบคุมความผิดชอบชั่วดี การมีชู้กับสามีหรือภรรยาชาวบ้านเป็นตัวอย่างของการขาดสติและปล่อยให้ความต้องการทางเพศอยู่เหนือความผิดชอบชั่วดี ผลของการมีความใคร่บางครั้งตามมาด้วยการมีบุตรไม่พึงประสงค์เพราะตอนที่มีความใคร่ขาดสติ ทำลงไปเป็นเพราะตอบสนองความต้องการพื้่นฐานทางธรรมชาติมากกว่า

ในขณะที่ความรักเป็นเรื่องของความอบอุ่น ความห่วงใย ไม่โกรธ พร้อมที่จะให้อภัยและช่วยเหลือ

ดังนั้นความใคร่จึงไม่ใช่ความรักอย่างที่หลายคนอาจจะทึกทักเอา

การจะลดจำนวนคนติดเชื้อเอดส์น่าจะัำไปรณรงค์ให้คนรุ่นใหม่รับทราบว่า...ความใคร่ตามมาด้วยปัญหาอะไรบ้าง นอกเหนือจากการติดเอดส์ อาจจะเกิดการมีท้องไม่พึงประสงค์ และการทำแท้งน่ากลัวและมีผลกระทบทางจิตใจของผู้ทำแท้งตลอดชีวิตอย่างไร มากกว่าคิดแค่ว่าการสวมถุงยางอนามัยช่วยป้องกันเอดส์ ถ้าคนตระหนักว่าผลตามมาภายหลังจากการมีความใคร่มีผลเสียอย่างไร คนจำนวนมากน่าจะคิดก่อนการมีความใคร่

ต้นเหตุที่จำนวนคนติดเิิอดส์เพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะผู้ป่วยในวัยเด็กและเยาวชน เป็นเพราะคนเหล่านี้ไม่เข้าใจถึงผลเสียที่ตามมาจากการมีความใคร่โดยไม่พร้อมอย่างไร แต่เขาเหล่านั้นกลับเสพสื่อที่ชี้นำเรื่องการมีความใคร่แต่สื่ิอเหล่านั้นกลับไม่มีใครอธิบายแก่คนดูว่ามีผลเสียตามมาภายหลังการมีความใคร่อย่างไรบ้าง






 

Create Date : 19 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 19 พฤษภาคม 2550 22:18:37 น.
Counter : 541 Pageviews.  

ประสบการณ์จากมาราธอน (ตอนที่ ๖)

หลังจากการแข่งขันโตเกียวอารากาว่ามาราธอนเสร็จสิ้นลง สิ่งที่ได้จากการแข่งขันคราวนี้คือความมั่นใจอย่างที่ไม่เคยได้รับจากการแข่งขันในอดีตที่ผ่านมา เป็นความรู้สึกภูมิใจที่ทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะทำได้เป็นผลสำเร็จ ผมแปลงความยินดีจากการแข่งขันมาราธอนครั้งนั้นเป็นพลังที่ผลักดันให้วิทยานิพนธ์ที่กำลังมีปัญหาในขณะนั้นก้าวต่อไปข้างหน้า วิทยานิพนธ์ที่เต็มไปด้วยปัญหา...ซึ่งต้นตอของปัญหาอยู่ที่คอขวด--อาจารย์ที่พิจารณาวิทยานิพนธ์ให้เนื้อหาผ่านหรือว่าไม่ผ่าน-- เรามุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ปัญหาค่อยๆคลี่คลายออกทีละเปลาะแม้จะใช้เวลาอยู่ก็ตาม

จากการแข่งขันมาราธอนระยะ ๔๒.๑๙๕ กิโลเมตร ก็มีเป้าหมายให้กับตัวเองว่าอยากลองวิ่งระยะที่เหลืออยู่คือ ระยะฮาล์ฟมาราธอน ระยะ ๒๑.๐๙๕ กิโลเมตร เลยสมัครเข้าแข่งขันคาวะกูจิมาราธอนในปีเดียวกันในระยะฮาล์ฟมาราธอน

