ไคเซ็นในสำนักงาน : กำจัดความสูญเปล่าในองค์กรอย่างรอบด้านด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานรอบโต๊ะ
หากคุณตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ - หาเอกสารที่ต้องการใช้ไม่พบโดยเฉพาะเวลาที่เร่งรีบ - แม้โต๊ะทำงานจะเรียบร้อย แต่ก็เปลี่ยนเป็นรกรุงรังในเวลาอันรวดเร็ว - มีงานแทรกมากจนวางแผนการทำงานไม่ได้ - ช่วงปลายเดือน-ต้นเดือนมักต้องทำงานล่วงเวลา (Over Time) - ยุ่งจนไม่มีเวลาพัก - ความร่วมมือภายในฝ่ายหรือแผนกไม่ราบรื่น ฯลฯ ตัวอย่างข้างต้นเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่า การทำงานของคุณมีความสูญเปล่าแอบแฝงอยู่ นอกจากจะทำงานเสร็จไม่ทันตามกำหนดแล้ว ความกดดันจากการทำงานยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และอาจทำให้ตัวคุณและเพื่อนร่วมงานต้องทำงานล่วงเวลาอีกด้วย มากำจัดความสูญเปล่าของงานประจำวันในองค์กรอย่างรอบด้าน ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานรอบโต๊ะไปกับหนังสือ"ไคเซ็นในสำนักงาน" เล่มนี้กันนะคะ ไคเซ็นในสำนักงาน โดย : MIHOYO FUJII แปลและเรียบเรียงโดย : ดร. สุลภัส เครือกาญจนา หนา 208 หน้า"ไคเซ็นในสำนักงาน" เล่มนี้ นำเสนอวิธีปรับปรุง (ไคเซ็น) งานในสำนักงานอย่างรอบด้าน ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ช่วยให้สื่อสารกับกับเพื่อนร่วมงานได้อย่างราบรื่น และลดความสูญเปล่าในองค์กร ทำงานเสร็จทันกำหนดโดยไม่ต้องทำงานล่วงเวลา นำไปสู่ความสมดุลในชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวในที่สุด ผลงานโดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาไคเซ็นงานธุรการให้กับองค์กรต่าง ๆ ในญี่ปุ่นกว่า 800 แห่ง เนื้อหาของหนังสือทั้ง 6 บทมีดังนี้ค่ะ 1. ทำไคเซ็นเปลี่ยนรอบโต๊ะทำงานให้เป็นฐานยุทธศาสตร์ นำเสนอวิธีทำไคเซ็นเพื่อเปลี่ยนโต๊ะทำงานซึ่งเป็นเหมือนแนวหน้าของสนามรบให้เป็นฐานที่มั่นที่พร้อมรับมือกับงานต่าง ๆ ที่จะเข้ามาในแต่ละวัน เช่น การกำหนดตำแหน่งและสิ่งของที่ควรจะวางบนโต๊ะและในลิ้นชัก เพื่อให้หยิบออกมาใช้ได้ทันที 2. ทำไคเซ็น "เพิ่มพลังแผนการทำงาน" ให้งานรุดหน้า กล่าวถึงวิธีทำไคเซ็นโดยใช้การวางแผนการทำงานช่วยให้บริหารเวลาได้ลงตัวและกำจัดการทำงานล่วงเวลาให้หมดไป เช่น วางแผนงานก่อนที่จะลงมือทำงานในแต่ละวัน เพื่อให้ทำงานเสร็จทันเวลา ไม่ใช่ทำไปอย่างเรื่อยเปื่อย สำหรับคนที่งานยุ่งมาก ก็ควรใส่เวลาพักเบรกลงไปด้วยเพื่อให้ร่างกายและจิตใจได้ผ่อนคลาย 3. ทำไคเซ็นงานประจำวัน (Routine Work) ที่เต็มไปด้วยความสูญเปล่า งานที่คุณกำลังทำอยู่ที่ดูเหมือนเป็นเรื่องปกตินั้นจำเป็นจริงหรือไม่ มีขั้นตอนใดบ้างที่พอจะลดหรือเลิกเพื่อให้งานเสร็จเร็วขึ้นหรือช่วยลดค่าใช้จ่าย หรือการรับมือกับงานแทรกจากคนรอบข้างก็ช่วยลดความสูญเปล่าได้เช่นกัน เช่น ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจจะทำงานชิ้นนี้ให้เสร็จก่อนเที่ยง แต่หัวหน้าให้งานใหม่แทรกเข้ามา งานที่ทำอยู่จึงเสร็จไม่ทันเวลาที่กำหนดไว้ วิธีการไคเซ็นเพื่อลดปัญหานี้ก็คือ ติดแผนการทำงานไว้ที่บอร์ดของแผนก เพื่อให้หัวหน้ารับรู้แผนการทำงานของเราด้วย 4.ทำไคเซ็นกำจัดความสูญเปล่าที่เกิดขึ้นรอบคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์มีฟังก์ชันหรือโปรแกรมต่าง ๆ ที่ช่วยให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การใช้ Template (แม่แบบ) ช่วยในการจัดการเอกสาร หรือการเปลี่ยนจากการใช้เมาส์มาเป็นการใช้ Shortcut Key บนคีย์บอร์ด จะช่วยลดเวลาการทำงานลงได้มาก 5.