|
ละครซีรี่ย์ญี่ปุ่นสะท้อนชีวิตจริงของผู้คน
ตอนที่สถานีทีวีไทยเปลี่ยนผังรายการทีวีโดยจะมีละครซีรี่ย์ญี่ปุ่นมาออกอากาศทุกวันจันทร์-อังคารเวลา ๒๐.๓๐-๒๑.๑๕ น. เขามีการโปรโมทละครเรื่อง "บันทึกน้ำตา ๑ ลิตร" โดยมีคำถามทิ้งท้ายว่า
"ถ้าคุณรู้ว่าจะเหลือเวลาอยู่โลกนี้ไม่นาน ความดีสุดท้ายที่คุณอยากจะทำคืออะไร?"
แล้วก็ถามคนทั่วไปว่าถ้าเป็นตัวเขา เขาจะทำอะไร แต่ละคนก็ต่างมีความคิดหลากหลาย แต่หลายคนจะคล้ายๆกันคือนึกถึงครอบครัว อยากใช้เวลาที่เหลืออยู่กับครอบครัวให้นานที่สุด
ละครซี่รี่ย์ญี่ปุ่นทั่วไปมักจะไม่ยาว ละครญี่ปุ่นมักนำเสนอแค่ ๑๐-๑๒ ตอนก็จบ เขาไม่เน้นขายโฆษณาเอาเป็นเอาตายแบบละครไทย ที่พอกลายเป็นละครยอดฮิต...คนเขียนบทก็ไปเขียนบทเพิ่ม ยืดบทออกไป
ข้อดีของละครญี่ปุ่นที่ผมชอบก็ตรงที่ตัวละครมักเป็นชาวบ้านๆ ตัวเอกไม่จำเป็นต้องร่ำรวยมากจากไหน ไม่จำเป็นต้องเป็นคนหน้าตาดี บทก็สะท้อนแบบชีวิตชาวบ้านๆ ตัวเอกไปไหนมาไหนไม่จำเป็นต้องใช้รถยนต์ราคาแพงๆ เขาก็ไปด้วยรถไฟฟ้า ละครญี่ปุ่นหลายเรื่องไม่จำเป็นต้องจบแบบแฮ็ปปี้เอ็นดิ้ง สงสัยว่า...แล้วในชีวิตของผู้คนจริงๆจำเป็นต้องจบแบบแฮ็ปปี้เอ็นดิ่้งด้วยหรือ? ถ้าเป็นละครไทยขืนไม่จบแบบแฮ็ปปี้เอ็นดิ้งคนดูด่าคนเขียนบท...คนไทยจำนวนมากจึงฝังใจกับละครเพ้อฝัน...แล้ววาดฝันกับชีวิตจริงโดยเอาเนื้อเรื่องที่คุ้นตากับละครเป็นต้นแบบในชีวิตจริง
ละครญี่ปุ่นหลายเรื่องที่เป็นละครยอดฮิต ตอนจบพระเอกกับนางเอกไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันก็เยอะแยะ ตัวอย่างละครที่เรทติ่งที่สูงสุดที่ยังไม่มีละครเรื่องไหนลบเรทติ้งได้ที่ชื่อ "Tokyo Love Story" ของสถานีฟูจิทีวี ที่ออกอากาศในปี 1991 ระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม ในเนื้อเรื่องนางเอกจีบพระเอกก่อน ไม่ว่านางเอกจะรักพระเอกแค่ไหน ทุ่มเทขนาดไหน แต่สุดท้ายพระเอกก็เลือกคนที่พระเอกรัก และนางเอกก็ตัดใจเดินออกจากพระเอก นางเอกไม่สมหวังในรักแต่เธอก็มีความสุขในชีวิตได้ แต่ละครแบบนี้กลายเป็นละครฮิตเพราะนี่คือ เทรนด์ใหม่ของผู้หญิงญี่ปุ่นยุคเศรษฐกิจฟองสบู่แตกที่กล้าบอกรักผู้ชายก่อน
ละครญี่ปุ่นหลายๆเรื่องตัวเอกหน้าตาไม่ได้เรื่อง....แต่นี่ก็ลองมองกลับว่า แล้วพระเอกหรือว่านางเอกในชีวิตจริงของผู้คนจำเป็นต้องหน้าตาดีเสมอไปหรือ? คนไทยเราติดละครไทยกับภาพลักษณ์ว่าตัวเอกต้องหน้าตาดี...จนความเคยชินฝังใจทำให้เราตั้งเป้าหมายว่าพระเอกหรือว่านางเอกในชีวิตจริงก็ต้องหน้าตาดีเหมือนละครที่เราคุ้นตาทางทีวี จนบ่อยครั้งที่ความหน้าตาดีกลายเป็นสัญลักษณ์ของพระเอกหรือนางเอกโดยไม่สนใจว่าพฤติกรรมจะเลวทรามขนาดไหน ขอให้หน้าตาดีใช้ได้