สิ่งหนึ่งที่เรียนรู้จากการแข่งขันมาราธอนคือ การที่ตัวเราเองยินดีและติดกับภาพความสำเร็จ ทำให้เราไม่พยายามพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น อาการนี้ที่นักวิชาการเรียกกันว่า Fat cat syndrome องค์กรหรือผู้คนพอประสบความสำเร็จมักจะติดกับภาพความสำเร็จในอดีตและมองว่า ณ. สภาพปัจจุบันก็ดีแล้ว...ไม่เห็นความจำเป็นต้องขวนขวายพัฒนาตัวเองเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต นี่เป็นเหตุผลว่าบริษัทที่เคยประสบความสำเร็จในอดีตพ่ายแพ้ต่อคู่แข่งหน้าใหม่ในตลาด หรือนักกีฬาเก่งๆบางคนสัมผัสกับความพ่ายแพ้อย่างน่าเสียดาย

พอถึงเวลาซ้อมก่อนแข่งคาวะกูจิมาราธอน ดูเหมือนไม่กระตือรือล้นที่จะซ้อมอย่างจริงจังเพื่อเวลาที่ดีที่สุด มีเหตุผลหรือข้ออ้างหลายสาเหตุ อย่างหนึ่งมาจากการทำงานพิเศษที่ทำให้เวลาซ้อมน้อยลง กอปรกับการใช้เวลาเขียนวิทยานิพนธ์ซึ่งต้องอาศัยความตั้งใจและสมาธิมาก ผลตามมาเวลาซ้อมกับมาราธอนก็ได้ไม่เต็มที่ อีกอย่างคือความขี้เกียจและข้ออ้างต่างๆนานา

พยายามซ้อมให้ได้เวลาที่ดีที่สุด ข้อแตกต่างระหว่างวิ่งฮาล์ฟกับฟูลมาราธอนคือ ตัวเราต้องพยายามเร่งความเร็วในการวิ่งสำหรับระยะฮาล์ฟมาราธอนมากกว่าระยะฟูล เพราะว่าเขาจำกัดเวลาในการวิ่งฮาล์ฟมาราธอนว่าต้องไม่เกิน ๒ ชั่วโมงครึ่ง ถ้าเกินกว่านี้ก็จะไม่มีการจับเวลาหรือออกใบประกาศนียบัตรให้

ก่อนแข่งขันซ้อมทำเวลาได้ดีที่สุดอยู่ที่ ๒ ชั่วโมง ๒๐ นาที ก่อนวันแข่งฝนตกลงมาตลอดทั้งคืน แต่พอวันแข่งจริงซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ ปกติหลายปีที่อยู่ในญี่ปุ่น ช่วงนั้นเป็นหน้าหนาว อุณหภูมิอยู่ราวๆ ๑๐-๑๕ องศาเซลเซียส แต่สำหรับวันที่ ๕ ธันวาคมปี ๒๕๔๗ เป็นปีที่ผิดปกติมาก เพราะอุณหภูมิขึ้นไปถึง ๒๔ องศาเซลเซียส อากาศร้อนพอๆกับฤดูร้อนในญี่ปุ่นช่วงเดือนกรกฎาคมเลย แดดดี

พอออกตัวก็เริ่มวิ่งตามจังหวะความเร็วที่ซ้อมมา ผ่านระยะ ๓ กิโลเมตรแรกทำความเร็วได้ตามที่วางไว้ ผ่านระยะ ๑๐ กิโลเมตรด้วยเวลา ๕๕ นาทีถือว่าไม่เลวร้ายนัก แต่พอวิ่งขึ้นเนินแล้วก็ลงเนิน...อันนี้ต้องออกแรงต้านมากๆ หน้าแข้งต้องออกแรงมาก ผลลัพธ์คือพอผ่านระยะ ๑๓ กิโลเมตรไปแล้วแรงตกวูบทันที วิ่งไปได้ไม่นานก็เกิดความคิดว่าเมื่อยมาก อยากจะเดิน เพียงแค่ความคิดแบบนี้เกิดขึ้นมา เท้าเริ่มมีอาการล้า น่องเมื่อยขึ้นมาทันที สุดท้ายก็ตัดสินใจเดิน ก่อนจะพยายามวิ่งต่อ

พอถึงระยะ ๑๖ กิโลเมตรไปแล้ว คราวนี้เหมือนถอดใจ เริ่มเดินมากกว่าวิ่ง มีอาการล้ามากๆ พอจะพยายาม้เร่งความเร็วเพื่อวิ่งต่อ ต้นขาก็เริ่มมีอาการเป็นตะคริว นี่เป็นตะคริวครั้งแรกตั้งแต่เคยวิ่งมา ปวดต้นขามากจนทนไม่ไหว เริ่มทำการยืดกล้ามเนื้อให้อาการตะคริวหายไป พออาการตะคริวหายไปก็เริ่มเดินเร็วๆแทน จนเหลือระยะ ๒ กิโลเมตรสุดท้ายพยายามเร่งความเร็วขึ้นมา ปรากฏว่าไม่สำเร็จเพราะตะคริวเล่นงานอีก คราวนี้ต้องทำใจเดินจนอาการดีขึ้นแล้วก็วิ่งช้าๆสลับกับเดิน