ทำไคเซ็นกำจัดความสูญเปล่าของการสื่อสาร การสื่อสารหรือประสานงานกับคนรอบข้างที่ไม่ราบรื่นทำให้เกิดความสูญเปล่าขึ้น การทำไคเซ็นช่วยคุณแก้ปัญหาการสื่อสารได้ เช่น หากฟังคำสั่งของหัวหน้าแล้วไม่เข้าใจ ให้ใช้หลักการตั้งคำถามถึงรายละเอียด 4 เรื่อง ดังนี้ (1) ความเป็นมาของงาน (2) กำหนดเวลาส่งงาน (3) จุดมุ่งหมายของงาน (4) รูปแบบหรือวิธีการทำงาน 6.ทำไคเซ็นกำจัดความสูญเปล่าขององค์กร กิจกรรมต่าง ๆ ในสำนักงานมีความสูญเปล่าเกิดขึ้นมากมาย เช่น ความสูญเปล่าของพื้นที่ที่เกิดจากสิ่งของประเภทเดียวกันอยู่กระจัดกระจายหลายแห่ง ซึ่งสามารถกำจัดให้หมดไปได้ด้วยกิจกรรม 5 ส (สะสาง สะอาด สะดวก สุขลักษณะ และสร้างนิสัย) หรือถ้ามอบหมายงานด้วยปากเปล่าเพียงอย่างเดียว อาจทำให้ข้อมูลผิดเพี้ยนหรืออาจจะพูดไปคนละเรื่อง ก็ควรจัดทำคู่มือในการทำงานเพื่อถ่ายทอดข้อมูลไปยังผู้รับได้อย่างถูกต้อง ต่อไปมาดูตัวอย่างการทำไคเซ็นในสำนักงานกันสัก 2 เรื่องค่ะ1.เติมเต็มชีวิตด้วยงานที่เป็นไปตามแผน สมองของคนเราจะทำงานได้ดีในช่วงเช้ามากกว่าช่วงบ่าย หากเราทำงานประจำวัน (Routine Work) ในช่วงเช้า แล้วไปทำงานที่ใช้ความคิด (Knowledge Work) ในช่วงบ่ายเพื่อสร้างสรรค์งานดี ๆ โดยใช้สมองทำงานอย่างหนัก ประสิทธิภาพการทำงานจะไม่เพิ่มขึ้นอย่างที่คิดและอาจจะต้องทำงานล่วงเวลาในที่สุด ดังนั้นควรจัดงานแต่ละประเภทลงในแผนงานให้เหมาะสม โดยจัดให้เริ่มทำงานที่ใช้ความคิดในช่วง 2 ชั่วโมง ตั้งแต่ 9 โมงเช้าและทำงานประจำวันตั้งแต่บ่าย 2 โมง-4 โมงเย็น สำหรับคนที่มีงานแทรกมาก ก็ควรเผื่อเวลาไว้สำหรับทำงานแทรกเหล่านั้นด้วย โดยดูจากการทำงานที่ผ่านมาว่างานแทรกมักจะเข้ามาในช่วงวันไหนและเวลาใด และที่สำคัญ เมื่อกำหนดแผนงานแล้ว ก็ต้องพยายามทำงานให้เสร็จตามแผนด้วย เพื่อกำจัดงานล่วงเวลาให้หมดไป2. ถ้ากำหนดเวลาเลิกไว้ ก็จะกระตุ้นให้เกิดพลังได้ง่าย การประชุมขององค์กรส่วนใหญ่มีความสูญเปล่าเกิดขึ้นมากมาย เช่น การประชุมที่ยืดเยื้อหลายชั่วโมงแถมยังหาข้อสรุปไม่ได้นั้นเป็นการใช้ต้นทุนที่สูญเปล่า เนื่องจากองค์กรต้องจ่ายเงินเดือนสำหรับเวลาที่ใช้ไปกับการประชุมที่ยืดเยื้อด้วย ถ้าคำนวณรายได้เป็นชั่วโมงของผู้เข้าร่วมประชุมแล้ว จะพบว่าองค์กรเสียค่าใช้จ่ายมหาศาล ดังนั้นจึงควรจัดประชุมในช่วงเช้า เพราะถ้าหากประชุมในช่วงเย็นจะทำให้รู้สึกว่าไม่ต้องกังวลกับสิ่งที่ต้องทำหลังจากนั้น จึงทำให้การประชุมยืดเยื้อได้ง่าย นอกจากนี้หากจัดประชุมในช่วงเช้า สมองจะปลอดโปร่งและเกิดไอเดียดี ๆ ออกมาได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้นถ้ากำหนดเวลาเลิกประชุมไว้ จะกระตุ้นให้เกิดการหารือเพื่อหาข้อสรุปได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และอาจให้คนที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมโทรเข้ามาแจ้งว่า "อีกประมาณ 10 นาทีจะถึงเวลาเลิกประชุม" เป็นต้น เห็นไหมคะว่า งานในสำนักงานที่ทำอยู่เป็นประจำนั้นมีความสูญเปล่าแอบแฝงอยู่มากมาย แต่ไม่ใช่เรื่องยากที่จะแก้ไข หากนำวิธีการทำไคเซ็นในหนังสือเล่มนี้ไปใช้ แล้วผลที่ได้จะสะสมกันเป็นผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ !!! ซึ่งทำให้พนักงานทำงานอย่างมีความสุข มีประสิทธิภาพ และลดความสูญเปล่าขององค์กรได้ในที่สุด ------------------------------------------------------------พบกับ "แผนธุรกิจหน้าเดียว สุดยอดเทคนิคการนำเสนอแผนอย่างเหนือชั้น เร็ว ๆ นี้" แวะชมรายละเอียดหนังสือใหม่ของสำนักพิมพ์ ส.ส.ท. ที่นี่
Create Date : 14 มิถุนายน 2554
Last Update : 14 มิถุนายน 2554 16:36:41 น.