ตัวอย่างเช่น ละคร "สวรรค์เบี่ยง" ที่กลายเป็นละครยอดฮิตเมื่อไม่นาน พระเอกข่มขืนนางเอก...คนดูก็ยอมรับได้เพราะพระเอกหน้าตาหล่อมาก พฤติกรรมเลวๆ หยาบคายแบบนั้น ไม่ควรเป็นเยี่ยงอย่างต่อสังคม และนี่ก็ไม่สมควรกับบทพระเอก...เพราะเด็กๆดูแล้วจะคิดว่าขอให้หล่อ...ในชีวิตจริงก็เป็นพระเอกเสมอ ไม่ว่าจะทำอะไร สังคมก็ยอมรับได้
ผมติดตามดูละครซีรี่ย์ญี่ปุ่นเรื่อง "บันทึกน้ำตา ๑ ลิตร" มาตั้งแต่ตอนแรก มีความรู้สึกว่าละครเรื่องนี้ให้ข้อคิดดีๆแก่คนดู เรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของ อาย่า ขิโต้ นักเรียนมัธยมปลายที่ป่วยด้วยโรคสไปโรซีรีบั่ม ดีเจนเนอเรชั่น ที่สมองซีรีบั่มถูกทำลายไปเรื่อยๆ โรคนี้ไม่มีทางรักษาหาย คนไข้โรคนี้จะค่อยๆสูญเสียความสามารถในการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายไปเรื่อยๆ จะเริ่มเดินลำบาก ตามมาด้วยเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ ไม่สามารถพูดได้เหมือนตอนปกติ
การที่คนไข้รู้ดีอยู่ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้ไม่นาน...เขามีทางเลือกในชีวิตหลายทาง...
บางคนโทษโชคชะตา...ยอมแพ้โชคชะตา....ปล่อยชีวิตที่เหลืออยู่ จมกับความเศร้า ปล่อยให้เวลาที่เหลือน้อยอยู่ผ่านไปอย่างไร้ค่า
บางคนมองว่า...ขอใช้เวลาที่เหลืออยู่อันน้อยนิดอย่างมีค่า ขอให้ทุกวินาทีที่มีเหลืออยู่..ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
บางคน...ขอทำสิ่งที่เขาอยากทำแต่ไม่มีโอกาสได้ทำในช่วงสุดท้ายของชีวิต
บางคน...ขอทำอะไรก็ได้ที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น เพื่อคนที่ตนเองรัก..ก่อนที่เขาจะจากโลกใบนี้ไป
ละคร "บันทึกน้ำตา ๑ ลิตร" พยายามนำเสนอชีวิตของอาย่าที่ป่วยด้วยโรคสไปโรซีรีบั่ม ดีเจนเนอเรชั่น เธอพยายามใช้เวลาที่เหลืออยู่อย่างดีที่สุด ด้วยความรักและความอบอุ่นของครอบครัวทำให้เธอมีกำลังใจต่อสู้กับโรคร้ายนี้อย่างถึงที่สุด
บทสนทนาของตัวละครหลายๆตอนเป็นคำพูดที่น่าประทับใจ หลายครั้งที่ผมพยายามนึกเป็นภาษาญี่ปุ่นซึ่งให้ความซาบซึ้งมากกว่าภาษาไทยที่แปล คงเหมือนคนไทยที่เราสื่อสารกันด้วยภาษาไทยซึ่งมันซาบซึ้งกว่าภาษาอื่น ถ้าคำๆเดียวกันมีการแปลเป็นภาษาอื่น...เราคงไม่ซาบซึ้งเมื่อเทียบกับนึกถึงคำพูดนั้นเป็นภาษาไทย นี่เป็นผลของวัฒนธรรมที่แฝงและสอดแทรกลงไปในคำพูดที่ผู้คนสื่อสารถึงกัน ซึ่งมันสะท้อนถึงความเชื่อ ความนึกคิดของผู้คนในประเทศนั้นๆ