จนกระทั่งถึงระยะ ๗๐๐ เมตรสุดท้าย กัดฟันวิ่งแบบแรงจะหมดแล้ววิ่งจนกว่าจะถึงเส้นชัย พอถึงเส้นชัยอาการตะคริวที่ขาปวดมากจนจะล้มให้ได้ ทำเวลาได้ ๒ ชั่วโมง ๒๐ นาที ไม่ได้ My best time แต่ก็ต้องทำใจเพราะสภาพร่างกายไม่ฟิตดีพอ แวะไปให้เต็นท์บริการทำการนวดร่างกาย เดินกะเผลกๆเพราะตะคริวเล่นงานที่ขา เจ้าหน้าที่เขาทำการนวดบริเวณที่ปวดจนอาการดีขึ้น

ในใจรู้สึกอย่างหนึ่งว่าคงมีนัดล้างตาสำหรับระยะฮาล์ฟมาราธอน




 

Create Date : 18 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 18 พฤษภาคม 2550 19:31:10 น.
Counter : 763 Pageviews.  

ประสบการณ์จากมาราธอน (ตอนที่ ๕)

ก่อนวันแข่งขันหนึ่งวัน เกิดมีฝนตกก่อนจะมีหิมะตกแล้วทุกอย่างก็หยุดในตอนบ่ายวันเสาร์ ตอนบ่ายวันเสาร์ผมไปลงทะเบียนและรับชิพที่ใช้ผูกกับเชือกผูกร้องเท้าที่ใช้ในการบันทึกผลการแข่งขันที่สนามแข่งขัน เนื่องจากจำนวนคนเข้าแข่งขันมีจำนวนมาก ถ้าทำการลงทะเบียนวันแข่งจะวุ่นวายมาก เขาจึงให้นักวิ่งทะยอยมาลงทะเบียนก่อนวันแข่งจริง

ตอนไปลงทะเบียนได้ฟังวิทยากรบนเวทีเขาแนะนำเทคนิคการวิ่งมาราธอน เขาแนะนำว่าข้อดีของกล้วยหอมอยู่ตรงที่ทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วจากการเหน็ดเหนื่อยระหว่างวิ่ง ตอนแรกยังมองว่ากล้วยไม่เหมาะทำให้จุกในระหว่างวิ่ง

ก่อนวันแข่ง ตื่นเต้น แต่ก่อนนอนสะกดจิตตัวเองว่าจะวิ่งให้ได้ภายในเวลา ๔ ชั่วโมง ๕๗ นาที เป็นการทดสอบดูว่าพลังจิตที่ส่งออกมาจะมีผลทำให้ความมุ่งมั่นที่ตั้งใจไว้เป็นจริงไหม?

อากาศเช้าวันแข่งก่อนออกจากบ้านมีหมอกบางๆ อากาศเย็นๆ มีนักวิ่งจำนวนมากเดินทางไปสถานีที่เป็นสถานีที่ใกล้ที่สุดของจุดปล่อยตัว ที่สถานีเต็มไปด้วยนักวิ่งที่ลงรถไฟ แต่ต้องยอมรับในการจัดระบบความเป็นระเบียบเรียบร้อยเขาทำได้ดี ไม่มีการเบียดเสียดผลักกันไปมา บรรยากาศเหมือนงานเทศกาลในไทยแต่ไม่มีใครผลักใคร ทุกคนให้ความร่วมมือในการค่อยๆขยับ ไม่มีใครแซงใคร

ที่สถานีรถไฟมีบริการรถเมล์ฟรีที่คอยรับนักวิ่งไปจุดปล่อยตัวที่ห่างออกไปประมาณ ๑๕ นาที เนื่องจากนักวิ่งมีจำนวนมาก..ทางผู้จัดจำเป็นต้องค่อยๆทะยอยปล่อยตัวนักวิ่งตามหมายเลขนักวิ่ง โดยนักวิ่งรับเชิญหรือนักวิ่งที่เป็นนักวิ่งอันดับต้นๆของประเทศจะถูกปล่อยตัวก่อน ทางผู้จัดมีการจัดเตรียมห้องน้ำเคลื่อนที่จำนวนมาก แต่กว่าจะได้ใช้บริการเข้าคิวรอนานทีเดียว มีหน่วยรับฝากของที่เขามีเบอร์ให้นักวิ่งเก็บเอาไว้เวลามาแลกของ...ในญี่ปุ่นค่อนข้างไว้วางใจได้ในการฝากของเอาไว้