Counter : 51189 Pageviews.
สอนเก่ง สอนเป็น : สอนให้ผู้เรียนเข้าใจ และ "เข้าถึงใจ" ผู้เรียน
สอนอย่างไรให้ผู้เรียนเข้าใจและ เข้าถึงใจ ผู้เรียน ถ้าหากวันหนึ่งเราต้องไปสอนคน จะต้องมีคำถามต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นในใจอย่างแน่นอน จะสอนอย่างไรให้เขาเข้าใจ ? จะรับมือกับผู้เรียนเจ้าปัญหาได้อย่างไร ? จะดึงความสนใจของผู้เรียนเอาไว้ตลอดชั่วโมงเรียนได้อย่างไร ? วันนี้มีหนังสือที่ช่วยตอบคำถามเหล่านี้มาแนะนำค่ะ สอนเก่ง สอนเป็น โดย Tetsuya Yasukochi แปลโดย รศ. ดร.ศักดา ดาดวง จำนวนหน้า 240 หน้า สอนเก่ง สอนเป็น เล่มนี้แนะนำเทคนิคการสอนภาคปฏิบัติที่นำไปใช้ได้จริง โดยครูผู้มีประสบการณ์ทำงานมากว่า 20 ปี และรักงานการสอนเป็นอย่างยิ่ง จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหา กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ และสร้างบรรยากาศในการเรียนที่สนุกสนาน แต่ละหัวข้อเป็นหลักปฏิบัติและตัวอย่างจากประสบการณ์จริงในการสอนของผู้เขียน เพื่อให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับการสอนในสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งการเรียนในห้องเรียน การสอนงาน การบรรยาย การฝึกอบรม มาดูเนื้อหาของแต่ละบทกันค่ะบทที่ 1 การสอน คืออะไร บอกถึงบทบาทที่ผู้สอนควรเป็น สิ่งที่ผู้สอนควรทำให้ได้ รวมถึงเรื่องของมุมมองด้วย เรียกได้ว่าเป็น การเตรียมตัว ให้พร้อมก่อนที่จะไปสอนนั่นเองค่ะ อย่างเช่น บทบาทที่ผู้สอนควรเป็นมี 5 อย่างด้วยกัน ได้แก่ นักวิชาการ นักแสดง หมอดู ศิลปิน และหมอรักษาโรค บทที่ 2 วิธีการสอนให้ผู้เรียนเข้าใจ กล่าวถึงเทคนิคต่าง ๆ ในการถ่ายทอดเนื้อหาการสอนเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจ เช่น วิธีกำหนดขอบเขตเนื้อหาที่จะสอน วิธีการอธิบายแบบเชื่อมโยงเหตุและผล วิธีเสริมความจำ วิธีการพูดให้น่าฟัง รวมไปถึงวิธีการเตรียมเอกสารประกอบการเรียน บทที่ 3 วิธีการสอนเพื่อสร้างความกระตือรือร้น เป็นเคล็ดลับในการทำให้ผู้เรียนสนใจการบรรยาย ดึงดูดให้อยากเรียน และสร้างความกระตือรือร้น เช่น 7 วิธีดึงดูดใจให้อยากเรียน การสร้างแรงบันดาลใจ การฝึกให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเองได้ การตำหนิที่ทำให้ผู้เรียนอยากเรียน เป็นต้น บทที่ 4 วิธีการสอนให้เหมาะกับผู้เรียนแต่ละบุคลิก เนื่องจากผู้เรียนแต่ละคนย่อมมีบุคลิกลักษณะเฉพาะตัว ดังนั้นในบทนี้จึงแนะนำวิธีสอนที่เหมาะกับผู้เรียนแต่ละประเภท อย่างเช่น ผู้เรียนที่ไม่เคยมีคำถามเลย ผู้เรียนที่ถามตลอดเวลา ผู้เรียนที่มักจะมีคำถามว่า ทำอย่างไรถึงจะเก่งขึ้น ผู้เรียนประเภทที่สอนเท่าไรก็ทำไม่ได้ ผู้เรียนที่เชื่อมั่นในความคิดตนเองเป็นใหญ่ บทที่ 5 วิธีการสอนต่อหน้าฝูงชน แนะนำเทคนิคต่าง ๆ ในการสอนต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก เช่น วิธีการวางเนื้อหาให้น่าสนใจตั้งแต่ต้นจนจบ วิธีแก้อาการ ตื่นเวที วิธีการใช้สายตา วิธีการเขียนกระดาน และวิธีการเตรียมการนำเสนอด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นต้น