images by free.in.th
"
Group Blog
 
All blogs
 

ไคเซ็นในสำนักงาน : กำจัดความสูญเปล่าในองค์กรอย่างรอบด้านด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานรอบโต๊ะ

หากคุณตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
- หาเอกสารที่ต้องการใช้ไม่พบโดยเฉพาะเวลาที่เร่งรีบ
- แม้โต๊ะทำงานจะเรียบร้อย แต่ก็เปลี่ยนเป็นรกรุงรังในเวลาอันรวดเร็ว
- มีงานแทรกมากจนวางแผนการทำงานไม่ได้
- ช่วงปลายเดือน-ต้นเดือนมักต้องทำงานล่วงเวลา (Over Time)
- ยุ่งจนไม่มีเวลาพัก
- ความร่วมมือภายในฝ่ายหรือแผนกไม่ราบรื่น
ฯลฯ

ตัวอย่างข้างต้นเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่า การทำงานของคุณมีความสูญเปล่าแอบแฝงอยู่ นอกจากจะทำงานเสร็จไม่ทันตามกำหนดแล้ว ความกดดันจากการทำงานยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และอาจทำให้ตัวคุณและเพื่อนร่วมงานต้องทำงานล่วงเวลาอีกด้วย

มากำจัดความสูญเปล่าของงานประจำวันในองค์กรอย่างรอบด้าน
ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานรอบโต๊ะไปกับหนังสือ
"ไคเซ็นในสำนักงาน" เล่มนี้กันนะคะ



ไคเซ็นในสำนักงาน
โดย : MIHOYO FUJII
แปลและเรียบเรียงโดย : ดร. สุลภัส เครือกาญจนา
หนา 208 หน้า

"ไคเซ็นในสำนักงาน" เล่มนี้ นำเสนอวิธีปรับปรุง (ไคเซ็น) งานในสำนักงานอย่างรอบด้าน ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ช่วยให้สื่อสารกับกับเพื่อนร่วมงานได้อย่างราบรื่น และลดความสูญเปล่าในองค์กร ทำงานเสร็จทันกำหนดโดยไม่ต้องทำงานล่วงเวลา นำไปสู่ความสมดุลในชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวในที่สุด ผลงานโดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาไคเซ็นงานธุรการให้กับองค์กรต่าง ๆ ในญี่ปุ่นกว่า 800 แห่ง

เนื้อหาของหนังสือทั้ง 6 บทมีดังนี้ค่ะ

1. ทำไคเซ็นเปลี่ยนรอบโต๊ะทำงานให้เป็นฐานยุทธศาสตร์
นำเสนอวิธีทำไคเซ็นเพื่อเปลี่ยนโต๊ะทำงานซึ่งเป็นเหมือนแนวหน้าของสนามรบให้เป็นฐานที่มั่นที่พร้อมรับมือกับงานต่าง ๆ ที่จะเข้ามาในแต่ละวัน เช่น การกำหนดตำแหน่งและสิ่งของที่ควรจะวางบนโต๊ะและในลิ้นชัก เพื่อให้หยิบออกมาใช้ได้ทันที

2. ทำไคเซ็น "เพิ่มพลังแผนการทำงาน" ให้งานรุดหน้า
กล่าวถึงวิธีทำไคเซ็นโดยใช้การวางแผนการทำงานช่วยให้บริหารเวลาได้ลงตัวและกำจัดการทำงานล่วงเวลาให้หมดไป เช่น วางแผนงานก่อนที่จะลงมือทำงานในแต่ละวัน เพื่อให้ทำงานเสร็จทันเวลา ไม่ใช่ทำไปอย่างเรื่อยเปื่อย สำหรับคนที่งานยุ่งมาก ก็ควรใส่เวลาพักเบรกลงไปด้วยเพื่อให้ร่างกายและจิตใจได้ผ่อนคลาย

3. ทำไคเซ็นงานประจำวัน (Routine Work) ที่เต็มไปด้วยความสูญเปล่า
งานที่คุณกำลังทำอยู่ที่ดูเหมือนเป็นเรื่องปกตินั้นจำเป็นจริงหรือไม่ มีขั้นตอนใดบ้างที่พอจะลดหรือเลิกเพื่อให้งานเสร็จเร็วขึ้นหรือช่วยลดค่าใช้จ่าย หรือการรับมือกับงานแทรกจากคนรอบข้างก็ช่วยลดความสูญเปล่าได้เช่นกัน เช่น ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจจะทำงานชิ้นนี้ให้เสร็จก่อนเที่ยง แต่หัวหน้าให้งานใหม่แทรกเข้ามา งานที่ทำอยู่จึงเสร็จไม่ทันเวลาที่กำหนดไว้ วิธีการไคเซ็นเพื่อลดปัญหานี้ก็คือ ติดแผนการทำงานไว้ที่บอร์ดของแผนก เพื่อให้หัวหน้ารับรู้แผนการทำงานของเราด้วย

4.ทำไคเซ็นกำจัดความสูญเปล่าที่เกิดขึ้นรอบคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์มีฟังก์ชันหรือโปรแกรมต่าง ๆ ที่ช่วยให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การใช้ Template (แม่แบบ) ช่วยในการจัดการเอกสาร หรือการเปลี่ยนจากการใช้เมาส์มาเป็นการใช้ Shortcut Key บนคีย์บอร์ด จะช่วยลดเวลาการทำงานลงได้มาก