ผมได้เบอร์นักวิ่ง ๑๒๑๔๐ ซึ่งกว่าจะได้รับการปล่อยตัวก็ภายหลังจากนักวิ่งกลุ่มแรกวิ่งไปแล้ว ๑๕ นาที ระบบการจับเวลาของการแข่งขันมาราธอน เขาจะจับเวลาเน็ทโดยเริ่มนับจากตอนที่ชิพที่เราผูกเอาไว้กับเชือกผูกรองเท้าผ่านเซ็นเซอร์จนกระทั่งชิพผ่านจุดเส้นชัย

ออกตัวแบบสบายๆ เส้นทางวิ่งมาราธอนเขาให้นักวิ่งวิ่งตามลู่ขนาด ๖ เมตรเลียบแม่น้ำอารา (荒川) จากเขตคิตะในโตเกียวไปถึงเขตชายกรุงโตเกียวที่ต่อกับจังหวัดชิบะแล้ววิ่งย้อนกลับมารวมระยะทาง ๔๒.๑๙๕ กิโลเมตร ระหว่างทางทุกๆ ๓ กิโลเมตรมีบริการขนมปัง กล้วยหอมเครื่องดื่มเกลือแร่ น้ำดื่ม ให้แก่นักวิ่ง เขาเกณฑ์ลูกเสือมาให้บริการเครื่องดื่มและของกินแค่นักวิ่ง ระหว่างทางมีการจ้างทีมตีกลองไทโกะมาตีกลองเป็นระยะๆระหว่างเส้นทางที่วิ่ง ระหว่างทางวิ่งมีสุขาเคลื่อนที่ที่เขาจัดไว้เป็นระยะๆ

อากาศวันนั้นตอนสายๆ สบายๆ อุณหภูมิจากกรมอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่นมีการพยากรณ์ว่าอยู่ที่ ๑๕ องศาเซลเซียส ซึ่งสบายๆเหมาะกับการวิ่งมาราธอนไม่เหนื่อยมาก เหงื่อซึมๆ

ระหว่างที่วิ่งในใจจดจ่ออยู่ที่เวลาที่ต้องการวิ่งให้ได้ในการแข่งขันวันนี้ภายใน ๔ ชั่วโมง ๕๗ นาที ดูเหมือนมีแรงวิ่งแบบสบายๆ แซงคนที่วิ่งอยู่ข้างหน้าได้สบายๆ ทำความเร็วได้ดีช่วง ๑๐ กิโลเมตรแรก ทำเวลาได้ต่ำกว่า ๑ ชั่วโมง

ในระหว่างที่วิ่งทำเวลาได้ดีอยู่ระยะ ๑๕ กิโลเมตร..แต่พอวิ่งที่ระยะ ๑๗ กิโลเมตรอยู่ดีๆก็เกิดอาการแรงตกดื้อๆ คนที่วิ่งตามหลังเริ่มวิ่งแซงผ่านเราไปทีละคนๆ เริ่มใจเสียว่านี่ยังวิ่งไม่ถึงครึ่งทางแล้วแรงตก เกิดอาการเมื่อยขาขึ้นเรื่อยๆ กลัวว่ากำลังจะไม่พอวิ่งครบระยะ ๔๒ กิโลเมตร

พยายามวิ่งระยะ ๒๐ กิโลเมตรภายใน ๒ ชั่วโมง แต่ไม่สำเร็จ เกินมาราวๆ ๕ นาที เริ่มปวดขามากขึ้นเรื่อยๆ จนมีความรู้สึกว่าถ้าขืนวิ่งในสภาพนี้ต่อไปอาจจะไปไม่ถึงเส้นชัย น่าจะยอมเสียเวลาหยุดยืดกล้ามเนื้อสักพักดีกว่า
หลังจากวิ่งผ่านจุดวกกลับซึ่งเป็นเครื่องหมายว่าวิ่งมาได้ครึ่งทางแล้ว พอวิ่งไปถึงระยะ ๒๒ กิโลเมตรก็หยุดยืดกล้ามเนื้อจนอาการดีขึ้น ก็เริ่มออกวิ่งใหม่