พูดถึงภาพรวมของหนังสือไปแล้ว ต่อไปลองมาดูตัวอย่างจากเนื้อหาบางหัวข้อกันสักหน่อยค่ะ บทบาทต่าง ๆ ของผู้สอนที่กล่าวถึงในบทที่ 1 นั้น หลาย ๆ คนก็อาจจะพอจะนึกภาพออกได้ใช่ไหมคะว่าแต่ละบทบาทเป็นอย่างไรบ้าง แต่บทบาทหนึ่งที่คงจะทำให้หลายคนสงสัยว่า เอ๊ะ ! มันเป็นยังไงนะ ? ก็คงเป็นบทบาท หมอดู อย่างแน่นอน บทบาทหมอดูของผู้สอนในหนังสือเล่มนี้ หมายความว่า ผู้สอนมีหน้าที่ต้องดูแลเรื่อง กำลังใจ ให้กับผู้เรียนด้วย โดยต้องทำให้ผู้เรียนมั่นใจว่า ต้องประสบความสำเร็จแน่ ๆ ! ซึ่งเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้า ถึงความสำเร็จ เพื่อให้ความรู้สึกมั่นใจนี้ฝังลึกอยู่ในใจของผู้เรียน อย่างเช่น ในกรณีที่ผู้เรียนมาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผู้สอนในฐานะผู้ให้คำปรึกษาต้องขจัดความรู้สึกกังวลและลังเลของผู้เรียนด้วยคำตอบว่า ไม่มีปัญหา หรือ ไม่เป็นไร ทันที มาดูอีกสักเทคนิคหนึ่งเป็นตัวอย่างนะคะ เมื่อถามผู้เรียนว่าเข้าใจไหม แล้วคำตอบที่ได้คือ เข้าใจครับ ก็อย่าเพิ่งเชื่อหรือปล่อยผ่านไป เพราะอาจจะเป็นเพียงการตอบตามมารยาทก็ได้ ! ถ้าลองให้ผู้เรียนทำข้อสอบวัดความรู้อาจจะทำได้เพียงแค่ 20-30% ดังนั้นเมื่อสิ้นสุดการเรียนในแต่ละวันหรือก่อนที่จะเริ่มเรียนในครั้งต่อไป จึงต้องทดสอบผู้เรียนเพื่อค้นหาว่าผู้เรียน รู้และเข้าใจจริงหรือไม่ ? เรื่องไหนรู้และเข้าใจ แต่เรื่องไหนไม่รู้ไม่เข้าใจ 80% ของคำถามในแบบทดสอบจะเกี่ยวข้องกับบทเรียนที่ได้บรรยายไป และอีก 20% ของคำถามจะต้องอาศัยการวิเคราะห์ ประมวล และสังเคราะห์เนื้อหาที่ได้เรียนไป จึงจะตอบได้ ผู้เขียนแบ่งการทดสอบออกเป็น 2 รูปแบบ คือ การทดสอบแบบเป็นครั้ง ๆ และการทดสอบแบบสั่งสม 1. การทดสอบแบบเป็นครั้ง ๆ เป็นการทดสอบในขอบเขตเนื้อหาที่สอนในครั้งเดียว ไม่รวมถึงเนื้อหาที่เคยสอนไปในครั้งก่อน ๆ2. การทดสอบแบบสั่งสม รูปแบบจะเป็นดังนี้ค่ะ ครั้งแรกบรรยายเรื่อง A ครั้งที่ 2 ตอนต้นชั่วโมงจะทดสอบเนื้อหา A ที่สอนไปเมื่อครั้งที่แล้ว แล้วจึงบรรยายเรื่อง B ครั้งที่ 3 ตอนต้นชั่วโมงจะทดสอบทั้งเนื้อหา A และ B ที่สอนไปแล้ว แล้วจึงบรรยายเรื่อง C ครั้งที่ 4 ตอนต้นชั่วโมง จะทดสอบเนื้อหาทั้ง A, B และ C ... ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จะช่วยให้ความรู้สั่งสมเพิ่มขึ้นไปได้เรื่อย ๆ แม้ว่าการทดสอบแบบสั่งสมความรู้จะทำให้ปริมาณเนื้อหาที่ต้องทบทวนมีมาก เรียกได้ว่าค่อนข้างหนักหนาสาหัสสำหรับผู้เรียน แต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องทำค่ะ เพราะประโยชน์ของการทดสอบแบบนี้ก็คือ ทำให้ได้ทบทวนเนื้อหาทั้งหมดที่เรียนไปอยู่เรื่อย ๆ นั่นเอง ตัวอย่างที่ยกมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นนะคะ โปรดติดตามอีกหลาย ๆ เทคนิค แนวคิด แนวทางที่น่าสนใจ เพื่อการสอนที่สมบูรณ์ทั้งการพัฒนาความรู้ความสามารถของผู้เรียนและความสุขความสนุกสนานในการเรียนในเล่มจริงค่ะ ======================================== เชิญชมหนังสือใหม่ของสำนักพิมพ์ ส.ส.ท. ได้ที่เว็บไซต์ของสำนักพิมพ์ ส.ส.ท.
