
เมื่อหลายๆสิบปีก่อนตั้งแต่เรียนจบ เคยเป็น "ช่างภาพค่ะ" แบกกล้องหลายกิโลขึ้นเขาลงห้วย ลุยถ่ายภาพทุกทีที่มีโอกาสได้ไป..
อาชีพที่เคยตั้งใจไว้ว่าอยากเป็นคือ " นักข่าว นักเขียน" แต่คงไม่มีดวงทางด้านนักข่าว นักเขียน เลยไม่ได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองเรียนมา
อาชีพที่ทำนานที่สุด ทำตั้งแต่อายุ19 ตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา และทำต่อเนื่องบ้าง หยุดบ้าง แล้วกลับทำอีกบ้าง นั่นคือ "เป็นครูสอนเปียโน" สอนจนถึงอายุ36 ปี...เนื่องจากความผิดหวัง เสียใจอย่างรุนแรงในเรื่องของความรัก ทำให้หลังจากนั้นเลิกแตะเปียโนอีกเลยค่ะ เลิกสอนเปียโนแบบไม่คิดจะกลับไปเป็นครูอีก ใจมันหมดลงแล้ว
ช่วงที่สอนเปียโนก็ทำงานอื่นไปด้วย นั่นคือ เปิดร้านค้าเสื้อผ้า อาชีพใหม่เกิดขึ้นคือ "เป็นแม่ค้า"ค่ะ ชีวิตของแม่ค้าที่แสนทรหดก็เริ่มขึ้น แรกๆก็ซื้อมาขายไป พอเกิดปัญหาทางการค้า มีการลอกเลียนแบบสินค้าที่เราเอามา ทำให้เกิดการต่อสู้ทางการค้าขึ้น การต่อสู้ครั้งนั้น ทำให้ฉันกลายเป็นผู้ผลิตสินค้าเองโดยที่ไม่ต้องไปรับมาขายอีกต่อไป ระยะเวลา8 ปีของการทำการค้า ชีวิตมีขึ้นและมีลงนะคะ 5ปีแรก ทำการค้าขึ้นมากๆ ขายดีมากๆ รายได้ดีมากๆ ...
จากนั้น3ปีสุดท้าย ชีวิตจบลงด้วยคำว่าล้มละลายทางการค้าค่ะ...
หมดตัว ไม่เหลือเงินเลย
ยังไม่ท้อค่ะ..หลังจากปิดกิจการร้านทั้งหมด พยายามดิ้นรนต่อไป..ช่วงปี2553 อยากเปิดร้านอาหาร (แหมอยากหาอาชีพใหม่อีกแระ) แต่ทำอาหารไม่เป็น คิดได้ยังไงจะเปิดร้านอาหาร อ่ะ เริ่มทำอาหารกล่องขายก่อน ลองดูฝีมือของตัวเองดูว่า ลูกค้าจะทานกันได้มั๊ย ถ้าสามารถหาออเดอร์ต่อวันของอาหารกล่องได้ แสดงว่า อาชีพนี้ผ่านฉลุย แต่แล้ว อาชีพนี้ไม่ผ่านค่ะ อาหารที่ทำอร่อยนะคะ สะอาดด้วย แต่ขาดทุนเพราะมือหนักไปหน่อยค่ะ อาหารใส่เต็มกล่องเลย เราใช้วัตถุดิบที่แพงเกินไป ราคาขายขายแพงก็ไม่ได้ แถมไม่คุ้มกับแรงที่ทำ ทำได้เพียง3เดือน ต้องไปผ่านิ้วล็อกซะแล้ว เอาเป็นว่า ดวงไม่ให้ทำอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ขายค่ะ
เริ่มปฏิบัติธรรมสะสมบุญมาหลายปี การทำอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ขายก็ถือว่าเป็นบาป ถ้าจะขายก็ต้องขายจำพวกที่เป็นน้ำ (แต่ไม่ใช่น้ำเมานะคะ) สรุปคือ อาชีพนี้ไม่เหมาะสำหรับฉันดีกว่าค่ะ ..