5.ทำไคเซ็นกำจัดความสูญเปล่าของการสื่อสาร
การสื่อสารหรือประสานงานกับคนรอบข้างที่ไม่ราบรื่นทำให้เกิดความสูญเปล่าขึ้น การทำไคเซ็นช่วยคุณแก้ปัญหาการสื่อสารได้ เช่น หากฟังคำสั่งของหัวหน้าแล้วไม่เข้าใจ ให้ใช้หลักการตั้งคำถามถึงรายละเอียด 4 เรื่อง ดังนี้ (1) ความเป็นมาของงาน (2) กำหนดเวลาส่งงาน (3) จุดมุ่งหมายของงาน (4) รูปแบบหรือวิธีการทำงาน

6.ทำไคเซ็นกำจัดความสูญเปล่าขององค์กร
กิจกรรมต่าง ๆ ในสำนักงานมีความสูญเปล่าเกิดขึ้นมากมาย เช่น ความสูญเปล่าของพื้นที่ที่เกิดจากสิ่งของประเภทเดียวกันอยู่กระจัดกระจายหลายแห่ง ซึ่งสามารถกำจัดให้หมดไปได้ด้วยกิจกรรม 5 ส (สะสาง สะอาด สะดวก สุขลักษณะ และสร้างนิสัย) หรือถ้ามอบหมายงานด้วยปากเปล่าเพียงอย่างเดียว อาจทำให้ข้อมูลผิดเพี้ยนหรืออาจจะพูดไปคนละเรื่อง ก็ควรจัดทำคู่มือในการทำงานเพื่อถ่ายทอดข้อมูลไปยังผู้รับได้อย่างถูกต้อง

ต่อไปมาดูตัวอย่างการทำไคเซ็นในสำนักงานกันสัก 2 เรื่องค่ะ

1.เติมเต็มชีวิตด้วยงานที่เป็นไปตามแผน
สมองของคนเราจะทำงานได้ดีในช่วงเช้ามากกว่าช่วงบ่าย หากเราทำงานประจำวัน (Routine Work) ในช่วงเช้า แล้วไปทำงานที่ใช้ความคิด (Knowledge Work) ในช่วงบ่ายเพื่อสร้างสรรค์งานดี ๆ โดยใช้สมองทำงานอย่างหนัก ประสิทธิภาพการทำงานจะไม่เพิ่มขึ้นอย่างที่คิดและอาจจะต้องทำงานล่วงเวลาในที่สุด

ดังนั้นควรจัดงานแต่ละประเภทลงในแผนงานให้เหมาะสม โดยจัดให้เริ่มทำงานที่ใช้ความคิดในช่วง 2 ชั่วโมง ตั้งแต่ 9 โมงเช้าและทำงานประจำวันตั้งแต่บ่าย 2 โมง-4 โมงเย็น สำหรับคนที่มีงานแทรกมาก ก็ควรเผื่อเวลาไว้สำหรับทำงานแทรกเหล่านั้นด้วย โดยดูจากการทำงานที่ผ่านมาว่างานแทรกมักจะเข้ามาในช่วงวันไหนและเวลาใด และที่สำคัญ เมื่อกำหนดแผนงานแล้ว ก็ต้องพยายามทำงานให้เสร็จตามแผนด้วย เพื่อกำจัดงานล่วงเวลาให้หมดไป

2. ถ้ากำหนดเวลาเลิกไว้ ก็จะกระตุ้นให้เกิดพลังได้ง่าย
การประชุมขององค์กรส่วนใหญ่มีความสูญเปล่าเกิดขึ้นมากมาย เช่น การประชุมที่ยืดเยื้อหลายชั่วโมงแถมยังหาข้อสรุปไม่ได้นั้นเป็นการใช้ต้นทุนที่สูญเปล่า เนื่องจากองค์กรต้องจ่ายเงินเดือนสำหรับเวลาที่ใช้ไปกับการประชุมที่ยืดเยื้อด้วย ถ้าคำนวณรายได้เป็นชั่วโมงของผู้เข้าร่วมประชุมแล้ว จะพบว่าองค์กรเสียค่าใช้จ่ายมหาศาล ดังนั้นจึงควรจัดประชุมในช่วงเช้า เพราะถ้าหากประชุมในช่วงเย็นจะทำให้รู้สึกว่าไม่ต้องกังวลกับสิ่งที่ต้องทำหลังจากนั้น จึงทำให้การประชุมยืดเยื้อได้ง่าย

นอกจากนี้หากจัดประชุมในช่วงเช้า สมองจะปลอดโปร่งและเกิดไอเดียดี ๆ ออกมาได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้นถ้ากำหนดเวลาเลิกประชุมไว้ จะกระตุ้นให้เกิดการหารือเพื่อหาข้อสรุปได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และอาจให้คนที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมโทรเข้ามาแจ้งว่า "อีกประมาณ 10 นาทีจะถึงเวลาเลิกประชุม" เป็นต้น