Create Date : 08 เมษายน 2554
Last Update : 8 เมษายน 2554 17:20:55 น.
Counter : 8432 Pageviews.
ข้ามขีดจำกัด ปลุกพลังยีน : ดึงศักยภาพได้อย่างไร้ขีดจำกัด
เมื่อเช้านี้ !!! งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 39 ได้เปิดอย่างเป็นทางการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งงานนี้จะพาทุกคนท่องไปในโลกแห่งการเรียนรู้และเติมเต็มไอเดียดี ๆ วันนี้ เราก็มีหนังสือที่น่าสนใจซึ่งเป็นหนังสือใหม่ 1 ใน 5 เล่มของสำนักพิมพ์ ส.ส.ท. ที่เพิ่งคลอดออกมาสด ๆ ร้อน ๆ ซึ่งถือได้ว่าแจ้งเกิดในงานนี้โดยเฉพาะ นั่นก็คือหนังสือ "ข้ามขีดจำกัด ปลุกพลังยีน" เล่มนี้นี่เองข้ามขีดจำกัด ปลุกพลังยีน ผู้เขียน : Kazuo Murakami ผู้แปล : ธนัญ พลแสน จำนวนหน้า : 232 หน้า ISBN : 9789744434357 หนังสือ "ข้ามขีดจำกัด ปลุกพลังยีน " เล่มนี้ นำเสนอวิธีคิดและใช้ชีวิตที่จะปลุกยีนดีให้ตื่นขึ้นและดึงศักยภาพในตัวคุณออกมาได้อย่างไร้ขีดจำกัด นอกจากคุณจะได้ตระหนักถึงความสามารถและคุณค่าของตนเองแล้ว คุณยังจะได้ตื่นตาไปกับความประณีตของธรรมชาติภายในตัวเราด้วย ถ่ายทอดโดยผู้เขียนซึ่งเป็นผู้คร่ำหวอดในแวดวงพันธุกรรมศาสตร์คุณทราบหรือไม่ว่า... ยีนไม่เพียงแต่เป็นตัวกลางที่ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากพ่อแม่สู่ลูก แต่ยังเกี่ยวข้องกับทุกกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตทั้งด้านชีวภาพ เช่น การหายใจหรือการนอนหลับ และด้านความรู้สึก เช่น ดีใจหรือกลุ้มใจ เป็นต้น ยีนเปรียบเสมือนผู้บงการอันดับแรก เพราะร่างกายทำงานภายใต้คำสั่งของยีน นอกจากนี้ข้อมูลเทียบเท่าหนังสือหนา 1 พันหน้าจำนวน 3 พันเล่มยังเรียงร้อยอย่างสวยงามและน่าอัศจรรย์อยู่ภายในตัวเรา และโดยปกติ คนเราใช้ยีนในการสร้างโปรตีนเพียง 3 % เท่านั้น จึงทำให้ยีนอีก 97% ไม่ว่าจะเป็นยีนที่พึงประสงค์และไม่พึงประสงค์ยังหลับปุ๋ยอยู่ ศักยภาพในตัวเราจึงไม่เพิ่มขึ้น คุณผู้อ่านหลายคนอาจจะคิดว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหมวดวิทยาศาสตร์ใช่ไหมล่ะคะ แต่ความจริงแล้วคือ หมวดจิตวิทยาพัฒนาตนเองที่รับรองได้ว่าต่างจากเล่มอื่นแน่นอนค่ะ เอาล่ะ เรามาเข้าเนื้อหากันต่อดีกว่า...แล้วจะต้องทำอย่างไรยีนดีจะตื่นและศักยภาพในตัวเรา ถึงจะเพิ่มขึ้น ?? ก่อนที่จะลองลงมือทำอะไรสักอย่าง คนส่วนใหญ่มักคิดว่า "ตนเองจะทำไม่สำเร็จ" หรือ "ทำไม่ได้" ก่อนเป็นอันดับแรก พูดง่าย ๆ ก็คือ ตีกรอบให้กับตนเอง หรือเวลาที่เห็นคนอื่นประสบความสำเร็จก็มักจะคิดว่า "พ่อแม่เขาเก่ง เขาก็เลยเก่ง แต่พ่อแม่เราไม่เก่ง เราก็เลยได้แค่นี้" กลับกลายเป็นโทษพ่อแม่อีก จึงทำให้ไม่ได้ลงมือทำสักทีและยังยึดติดอยู่กับตัวตนเดิม ๆ ความคิดข้างต้นเป็นการคิดไปเอง เรียกง่าย ๆ ว่าหาข้ออ้างก็ได้ค่ะ จริง ๆ แล้วความสามารถต่าง ๆ มีอยู่ในตัวเราทุกคน