images by free.in.th
"
Group Blog
 
All blogs
 

แนะนำ ร้านนี้ 100 คะแนน เปิดทุกวันสุข



“
ร้านนี้ 100 คะแนนเปิดทุกวันสุข”

เมื่อยังเป็นนักเรียนนักศึกษาเราต่างพากเพียรศึกษาหาความรู้เพื่อให้สอบผ่าน โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ 100 คะแนนเต็มพอเข้าสู่ชีวิตการทำงาน ก็ยังไม่พ้นเรื่องของคะแนนเพราะมีการประเมินผลการทำงานจากหัวหน้าให้ได้ลุ้นกันอยู่ทุกปีหลายคนจึงอดคิดไม่ได้ว่า“ถ้าให้คะแนนตัวเองได้ก็คงจะดี”

ถ้าอย่างนั้น ลองเปรียบชีวิตการทำงานให้มีคะแนนเต็ม100 คะแนน คุณคิดว่าตัวเองควรจะได้คะแนนเท่าไร ?

คุณคิดว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้... ความพอใจในงานที่ได้รับมอบหมายความสนุกร่วมกันกับเพื่อนร่วมงานหรือดัชนีชี้วัดที่ทุกคนคงนึกออกคือ ความรู้สึกอยากจะตื่นขึ้นมาในทุกเช้าวันใหม่อย่างสดใสเพื่อเดินทางไปทำงานอย่างกระปรี้กระเปร่า... และอื่น ๆ ซึ่งอาจเหมือนหรือต่างกันออกไป

สำหรับคนที่ยังลังเลไม่แน่ใจว่าชีวิตการทำงานของตัวเองควรจะได้คะแนนเกินครึ่งหรือต่ำกว่าครึ่ง พักไว้ก่อนก็ได้แล้วลองมาดูตัวอย่างชีวิตคนทำงานกลุ่มหนึ่ง

คนทำงานกลุ่มนี้ทำงานอยู่ในร้านขายเสื้อผ้าค่ะ และร้านนี้อยู่ในหนังสือ “ร้านนี้ 100 คะแนนเปิดทุกวันสุข”

หนังสือเล่มนี้บอกเล่าชีวิตของเหล่าคนทำงาน โดยถ่ายทอดมาจากโครงเรื่องจริงของร้านค้ากว่า 1,500 ร้าน ทั่วประเทศญี่ปุ่น ผ่านการผูกเรื่องราวอย่างมีชีวิตชีวาในรูปแบบนิยาย

เมื่อร้านขายเสื้อผ้า“เบียงกี้” ที่เหล่าพนักงานตัวเอกของเรื่องทำงานอยู่นั้นกำลังประสบปัญหายอดขายตกต่ำ เนื่องจากมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เพิ่งมาเปิดใหม่อยู่บริเวณใกล้ๆ ขณะที่ร้านของตนเป็นเพียงร้านเช่าอยู่ในตึกหน้าสถานีรถไฟเท่านั้นมิหนำซ้ำพนักงานในร้านก็ระส่ำระสาย

ร้อนถึงบริษัทแม่ต้องจ้างอาจารย์ฟรีแลนซ์ผู้ฝึกสอนการขายมาเป็นที่ปรึกษาเพื่อหวังจะช่วยแก้ปัญหา ฟังดูก็น่าจะมีทางออกที่สดใสแต่อาจารย์คนนี้จะช่วยได้จริงหรือ เธอจะใช้วิธีไหนกับ...

ยูโกะผู้จัดการร้านที่มองว่าตำแหน่งผู้จัดการนั้นหนักหนาเกินไปมุ่งแต่จะเพิ่มยอดขายให้ร้านตนเอง แต่กลับหลงลืมสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าไป

นัทสึมิรองผู้จัดการร้านที่ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากตักเตือนพนักงานในร้าน และไม่กล้าพูดสิ่งที่คิดหรือแสดงความคิดเห็นกับหัวหน้าของตนแต่เก็บมาคิดมากถึงขั้นเป็นไมเกรน จนเกือบตัดสินใจจะลาออก

คานะพนักงานใหม่ที่เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายหน้าที่ที่ตนเองได้รับมอบหมายหลังจากที่เข้ามาทำงานได้เพียงสองสัปดาห์ ความรู้สึกว่างานที่ตนกำลังทำนั้นมีคุณค่าคือสิ่งที่เธอเฝ้าฝันหา

มิโฮะ อดีตผู้จัดการร้านเสื้อผ้า แต่มีปมจากอดีตที่บริหารงานผิดพลาด จนกลายเป็นโรคซึมเศร้า ปัจจุบันเลยผันตัวเองมาเป็นพนักงานพาร์ทไทม์