เห็นไหมคะว่า งานในสำนักงานที่ทำอยู่เป็นประจำนั้นมีความสูญเปล่าแอบแฝงอยู่มากมาย แต่ไม่ใช่เรื่องยากที่จะแก้ไข หากนำวิธีการทำไคเซ็นในหนังสือเล่มนี้ไปใช้

แล้วผลที่ได้จะสะสมกันเป็นผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ !!! ซึ่งทำให้พนักงานทำงานอย่างมีความสุข มีประสิทธิภาพ และลดความสูญเปล่าขององค์กรได้ในที่สุด

------------------------------------------------------------

พบกับ "แผนธุรกิจหน้าเดียว สุดยอดเทคนิคการนำเสนอแผนอย่างเหนือชั้น เร็ว ๆ นี้"

แวะชมรายละเอียดหนังสือใหม่ของสำนักพิมพ์ ส.ส.ท. ที่นี่






 

Create Date : 14 มิถุนายน 2554    
Last Update : 14 มิถุนายน 2554 16:36:41 น.
Counter : 51189 Pageviews.  

สอนเก่ง สอนเป็น : สอนให้ผู้เรียนเข้าใจ และ "เข้าถึงใจ" ผู้เรียน

สอนอย่างไรให้ผู้เรียนเข้าใจและ “เข้าถึงใจ” ผู้เรียน
ถ้าหากวันหนึ่งเราต้องไปสอนคน จะต้องมีคำถามต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นในใจอย่างแน่นอน
จะสอนอย่างไรให้เขาเข้าใจ ?
จะรับมือกับผู้เรียนเจ้าปัญหาได้อย่างไร ?
จะดึงความสนใจของผู้เรียนเอาไว้ตลอดชั่วโมงเรียนได้อย่างไร ?
วันนี้มีหนังสือที่ช่วยตอบคำถามเหล่านี้มาแนะนำค่ะ




สอนเก่ง สอนเป็น
โดย Tetsuya Yasukochi
แปลโดย รศ. ดร.ศักดา ดาดวง
จำนวนหน้า 240 หน้า


“สอนเก่ง สอนเป็น” เล่มนี้แนะนำเทคนิคการสอนภาคปฏิบัติที่นำไปใช้ได้จริง โดยครูผู้มีประสบการณ์ทำงานมากว่า 20 ปี และรักงานการสอนเป็นอย่างยิ่ง จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหา กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ และสร้างบรรยากาศในการเรียนที่สนุกสนาน

แต่ละหัวข้อเป็นหลักปฏิบัติและตัวอย่างจากประสบการณ์จริงในการสอนของผู้เขียน เพื่อให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับการสอนในสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งการเรียนในห้องเรียน การสอนงาน การบรรยาย การฝึกอบรม

มาดูเนื้อหาของแต่ละบทกันค่ะ
บทที่ 1 “การสอน” คืออะไร บอกถึงบทบาทที่ผู้สอนควรเป็น สิ่งที่ผู้สอนควรทำให้ได้ รวมถึงเรื่องของมุมมองด้วย เรียกได้ว่าเป็น “การเตรียมตัว” ให้พร้อมก่อนที่จะไปสอนนั่นเองค่ะ อย่างเช่น บทบาทที่ผู้สอนควรเป็นมี 5 อย่างด้วยกัน ได้แก่ นักวิชาการ นักแสดง หมอดู ศิลปิน และหมอรักษาโรค

บทที่ 2 วิธีการสอนให้ผู้เรียนเข้าใจ กล่าวถึงเทคนิคต่าง ๆ ในการถ่ายทอดเนื้อหาการสอนเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจ เช่น วิธีกำหนดขอบเขตเนื้อหาที่จะสอน วิธีการอธิบายแบบเชื่อมโยงเหตุและผล วิธีเสริมความจำ วิธีการพูดให้น่าฟัง รวมไปถึงวิธีการเตรียมเอกสารประกอบการเรียน

บทที่ 3 วิธีการสอนเพื่อสร้างความกระตือรือร้น เป็นเคล็ดลับในการทำให้ผู้เรียนสนใจการบรรยาย ดึงดูดให้อยากเรียน และสร้างความกระตือรือร้น เช่น 7 วิธีดึงดูดใจให้อยากเรียน การสร้างแรงบันดาลใจ การฝึกให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเองได้ การตำหนิที่ทำให้ผู้เรียนอยากเรียน เป็นต้น

บทที่ 4 วิธีการสอนให้เหมาะกับผู้เรียนแต่ละบุคลิก เนื่องจากผู้เรียนแต่ละคนย่อมมีบุคลิกลักษณะเฉพาะตัว ดังนั้นในบทนี้จึงแนะนำวิธีสอนที่เหมาะกับผู้เรียนแต่ละประเภท อย่างเช่น ผู้เรียนที่ไม่เคยมีคำถามเลย ผู้เรียนที่ถามตลอดเวลา ผู้เรียนที่มักจะมีคำถามว่า “ทำอย่างไรถึงจะเก่งขึ้น” ผู้เรียนประเภทที่สอนเท่าไรก็ทำไม่ได้ ผู้เรียนที่เชื่อมั่นในความคิดตนเองเป็นใหญ่