เพียงแต่ไม่รู้วิธีนำมาออกใช้มากกว่า ขอยกตัวอย่างคุณทาเทโนะ อิซุมิ นักเปียโนที่มีชื่อเสียงระดับโลกที่ต้องสูญเสียแขนขวาไป แต่ยังแสดงเปียโนด้วยมือซ้ายเพียงข้างเดียวจนถึงปัจจุบัน !!! นั่นแสดงให้เห็นว่า ความสามารถของมนุษย์นั้นไร้ขีดจำกัด เพราะกว่าครึ่งหนึ่งของ "ทำไม่ได้" คือ "ไม่ได้ทำ" ดังนั้นอยากให้คิดว่ายีนในตัวเราทำงานเพียงแค่ 3% เท่านั้น แล้วลองคิดว่าเรื่องไหน ๆ ตัวเองก็ "ทำได้" ดู และในที่นี้ บ.ก. ขอยกตัวอย่างวิธีคิดและใช้ชีวิต เพื่อปลุกยีนดีให้ตื่นและศักยภาพเผยออกมาได้อย่างไร้ขีดจำกัดสัก 2 ตัวอย่างดังนี้ 1. วิธีคิดเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ "เสียเปรียบ" ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนหรือการทำงาน คนเรามักจะต้องเจอคู่แข่งเป็นเรื่องธรรมดา คุณผู้อ่านคงจะทราบดีว่าถ้าเป็นกรณีที่ถูกคู่แข่งนำหน้าไปไกล เราจะรู้สึกหมดกำลังใจขนาดไหน แต่ถ้าลองปรับเปลี่ยนวิธีคิดว่า การแข่งขันครั้งนี้คืออะไรหรือผลลัพธ์ที่ได้จะมีประโยชน์ต่อคนรอบข้างแค่ไหน เราก็จะรู้สึกมีกำลังใจและกลับมาสู้อีกครั้ง ถ้าเป็นคู่แข่งที่เก่งกาจยิ่งเป็นประสบการณ์อันล้ำค่า แล้วเราก็จะลงมือทำอย่างเต็มที่และดีที่สุด 2. "เพื่อนรสนิยมคล้ายกัน" หรือจะสู้ "เพื่อนต่างนิสัย" ในการทำงานร่วมกับผู้อื่น คนส่วนใหญ่มักเลือกคนที่มีนิสัยหรือความคิดที่คล้ายกันไว้ก่อน เพื่อให้ทำงานร่วมกันได้และไม่ถูกขัดแย้งจนเกินไป แต่ก็ใช่ว่าจะคบแต่กับคนที่เหมือนตัวเองเสมอไป หากเราลองหันมาคบคนที่มีนิสัยและความคิดที่แตกต่างกับเราดูบ้าง ก็จะพบว่าความสามารถของแต่ละคนเมื่อมาผนึกรวมกันจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้เป็นผลสำเร็จ และยังได้ไอเดียใหม่ ๆ จากเพื่อนใหม่ซึ่งจะทำให้เราเติบโตขึ้น สิ่งที่หยิบมาเล่าให้ฟังข้างต้นเป็นเพียงเนื้อหาบางส่วน ยังมีวิธีคิดและใช้ชีวิตที่น่าสนใจอีกมากมาย หากคุณผู้อ่านคนไหนสนใจเชิญติดตามต่อได้ในเล่มค่ะ เพราะเราสามารถกำหนดชีวิตและเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นไปตามที่ต้องการได้ไม่ว่าจะอายุเท่าไร !! หยุด “ปิดกั้น” ยีนแห่งความโชคดีและความสำเร็จของคุณ ปลุกยีนในตัวให้ตื่น เปิดยีนให้เต็มที่ เพราะบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ (Something Great) กำลังรอคุณอยู่
Create Date : 24 มีนาคม 2554
Last Update : 17 มิถุนายน 2554 13:01:36 น.
Counter : 7039 Pageviews.
อัจฉริยะสมองซีกซ้าย
แนะนำหนังสือเซียนตรรกะ อัจฉริยะสมองซีกซ้าย และหนังสือในกลุ่มคณิตศาสตร์ ของสำนักพิมพ์ ส.ส.ท. โดย ดร.บัณฑิต โรจน์อารยานนท์ อดีตผู้อำนวยการสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น) ออกอากาศในรายการสายตรง มสธ. ทางช่อง NBT
Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2554 13:38:27 น.
Counter : 1947 Pageviews.