ในใจบอกกับตัวเองว่าที่ผ่านมาเคยวิ่งได้แค่ ๒๕ กิโลเมตร วันนี้จะลองดูว่าจะวิ่งได้ไกลขนาดไหน ลองดูว่าจะวิ่งถึงระยะ ๓๐ กิโลเมตรไหมจะลองไม่หยุดเดินจนกว่าจะวิ่งไม่ไหว

ทำความเร็วช่วงนั้นค่อนข้างแย่ ตกประมาณ ๘ นาทีต่อกิโลเมตร บอกกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าจะพยายามวิ่งให้ได้ภายใน ๕ ชั่วโมง จากอาการปวดกล้ามเนื้อที่เกิดจากการวิ่ง...วิ่งต่อเนื่องจนอาการปวดกล้ามเนื้อเริ่มคลายไป
แล้วอยู่ๆก็เริ่มทำเวลาได้ดีขึ้น ลดจากกิโลเมตรละ ๘ นาทีเป็นวิ่งได้ภายใน ๗ นาทีต่อกิโลเมตร

จากระยะ ๒๕ กิโลเมตร ผมยังคงวิ่งต่อเนื่องโดยเคยไม่หยุดเดิน ลองดูว่าจะวิ่งต่อได้ถึงกี่กิโลเมตร ปรากฏว่ากำลังขายังคงวิ่งต่อเนื่องได้ ผ่านระยะ ๒๗ กิโลเมตร ๒๘ กิโลเมตร คราวนี้เลยลองดูว่าจะผ่านระยะ ๓๐ กิโลเมตรไหวไหม? ปรากฏว่าผ่านระยะ ๓๐ กิโลเมตรโดยใช้เวลาน้อยกว่า ๓ ชั่วโมง ๑๕ นาที ซึ่งตัวผมเองก็ตกใจ เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะทำเวลาขนาดนี้ได้ ที่ผ่านมาตอนซ้อมไม่เคยทำเวลาได้ขนาดนี้

บอกกับตัวเองว่าจะไม่หยุดวิ่งจนกว่าจะถึงระยะ ๓๒ กิโลเมตร เพราะที่ระยะ ๓๒ กิโลเมตรมีไอศครีมให้นักวิ่งรออยู่ ระหว่างทางที่วิ่งมาแวะทานกล้วยหอม ขนมปัง และดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ ตามจุดให้บริการน้ำและเครื่องดื่มต่างๆ เห็นได้ชัดว่าการวิ่งโดยมีเครื่องดื่มเกลือแร่ช่วยทำให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น

ที่จุด ๓๒ กิโลเมตร...มีไอศครีมรสเชอร์เบทบริการนักวิ่ง รสชาติไอศครีมวันนั้นเป็นไอศครีมที่อร่อยที่สุดตั้งแต่เคยกินมา

จากระยะ ๓๒ กิโลเมตร ผมยังคงวิ่งต่อเนื่อง วิ่งไปก็สงสัยว่าวันนี้ไปเอาแรงที่ไหนมา วิ่งเอาๆโดยไม่ยอมหยุด วิ่งจากอาการปวดขาจนหายปวด ผ่านระยะ ๓๕ กิโลเมตร เห็นอาคารสูงฝั่งจังหวัดไซตาม่าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับโตเกียวโดยมีแม่น้ำอาราเป็นตัวแบ่งแยกเขตเป็นตัวบอกว่าอีกไม่นานก็จะถึงเส้นชัยแล้ว

ระยะทางที่เหลือเริ่มเหลือน้อยลงไปเรื่อยๆ ดูจากเวลาและความเร็วที่ใช้ในการวิ่ง คาดการณ์ว่าถ้ายังรักษาความเร็วในการวิ่งแบบนี้น่าจะสามารถวิ่งถึงเส้นชัยภายในเวลา ๔ ชั่วโมง ๕๗ นาทีสำเร็จ แต่จะประมาทไม่ได้ เพราะระหว่างที่วิ่งอาจจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ อาจจะบาดเจ็บขึ้นมาก็ได้