บทที่ 5 วิธีการสอนต่อหน้าฝูงชน แนะนำเทคนิคต่าง ๆ ในการสอนต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก เช่น วิธีการวางเนื้อหาให้น่าสนใจตั้งแต่ต้นจนจบ วิธีแก้อาการ “ตื่นเวที” วิธีการใช้สายตา วิธีการเขียนกระดาน และวิธีการเตรียมการนำเสนอด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นต้น

พูดถึงภาพรวมของหนังสือไปแล้ว ต่อไปลองมาดูตัวอย่างจากเนื้อหาบางหัวข้อกันสักหน่อยค่ะ

บทบาทต่าง ๆ ของผู้สอนที่กล่าวถึงในบทที่ 1 นั้น หลาย ๆ คนก็อาจจะพอจะนึกภาพออกได้ใช่ไหมคะว่าแต่ละบทบาทเป็นอย่างไรบ้าง แต่บทบาทหนึ่งที่คงจะทำให้หลายคนสงสัยว่า “เอ๊ะ ! มันเป็นยังไงนะ ?” ก็คงเป็นบทบาท “หมอดู” อย่างแน่นอน

บทบาทหมอดูของผู้สอนในหนังสือเล่มนี้ หมายความว่า ผู้สอนมีหน้าที่ต้องดูแลเรื่อง “กำลังใจ” ให้กับผู้เรียนด้วย โดยต้องทำให้ผู้เรียนมั่นใจว่า “ต้องประสบความสำเร็จแน่ ๆ !” ซึ่งเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าถึงความสำเร็จ เพื่อให้ความรู้สึกมั่นใจนี้ฝังลึกอยู่ในใจของผู้เรียน

อย่างเช่น ในกรณีที่ผู้เรียนมาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผู้สอนในฐานะผู้ให้คำปรึกษาต้องขจัดความรู้สึกกังวลและลังเลของผู้เรียนด้วยคำตอบว่า “ไม่มีปัญหา” หรือ “ไม่เป็นไร” ทันที

มาดูอีกสักเทคนิคหนึ่งเป็นตัวอย่างนะคะ

เมื่อถามผู้เรียนว่าเข้าใจไหม แล้วคำตอบที่ได้คือ “เข้าใจครับ” ก็อย่าเพิ่งเชื่อหรือปล่อยผ่านไป เพราะอาจจะเป็นเพียงการตอบตามมารยาทก็ได้ ! ถ้าลองให้ผู้เรียนทำข้อสอบวัดความรู้อาจจะทำได้เพียงแค่ 20-30%

ดังนั้นเมื่อสิ้นสุดการเรียนในแต่ละวันหรือก่อนที่จะเริ่มเรียนในครั้งต่อไป จึงต้องทดสอบผู้เรียนเพื่อค้นหาว่าผู้เรียน “รู้และเข้าใจจริงหรือไม่ ?” เรื่องไหนรู้และเข้าใจ แต่เรื่องไหนไม่รู้ไม่เข้าใจ

80% ของคำถามในแบบทดสอบจะเกี่ยวข้องกับบทเรียนที่ได้บรรยายไป และอีก 20% ของคำถามจะต้องอาศัยการวิเคราะห์ ประมวล และสังเคราะห์เนื้อหาที่ได้เรียนไป จึงจะตอบได้

ผู้เขียนแบ่งการทดสอบออกเป็น 2 รูปแบบ คือ การทดสอบแบบเป็นครั้ง ๆ และการทดสอบแบบสั่งสม

1. การทดสอบแบบเป็นครั้ง ๆ เป็นการทดสอบในขอบเขตเนื้อหาที่สอนในครั้งเดียว ไม่รวมถึงเนื้อหาที่เคยสอนไปในครั้งก่อน ๆ

2. การทดสอบแบบสั่งสม รูปแบบจะเป็นดังนี้ค่ะ
ครั้งแรกบรรยายเรื่อง A
ครั้งที่ 2 ตอนต้นชั่วโมงจะทดสอบเนื้อหา A ที่สอนไปเมื่อครั้งที่แล้ว แล้วจึงบรรยายเรื่อง B
ครั้งที่ 3 ตอนต้นชั่วโมงจะทดสอบทั้งเนื้อหา A และ B ที่สอนไปแล้ว แล้วจึงบรรยายเรื่อง C
ครั้งที่ 4 ตอนต้นชั่วโมง จะทดสอบเนื้อหาทั้ง A, B และ C
...
ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จะช่วยให้ความรู้สั่งสมเพิ่มขึ้นไปได้เรื่อย ๆ




แม้ว่าการทดสอบแบบสั่งสมความรู้จะทำให้ปริมาณเนื้อหาที่ต้องทบทวนมีมาก เรียกได้ว่าค่อนข้างหนักหนาสาหัสสำหรับผู้เรียน แต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องทำค่ะ เพราะประโยชน์ของการทดสอบแบบนี้ก็คือ ทำให้ได้ทบทวนเนื้อหาทั้งหมดที่เรียนไปอยู่เรื่อย ๆ นั่นเอง

ตัวอย่างที่ยกมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นนะคะ โปรดติดตามอีกหลาย ๆ เทคนิค แนวคิด แนวทางที่น่าสนใจ เพื่อการสอนที่สมบูรณ์ทั้งการพัฒนาความรู้ความสามารถของผู้เรียนและความสุขความสนุกสนานในการเรียนในเล่มจริงค่ะ


========================================

เชิญชมหนังสือใหม่ของสำนักพิมพ์ ส.ส.ท. ได้ที่เว็บไซต์ของสำนักพิมพ์ ส.ส.ท.