มาริผู้จัดการประจำท้องที่ ซึ่งเอาแต่ตีกรอบให้ร้านเสื้อผ้าสาขาที่ตนดูแลอยู่ปฏิบัติตามกฎของบริษัทแม่ จนเกือบจะไม่ฟังความคิดเห็นของผู้อื่น

สุดท้ายแล้วร้านเบียงกี้จะพลิกฟื้นกลับมาเป็นร้านที่ยืนหยัดอยู่ได้แม้ในสภาพการแข่งขันที่รุนแรง หรือจะต้องยอมแพ้ปิดร้านไปตามสัจธรรมของชีวิต...

หลายคนอาจจะคิดว่า“ร้านนี้ 100 คะแนนเปิดทุกวันสุข” เป็นหนังสือที่ว่าด้วยกลเม็ดเคล็ดลับในการบริหารและการฟื้นฟูร้านค้าเท่านั้น หากแต่จริงๆ แล้ว กลับสะท้อนให้เห็นอารมณ์ ความคิด ความรู้สึกและสภาพปัญหาที่คนทำงานในทุกสาขาอาชีพต้องพบเจอจนเหมือนกับว่าความคิดและการกระทำของตัวละครบางคนในเรื่องนั้นช่างคล้ายคลึงและซ้อนทับกับตัวเราเองอย่างน่าประหลาด ไม่เว้นแม้แต่คาเนะโกะอาจารย์ผู้เก่งกาจ  

เมื่อติดตามอ่านจนจบแล้วเชื่อแน่ว่านอกจากอรรถรสและความสนุกแล้ว ผู้อ่านจะได้แง่คิดและมุมมองเกี่ยวกับการทำงานที่ทำให้เราอดไม่ได้ที่จะย้อนมองตนเองและคนรอบข้าง เพื่อที่จะได้หันมาสร้างความรื่นรมย์ในการทำงานร่วมกันด้วยเคล็ดลับง่าย ๆอันจะปะติดปะต่อและเชื่อมโยงไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จ

ให้ทุกๆวันในระหว่างทางของชีวิตการทำงานค่อย ๆ ได้คะแนนบวกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเต็ม100คะแนน โดยไม่ต้องรอให้ใครมาประเมินด้วยซ้ำ



ดูตัวอย่างหนังสือได้ที่นี่ Smiley

สอบถามเพิ่มเติม book4u@tpa.or.th

ติดตามกิจกรรมและหนังสือใหม่ได้ที่เพจ หนังสือแนะนำ สำนักพิมพ์ ส.ส.ท.






 

Create Date : 22 ตุลาคม 2557    
Last Update : 27 ตุลาคม 2557 11:35:57 น.
Counter : 3683 Pageviews.  

แนะนำ 44 เฟรมเวิร์ก (Framework) สุดยอดเครื่องมือคิดแก้ปัญหา


เฟรมเวิร์ก เครื่องมือและอาวุธสำคัญในการคิดและตัดสินใจ

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นอย่างในปัจจุบัน คนทำงานไม่เพียงแต่มีหน้าที่ต้องก้าวให้ทันตามกระแสเท่านั้นยังต้องทำงานให้ได้ผลลัพธ์และประสิทธิภาพมากขึ้น เร็วขึ้นตามไปด้วย 

การตัดสินใจเลือกแนวทางต่าง ๆรวมถึงการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจึงต้องทำได้อย่างรวดเร็วเพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหนึ่งในอาวุธสำคัญที่ใช้ในการคิดและตัดสินใจก็คือ"เฟรมเวิร์ก" ที่เหล่าบรรดา "ที่ปรึกษา"ใช้เป็นเครื่องมือในการคิดแก้ปัญหาให้กับหลาย ๆ องค์กร

เฟรมเวิร์ก (Framework)คืออะไร บางคนก็ “เหมือนจะเข้าใจ”หรือ “รู้ว่าคืออะไรแต่กลับไม่รู้ว่าจะใช้อย่างไร”

"เฟรมเวิร์ก"ก็คือ “กรอบ” ที่เป็นวิธีการแยกแยะเรื่องราวหรือสิ่งต่างๆ ออกอย่างครอบคลุม ไม่ตกหล่น หรือซ้ำซ้อนกัน ภายใต้ "การคิดอย่างมีตรรกะ"ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าใจเรื่องราวหรือปัญหาต่าง ๆ ในภาพรวมได้ดียิ่งขึ้นสามารถค้นหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิผลสูงสุด 