พอวิ่งผ่านระยะ ๔๐ กิโลเมตรค่อนข้างมั่นใจว่าคงไปถึงเส้นชัยตามเวลาที่เราตั้งใจไว้สำเร็จ ตอนนั้นเริ่มเร่งความเร็วฝีเท้าขึ้น พอเหลือระยะอีก ๕๐๐ เมตรสุดท้ายผมเร่งความเร็วขึ้น พอวิ่งผ่านจุดปล่อยตัวไม่นานก็เห็นบรรยากาศเส้นทางเข้าสู่เส้นชัย เหลือระยะทางไม่ถึง ๑๐๐ เมตร ผมตัดสินใจวิ่งเต็มฝีเท้าราวกับวิ่งแข่งระยะ ๑๐๐ เมตรเพื่อให้ได้เวลาที่ดีที่สุดในการแข่งขันฟูลมาราธอนครั้งแรกในชีวิต ตกใจตัวเอง สงสัยว่าเราไปเอาแรงมาจากไหน วิ่งมาตั้ง ๔๒ กิโลเมตรแล้วแต่ยังมีแรงเร่งระยะ ๕๐ เมตรสุดท้ายได้โดยแรงไม่ตกเลย

เสียงชิพที่ผูกไว้กับเชือกผูกรองเท้าส่งเสียงวี๊ดยาวๆเมื่อข้อเท้าเราวิ่งผ่านเซ็นเซอร์ที่ซ่อนอยู่ใต้ไม้กระดาน การแข่งขันฟูลมาราธอนของผมเสร็จสิ้นลงแล้ว ผมกดนาฬิกาจับเวลาที่ข้อมือ...ผมทำMy best time สำเร็จ ผมทำเวลาได้ ๔ ชั่วโมง ๕๑ นาที ดีกว่าเวลาซ้อมร่วม ๑ ชั่วโมง เป็นเรื่องเหลื่อเชื่อ แต่ยอมรับแล้วว่าพลังจิตใต้สำนึกมีจริงและมีพลังสร้างเรื่องปาฏิหาริย์แบบนี้ขึ้นมาได้จริง

พอหยุดวิ่ง...ปรากฏว่าปวดขาราวกับขาจะหลุดออกมา นิ้วห้อเลือด ไปรับบริการนวดคลายกล้ามเนื้อที่ทางผู้จัดเขาจัดให้บริการฟรีแก่นักวิ่งทุกคน หลังนวดแล้วอาการดีขึ้น แต่ก็เดินกะเผลกๆอยู่หลายวัน




 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2550 22:48:49 น.
Counter : 547 Pageviews.  

ประสบการณ์จากมาราธอน (ตอนที่ ๔)

หลังจากแข่งมาราธอนครั้งแรกเรียบร้อยแล้ว ตอนนั้นก็มาคิดว่าจะแข่งระยะไหนต่อไป ความจริงอยากจะวิ่งระยะฮาล์ฟมาราธอนก่อน แต่ปรากฏว่ามีนักเรียนที่ผมสอนภาษาไทยวัย ๖๐ กว่าที่ชอบแข่งมาราธอน สุขภาพของซุปเปอร์คุณลุงรายนี้แข็งแรงมาก แกแข่งมาราธอนปีละ ๒-๓ รายการ พอแกทราบว่าเราสนใจการวิ่งมาราธอน...แกเอาใบสมัครแข่งโตเกียวอารากาว่ามาราธอนมาให้ ซึ่งรายการนี้ไม่มีฮาล์ฟมาราธอน มีแต่ฟูลมาราธอนและระยะ ๕ กิโลเมตร รายการโตเกียวอารากาว่ามาราธอนเป็นรายการแข่งขันรายการใหญ่แม้จะไม่ใช่รายการอินเตอร์มาราธอนก็ตามแต่ผู้เข้าแข่งขันสูงถึง ๑๔,๐๐๐ คน

ตอนที่ได้รับใบสมัครมา...ไม่แน่ใจ..ไม่รับปากลูกศิษย์ภาษาไทยรายนี้ว่าจะลงแข่งไหม? เพราะรู้สึกว่ามักมีปัญหาปวดหัวเข่าเวลาวิ่ง กลัวว่าถ้าวิ่งระยะไกลๆจะมีปัญหา เลยบอกคุณลุงรายนี้ไปว่า ถ้าไม่มีปัญหาเจ็บหัวเข่าอาจจะสมัครเข้าแข่งขัน