 

Create Date : 08 เมษายน 2554    
Last Update : 8 เมษายน 2554 17:20:55 น.
Counter : 8432 Pageviews.  

ข้ามขีดจำกัด ปลุกพลังยีน : ดึงศักยภาพได้อย่างไร้ขีดจำกัด

เมื่อเช้านี้ !!! งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 39 ได้เปิดอย่างเป็นทางการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งงานนี้จะพาทุกคนท่องไปในโลกแห่งการเรียนรู้และเติมเต็มไอเดียดี ๆ

วันนี้ เราก็มีหนังสือที่น่าสนใจซึ่งเป็นหนังสือใหม่ 1 ใน 5 เล่มของสำนักพิมพ์ ส.ส.ท. ที่เพิ่งคลอดออกมาสด ๆ ร้อน ๆ ซึ่งถือได้ว่าแจ้งเกิดในงานนี้โดยเฉพาะ นั่นก็คือหนังสือ "ข้ามขีดจำกัด ปลุกพลังยีน" เล่มนี้นี่เอง




ข้ามขีดจำกัด ปลุกพลังยีน
ผู้เขียน : Kazuo Murakami
ผู้แปล : ธนัญ พลแสน
จำนวนหน้า : 232 หน้า
ISBN : 9789744434357

หนังสือ "ข้ามขีดจำกัด ปลุกพลังยีน" เล่มนี้
นำเสนอวิธีคิดและใช้ชีวิตที่จะปลุกยีนดีให้ตื่นขึ้นและดึงศักยภาพในตัวคุณออกมาได้อย่างไร้ขีดจำกัด นอกจากคุณจะได้ตระหนักถึงความสามารถและคุณค่าของตนเองแล้ว คุณยังจะได้ตื่นตาไปกับความประณีตของธรรมชาติภายในตัวเราด้วย ถ่ายทอดโดยผู้เขียนซึ่งเป็นผู้คร่ำหวอดในแวดวงพันธุกรรมศาสตร์

คุณทราบหรือไม่ว่า...
ยีนไม่เพียงแต่เป็นตัวกลางที่ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากพ่อแม่สู่ลูก แต่ยังเกี่ยวข้องกับทุกกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตทั้งด้านชีวภาพ เช่น การหายใจหรือการนอนหลับ และด้านความรู้สึก เช่น ดีใจหรือกลุ้มใจ เป็นต้น

ยีนเปรียบเสมือนผู้บงการอันดับแรก เพราะร่างกายทำงานภายใต้คำสั่งของยีน นอกจากนี้ข้อมูลเทียบเท่าหนังสือหนา 1 พันหน้าจำนวน 3 พันเล่มยังเรียงร้อยอย่างสวยงามและน่าอัศจรรย์อยู่ภายในตัวเรา และโดยปกติ คนเราใช้ยีนในการสร้างโปรตีนเพียง 3 % เท่านั้น จึงทำให้ยีนอีก 97% ไม่ว่าจะเป็นยีนที่พึงประสงค์และไม่พึงประสงค์ยังหลับปุ๋ยอยู่ ศักยภาพในตัวเราจึงไม่เพิ่มขึ้น

คุณผู้อ่านหลายคนอาจจะคิดว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหมวดวิทยาศาสตร์ใช่ไหมล่ะคะ แต่ความจริงแล้วคือ หมวดจิตวิทยาพัฒนาตนเองที่รับรองได้ว่าต่างจากเล่มอื่นแน่นอนค่ะ

เอาล่ะ เรามาเข้าเนื้อหากันต่อดีกว่า...
แล้วจะต้องทำอย่างไรยีนดีจะตื่นและศักยภาพในตัวเรา ถึงจะเพิ่มขึ้น ??
ก่อนที่จะลองลงมือทำอะไรสักอย่าง คนส่วนใหญ่มักคิดว่า "ตนเองจะทำไม่สำเร็จ" หรือ "ทำไม่ได้" ก่อนเป็นอันดับแรก พูดง่าย ๆ ก็คือ ตีกรอบให้กับตนเอง หรือเวลาที่เห็นคนอื่นประสบความสำเร็จก็มักจะคิดว่า "พ่อแม่เขาเก่ง เขาก็เลยเก่ง แต่พ่อแม่เราไม่เก่ง เราก็เลยได้แค่นี้" กลับกลายเป็นโทษพ่อแม่อีก จึงทำให้ไม่ได้ลงมือทำสักทีและยังยึดติดอยู่กับตัวตนเดิม ๆ

ความคิดข้างต้นเป็นการคิดไปเอง เรียกง่าย ๆ ว่าหาข้ออ้างก็ได้ค่ะ จริง ๆ แล้วความสามารถต่าง ๆ มีอยู่ในตัวเราทุกคน เพียงแต่ไม่รู้วิธีนำมาออกใช้มากกว่า