ที่สำคัญคือนำไปปฏิบัติได้จริง ดังนั้นเพื่อให้สามารถใช้เฟรมเวิร์กได้อย่างคล่องแคล่วจึงต้องหมั่นฝึกฝนการคิดผ่านตัวอย่างปัญหาต่าง ๆ ในหลาย ๆ รูปแบบเนื่องจากปัญหามีความหลากหลายเพราะฉะนั้นเฟรมเวิร์กจึงมีหลากหลายแบบด้วยเช่นกัน



44 เฟรมเวิร์ก (Framework) สุดยอดเครื่องมือคิดแก้ปัญหา

โดย Katsumi Nishimura 

แปลโดย จตุพร สุมนานนท์

หนา 352 หน้า ขนาด Pocketbook


ในหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียน Katsumi Nishimura (เจ้าของผลงาน “คิดด้วยภาพ (Think in Pictures)”, “Logical Thinking คิดอย่างมีตรรกะ ชนะทุกเงื่อนไข”,“Logical Communication สื่อสารอย่างมีตรรกะ ชนะ (ใจ) ทุกสถานการณ์”, “เก่งงานได้ ทั้งง่ายและสนุก”) แนะนำเฟรมเวิร์กเป็น 7กลุ่ม รวมทั้งหมด 44 แบบ เริ่มตั้งแต่

1.  เฟรมเวิร์กสำหรับการเรียบเรียงความคิดในสมองและเพิ่มความสามารถในการทำงาน เช่น เฟรมเวิร์ก Macro-Micro,เฟรมเวิร์ก ภายนอก-ภายใน, เฟรมเวิร์ก อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต

 2. เฟรมเวิร์กสำหรับเพิ่มความสามารถในการวิเคราะห์ เช่น การวิเคราะห์ SWOT, Five Force Analysis, 7S ของ McKinsey

3. เฟรมเวิร์กสำหรับเปลี่ยนมุมมองและสร้างธุรกิจใหม่ เช่น PM Matrix,Value Chain ของไมเคิล อี พอร์เตอร์, Scrap&Build

4. เฟรมเวิร์กสำหรับค้นหาข้อผิดพลาดทางธุรกิจ เช่น  เฟรมเวิร์กคน-สิ่งของ-เงิน-ข้อมูล, QCD, Win-Lose

5. เฟรมเวิร์กสำหรับกำหนดความสำคัญเร่งด่วน เช่น เฟรมเวิร์ก ความสำคัญ-ความเร่งด่วน, เฟรมเวิร์กวางแผน-ออกแบบ-ดำเนินการ, ECRS

6. เฟรมเวิร์กที่ช่วยในการนำเสนอ เช่น เฟรมเวิร์ก Readiness ที่เปลี่ยนแปลงง่าย-Readiness ที่เปลี่ยนแปลงยาก, เฟรมเวิร์ก ที่มา หัวข้อและคำถาม คำตอบการนำเสนอที่คาดหวัง, เฟรมเวิร์กข้อมูลสำหรับตัดสินใจ-เกณฑ์ในการตัดสินใจ-ผลการตัดสินใจ

7. เฟรมเวิร์กที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น เฟรมเวิร์กสร้าง story ในการพูด, เฟรมเวิร์ก hear-Listen-Ask

โดยเนื้อหาของเฟรมเวิร์กแต่ละแบบ จะนำเสนอใน6 หน้า โดยครึ่งแรก (หน้าที่ 1-3) จะเป็นการวิเคราะห์เฟรมเวิร์ก แนะนำแนวคิดและวิธีการใช้เฟรมเวิร์กเมื่ออ่านส่วนนี้แล้ว ผู้อ่านจะเข้าใจเฟรมเวิร์กนั้นได้ง่ายขึ้น 

ส่วนครึ่งหลัง(หน้าที่ 4-6) จะเป็นการฝึกแก้ไขปัญหาโดยฝึกวิธีการใช้เฟรมเวิร์กผ่านตัวอย่างประกอบซึ่งจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเฟรมเวิร์กนั้นสามารถนำไปใช้แก้ไขปัญหาหรือนำไปประยุกต์ใช้กับงานจริงได้อย่างไร

เฟรมเวิร์กที่แนะนำไว้ในหนังสือเล่มนี้จึงสามารถประยุกต์ใช้ได้กับการทำงานในแต่ละวัน และมีประโยชน์ต่าง ๆ เช่น 