พอแล้ว ยิ่งดิ้นยิ่งเจ็บ .. ทุนก็ไม่มี .. ยุติการดิ้นรนชั่วคราวค่ะ
3ปีของการตัดสินใจอยู่บ้านดูแลบ้าน ดูแลพ่อแม่ ชีวิตที่เหลืออยู่ตัดสินใจทุ่มเททุกวินาทีให้พ่อแม่ ..แหมใครจะโชคดีอย่างฉันคะ ได้มีโอกาสตอบแทนบุญคุณพ่อและแม่ได้ขนาดนี้ อย่างน้อยความกตัญญูตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ค่ะ ฉันเชื่ออย่างนั้น
ที่เล่ามาคร่าวๆนั้น รายละเอียดมีมากมาย ความทุกข์ ความเครียด มีมาตลอดในชีวิตตั้งแต่เริ่มทำงาน ฉันเริ่มทำงานอย่างจริงจังช้ากว่าคนอื่นมากๆค่ะ เพราะชีวิตตั้งแต่เรียนจบป.ตรี มัวแต่ออกไปแสวงหาประสบการณ์ของการไปใช้ชีวิตที่เมืองนอก ไปอยู่อินเดียหลายเดือน แล้วไปอยู่อเมริกาเป็นปี และใช้ชีวิตเที่ยว ๆ แล้วก็เที่ยว เป็นไงค๊ะ ตอนต้นของชีวิตที่เกิดมา (เป็นช่วงที่บุญเก่าส่งผล ทำให้ชีวิตสุขสบายที่สุด จากที่พ่อแม่รักมาก เลยให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากได้) กรรมดีจากอดีตชาติส่งผลให้ได้รับแต่ความสุขในช่วงต้นของชีวิตค่ะ ...
ช่วงกลางของชีวิต..บุญเก่าเริ่มลดลงมั๊งค๊ะ...ตั้งแต่เด็กทำบุญน้อยมาก ไม่ค่อยได้เข้าวัด ใส่บาตรปีละครั้งเอง คือใส่บาตรแค่วันเกิดวันเดียวเท่านั้น บุญเก่าเริ่มหมด ความทุกข์เข้ามาจู่โจมเลยค่ะ ...
ตั้งตัวไม่ทัน พอเริ่มทำการค้าอย่างจริงจัง พอเริ่มที่อยากมีความรักจริงจังจริงๆ ..ความทุกข์เข้ามาทันที ..ไดอารี่ที่ผ่านมา เป็นช่วงชีวิตของคนที่บุญเก่าหมด เก่ากรรมกำลังจะตามทันค่ะ..ไดอารี่ที่พิมพ์นั่นพิมพ์ด้วยน้ำตา แทบทุกไดอารี่ พิมพ์ไปร้องไห้ไป ..จนวันนี้กลับเข้าไปอ่านไดอารี่เก่าๆ น้ำตายังไหลอยู่เลย...

เอาละค่ะ ความทุกข์ทำให้ฉันเดินเข้าสู่ทางธรรมอย่างจริงจัง..เริ่มฟังธรรม และเริ่มปฏิบัติกรรมฐาน ตลอดเรื่อยมาหลายปี ..กรรมดีที่ทำเวลานี้ยังไม่ส่งผลตอนนี้หรอกค่ะ ระยะเวลาหลายๆปีที่ผ่านมา ยังคงมีแต่ความทุกข์ ความทุกข์มีสาเหตุนะคะ ไม่ได้อยู่ๆจะมีเข้ามาได้ คนเราเกิดมาก็ทุกข์แล้วค่ะ สาเหตุหลักคือกรรม ..กรรมเก่าในอดีตชาติที่เคยทำไว้ มันเริ่มส่งผลให้เราชดใช้กรรมเก่า
ใครจะเชื่อว่า ชีวิตของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มีแต่ความสุข พ่อแม่รักแสนรัก มีเงินมีทองใช้มากมาย ได้ไปเที่ยวทั้งในและนอกประเทศมากจริงๆ มีรถขับตั้งแต่ยังเรียน ..ชีวิตสุขสบาย คำว่า "ความทุกข์" ไม่รู้จักค่ะ วันๆมีแต่ความสุขมากมายเหลือล้น...
หลายปีที่ผ่านมานี้..ชีวิตอยู่กับน้ำตา...เรียกได้ว่า "เป็นคุณนายโฮ "ตัวจริงเลยละค่ะ...
วันนี้ก็ยังร้องไห้ ความทุกข์ยังไม่หมดค่ะ ยังชดใช้กรรมเก่าไม่หมด...