ขอยกตัวอย่างคุณทาเทโนะ อิซุมิ นักเปียโนที่มีชื่อเสียงระดับโลกที่ต้องสูญเสียแขนขวาไป แต่ยังแสดงเปียโนด้วยมือซ้ายเพียงข้างเดียวจนถึงปัจจุบัน !!! นั่นแสดงให้เห็นว่า ความสามารถของมนุษย์นั้นไร้ขีดจำกัด เพราะกว่าครึ่งหนึ่งของ "ทำไม่ได้" คือ "ไม่ได้ทำ"

ดังนั้นอยากให้คิดว่ายีนในตัวเราทำงานเพียงแค่ 3% เท่านั้น แล้วลองคิดว่าเรื่องไหน ๆ ตัวเองก็ "ทำได้" ดู และในที่นี้ บ.ก. ขอยกตัวอย่างวิธีคิดและใช้ชีวิต เพื่อปลุกยีนดีให้ตื่นและศักยภาพเผยออกมาได้อย่างไร้ขีดจำกัดสัก 2 ตัวอย่างดังนี้

1. วิธีคิดเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ "เสียเปรียบ"
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนหรือการทำงาน คนเรามักจะต้องเจอคู่แข่งเป็นเรื่องธรรมดา คุณผู้อ่านคงจะทราบดีว่าถ้าเป็นกรณีที่ถูกคู่แข่งนำหน้าไปไกล เราจะรู้สึกหมดกำลังใจขนาดไหน แต่ถ้าลองปรับเปลี่ยนวิธีคิดว่า การแข่งขันครั้งนี้คืออะไรหรือผลลัพธ์ที่ได้จะมีประโยชน์ต่อคนรอบข้างแค่ไหน เราก็จะรู้สึกมีกำลังใจและกลับมาสู้อีกครั้ง ถ้าเป็นคู่แข่งที่เก่งกาจยิ่งเป็นประสบการณ์อันล้ำค่า แล้วเราก็จะลงมือทำอย่างเต็มที่และดีที่สุด

2. "เพื่อนรสนิยมคล้ายกัน" หรือจะสู้ "เพื่อนต่างนิสัย"
ในการทำงานร่วมกับผู้อื่น คนส่วนใหญ่มักเลือกคนที่มีนิสัยหรือความคิดที่คล้ายกันไว้ก่อน เพื่อให้ทำงานร่วมกันได้และไม่ถูกขัดแย้งจนเกินไป แต่ก็ใช่ว่าจะคบแต่กับคนที่เหมือนตัวเองเสมอไป หากเราลองหันมาคบคนที่มีนิสัยและความคิดที่แตกต่างกับเราดูบ้าง ก็จะพบว่าความสามารถของแต่ละคนเมื่อมาผนึกรวมกันจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้เป็นผลสำเร็จ และยังได้ไอเดียใหม่ ๆ จากเพื่อนใหม่ซึ่งจะทำให้เราเติบโตขึ้น

สิ่งที่หยิบมาเล่าให้ฟังข้างต้นเป็นเพียงเนื้อหาบางส่วน ยังมีวิธีคิดและใช้ชีวิตที่น่าสนใจอีกมากมาย หากคุณผู้อ่านคนไหนสนใจเชิญติดตามต่อได้ในเล่มค่ะ

เพราะเราสามารถกำหนดชีวิตและเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นไปตามที่ต้องการได้ไม่ว่าจะอายุเท่าไร !! หยุด “ปิดกั้น” ยีนแห่งความโชคดีและความสำเร็จของคุณ ปลุกยีนในตัวให้ตื่น เปิดยีนให้เต็มที่ เพราะบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ (Something Great) กำลังรอคุณอยู่






 

Create Date : 24 มีนาคม 2554    
Last Update : 17 มิถุนายน 2554 13:01:36 น.
Counter : 7039 Pageviews.  

อัจฉริยะสมองซีกซ้าย






แนะนำหนังสือเซียนตรรกะ อัจฉริยะสมองซีกซ้าย และหนังสือในกลุ่มคณิตศาสตร์ ของสำนักพิมพ์ ส.ส.ท. โดย
ดร.บัณฑิต โรจน์อารยานนท์ อดีตผู้อำนวยการสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น)
ออกอากาศในรายการสายตรง มสธ. ทางช่อง NBT




 

Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2554 13:38:27 น.
Counter : 1947 Pageviews.  