การเคยใช้ชีวิตในญี่ปุ่นนานๆทำให้ผมเข้าใจเหตุผลของความคิดและความเชื่อของคนญี่ปุ่นที่สะท้อนออกมาเป็นคำพูดในละคร ทำไมคนญี่ปุ่นถึงมักจะขอโทษผู้คนอยู่บ่อยๆ ทำไมคนญี่ปุ่นรู้สึกขอบคุณในบุญคุณที่คนอื่นหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้ ทำไมคนญี่ปุ่นจึงสอนให้ทำอะไรด้วยตนเอง...แม้จะเป็นคนพิการ....ทุกคนก็เท่าเทียมกัน...เพราะศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ไม่ต่างกัน
บทสนทนาที่สะท้อนออกมาจากมุมมองของคนพิการที่คนปกติมองข้าม เพราะมองจากมุมมองของคนปกติก็คือ
"ความพิการไม่ได้ทำให้ความสุขในชีวิตของหนูหายไป ความพิการเป็นเพียงแต่รูปแบบของความไม่สะดวกสบายเท่านั้นเอง"
ละคร "บันทึกน้ำตา ๑ ลิตร" ตอนที่ ๘ ที่ออกอากาศคืนวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๑ มีบทสนทนาที่น่าสนใจ ตอนที่อาจารย์หมออาโซ่มาถามคุณหมอนิชิโน่เรื่องงานวิจัยโรคสไปโรซีรีบั่ม ดีเจนเนอเรชั่น อาจารย์หมออาโซ่บอกกับหมอนิชิโน่ว่า
"การที่เราเป็นหมอ เราพยายามช่วยเหลือคนไข้ คอยดูแลคนไข้ เป็นกำลังใจให้คนไข้ และขณะเดียวกันก็กลายเป็นว่าเราได้กำลังใจจากคนไข้เช่นกันโดยที่เราไม่รู้ตัว"
บ่อยครั้งใช่ไหมในชีวิตของเรา....ที่เราคอยเป็นกำลังใจให้ใครบางคน ตอนที่เขาคนนั้นบรรลุในสิ่งที่เขาตั้งใจไว้ เราก็พลอยเบิกบานใจ และได้กำลังใจจากความพยายามและความสำเร็จที่เขาทำลงไป และสิ่งเหล่านั้นก็ผลักดันให้เราพยายามไล่ล่าฝัน..และทำฝันของเราให้เป็นจริงบ้าง เห็นด้วยไหมครับท่านผู้อ่าน?
คนเราเกี่ยวข้องกันไม่ทางตรงก็ทางอ้อม สิ่งที่เราทำในขณะนี้...เราไม่รู้หรอกว่ามันมีผลต่อคนรอบข้างอย่างไร เพียงคำพูดไม่กี่ประโยคที่เราพูดซึ่งเราอาจจะไม่คาดคิดมาก่อนอาจจะทำให้ใครหลายๆคนเขาแปลงคำพูดเหล่านั้นเป็นพลังเอาชนะอุปสรรคที่ยากเย็นได้
ตอนที่อาย่ารู้ตัวว่าเป็นภาระแก่คนอื่น...ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อน เธอรู้สึกผิด อยากขอโทษคนรอบข้าง แต่คุณหมอกลับพูดให้กำลังใจแก่เธอว่า ในชีวิตเธอ...เธอคงสร้างภาระรบกวนให้แก่ผู้คนโดยไม่สิ้นสุด หยุดคิดว่าตัวเองสร้างภาระแก่คนอื่น แต่ให้รู้สึกขอบคุณที่คนอื่นหยิบยื่นความเมตตา และน้ำใจให้เธอดีกว่า
ในสายตาของผู้คนที่มองมาที่อาย่าที่มีร่างกายผิดปกติ...อาจจะแฝงไปด้วยความเหยียดหยาม ดูถูก ช่างเป็นความรู้สึกโหดร้ายต่อจิตใจ แต่ในสายตาที่แฝงไปด้วยความโหดร้ายและเจ็บปวดก็ยังมีสายตาอ่อนโยน แฝงไปด้วยความเมตตา ที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้...