  • ช่วยเรียบเรียงความคิดในสมอง 
  • ช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงาน/การวิเคราะห์ 
  • ช่วยให้เห็นมุมมองและโอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ ๆ 
  • ช่วยค้นหาข้อผิดพลาดทางธุรกิจ 
  • ช่วยกำหนดความสำคัญ-เร่งด่วน 
  • ช่วยนำเสนองาน และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย

สำหรับคนที่ยังไม่คุ้นเคยกับเฟรมเวิร์กอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องยากและดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว แต่ถ้าได้ลองฝึกฝนไปสักพักจะพบว่าเฟรมเวิร์กไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด 

และถ้าใช้เป็นแล้ว จะพบว่าช่วยให้มีทักษะในการคิดที่สูงขึ้นสามารถมองเห็นภาพรวม มองเห็นจุดสำคัญในการคิด มีความคิดที่ครอบคลุม และมีมุมมองที่กว้างไกลขึ้นกว่าเดิม รวมถึงยังสามารถมองข้ามช็อตได้ สามารถทำงานได้รวดเร็วมากขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถแก้ปัญหาได้อย่างง่ายดายและราบรื่น

สุดท้ายหากนำเฟรมเวิร์กมาใช้กับการทำงานกลุ่มจะช่วยค้นหาแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหาภายในกลุ่มและทำให้พลังในการทำงานของทีมสูงขึ้นได้อีกด้วย

พวกเราคนทำงานจะได้พัฒนาและเติบโตขึ้นทั้งชีวิตงานและชีวิตส่วนตัว โดยทั่วกัน


ดูตัวอย่างหนังสือได้ที่นี่ Smiley

สอบถามเพิ่มเติม book4u@tpa.or.th

ติดตามกิจกรรมและหนังสือใหม่ได้ที่เพจ หนังสือแนะนำ สำนักพิมพ์ ส.ส.ท.





 

Create Date : 21 ตุลาคม 2557    
Last Update : 21 ตุลาคม 2557 17:33:04 น.
Counter : 5258 Pageviews.  

รีวิว เลียนแบบ แยบยล “Good Imitation leads to Great Innovation”


"ศิลปะคือการขโมย - ART IS THEFT" Pablo Ruiz Picasso (จิตรกรเอกของโลก)

"การเลียนแบบคือมารดาของความคิดสร้างสรรค์" Kobayashi Hideo (นักวิจารณ์วรรณคดีชื่อดัง)


เพราะโลกนี้ไม่ได้มีอะไรใหม่ และไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์

ทุกสิ่งล้วนได้รับแรงบันดาลใจ (Inspiration) จากสิ่งที่มีอยู่เดิม

ไม่ว่าจะเป็น....งานศิลปะ ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) เพื่อสร้างผลงานชิ้นใหม่

หรือ สินค้า/บริการ ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างนวัตกรรม (Innovation) ใหม่ ๆ

ต่างก็เริ่มต้นมาจากการเลียนแบบ (Imitation) ความคิดที่มีอยู่เดิมทั้งสิ้น

ซึ่งต้องทำผ่านวิธีการที่แนบเนียน แยบยล และยังต้องสร้างสรรค์อีกด้วย

เพราะ "การลอกความคิด" กับ "ความคิดสร้างสรรค์" นั้น ต่างกันเพียงแค่ "เส้นแบ่ง" บาง ๆ


ถ้าจะยกตัวอย่างธุรกิจร้านกาแฟ 2 แห่งในญี่ปุ่น Smiley

ที่เรียกว่า "เลียนแบบจนได้ดี" และประสบความสำเร็จทั่วโลก

ทุกคนก็คงจะนึกถึง "Starbucks" กับ "Doutor" 

ที่ต่างก็ใช้ร้านกาแฟในยุโรปเป็น "ตัวอย่าง" ในการ "เลียนแบบ" ด้วยกันทั้งคู่

เพราะผู้ก่อตั้งของทั้งสองร้านต่างเคยได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีจากร้านกาแฟในยุโรป

จึงได้นำเอาแรงบันดาลใจนี้กลับไปสร้างเป็นร้านกาแฟในประเทศของตน


แม้จะมีข้อแตกต่างเล็กน้อยตรงที่ Starbucks จะเลียนแบบร้านกาแฟในอิตาลี Smiley

ส่วน Doutor จะเลียนแบบร้านกาแฟในฝรั่งเศสผสมกับร้านกาแฟในเยอรมัน

แต่ทั้งสองก็ล้วนเลียนแบบจากรูปแบบร้านกาแฟที่มีความเป็นมายาวนาน

ที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวยุโรปที่หยั่งรากอย่างลึกซึ้งทั้งสิ้น

และถึงแม้ต้นแบบของร้านทั้งสองจะมาจากร้านกาแฟในยุโรปเหมือนกัน

แต่คอนเซ็ปต์ของร้าน (Store Concept) ที่ตกผลึกออกมากลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

เพราะประเด็นสำคัญที่สุดในการทำธุรกิจให้ประสบผลสำเร็จก็คือ "การมองส่วนที่เป็นแก่นหลักให้ออก"


ซึ่งทั้ง Mr.Howard Schultz ผู้ก่อตั้งร้าน Starbucks ก็มองออกว่า

"การมีบาริสต้ากับความรู้สึกผูกพันและเป็นกันเองระหว่างลูกค้าด้วยกันคือสิ่งที่สำคัญที่สุด"

ส่วน Mr. Toriba Hiromichi ผู้ก่อตั้งร้าน Doutor เอง ก็มีมุมมองที่คล้ายคลึงกัน คือ

มองว่า “สไตล์ยืนดื่มนี่แหละ..ที่จะเป็นรูปแบบขั้นสุดท้ายของร้านกาแฟ”

จะเห็นได้ว่าทั้งคู่ต่างเลือกเลียนแบบเฉพาะส่วนที่เป็นแก่นหลัก

แล้วนำมาปรับแต่งให้สอดคล้องกับบริบททางสังคมวัฒนธรรม และสภาพความเป็นอยู่ของประเทศตนเอง

จนทำให้เกิดเป็นสิ่งใหม่ที่มีลักษณะเด่นเฉพาะตัวของร้านในที่สุด

(อ่านเนื้อหาแบบละเอียดได้ในหัวข้อ "การถอดแบบจำลองของธุรกิจร้านกาแฟ")


โดยเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์ความสำเร็จในการเลียนแบบของธุรกิจต่าง ๆ

คือ P-VAR (P : Position, V : Value, A : Activities และ R : Resources)

ที่สามารถนำไปใช้วิเคราะห์ได้ในทุกธุรกิจแบบเป็นระบบ ดังตัวอย่างSmiley






อ่านเล่มนี้จบ...จะรู้สึกทึ่งในความ “ฉลาดเลียน” ของบรรดาผู้บุกเบิกธุรกิจต่าง ๆ

และจะเชื่อว่า “Good Imitation leads to Great Innovation” ได้จริง ๆ

เลียนแบบ แยบยล Good Imitation to Great Innovation

by.. Tatsuhiko Inoue แปล.. ประวัติ เพียรเจริญ

ราคา 300 บาท  หนา 344 หน้า


ดูตัวอย่างหนังสือได้ที่ Smiley

//www.flipsnack.com/5D66FBD9E8C/1.html

สอบถามเพิ่มเติม book4u@tpa.or.th

ติดตามกิจกรรมและหนังสือใหม่ได้ที่ หนังสือแนะนำ สำนักพิมพ์ ส.ส.ท.

https://www.facebook.com/tpabook




 

Create Date : 20 ตุลาคม 2557    
Last Update : 21 ตุลาคม 2557 16:56:13 น.
Counter : 5585 Pageviews.  

90 วัน ออมเปลี่ยนชีวิต : ใครว่าการออมเงินเป็นเรื่องยาก...?

เผลอแป๊บเดียวก็เดือนกันยายนซะแล้ว 

คิดเหมือนกันหรือเปล่าว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก ๆ เลย Smiley

แต่ถึงเวลาจะผ่านไปเร็วแค่ไหน 

เราก็ยังคงต้องมุ่งหน้าทำงานกันต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน

ยิ่งช่วงนี้ราคาข้าวของเครื่องใช้ รวมถึงค่าอาหารต่างก็พร้อมใจกันขึ้นราคา

หลาย ๆ คนก็คงถึงกับต้องพยายามรัดเข็มขัดกันสุดชีวิตเลยทีเดียว Smiley

และหนึ่งในวิธีการรัดเข็มขัดของหลาย ๆ คนนั้นก็คงจะต้องมี "การออมเงิน" รวมอยู่ด้วยแน่ ๆ



เมื่อพูดถึงเรื่องออมเงินแล้ว

หลายคนอาจเห็นเป็นเรื่องง่าย

แต่ก็อาจเป็นเรื่องยากสำหรับอีกหลาย ๆ คนเช่นกัน

แต่ถ้าหากจะพูดกันจริง ๆ แล้ว

ไม่ว่าใครก็ต้องอยากเก็บเงินเป็น และมีเงินเก็บเป็นของตัวเองสักก้อน

วันนี้เราจึงจะมาแนะนำหนังสือเกี่ยวกับการออมเงิน

เป็นหนังสือที่จะทำให้เห็นว่า "การออมเงินนั้นไม่ยากอย่างที่คิด"