เพิ่มความสุข เพียงลดบางสิ่ง : แนวคิดเชิงบวกด้วยสูตรแห่งความสำเร็จเชิงลด

สวัสดีค่ะ
เดือนมกราคมเดือนแรกของปี 2554 ก็ผ่านไปได้ 2 สัปดาห์แล้วนะคะ
แต่ก็ยังไม่ช้าเกินไปนักที่จะเรียกว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้น

และตัว บ.ก. เองก็หวังให้ผู้อ่านเริ่มต้นอย่างมีความสุขและพบเจอกับสิ่งดี ๆ ไปตลอดปี

หนังสือที่หยิบมาแนะนำเป็นลำดับแรกของปีนี้จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับ “การก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความสุข” ค่ะ





เพิ่มความสุข เพียงลดบางสิ่ง
ผู้แต่ง: Mihiro Matsuda
ผู้แปล: ภัทราวรรณ ภาณุมาภรณ์
จำนวนหน้า: 152 หน้า
ISBN : 9789744434302

“...ผมคิดว่ามีคนไม่น้อยทีเดียวที่คิดว่า
ถ้าในวันนี้เติมบางอย่างลงไปในชีวิตบ้าง ก็คงจะประสบความสำเร็จ
เช่น มีวิชาความรู้ติดตัว มีคุณสมบัติเพียบพร้อม มีทรัพย์สินเงินทอง
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสูตรแห่งความสำเร็จเชิงบวก

แต่การเติมสิ่งต่าง ๆ ลงไปนั้น
กลับจะเป็นเสมือนเกราะที่ติดตัวเราตลอดเวลา
เกราะแห่งจิตใจหรือเกราะแห่งศาสตร์ความรู้
ยิ่งสวมก็ยิ่งไม่เห็นตัวตนข้างใน
จะขยับเขยื้อนก็อึดอัดเชื่องช้า

นับจากนี้ไปอาจจำเป็นต้องคิดสวนทางเสียที
เลิกบางสิ่ง
ทิ้งบางอย่าง
ยอมเสียอะไรไปบ้าง
สิ่งเหล่านี้เป็นสูตรแห่งความสำเร็จเชิงลบ
ไม่ใช่แนวคิดที่บวกเพิ่มขึ้น แต่เป็นแนวคิดที่ลบออกไป
ยิ่งลบออกไปมากเท่าไร
ก็จะยิ่งเหลือแต่เพียงคุณค่าอันแท้จริงเท่านั้น...”
(บางส่วนจากคำนำ)

เพิ่มความสุข เพียงลดบางสิ่ง เล่มนี้
นำเสนอแนวคิดเชิงบวกด้วยสูตรแห่งความสำเร็จเชิงลบ เพื่อสมดุลระหว่างความก้าวหน้าในงาน สายสัมพันธ์อันอบอุ่นกับคนรอบตัว และความสุขของตัวเอง สำหรับคนที่รู้สึกว่ากำลังพยายามเพิ่มอย่างทุ่มเทเพื่อตามให้ทันสังคมที่กำลังหมุนไปอย่างรวดเร็ว แต่ทั้งกายและใจกลับเหนื่อยล้าจนห่างไกลจากความสุขมากขึ้นทุกที ๆ

จากประสบการณ์จริงในการใช้ชีวิตและการทำงานของผู้เขียนที่เคยทุ่มเทกับทุกอย่าง แต่กลับกลายเป็นการฝืนจนเกินกำลัง จนในที่สุดต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองโดย “เลิกสิ่งที่ฝืน” แล้ว “เริ่มทำแต่สิ่งที่เป็นตัวเอง”

คำว่า “เชิงลบ” ใน “เพิ่มความสุข เพียงลดบางสิ่ง” เล่มนี้ หมายความว่าให้เราใช้ชีวิต ทั้งชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงานโดยไม่ต้องฝืนตัวเอง ด้วยการเลิก ทิ้ง หรือยอมเสียอะไรไปบ้าง เพราะเมื่อเรา “ละทิ้ง” หรือ “ลบ” สิ่งที่ไม่ใช่ตัวเราได้แล้ว เราก็จะสามารถเริ่มต้นสิ่งที่เป็นตัวเราและมีคุณค่าต่อตัวเราอย่างแท้จริงได้นั่นเองค่ะ

ในเล่มจะแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 บท ได้แก่ (1) เพื่อไปให้ถึงอนาคตตามอุดมคติของเรา (2) เพื่อให้ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้อย่างดีเยี่ยม และ (3) เพื่อรักตนเอง ซึ่งกล่าวถึง 3 ด้านในชีวิตของเรา นั่นก็คือการงาน ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง และความสุขของตัวเราเอง

โดยนำเสนอเป็น “พลังแห่งการเลิก” ซึ่งก็คือสิ่งที่เราควรเลิก คู่กับ “พลังแห่งการเริ่ม” ซึ่งก็คือสิ่งที่เราควรจะเริ่มหลังจากเลิกสิ่งนั้นได้แล้ว โดยจะแนะนำวิธีง่าย ๆ ที่จะใช้เป็นก้าวแรกในการเริ่มด้วย
มาดูตัวอย่างของแต่ละบทกันค่ะ

(1) เพื่อไปให้ถึงอนาคตตามอุดมคติของเรา

เลิก “ทำสิ่งที่ไม่ถนัด”
เราอาจจะเคยมีความรู้สึกทุกข์ใจเวลาที่ทำสิ่งที่ไม่ถนัดแล้วไม่สำเร็จ แต่ไม่ว่าใครก็ตามต่างก็มีข้อด้อยหรือสิ่งที่ไม่ถนัดกันทั้งนั้น ซึ่งสิ่งที่ไม่ถนัดนี่เองที่ทำให้เราไม่ก้าวหน้า