เพิ่มความสุข เพียงลดบางสิ่ง : แนวคิดเชิงบวกด้วยสูตรแห่งความสำเร็จเชิงลด
สวัสดีค่ะ เดือนมกราคมเดือนแรกของปี 2554 ก็ผ่านไปได้ 2 สัปดาห์แล้วนะคะ แต่ก็ยังไม่ช้าเกินไปนักที่จะเรียกว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้น และตัว บ.ก. เองก็หวังให้ผู้อ่านเริ่มต้นอย่างมีความสุขและพบเจอกับสิ่งดี ๆ ไปตลอดปี หนังสือที่หยิบมาแนะนำเป็นลำดับแรกของปีนี้จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับ การก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความสุข ค่ะ เพิ่มความสุข เพียงลดบางสิ่ง ผู้แต่ง: Mihiro Matsuda ผู้แปล: ภัทราวรรณ ภาณุมาภรณ์ จำนวนหน้า: 152 หน้า ISBN : 9789744434302 ...ผมคิดว่ามีคนไม่น้อยทีเดียวที่คิดว่า ถ้าในวันนี้เติมบางอย่างลงไปในชีวิตบ้าง ก็คงจะประสบความสำเร็จ เช่น มีวิชาความรู้ติดตัว มีคุณสมบัติเพียบพร้อม มีทรัพย์สินเงินทอง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสูตรแห่งความสำเร็จเชิงบวก แต่การเติมสิ่งต่าง ๆ ลงไปนั้น กลับจะเป็นเสมือนเกราะที่ติดตัวเราตลอดเวลา เกราะแห่งจิตใจหรือเกราะแห่งศาสตร์ความรู้ ยิ่งสวมก็ยิ่งไม่เห็นตัวตนข้างใน จะขยับเขยื้อนก็อึดอัดเชื่องช้า นับจากนี้ไปอาจจำเป็นต้องคิดสวนทางเสียที เลิกบางสิ่ง ทิ้งบางอย่าง ยอมเสียอะไรไปบ้าง สิ่งเหล่านี้เป็นสูตรแห่งความสำเร็จเชิงลบ ไม่ใช่แนวคิดที่บวกเพิ่มขึ้น แต่เป็นแนวคิดที่ลบออกไป ยิ่งลบออกไปมากเท่าไร ก็จะยิ่งเหลือแต่เพียงคุณค่าอันแท้จริงเท่านั้น...(บางส่วนจากคำนำ) เพิ่มความสุข เพียงลดบางสิ่ง เล่มนี้ นำเสนอแนวคิดเชิงบวกด้วยสูตรแห่งความสำเร็จเชิงลบ เพื่อสมดุลระหว่างความก้าวหน้าในงาน สายสัมพันธ์อันอบอุ่นกับคนรอบตัว และความสุขของตัวเอง สำหรับคนที่รู้สึกว่ากำลังพยายามเพิ่มอย่างทุ่มเทเพื่อตามให้ทันสังคมที่กำลังหมุนไปอย่างรวดเร็ว แต่ทั้งกายและใจกลับเหนื่อยล้าจนห่างไกลจากความสุขมากขึ้นทุกที ๆ จากประสบการณ์จริงในการใช้ชีวิตและการทำงานของผู้เขียนที่เคยทุ่มเทกับทุกอย่าง แต่กลับกลายเป็นการฝืนจนเกินกำลัง จนในที่สุดต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองโดย เลิกสิ่งที่ฝืน แล้ว เริ่มทำแต่สิ่งที่เป็นตัวเอง คำว่า เชิงลบ ใน เพิ่มความสุข เพียงลดบางสิ่ง เล่มนี้ หมายความว่าให้เราใช้ชีวิต ทั้งชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงานโดยไม่ต้องฝืนตัวเอง ด้วยการเลิก ทิ้ง หรือยอมเสียอะไรไปบ้าง เพราะเมื่อเรา ละทิ้ง หรือ ลบ สิ่งที่ไม่ใช่ตัวเราได้แล้ว เราก็จะสามารถเริ่มต้นสิ่งที่เป็นตัวเราและมีคุณค่าต่อตัวเราอย่างแท้จริงได้นั่นเองค่ะ ในเล่มจะแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 บท ได้แก่ (1) เพื่อไปให้ถึงอนาคตตามอุดมคติของเรา (2) เพื่อให้ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้อย่างดีเยี่ยม และ (3) เพื่อรักตนเอง ซึ่งกล่าวถึง 3 ด้านในชีวิตของเรา นั่นก็คือการงาน ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง และความสุขของตัวเราเอง โดยนำเสนอเป็น พลังแห่งการเลิก ซึ่งก็คือสิ่งที่เราควรเลิก คู่กับ พลังแห่งการเริ่ม ซึ่งก็คือสิ่งที่เราควรจะเริ่มหลังจากเลิกสิ่งนั้นได้แล้ว โดยจะแนะนำวิธีง่าย ๆ ที่จะใช้เป็นก้าวแรกในการเริ่มด้วย มาดูตัวอย่างของแต่ละบทกันค่ะ(1) เพื่อไปให้ถึงอนาคตตามอุดมคติของเรา