90 วัน ออมเปลี่ยนชีวิต

โดย  มิสึอะกิ  โยโกยามะ

แปลโดย  ดร.ศิริลักษณ์   ศิริมาจันทร์

จำนวน  224 หน้า

ขนาด Pocketbook  พิมพ์ด้วยกระดาษกรีนรี้ด



"90 วัน ออมเปลี่ยนชีวิต

จะมาแนะนำวิธีออมเงินที่ขึ้นชื่อว่า "ไม่ว่าใครก็สามารถสนุกไปกับมันได้"

พิสูจน์มาแล้วจากครอบครัวชาวญี่ปุ่นจำนวนมากว่าวิธีการในหนังสือเล่มนี้ได้ผลชัวร์ ๆ !!

โดยเริ่มแรกนั้นจะมีการให้ทำแบบทดสอบ "ความสามารถในการออมเงิน" ก่อน

ว่าเรานั้นมีความสามารถในการเก็บออมเงินแค่ไหน

ทดลองทำ "แบบทดสอบความสามารถในการออมเงิน" (คลิกที่ชื่อแบบทดสอบ)


ได้ผลเป็นยังไงกันบ้าง ?

หลาย ๆ คนคงจะไปลองทำแบบทดสอบกันดูแล้ว

คงจะได้ผลการทดสอบที่แตกต่างกันไป

ส่วนคนที่ได้ผลการทดสอบออกมาไม่ค่อยน่าพึงพอใจก็อย่าเพิ่งถอดใจ

หนังสือเล่มนี้จะคอยให้คำแนะนำวิธิการออมเงินที่เข้าใจง่ายและสามารถปฏิบัติตามได้ในทันที

อย่างเช่น


Smiley "เพิ่มรายได้โดยเริ่มจากการลดรายจ่าย"

เมื่ออ่านประโยคนี้แล้วอาจจะคิดว่าเป้นเรื่องที่ใคร ๆ ก็รู้

แน่นอนว่าถึงจะรู้...แต่ก็ทำได้ยากเหลือเกิน

แต่หนังสือเล่มนี้จะแนะนำวิธีง่าย ๆ ที่คุณอาจเกิดอาการ "เข็มขัดสั้น" (คาดไม่ถึง #เล่นมุขนิดนึง...) 

ว่ารายได้ของเรานั้นเพิ่มขึ้นได้อย่างไร ?

ทั้งที่ยังมีรายได้เท่าเดิม และยังไม่ได้ไม่หางานพิเศษทำเพิ่มเติม

น่าสนใจขึ้นมาแล้วใช่มั้ยล่าาา~? Smiley



Smiley "เหตุผลที่คุณเก็บเงินไม่ได้"

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังสงสัยว่า...

"ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่เพราะเหตุใดจึงออมเงินไม่ได้"

หรือ

"ไม่ใช่นักช้อปตัวยงหรือเซียนพนัน แต่เพราะเหตุใดจึงเป็นหนี้เป็นสิน"

แล้วล่ะก็...

หนังสือเล่มนี้มีคำตอบให้

เป็นเรื่องน่าประหลาดใจว่าอุปนิสัยการใช้เงินของเรานั้น

สามารถสะท้อนให้เห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของเราว่าเป็นคนอย่างไร

ไม่ว่าจะเป็น

Smileyค่าโทรศัพท์มือถือแพง...

Smileyมีหนี้ (รายจ่ายจากบัตรเครดิต) เยอะ...

Smileyค่าใช้จ่ายในการสังสรรค์ เข้าสังคมสูง...

ตัวอย่างข้างต้นรวมถึงนิสัยในการใช้เงินกับสิ่งต่าง ๆ ของเราอีกมากมายนั้น

จะสะท้อนตัวตนของเราออกมาได้อย่างไร

ต้องลองมาพิสูจน์ดู (ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ยืนยันไว้เลยว่า "ฟังธง ! ตรงเป๊ะ !")



และที่เด็ดที่สุดที่ผู้เขียนภูมิใจนำเสนอคือ

Smiley "โปรแกรมการออมเงิน 90 วันสไตล์โยโกยามะ"

สุดยอดโปรแกรมการออมเงิน

ที่จะค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนนิสัยการออมเงินของเราอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเป็นธรรมชาติ

เราจะสามารถเก็บเงินได้ภายใน 90 วัน โดยไม่ต้องกดดันตนเองหรือเครียดจนเกินไป

เชื่อว่าหากนำวิธีการในหนังสือมาปฏิบัติตามอย่างต่อเนื่องล่ะก็...

คุณจะค้นพบความสามารถแห่งนักออมของคุณที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน

รับรองได้ว่าจะต้องมีเงินเก็บแน่ ๆ ภายใน 90 วัน Smiley



นอกจากสามหัวข้อใหญ่ ๆ นี้แล้ว

ยังมีเนื้อหาที่น่าสนใจอีกมากมายภายในหนังสือเล่มนี้

จัดได้ว่าหนังสือ "90 วัน ออมเปลี่ยนชีวิต" นั้น


เป็นหนังสือแนะนำการออมเงินที่อ่านได้อย่างเพลิดเพลิน

เนื้อหาไม่ซับซ้อนน่าเบื่อ มีรูปภาพประกอบเพื่ออธิบายให้เข้าใจได้ง่ายและชัดเจนยิ่งขึ้น



ไม่ว่าคุณจะเป็นนักออมมือใหม่

หรือเป็นนักออมตัวยงแต่ต้องการจะออมเงินให้ได้มากขึ้นกว่าเดิม

หนังสือเล่มนี้จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน


"ฟันธง ! ตรงเป๊ะ !" Smiley


สอบถามเพิ่มเติม  book4u@tpa.or.th

ติดตามกิจกรรมและหนังสือใหม่ได้ที่ หนังสือแนะนำ สำนักพิมพ์ ส.ส.ท.




 

Create Date : 02 กันยายน 2557    
Last Update : 2 กันยายน 2557 13:07:48 น.
Counter : 8078 Pageviews.  

สาวมั่นกับชั้นเชิงการตลาด 2 : เข้มข้นยกกำลังสอง เมื่อสาวมั่นต้องสู้กับยักษ์ใหญ่


ยอดขายของบริษัทก็ตกฮวบฮาบ คนในก็ไม่ให้ความร่วมมือ 

คู่แข่งก็เป็นยักษ์ใหญ่ในวงการ 

แล้วสาวมั่นของเราจะรับมืออย่างไร???


มีนาคมที่ผ่านมา สำนักพิมพ์ ส.ส.ท. เคยแนะนำให้คุณผู้อ่านรู้จักกับ “สาวมั่นกับชั้นเชิงการตลาด” มาแล้ว ซึ่งก็มีผู้อ่านหลายท่านสอบถามเข้ามาว่า “อ่านเล่ม 1 แล้วชอบมาก เมื่อไรจะได้อ่านเล่ม 2” 

สิงหาคมนี้ คุมิก็พร้อมแล้วที่จะกลับมาพบกับคุณผู้อ่านอีกครั้งใน “สาวมั่นกับชั้นเชิงการตลาด 2”




สาวมั่นกับชั้นเชิงการตลาด 2

โดย Takahisa Nagai

แปลโดย ธนัญ พลแสน

หนา 224  หน้า / ขนาด Pocketbook/ พิมพ์ด้วยกระดาษ Green Read

ดูภาพปกหลัง


หลังจากในเล่มแรก คุมิได้เรียนรู้และฝึกฝน “ชั้นเชิงการตลาด” จนผลักดันสุดยอดผลิตภัณฑ์ที่เปิดตลาดใหม่ได้สำเร็จ สร้างยอดขายถล่มทลายให้บริษัทโคมาซาวะ เธอกลายเป็นคนดังในวงการและยังได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการด้วย แต่การแข่งขันในโลกธุรกิจไม่ได้จบง่าย ๆ แค่นั้น

           ความสำเร็จของคุมิทำให้บริษัทคู่แข่งอย่างแวลูแมกซ์ ยักษ์ใหญ่ที่มียอดขายมากเป็นอันดับที่ 1 ในตลาด อยู่เฉยไม่ได้


“เราเป็นผู้นำในวงการ อย่าปล่อยให้บริษัทอื่นชนะได้เด็ดขาด”

ประธานบริษัทแวลูแมกซ์ มอบหมายให้อาซุกะ สาวเก่งคู่แข่งที่เคยเอาชนะคุมิมาแล้วในเล่มแรก ตอบโต้ด้วยการแย่งตลาดใหม่นี้ โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์เลียนแบบมาขายแข่ง

คู่แข่งเป็นผู้นำในตลาดซึ่งได้เปรียบกว่า แต่บริษัทที่คุมิทำงานอยู่เป็นแค่ผู้ตาม ยอดขายจึงตกต่ำลงเรื่อย ๆ แม้ในบริษัทพยายามแก้ปัญหานี้ สถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้น


“สถานการณ์บริษัทตอนนี้ก็แย่อยู่ ประธานคนใหม่จะไหวเหรอ”

ขณะเดียวกัน บริษัทของคุมิก็เกิดการเปลี่ยนแปลงภายใน ผู้ก่อตั้งส่งต่อตำแหน่งประธานให้ลูกชายมารับช่วงเป็นรุ่นที่ 2 ประธานคนใหม่มีคำสั่งให้จัดตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อแก้ปัญหายอดขายตกต่ำ และมอบหมายให้คุมิเป็นหัวหน้าทีม


“ที่ขายไม่ได้คงเพราะมีอะไรผิดพลาดสักอย่าง แต่งานนี้พวกคุณคิดตัดสินใจกันเองนี่”

ทีมนี้ประกอบด้วยหลายฝ่ายงานและล้วนแต่เป็นพนักงานอาวุโสที่ทำงานในบริษัทมานาน คุมิจัดการประชุมทีมเฉพาะกิจเพื่อระดมสมองหาวิธีแก้ปัญหาหลายครั้ง แต่กลับกลายเป็นเวทีกล่าวโทษกันไปมาว่าปัญหาต่าง ๆ เป็นความผิดของฝ่ายงานอื่น


“ตอนนี้คุณยังขาดมุมมองว่าจะขับเคลื่อนองค์กรได้อย่างไร”

เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ แต่การแก้ปัญหาไม่คืบหน้า ซ้ำยังมีข่าวลือว่าบริษัทจะไล่คนออกเพราะผลประกอบการตกต่ำ !! 

เมื่อคุมิรายงานปัญหานี้แก่โยดะ ซึ่งเป็นทั้งหัวหน้าและครูด้านการตลาด (และคู่ปรับ) มาตั้งแต่เล่ม 1  เขากลับบอกว่า “ยอดขายตกต่ำไม่ใช่ปัญหาที่ต้องแก้”

(เพี้ยนรึเปล่าตาคนนี้ !? เพราะยอดขายตกต่ำเราถึงต้องพยายามกันอยู่นี่ไม่ใช่รึไง ???)

ถ้าไม่แก้ไขเรื่องยอดขายตกต่ำ แล้วจะแก้ปัญหาจากจุดไหน ?  โยดะต้องการจะบอกอะไรกันแน่ ?


 "สาวมั่นกับชั้นเชิงการตลาด 2" อธิบายหลากหลายกลยุทธ์การตลาดและการบริหาร ผ่านเรื่องราวการแข่งขันที่เข้มข้นกว่าเดิม ระหว่างบริษัทเล็กกับบริษัทใหญ่ และนำเสนอตัวอย่างจริงจากองค์กรธุรกิจชั้นนำ เช่น 

  • แมคโดนัลด์กับเบอร์เกอร์คิง 
  • พานาโซนิคกับตัวแทนจำหน่าย
  • มาสด้ากับคู่แข่งรายใหญ่ 
  • เซาท์เวสต์แอร์ไลนส์กับคอนทิเนนทัลแอร์ไลนส์

สุดท้ายแล้ว คุมิ สาวมั่นของเราจะหาทางออกให้บริษัทได้หรือไม่ ? ใครจะชนะในศึกนี้ ? ผู้นำหรือผู้ตามจะครองใจลูกค้าขณะที่อีกฝ่ายต้องยอมถอย ? โปรดติดตามใน สาวมั่นกับชั้นเชิงการตลาด 2


====================================================================

รีวิว "สาวมั่นกับชั้นเชิงการตลาด" โดยคุณพรชัย จันทรศุภแสง (พี่มิ้งค์ คอมทูเดย์) 

ดูตัวอย่างหนังสือ 

สอบถามเพิ่มเติม  book4u@tpa.or.th

ติดตามกิจกรรมและหนังสือใหม่ได้ที่ หนังสือแนะนำ สำนักพิมพ์ ส.ส.ท.




 

Create Date : 13 สิงหาคม 2557    
Last Update : 13 สิงหาคม 2557 16:49:29 น.
Counter : 3644 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  

textbook
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 20 คน [?]




สำนักพิมพ์ ส.ส.ท. สรรค์สร้างสาระสู่สังคม
มุ่งมั่นผลิตตำราวิชาการและหนังสือเทคโนโลยีสาขาต่าง ๆ การบริหารจัดการ ด้านส่งเสริมการศึกษา เพื่อการพัฒนาตนเองและองค์กร สำหรับภาคการศึกษา ภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรม
Friends' blogs
[Add textbook's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.