ในโลกนี้ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป อาจจะมีคนเย็นชาอยู่มากมายแต่ในสังคมก็ยังมีคนดีมีน้ำใจอยู่ซึ่งพร้อมที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้ และความช่วยเหลือมีเมตตานี้ก็ทำให้โลกที่เราอยู่น่าอยู่ขึ้น
ละครนอกจากจะให้ความเพลิดเพลินแก่คนดูแล้ว...หลายครั้งที่ละครก็ทำให้คนดูหันกลับมามองดูตัวเอง...แล้วค้นหาตัวเองและเลือกเส้นทางชีวิตที่เหมาะกับตัวเอง...ตัวละครที่โปรดปรานบางบทอาจจะกลายเป็นแบบอย่าง..เป็นแรงบันดาลใจให้เราแสดงบทบาทในชีวิตจริงแบบนั้นต่อไป
โลกนี้เหมือนโรงละครโรงใหญ่...เราทุกคนคือตัวละคร ถึงแม้ว่าชีวิตของผู้คนจะถูกลิขิตเอาไว้ด้วยอะไรหลายๆอย่างที่เราไม่ทราบ หน้าที่ของเราไม่ใช่มัวแต่สงสัยในลิขิตชีวิตที่เราไม่ทราบ แต่หน้าที่ของเรากลับอยู่ตรงที่พยายามเล่นตามบทบาทที่ถูกส่งมาให้เล่นอย่างเต็มที่ต่างหาก..โดยไม่รู้สึกเสียใจเมื่อหันกลับมามองบทบาทที่เราเคยเล่นในอดีต ตรงกันข้าม...ทุกครั้งที่มองย้อนมาที่บทบาทที่เราเคยเล่นมา...เรากลับมองอย่างภาคภูมิใจว่านี่คือความสวยงามของชีวิต สิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาเป็นเหมือนสีสันที่ช่วยแต่งเติมชีวิตให้สมบูรณ์
Create Date : 28 พฤษภาคม 2551 |
Last Update : 28 พฤษภาคม 2551 2:34:30 น. |
|
14 comments
|
Counter : 2599 Pageviews. |
|
|
|
โดย: คนผ่านทาง IP: 203.144.130.176 วันที่: 28 พฤษภาคม 2551 เวลา:11:38:00 น. |
|
|
|
โดย: Akaba วันที่: 28 พฤษภาคม 2551 เวลา:11:59:49 น. |
|
|
|
โดย: ถั่วต้มน้ำตาล IP: 202.12.97.117 วันที่: 28 พฤษภาคม 2551 เวลา:13:56:30 น. |
|
|
|
โดย: รัตตมณิ (kulratt ) วันที่: 28 พฤษภาคม 2551 เวลา:19:11:05 น. |
|
|
|
โดย: โยเกิตมะนาว วันที่: 28 พฤษภาคม 2551 เวลา:20:14:29 น. |
|
|
|
โดย: ครูแมว IP: 125.25.190.75 วันที่: 29 พฤษภาคม 2551 เวลา:22:14:14 น. |
|
|
|
โดย: ชีวประภา วันที่: 1 มิถุนายน 2551 เวลา:20:24:55 น. |
|
|
|
โดย: รัตตมณี (kulratt ) วันที่: 3 มิถุนายน 2551 เวลา:20:33:39 น. |
|
|
|
โดย: ไอ่ไอซ์ IP: 58.8.104.157 วันที่: 7 มิถุนายน 2551 เวลา:15:35:28 น. |
|
|
|
โดย: ชีวประภา IP: 58.9.120.171 วันที่: 8 มิถุนายน 2551 เวลา:1:05:51 น. |
|
|
|
โดย: รัตตมณี (kulratt ) วันที่: 15 มิถุนายน 2551 เวลา:14:52:04 น. |
|
|
|
โดย: ชีวประภา IP: 203.148.162.195 วันที่: 19 มิถุนายน 2551 เวลา:18:47:54 น. |
|
|
|
โดย: รัตตมณี (kulratt ) วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:20:47:33 น. |
|
|
|
โดย: รัตตมณี (kulratt ) วันที่: 1 กรกฎาคม 2551 เวลา:17:46:42 น. |
|
|
|
| |
|
|
อ่านเพลินเลยครับ ทั้งที่เขียนยาวขนาดนี้