ช่วงนั้นกลับมาเมืองไทยช่วงปลายปี มาเจอสภาพอากาศในไทยที่ร้อนมากกว่าในญี่ปุ่น ควันพิษจากท่อไอเสีย เลยสงสัยว่าถ้าซ้อมวิ่งในสภาพแบบนี้เราจะซ้อมได้ดีหรือ? เลยตัดสินใจว่าน่าจะลองแข่งฟูลมาราธอนที่ญี่ปุ่น รายการโตเกียวอารากาว่ามาราธอน

มีโอกาสได้คุยกับเพื่อนที่เป็นทันตแพทย์ เธอแนะนำให้ลองให้เปลี่ยนรองเท้าวิ่งดูเพราะสามีเธอก็มีปัญหาปวดหัวเข่าในขณะวิ่งจนนึกว่าต้องผ่าตัด แต่อาการปวดเข่าดีขึ้นภายหลังเปลี่ยนรองเท้า ผมลงทุนซื้่อรองเท้าวิ่งที่ดูดซับแรงกระแทกคู่ใหม่

พอกลับไปญี่ปุ่นก็สมัครเข้าแข่งขันระยะฟูลมาราธอน ในใบสมัครเขาให้กรอกว่าคาดว่าจะใช้เวลาในการวิ่งระยะฟูลมาราธอนกี่ชั่วโมง ผมไม่เคยวิ่งมาก่อนแต่กรอกไปว่าภายใน ๕ ชั่วโมง ผมส่งใบสมัครก่อนที่เขาจะปิดรับสมัครไม่กี่วัน

พอเริ่มซ้อม...เราถึงเข้าใจว่าไม่หมูเลย กว่าจะวิ่งครบระยะฮาล์ฟมาราธอน...บ่อยครั้งที่เราถอดใจในระหว่างซ้อม มันเหนื่อยมาก พอเหนื่อยมันถอดใจได้ไม่ยาก พอวิ่งครบระยะฮาล์ฟก็พยายามเพิ่มระยะเป็น ๒๕ กิโลเมตร รองเท้าที่ซื้อมาใหม่ไม่ก่อปัญหาปวดหัวเข่าเหมือนคู่เก่า

พยายามวิ่งให้ได้ระยะทางมากที่สุด แต่พบว่าเราไม่เคยวิ่งได้เกินกว่า ๒๕ กิโลเมตร พอเกินก็จะเกิดอาการหมดแรง เราเดินแต่ก็ก็เดินได้ไม่เกิน ๓๐ กิโลเมตรก็ยอมแพ้ การซ้อมวิ่งเพื่อให้กำลังขาวิ่งถึง ๔๒ กิโลเมตรเป็นการซ้อมที่ทรหดมาก บ่อยครั้งที่ซ้อมๆไปก็เกิดอาการถอดใจง่ายๆ เพราะมันเหนื่อย พอเหนื่อยเดี๋ยวก็มีข้ออ้างมากมายมาชักจูงให้หยุดวิ่ง ดังนั้นการวิ่งมาราธอนเป็นการฝึกตนเองเพื่อเอาชนะใจตนเองจริงๆ

พยายามวิ่งให้ครบระยะ ๔๒.๑๙๕ กิโลเมตร พบว่าวิ่งได้ระยะทางประมาณ ๒๕ กิโลเมตรที่เหลือเดินจนครบระยะ ซึ่งกินเวลาเกือบ ๖ ชั่วโมง สงสัยว่าตัวเองจะวิ่งได้อย่างเวลาคาดการณ์ที่เขียนในใบสมัครได้จริงหรือ? ดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อ..ฝันเฟื่องมากไป

ก่อนการแข่งขัน ๑ อาทิตย์ เปิดทีวีดูการถ่ายทอดสดการแข่งขันมาราธอนหญิงอินเตอร์เนชั่นแนลนาโงย่า ในการแข่งขันนั้นมีนักวิ่งรายหนึ่้งที่ชื่อ โทซ่า เรโกะ เธอบาดเ้จ็บและหยุดซ้อมมานานมาก ไม่ได้แข่งขันรายการใด ซึ่งตอนนั้นสถานการณ์ึคัดเลือกตัวแทนทีมชาติไปแข่งขันมาราธอนหญิงโอลิมปิกที่เอเธนส์ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าใครอีกคนจะได้รับคัดเลือกไปโอลิมปิกที่เอเธนส์ เพราะอดีตเหรียญทองที่ซิดนีย์อย่าง ทากาฮาชิ นาโอโกะ พลาดได้ที่สองในการแข่งขันโตเกียวอินเตอร์เนชั่นแนลมาราธอน ซึ่งถ้าผู้ชนะจากการแข่งขันนาโงย่าอินเตอร์เนชั่นแนลทำเวลาได้ดีกว่านาโอโกะ...เํธอผู้นั้นก็จะมีสิทธิ์ได้ลุ้นเป็นตัวแทนทีมชาติ สำหรับคนที่เข้าแข่งขันนาโงย่ามาราธอน...ทุกคนต้องการเป็นหนึ่ง เช่นเดียวกับ โทซ่า เรโกะ เพราะนี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเธอแล้ว

ตอนปล่อยตัวออกวิ่ง ทานากะ เมกุมิวิ่งนำอยู่ แต่กลุ่มที่นำมีโทซ่า เรโกะอยู่ด้วย ทานากะยังคงวิ่งนำมาตลอดจนถึงระยะ ๓๒ กิโลเมตรโดยมีโทซ่า เรโกะวิ่งตามมาห่างอยู่ราวๆ ๒๐ เมตร

"ปาฎิหาริย์เกิดขึ้นบนโลกนี้แต่คนส่วนมากไม่เชื่อว่ามันมีจริง" (จากภาพยนตร์เรื่อง ฟอร์เรสกั๊มพ์)

ในระหว่างที่ทานากะกำลังวิ่งนำอยู่ ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นเมื่ออยู่ดีๆโทซ่าก็ค่อยๆเร่งขึ้นมาแล้วค่อยๆแซงทานากะขึ้นมา คนที่ดูการถ่ายทอดวันนั้นคงตะลึง เพราะระยะทางขนาดนั้นและิทิ้งห่างกันขนาดนั้นเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่คนที่วิ่งตามมาจะสามารถแซงนำหน้าและทิ้งห่างไม่น้อยกว่า ๓๐ เมตร โทซ่าเร่งฝีเท้าแล้วมุ่งหน้าเข้าสู่เส้นชัยเพราะนี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเธอที่จะได้ตั๋วไปโอลิมปิกที่เอเธนส์ เธอวิ่งนำเข้าสู่สนามกีัฬาและเข้าถึงเส้นชัยอย่างสง่างามประทับใจคนที่ชมเหตุการณ์การแข่งขันวันนั้น พอถึงเส้นชัยเธอทำเวลาได้ดีกว่านาโอโกะ เธอร้องไห้เมื่อผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์เธอ เธอพูดแต่เพียงว่าเธออยากไปโอลิมปิกที่เอเธนส์ ผลการแข่งขันวันนั้นทำให้เธอได้รับการคัดเลือกเป็นตัวแทนทีมชาติ ถึงแม้กระแสของสังคมญี่ปุ่นจะชื่นชมนาโอโกะและัอยากให้นาโอโกะได้รับการคัดเลือกไปแข่งโอลิมปิกอีกที แต่ผลการแข่งขันนาโงย่าจะทำใ้ห้คณะกรรมการตัดสินหลับหูหลับตาเลือกนาโอโกะแทนโทซ่าค้านสายตาคนดูทั้งประเทศญี่ปุ่นไม่ได้

การได้ดูโทซ่า เรโกะวิ่งนาโงย่าอินเตอร์เนชั่นแนล เกิดแรงบันดาลใจและมองว่าคนเราถ้าเข้าตาจน พยายามอย่างเต็มที่ สุดท้ายปาฏิหาริย์อาจจะเกิดขึ้นในโลกนี้ได้

ก่อนแข่งขัน...มีโอกาสได้อ่านบทความเรื่อง "พลังจิตใต้สำนึก" ซึ่งอธิืบายปรากฏการณ์ที่เราส่งพลังจิตออกไป จดจ่อกับเรื่องๆหนึ่ง เรื่องๆหนึ่งมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นเป็นผลจากพลังที่เราส่งออกไปเรื่อยๆ พลังตัวนี้จะไปเปลี่ยนแปลงมวลสารและพลังในโลกจนเกิดการเปลี่ยนแปลงตามพลังที่เราส่งออกไป

อ่านแล้วอยากทดลองดูว่าถ้าเราสะกดจิตตัวเองให้วิ่งให้ได้ภายในเวลา ๕ ชั่วโมง ตอนแข่งจริงเราจะทำได้จริงไำหม?




 

Create Date : 16 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 16 พฤษภาคม 2550 20:52:43 น.
Counter : 722 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  

ชีวประภา
Location :
พิษณุโลก Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ชีวประภา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.