เราน่าจะมาต่อยอดสิ่งที่เราถนัดไปเรื่อย ๆ เสียก่อน จะดีกว่าเอาแต่ท้าทายในสิ่งที่เราไม่ถนัด

เริ่ม “หากลุ่มเพื่อน”
ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งที่ไม่ถนัดก็ได้ เพียงแค่หากลุ่มเพื่อนที่สามารถทำในสิ่งที่เราไม่ถนัดได้ แล้วร่วมกันสร้างทีมงานขึ้นมาก็เพียงพอแล้ว
ก้าวแห่งการเริ่ม “ลองเข้าร่วมชุมชนของเว็บไซต์สำหรับคนที่มีความสนใจเดียวกันหรือคนในแวดวงเดียวกันดู”

(2) เพื่อให้ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้อย่างดีเยี่ยม
เลิก “คิดว่าต้องช่วยมากมาย”
การสนับสนุนหรือช่วยเหลือใครอย่างสุดชีวิตนั้นเป็นสิ่งดีงาม แต่หากเราคิดว่า “ไม่มีเวลา” หรือ “จะหาเวลาที่ไหนมาช่วยได้” เราก็จะไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักอย่าง

เราอาจคิดว่าพวกเขาเหล่านั้นต้องการความช่วยเหลือเป็นอย่างมาก แต่ความจริงแล้ว การให้ความช่วยเหลือเพียงน้อยนิดก็เพียงพอแล้ว เช่น แค่เพียงแสดงความเห็นอกเห็นใจ อีกฝ่ายจะต้องดีใจอย่างแน่นอน

เริ่ม “ช่วยเพียงแค่ 1 นาที ก็ยังดี”
มาลองคิดหาวิธีการช่วยเหลือที่ใช้เวลาเพียงแค่ 1 นาทีเท่านั้น เช่น จะช่วยพูดให้ จะลองโทรศัพท์ถามให้ แนะนำใครสักคนให้ แท้จริงแล้วแม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เราก็สามารถทำอะไรได้หลายอย่าง

จงช่วยเหลือใครสักคนด้วยวิธีการที่แน่ใจว่าสามารถทำได้ในช่วงเวลาที่เราพร้อม
ก้าวแห่งการเริ่ม “ทำวันละเรื่อง เช่น ส่งอีเมลให้กำลังใจคนที่เราชื่นชอบกันเถอะ “

(3) เพื่อรักตนเอง
เลิก “ฝืนกำลังตัวเอง”
สมมติว่าถ้ามีทั้งเงิน เวลา และความเชื่อมั่นแล้ว เราคงคิดอยากหยุดทำบางสิ่งที่ทำอยู่และเริ่มทำอย่างอื่นบ้าง หากลองเปรียบเทียบชีวิตที่สมมตินั้นกับชีวิตจริงในตอนนี้แล้ว เราจะเริ่มเห็นว่าตัวเองกำลังฝืนทำอะไรอยู่บ้าง

แท้จริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องฝืน เพราะชีวิตเราไม่ได้มีไว้เพื่อคนอื่น แต่มีไว้เพื่อตัวเราเอง

เริ่ม “ทำไปตามธรรมชาติ”
เวลาที่เราเผยความเป็นตัวตนของเราออกมาคือความสำเร็จที่โชติช่วงชัชวาลที่สุด ไม่ต้องฝืนกำลังตัวเอง แค่ทำสิ่งที่เราคิดอยากจะทำเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

ถ้าทำสิ่งที่เป็นตัวตนของเราอย่างแท้จริงแล้ว ทั้งกายและใจของเราจะเป็นสุข
ก้าวแห่งการเริ่ม “เลิกทำอะไรที่ฝืนธรรมชาติตัวเองกันเถอะ”


ที่หยิบมาเล่านี้เป็นเพียงบางส่วนจากทั้งหมด 54 พลังแห่งการเลิก และ 54 พลังแห่งการเริ่ม ใน “เพิ่มความสุข เพียงลดบางสิ่ง” เท่านั้นค่ะ

ยังมีอีกหลายหัวข้อที่จะช่วยให้เราได้ปลดปล่อยตัวตนที่แท้จริง เลิกสิ่งที่ฝืนตัวเอง และเริ่มทำสิ่งที่เราทำได้อย่างเป็นธรรมชาติและสิ่งที่เป็นตัวเรา แต่จะมีเรื่องอะไรอีกบ้างนั้น เชิญติดตามต่อได้ในเล่มค่ะ


-----------------------------------------------------------------

แวะชมหนังสือใหม่ของ ส.ส.ท. ได้ที่นี่





 

Create Date : 18 มกราคม 2554    
Last Update : 18 มกราคม 2554 9:58:36 น.
Counter : 2875 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  

textbook
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 20 คน [?]




สำนักพิมพ์ ส.ส.ท. สรรค์สร้างสาระสู่สังคม
มุ่งมั่นผลิตตำราวิชาการและหนังสือเทคโนโลยีสาขาต่าง ๆ การบริหารจัดการ ด้านส่งเสริมการศึกษา เพื่อการพัฒนาตนเองและองค์กร สำหรับภาคการศึกษา ภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรม
Friends' blogs
[Add textbook's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.