เลิก ทำสิ่งที่ไม่ถนัด เราอาจจะเคยมีความรู้สึกทุกข์ใจเวลาที่ทำสิ่งที่ไม่ถนัดแล้วไม่สำเร็จ แต่ไม่ว่าใครก็ตามต่างก็มีข้อด้อยหรือสิ่งที่ไม่ถนัดกันทั้งนั้น ซึ่งสิ่งที่ไม่ถนัดนี่เองที่ทำให้เราไม่ก้าวหน้า เราน่าจะมาต่อยอดสิ่งที่เราถนัดไปเรื่อย ๆ เสียก่อน จะดีกว่าเอาแต่ท้าทายในสิ่งที่เราไม่ถนัดเริ่ม หากลุ่มเพื่อน ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งที่ไม่ถนัดก็ได้ เพียงแค่หากลุ่มเพื่อนที่สามารถทำในสิ่งที่เราไม่ถนัดได้ แล้วร่วมกันสร้างทีมงานขึ้นมาก็เพียงพอแล้ว ก้าวแห่งการเริ่ม ลองเข้าร่วมชุมชนของเว็บไซต์สำหรับคนที่มีความสนใจเดียวกันหรือคนในแวดวงเดียวกันดู(2) เพื่อให้ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้อย่างดีเยี่ยม เลิก คิดว่าต้องช่วยมากมาย การสนับสนุนหรือช่วยเหลือใครอย่างสุดชีวิตนั้นเป็นสิ่งดีงาม แต่หากเราคิดว่า ไม่มีเวลา หรือ จะหาเวลาที่ไหนมาช่วยได้ เราก็จะไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักอย่าง เราอาจคิดว่าพวกเขาเหล่านั้นต้องการความช่วยเหลือเป็นอย่างมาก แต่ความจริงแล้ว การให้ความช่วยเหลือเพียงน้อยนิดก็เพียงพอแล้ว เช่น แค่เพียงแสดงความเห็นอกเห็นใจ อีกฝ่ายจะต้องดีใจอย่างแน่นอนเริ่ม ช่วยเพียงแค่ 1 นาที ก็ยังดี มาลองคิดหาวิธีการช่วยเหลือที่ใช้เวลาเพียงแค่ 1 นาทีเท่านั้น เช่น จะช่วยพูดให้ จะลองโทรศัพท์ถามให้ แนะนำใครสักคนให้ แท้จริงแล้วแม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เราก็สามารถทำอะไรได้หลายอย่าง จงช่วยเหลือใครสักคนด้วยวิธีการที่แน่ใจว่าสามารถทำได้ในช่วงเวลาที่เราพร้อมก้าวแห่งการเริ่ม ทำวันละเรื่อง เช่น ส่งอีเมลให้กำลังใจคนที่เราชื่นชอบกันเถอะ (3) เพื่อรักตนเอง เลิก ฝืนกำลังตัวเอง สมมติว่าถ้ามีทั้งเงิน เวลา และความเชื่อมั่นแล้ว เราคงคิดอยากหยุดทำบางสิ่งที่ทำอยู่และเริ่มทำอย่างอื่นบ้าง หากลองเปรียบเทียบชีวิตที่สมมตินั้นกับชีวิตจริงในตอนนี้แล้ว เราจะเริ่มเห็นว่าตัวเองกำลังฝืนทำอะไรอยู่บ้าง แท้จริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องฝืน เพราะชีวิตเราไม่ได้มีไว้เพื่อคนอื่น แต่มีไว้เพื่อตัวเราเอง เริ่ม ทำไปตามธรรมชาติ เวลาที่เราเผยความเป็นตัวตนของเราออกมาคือความสำเร็จที่โชติช่วงชัชวาลที่สุด ไม่ต้องฝืนกำลังตัวเอง แค่ทำสิ่งที่เราคิดอยากจะทำเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ถ้าทำสิ่งที่เป็นตัวตนของเราอย่างแท้จริงแล้ว ทั้งกายและใจของเราจะเป็นสุข ก้าวแห่งการเริ่ม เลิกทำอะไรที่ฝืนธรรมชาติตัวเองกันเถอะ ที่หยิบมาเล่านี้เป็นเพียงบางส่วนจากทั้งหมด 54 พลังแห่งการเลิก และ 54 พลังแห่งการเริ่ม ใน เพิ่มความสุข เพียงลดบางสิ่ง เท่านั้นค่ะ ยังมีอีกหลายหัวข้อที่จะช่วยให้เราได้ปลดปล่อยตัวตนที่แท้จริง เลิกสิ่งที่ฝืนตัวเอง และเริ่มทำสิ่งที่เราทำได้อย่างเป็นธรรมชาติและสิ่งที่เป็นตัวเรา แต่จะมีเรื่องอะไรอีกบ้างนั้น เชิญติดตามต่อได้ในเล่มค่ะ -----------------------------------------------------------------แวะชมหนังสือใหม่ของ ส.ส.ท. ได้ที่นี่
Create Date : 18 มกราคม 2554
Last Update : 18 มกราคม 2554 9:58:36 น.
Counter : 2875 Pageviews.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 20 คน [? ]
สำนักพิมพ์ ส.ส.ท. สรรค์สร้างสาระสู่สังคม มุ่งมั่นผลิตตำราวิชาการและหนังสือเทคโนโลยีสาขาต่าง ๆ การบริหารจัดการ ด้านส่งเสริมการศึกษา เพื่อการพัฒนาตนเองและองค์กร สำหรับภาคการศึกษา ภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรม