ชีวิตคือความไม่แน่นอนแต่ในความไม่แน่นอนของชีวิตเรากลับพบความสวยงามของชีวิต
Group Blog
 
All Blogs
 
ละครซีรี่ย์ญี่ปุ่นสะท้อนชีวิตจริงของผู้คน

ตอนที่สถานีทีวีไทยเปลี่ยนผังรายการทีวีโดยจะมีละครซีรี่ย์ญี่ปุ่นมาออกอากาศทุกวันจันทร์-อังคารเวลา ๒๐.๓๐-๒๑.๑๕ น. เขามีการโปรโมทละครเรื่อง "บันทึกน้ำตา ๑ ลิตร" โดยมีคำถามทิ้งท้ายว่า

"ถ้าคุณรู้ว่าจะเหลือเวลาอยู่โลกนี้ไม่นาน ความดีสุดท้ายที่คุณอยากจะทำคืออะไร?"

แล้วก็ถามคนทั่วไปว่าถ้าเป็นตัวเขา เขาจะทำอะไร แต่ละคนก็ต่างมีความคิดหลากหลาย แต่หลายคนจะคล้ายๆกันคือนึกถึงครอบครัว อยากใช้เวลาที่เหลืออยู่กับครอบครัวให้นานที่สุด

ละครซี่รี่ย์ญี่ปุ่นทั่วไปมักจะไม่ยาว ละครญี่ปุ่นมักนำเสนอแค่ ๑๐-๑๒ ตอนก็จบ เขาไม่เน้นขายโฆษณาเอาเป็นเอาตายแบบละครไทย ที่พอกลายเป็นละครยอดฮิต...คนเขียนบทก็ไปเขียนบทเพิ่ม ยืดบทออกไป

ข้อดีของละครญี่ปุ่นที่ผมชอบก็ตรงที่ตัวละครมักเป็นชาวบ้านๆ ตัวเอกไม่จำเป็นต้องร่ำรวยมากจากไหน ไม่จำเป็นต้องเป็นคนหน้าตาดี บทก็สะท้อนแบบชีวิตชาวบ้านๆ ตัวเอกไปไหนมาไหนไม่จำเป็นต้องใช้รถยนต์ราคาแพงๆ เขาก็ไปด้วยรถไฟฟ้า ละครญี่ปุ่นหลายเรื่องไม่จำเป็นต้องจบแบบแฮ็ปปี้เอ็นดิ้ง สงสัยว่า...แล้วในชีวิตของผู้คนจริงๆจำเป็นต้องจบแบบแฮ็ปปี้เอ็นดิ่้งด้วยหรือ? ถ้าเป็นละครไทยขืนไม่จบแบบแฮ็ปปี้เอ็นดิ้งคนดูด่าคนเขียนบท...คนไทยจำนวนมากจึงฝังใจกับละครเพ้อฝัน...แล้ววาดฝันกับชีวิตจริงโดยเอาเนื้อเรื่องที่คุ้นตากับละครเป็นต้นแบบในชีวิตจริง

ละครญี่ปุ่นหลายเรื่องที่เป็นละครยอดฮิต ตอนจบพระเอกกับนางเอกไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันก็เยอะแยะ ตัวอย่างละครที่เรทติ่งที่สูงสุดที่ยังไม่มีละครเรื่องไหนลบเรทติ้งได้ที่ชื่อ "Tokyo Love Story" ของสถานีฟูจิทีวี ที่ออกอากาศในปี 1991 ระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม ในเนื้อเรื่องนางเอกจีบพระเอกก่อน ไม่ว่านางเอกจะรักพระเอกแค่ไหน ทุ่มเทขนาดไหน แต่สุดท้ายพระเอกก็เลือกคนที่พระเอกรัก และนางเอกก็ตัดใจเดินออกจากพระเอก นางเอกไม่สมหวังในรักแต่เธอก็มีความสุขในชีวิตได้ แต่ละครแบบนี้กลายเป็นละครฮิตเพราะนี่คือ เทรนด์ใหม่ของผู้หญิงญี่ปุ่นยุคเศรษฐกิจฟองสบู่แตกที่กล้าบอกรักผู้ชายก่อน

ละครญี่ปุ่นหลายๆเรื่องตัวเอกหน้าตาไม่ได้เรื่อง....แต่นี่ก็ลองมองกลับว่า แล้วพระเอกหรือว่านางเอกในชีวิตจริงของผู้คนจำเป็นต้องหน้าตาดีเสมอไปหรือ? คนไทยเราติดละครไทยกับภาพลักษณ์ว่าตัวเอกต้องหน้าตาดี...จนความเคยชินฝังใจทำให้เราตั้งเป้าหมายว่าพระเอกหรือว่านางเอกในชีวิตจริงก็ต้องหน้าตาดีเหมือนละครที่เราคุ้นตาทางทีวี จนบ่อยครั้งที่ความหน้าตาดีกลายเป็นสัญลักษณ์ของพระเอกหรือนางเอกโดยไม่สนใจว่าพฤติกรรมจะเลวทรามขนาดไหน ขอให้หน้าตาดีใช้ได้

ตัวอย่างเช่น ละคร "สวรรค์เบี่ยง" ที่กลายเป็นละครยอดฮิตเมื่อไม่นาน พระเอกข่มขืนนางเอก...คนดูก็ยอมรับได้เพราะพระเอกหน้าตาหล่อมาก พฤติกรรมเลวๆ หยาบคายแบบนั้น ไม่ควรเป็นเยี่ยงอย่างต่อสังคม และนี่ก็ไม่สมควรกับบทพระเอก...เพราะเด็กๆดูแล้วจะคิดว่าขอให้หล่อ...ในชีวิตจริงก็เป็นพระเอกเสมอ ไม่ว่าจะทำอะไร สังคมก็ยอมรับได้


ผมติดตามดูละครซีรี่ย์ญี่ปุ่นเรื่อง "บันทึกน้ำตา ๑ ลิตร" มาตั้งแต่ตอนแรก มีความรู้สึกว่าละครเรื่องนี้ให้ข้อคิดดีๆแก่คนดู เรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของ อาย่า ขิโต้ นักเรียนมัธยมปลายที่ป่วยด้วยโรคสไปโรซีรีบั่ม ดีเจนเนอเรชั่น ที่สมองซีรีบั่มถูกทำลายไปเรื่อยๆ โรคนี้ไม่มีทางรักษาหาย คนไข้โรคนี้จะค่อยๆสูญเสียความสามารถในการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายไปเรื่อยๆ จะเริ่มเดินลำบาก ตามมาด้วยเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ ไม่สามารถพูดได้เหมือนตอนปกติ

การที่คนไข้รู้ดีอยู่ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้ไม่นาน...เขามีทางเลือกในชีวิตหลายทาง...

บางคนโทษโชคชะตา...ยอมแพ้โชคชะตา....ปล่อยชีวิตที่เหลืออยู่ จมกับความเศร้า ปล่อยให้เวลาที่เหลือน้อยอยู่ผ่านไปอย่างไร้ค่า

บางคนมองว่า...ขอใช้เวลาที่เหลืออยู่อันน้อยนิดอย่างมีค่า ขอให้ทุกวินาทีที่มีเหลืออยู่..ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

บางคน...ขอทำสิ่งที่เขาอยากทำแต่ไม่มีโอกาสได้ทำในช่วงสุดท้ายของชีวิต

บางคน...ขอทำอะไรก็ได้ที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น เพื่อคนที่ตนเองรัก..ก่อนที่เขาจะจากโลกใบนี้ไป

ละคร "บันทึกน้ำตา ๑ ลิตร" พยายามนำเสนอชีวิตของอาย่าที่ป่วยด้วยโรคสไปโรซีรีบั่ม ดีเจนเนอเรชั่น เธอพยายามใช้เวลาที่เหลืออยู่อย่างดีที่สุด ด้วยความรักและความอบอุ่นของครอบครัวทำให้เธอมีกำลังใจต่อสู้กับโรคร้ายนี้อย่างถึงที่สุด

บทสนทนาของตัวละครหลายๆตอนเป็นคำพูดที่น่าประทับใจ หลายครั้งที่ผมพยายามนึกเป็นภาษาญี่ปุ่นซึ่งให้ความซาบซึ้งมากกว่าภาษาไทยที่แปล คงเหมือนคนไทยที่เราสื่อสารกันด้วยภาษาไทยซึ่งมันซาบซึ้งกว่าภาษาอื่น ถ้าคำๆเดียวกันมีการแปลเป็นภาษาอื่น...เราคงไม่ซาบซึ้งเมื่อเทียบกับนึกถึงคำพูดนั้นเป็นภาษาไทย นี่เป็นผลของวัฒนธรรมที่แฝงและสอดแทรกลงไปในคำพูดที่ผู้คนสื่อสารถึงกัน ซึ่งมันสะท้อนถึงความเชื่อ ความนึกคิดของผู้คนในประเทศนั้นๆ

การเคยใช้ชีวิตในญี่ปุ่นนานๆทำให้ผมเข้าใจเหตุผลของความคิดและความเชื่อของคนญี่ปุ่นที่สะท้อนออกมาเป็นคำพูดในละคร ทำไมคนญี่ปุ่นถึงมักจะขอโทษผู้คนอยู่บ่อยๆ ทำไมคนญี่ปุ่นรู้สึกขอบคุณในบุญคุณที่คนอื่นหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้ ทำไมคนญี่ปุ่นจึงสอนให้ทำอะไรด้วยตนเอง...แม้จะเป็นคนพิการ....ทุกคนก็เท่าเทียมกัน...เพราะศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ไม่ต่างกัน

บทสนทนาที่สะท้อนออกมาจากมุมมองของคนพิการที่คนปกติมองข้าม เพราะมองจากมุมมองของคนปกติก็คือ

"ความพิการไม่ได้ทำให้ความสุขในชีวิตของหนูหายไป ความพิการเป็นเพียงแต่รูปแบบของความไม่สะดวกสบายเท่านั้นเอง"

ละคร "บันทึกน้ำตา ๑ ลิตร" ตอนที่ ๘ ที่ออกอากาศคืนวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๑ มีบทสนทนาที่น่าสนใจ ตอนที่อาจารย์หมออาโซ่มาถามคุณหมอนิชิโน่เรื่องงานวิจัยโรคสไปโรซีรีบั่ม ดีเจนเนอเรชั่น อาจารย์หมออาโซ่บอกกับหมอนิชิโน่ว่า

"การที่เราเป็นหมอ เราพยายามช่วยเหลือคนไข้ คอยดูแลคนไข้ เป็นกำลังใจให้คนไข้ และขณะเดียวกันก็กลายเป็นว่าเราได้กำลังใจจากคนไข้เช่นกันโดยที่เราไม่รู้ตัว"

บ่อยครั้งใช่ไหมในชีวิตของเรา....ที่เราคอยเป็นกำลังใจให้ใครบางคน ตอนที่เขาคนนั้นบรรลุในสิ่งที่เขาตั้งใจไว้ เราก็พลอยเบิกบานใจ และได้กำลังใจจากความพยายามและความสำเร็จที่เขาทำลงไป และสิ่งเหล่านั้นก็ผลักดันให้เราพยายามไล่ล่าฝัน..และทำฝันของเราให้เป็นจริงบ้าง เห็นด้วยไหมครับท่านผู้อ่าน?

คนเราเกี่ยวข้องกันไม่ทางตรงก็ทางอ้อม สิ่งที่เราทำในขณะนี้...เราไม่รู้หรอกว่ามันมีผลต่อคนรอบข้างอย่างไร เพียงคำพูดไม่กี่ประโยคที่เราพูดซึ่งเราอาจจะไม่คาดคิดมาก่อนอาจจะทำให้ใครหลายๆคนเขาแปลงคำพูดเหล่านั้นเป็นพลังเอาชนะอุปสรรคที่ยากเย็นได้

ตอนที่อาย่ารู้ตัวว่าเป็นภาระแก่คนอื่น...ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อน เธอรู้สึกผิด อยากขอโทษคนรอบข้าง แต่คุณหมอกลับพูดให้กำลังใจแก่เธอว่า ในชีวิตเธอ...เธอคงสร้างภาระรบกวนให้แก่ผู้คนโดยไม่สิ้นสุด หยุดคิดว่าตัวเองสร้างภาระแก่คนอื่น แต่ให้รู้สึกขอบคุณที่คนอื่นหยิบยื่นความเมตตา และน้ำใจให้เธอดีกว่า

ในสายตาของผู้คนที่มองมาที่อาย่าที่มีร่างกายผิดปกติ...อาจจะแฝงไปด้วยความเหยียดหยาม ดูถูก ช่างเป็นความรู้สึกโหดร้ายต่อจิตใจ แต่ในสายตาที่แฝงไปด้วยความโหดร้ายและเจ็บปวดก็ยังมีสายตาอ่อนโยน แฝงไปด้วยความเมตตา ที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้...

ในโลกนี้ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป อาจจะมีคนเย็นชาอยู่มากมายแต่ในสังคมก็ยังมีคนดีมีน้ำใจอยู่ซึ่งพร้อมที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้ และความช่วยเหลือมีเมตตานี้ก็ทำให้โลกที่เราอยู่น่าอยู่ขึ้น

ละครนอกจากจะให้ความเพลิดเพลินแก่คนดูแล้ว...หลายครั้งที่ละครก็ทำให้คนดูหันกลับมามองดูตัวเอง...แล้วค้นหาตัวเองและเลือกเส้นทางชีวิตที่เหมาะกับตัวเอง...ตัวละครที่โปรดปรานบางบทอาจจะกลายเป็นแบบอย่าง..เป็นแรงบันดาลใจให้เราแสดงบทบาทในชีวิตจริงแบบนั้นต่อไป

โลกนี้เหมือนโรงละครโรงใหญ่...เราทุกคนคือตัวละคร ถึงแม้ว่าชีวิตของผู้คนจะถูกลิขิตเอาไว้ด้วยอะไรหลายๆอย่างที่เราไม่ทราบ หน้าที่ของเราไม่ใช่มัวแต่สงสัยในลิขิตชีวิตที่เราไม่ทราบ แต่หน้าที่ของเรากลับอยู่ตรงที่พยายามเล่นตามบทบาทที่ถูกส่งมาให้เล่นอย่างเต็มที่ต่างหาก..โดยไม่รู้สึกเสียใจเมื่อหันกลับมามองบทบาทที่เราเคยเล่นในอดีต ตรงกันข้าม...ทุกครั้งที่มองย้อนมาที่บทบาทที่เราเคยเล่นมา...เรากลับมองอย่างภาคภูมิใจว่านี่คือความสวยงามของชีวิต สิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาเป็นเหมือนสีสันที่ช่วยแต่งเติมชีวิตให้สมบูรณ์



Create Date : 28 พฤษภาคม 2551
Last Update : 28 พฤษภาคม 2551 2:34:30 น. 14 comments
Counter : 2599 Pageviews.

 
ปกติจะไม่ค่อยอ่านบทความยาวๆ แต่บังเอิญเป็นแฟนซีรีย์ญี่ปุ่นครับ ปกติแล้วเกือบทุกเรื่องของญี่ปุ่นจะแฝงแง่คิด ความลึกซึ้งกินใจที่แทบไม่พบเลยในละครไทย และสั้นๆ กระชับไม่ยืดเยื้อตามที่บอกมาครับ

อ่านเพลินเลยครับ ทั้งที่เขียนยาวขนาดนี้


โดย: คนผ่านทาง IP: 203.144.130.176 วันที่: 28 พฤษภาคม 2551 เวลา:11:38:00 น.  

 
เห็นด้วยทุกคำพูดเลยค่ะ
นี่เป็นส่วนนึงที่ทำให้เราชอบดูซีรีย์ญีป่นมากๆ
ทั้งสมจริง ได้แง่คิด สะท้อนอะไรหลายๆอย่างมาให้เห็น
ยิ่งน้ำตา 1 ลิตรนี่ดูแล้วให้กำลังใจมากๆเลย


โดย: Akaba วันที่: 28 พฤษภาคม 2551 เวลา:11:59:49 น.  

 
รู้สึกดีมากที่มีคนเห็นด้วยกับความคิดเรา เรารู้สึกแย่เวลาเราเล่าให้เพื่อนที่ทำงานฟังว่าดู 1 litre of tear เพราะเป็นหนังดี แต่เขาเหล่านั้นกลับมองเผินๆว่าเป็นแค่หนังเศร้าเรื่องหนึ่ง ดาราหญิงก็เหมือนนางเอก AV แต่หาได้ดูถึงเนื้อหาของหนัง บทละครที่ถูกสรรสร้างมาเป็นอย่างดี แต่ละประโยคที่ตัวละครพูดออกมาทำให้เก็บมาคิดได้หลายแนวทาง เขาเหล่านั้นก็คงเหมือนคนไทยทั่วไปที่ชื่นชอบสวรรค์เบี่ยง มองแต่ว่าพระเอกนางเอกหน้าตาดี แต่เนื้อหาจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ตอนนี้ได้ยินแม้แต่เด็กตัวเล้กพูดว่า หนูอยากถูกข่มขืน จะได้แต่งงาน แล้วอย่างนี้คนเขียนบทละครยังออกมาให้สัมภาษณ์อย่างหน้าตาเฉยว่า เด็กเขาควรจะคิดได้ว่าควรหรือไม่ควร แม้แต่หนังจักรๆวงศ์ตอนนี้ก็ควรจัดเรทติ้งให้เด็กอายุเกิน 13 ที่สามารถดูได้แล้วเพราะเนื้อหาไม่เหมาะสมเหลือเกิน ช่างแตกต่างจากสมัยที่เรายังเป็นเด็กนัก ที่สอนให้รู้จักสิ่งที่ดีและไม่ดี มันคงจะเหนื่อยหากจะคาดหวังจากคนอื่นในสังคม เราแค่ดูแลคนในครอบครัวของเราให้ดีก็เพียงพอแล้วแหละ ใช่ไหมคะ


โดย: ถั่วต้มน้ำตาล IP: 202.12.97.117 วันที่: 28 พฤษภาคม 2551 เวลา:13:56:30 น.  

 
แวะมาเยี่ยมเยียนค่ะ
คุณเงี๊ยบ สบายดีนะคะ
ช่วงนี้ "งานเข้า" ค่ะ ...ไม่ค่อยได้แวะมาทักทาย
พี่รัตน์ยังรอชมภาพ "ดุษฎีบัณฑิต" ที่ญี่ปุ่นอยู่นะคะ
คิดึงค่ะ...ดูแลสุขภาพนะคะ


โดย: รัตตมณิ (kulratt ) วันที่: 28 พฤษภาคม 2551 เวลา:19:11:05 น.  

 
เห็นด้วยค่ะ

ดูเรื่องนี้แล้วได้ข้อคิดดีๆเยอะ

ปล.แอบเสียน้ำตาไปแล้ว 1 ลิตร อิอิ


โดย: โยเกิตมะนาว วันที่: 28 พฤษภาคม 2551 เวลา:20:14:29 น.  

 
กำลังใจ คือพลังที่ทำให้เราอดทนได้ รอคอยได้ และ ต่อชีวิตได้


โดย: ครูแมว IP: 125.25.190.75 วันที่: 29 พฤษภาคม 2551 เวลา:22:14:14 น.  

 
ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นครับ

ความชื่นชอบของผู้คนมีความแตกต่างกัน...เราบังคับผู้คนให้คิดเหมือนเราไม่ได้ การตัดสินจากเพียงชื่อละครหรือว่าไตเติ้ลคร่าวๆทำให้หลายคนพลาดโอกาสที่จะสัมผัสถึงเนื้อแท้ของละคร

หลายครั้งตอนที่ผมดูละครในญี่ปุ่น...ผมคิดไปก่อนว่าละครไม่น่าสนุก แต่พอดูไป..ผมพบว่าสีสันของละครมีอยู่ตอนท้ายที่คนเขียนบทเขาหักมุมได้สวยมาก และทิ้งข้อคิดดีๆแก่คนดู ให้เข้าใจว่าคำว่า "ครอบครัว" หมายความว่าอย่างไร?


โดย: ชีวประภา วันที่: 1 มิถุนายน 2551 เวลา:20:24:55 น.  

 
แวะมาเยี่ยมเยียนค่ะ
สบายดีนะคะ


โดย: รัตตมณี (kulratt ) วันที่: 3 มิถุนายน 2551 เวลา:20:33:39 น.  

 
ดูแล้ว ทำให้มีกำลังใจที่จะสู้ และกล้าเผชิญกับสิ่งที่เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เพราะว่ารู้ว่าคนในครอบครัวเราจะยืนเคียงข้างเราเสมอ


โดย: ไอ่ไอซ์ IP: 58.8.104.157 วันที่: 7 มิถุนายน 2551 เวลา:15:35:28 น.  

 
วันจันทร์ที่ ๙ มิถุนายนนี้ ละคร "บันทึกน้ำตา ๑ ลิตร" ก็ถึงตอนอวสานแล้วครับ

ตอนจบละครจะหักมุมจบอย่างไรน่าติดตามอยู่เหมือนกัน? แต่ทุกครั้งที่ติดตาม..ผมพบว่า..คำพูดของตัวละครให้ข้อคิดดีๆแก่คนดูเกือบจะทุกตอน ให้มีชีวิตทุกวินาทีอย่างมีความหวัง อยู่อย่างไรให้มีความสุข


โดย: ชีวประภา IP: 58.9.120.171 วันที่: 8 มิถุนายน 2551 เวลา:1:05:51 น.  

 
ไม่ได้ชมละครเลยค่ะ
เป็นช่วงที่ไปสัมมนาต่างจังหวัดค่ะ
คุณเงี๊ยบเก็บข้อมูลดีๆมาฝากด้วยนะคะ
แล้วจะแวะมาอ่าน ...ขอบคุณค่ะ


โดย: รัตตมณี (kulratt ) วันที่: 15 มิถุนายน 2551 เวลา:14:52:04 น.  

 
ขอบคุณพี่รัตน์ที่ติดตามอ่านบล็อกนี้อยู่เป็นประจำ

ตอนจบของละคร...ตัวเอกเสียชีวิตแต่คนเขียนบทไม่ได้ทำให้ฉากในละครดูสะเทือนใจตอนที่ตัวเอกของเรื่องตายจากไป

ชอบประโยคที่คุณหมอมิสุโน่พูดกับอาโซ่ว่า

"ผมเลือกเรียนด้านประสาทวิทยา เพราะเป็นวิชาแขนงใหม่ และมีคนเป็นโรคใหม่ๆที่ยังไม่สามารถรักษาได้ ผมมีความฝันทีจะวิจัยและหาวิธีรักษาคนไข้เหล่านั้น....แต่จนถึงตอนนี้แม้ว่าวิทยาการจะก้าวหน้าไปมาก แต่วงการแพทย์ก็ยังไม่สามารถหาทางรักษาโรคร้ายเหล่านั้นได้

วันหนึ่งคนไข้มานั่งต่อหน้าผม แล้วบอกกับผมว่า หมออย่าท้อนะ เรามาช่วยกันหาทางคิดค้นพัฒนาหาทางรักษาโรคนี้กัน ในเมื่อคนไข้ยังไม่ท้อ แล้วหมอจะท้อได้อย่างไร บางทีอาจจะใช้เวลาอีกหลายปีพัฒนาต่อไปเพื่อหาทางรักษาคนไข้เหล่านั้นให้หายป่วยจากโรคร้ายเหล่านั้น..."


โดย: ชีวประภา IP: 203.148.162.195 วันที่: 19 มิถุนายน 2551 เวลา:18:47:54 น.  

 
สวัสดีค่ะ ดร.ชีวประภา
พี่รัตน์เข้าใจว่าตอนนี้ ดร.กำลังทำวิจัยบางอย่างที่ช่วยเหลือคนที่ "ตกทุกข์ได้ยาก" อยู่เช่นกัน
ขออานิสงฆ์ของความดี ส่งผลให้ ดร. ประสบผลสำเร็จ
นะคะ
ชื่นชมค่ะ


โดย: รัตตมณี (kulratt ) วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:20:47:33 น.  

 
แวะมาเยี่ยมยามเย็นค่ะ


โดย: รัตตมณี (kulratt ) วันที่: 1 กรกฎาคม 2551 เวลา:17:46:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ชีวประภา
Location :
พิษณุโลก Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ชีวประภา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.