แต่ความตั้งใจและความพยายามสูงที่จะสะสมบุญเพิ่ม ยอมชดใช้กรรมในอดีตชาติให้หมดไปในชาตินี้ค่ะ หลังจากที่ความทุกข์ประดังเข้ามาทุกวินาที จิตตกไปหลายครั้ง เคย "คิดฆ่าตัวตาย" ช่วงจิตตกอย่างมาก ทุกข์ที่หาทางแก้ไม่ได้ ขังตัวเองในรถปิดประตูหน้าต่างจอดรถในที่แดดแรงๆ แม่เอากุญแจสำรองมาเปิดให้ฉันออกจากรถค่ะ เคยเอาเชือกผูกไว้ที่เหล็กตรงหน้าต่างห้องนอน กะจะผูกคอตาย หลังจากดื่ม Bacardiย้อมใจ แต่ดันปีนเก้าอี้ขึ้นไปผูกคอไม่ไหว ตัวเอียงเลยนอนดีกว่า .. และยังมีการเตรียมยานอนหลับที่กินแล้วแพ้ กินยานอนหลับตัวนี้แล้วหายใจไม่ออก ไม่สามารถนอนได้ เก็บยาตัวนี้ไว้หลายเม็ดเผื่อจะฆ่าตัวตายจริงๆ ..
คนสิ้นเนื้อประดาตัว เงินไม่เหลือซักบาทก็ทุกข์ รักแรกที่คาดหวังไว้สูงก็สลายหายไปก็ทุกข์ ..
ทุกข์ของคนไม่มีเงินเหลือเลย หลังจากพ่อแม่เกษียณอายุจากที่ทำงานเมื่อ10 กว่าปีที่แล้ว เงินก็มีใช้น้อยลง มีเพียงเงินเก็บของพ่อแม่ที่สะสมไว้ บวกกับ รายได้จากค่าเช่าอพาร์ตเม้นท์ของแม่ ณ.ตอนนี้ มีเพียงพอสำหรับรายจ่ายในบ้านเท่านั้นค่ะ เราต้องอยู่อย่างประหยัดกันแล้ว ฉันไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ที่จะให้พ่อแม่ แต่กลับเป็นคนเดียวในบ้านที่ขอเงินพ่อแม่ใช้...
ไม่เป็นไรค่ะ...มีน้อยใช้น้อย...อยู่อย่างพอเพียงได้ แต่ความรู้สึกของฉันยังไม่ท้อที่จะเริ่มต้นทำงานใหม่อีกครั้ง เพียงแต่รอเวลาที่เป็นเวลาของฉันจริงๆ..แล้วฉันจะลุกขึ้นยืนอีกครั้งให้ดู...
3ปีที่อยู่บ้าน ทำหน้าที่ลูกอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง อาหารการกินของพ่อแม่ฉันรับผิดชอบเพียงผู้เดียว งานบ้านยังพอมีน้องสาวช่วยทำบ้าง ตั้งแต่ไม่มีลูกจ้างที่ทำงานบ้าน ฉันต้องเป็นคนทำเกือบทั้งหมด ชีวิตที่เคยสบาย มีคนรับใช้ เปลี่ยนไปแล้วค่ะ ฉันปรับตัวได้สบายมาก เพราะจากการที่สะสมประสบการณ์ทางการค้า ทำให้ฉันหนักแน่น แข็งแกร่ง สามารถทำงานหนักได้ กะแค่ทำงานบ้าน ทำอาหาร สบายมาก แต่ขอบ่น "เหนื่อยจริงๆค่ะ"....

เนื่องจากเป็นคนที่อยู่เฉยๆนานๆไม่ได้ (หมายถึงไม่ได้ทำงานนอกบ้านนะคะ) เวลาที่เหลือหลังจากทำงานบ้านกับดูแลพ่อแม่แล้ว...ชีวิตของฉันมีเวลาว่างไม่ได้เลยค่ะ...
ช่วงแรกๆ ขอเวลาไปเรียน งานควิลท์ค่ะ เรียนพอรู้แล้วก็ มานั่งทำงานควิลท์ที่บ้าน..สะสมประสบการณ์ทำกระเป๋าควิลท์มากจริงๆ 3 ปี นั่งทำเกือบทุกวัน ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่หายใจเข้าออกเป็นงานควิลท์ ทำจนนิ้วล็อกอีก ไปฉีดสเตียรอย และผ่านนิ้วล็อกอีก ใครๆก็พูดว่าไม่คุ้มเล๊ย กว่าจะทำกระเป๋าได้แต่ละใบ ขายได้ก็ไม่คุ้มกับเงินที่ไปผ่าจริงๆค่ะ ไม่คุ้มเล๊ย แต่คุ้มด้านจิตใจค่ะ...
ช่วงที่นั่งทำกระเป๋าควิลท์ทุกครั้งจะเปิดธรรมะฟังไปด้วยตลอด บุญที่เกิดจากการฟังธรรมมีมากมายนะคะ...ธรรมะทำให้เข้าใจชีวิตมากขึ้น เริ่มที่จะค่อยๆปล่อยวางเรื่องที่ทำให้ทุกข์ได้ ... ไม่เพียงไปเรียนงานควิลท์นะคะ...ยังไปเรียนเพ้นท์ด้วย ...
มาแล้วอีกหนึ่งอาชีพ "ศิลปินด้านงานเพ้นท์ค่ะ" จากคนที่ไม่ชอบศิลปะเลย ไม่เคยจับพู่กัน ไม่เคยคิดที่จะระบายสีวาดรูป พูดง่ายๆคือ ตั้งแต่เด็กไม่เคยชอบพวกศิลปะเลย วันนี้อารมณ์เปลี่ยน กลายเป็นคนที่ชอบงานเพ้นท์ ไปเรียนเป็นปี ค่าเรียนหาจากการทำกระเป๋าควิลท์ขายค่ะ ขยันทำกระเป๋าขายก็จะมีเงินไปเรียน เจ็บมือ นิ้วชา ปวดหลังก็ทนค่ะ ทำในสิ่งที่เรารัก แต่ก็ทุกข์กายนะคะ...
เป็นคนเคยท้อแสนท้อ แต่ไม่เคยถอยค่ะ ถ้าคิดจะทำแล้วจะต้องทำให้ได้ค่ะ ความตั้งใจ ความมุ่งมั่น ความอดทน มนุษย์ทุกคนทำได้ทุกอย่างถ้ามีความตั้งใจทำจริงๆค่ะ ดูอาหารซิคะ..เมื่อก่อนฉันทำงานหนักเปิดกิจการร้านค้าหลายๆร้าน ทำตั้งแต่เช้าจนร้านปิดเที่ยงคืน และยังต้องไปหาช่างตัดเสื้อหลังจากปิดร้าน กลับบ้านประมาณตี2เกือบทุกวัน ช่วงนั้นไม่มีเวลาทำอาหารให้พ่อแม่ทานเลย..หลังจากการค้าล้มละลาย ก็ทุ่มเทชีวิตดูแลพ่อแม่ หัดทำอาหารซิคะ..เปิดจากเน็ตนี่ละค่ะ หัดทำจนเก่งเลยค่ะ .. ทำอาหารอร่อยจนพ่อแม่ไม่ชอบทานอาหารที่ซื้อมาเลย ต้องฉัน(กับพี่สาว)ทำเท่านั้น อาหารถึงอร่อยไปหมด (สำหรับพ่อกับแม่นะคะ)
เย็บกระเป๋า งานควิลท์ก็เหมือนกัน ตอนเรียนสมัยเด็กๆไม่ชอบเย็บปักถักร้อย เป็นคนไม่ค่อยจะเรียบร้อย ออกจะเกเรค่ะ(ขึ้นชื่อว่าเจ้าแม่เลยล่ะค่ะ) ไม่เอาเลยของสวยๆงามๆ แต่ตอนนี้ชีวิตเปลี่ยนไปหมด กลับมานั่งเย็บปักถักร้อย นั่งเย็บกระเป๋าปีหนึ่งทำได้เป็นร้อยๆใบ..ขายได้หมดค่ะ ด้วยการอุปการะคุณของญาติๆและเพื่อนๆทั้งนั้นเลยค่ะ..เงินที่ขายได้ ก็เอาไปเรียนเพ้นท์ต่อเลย..แต่ที่สำคัญเอาเงินส่วนหนึ่งไปนวดหลังกับมือค่ะ..หลังมีพังผืดซะแล้ว .. เวลาปวดแทบนอนไม่ได้เลยค่ะ มือก็ชาตลอดเวลา ก็รักษาไปเรื่อยๆ ตอนนี้ก็ใกล็หายสนิทแล้ว เจอหมอดีค่ะ ถือว่ายังโชคดีกับเค้า ได้พบหมอจีนนวดแค่2 ครั้ง ที่ปวดมากๆก็หายปวดสนิท ตอนแรกนึกว่าชาตินี้คงไม่มีวันหายปวดคอบ่าไหล่ซะแล้วละซิคะ
ส่วนงานเพ้นท์ .. ตอนแรกอยากเรียนแค่หัดทำบ้านนกค่ะ..เพราะเคยไปหาซื้อ แต่ราคาแพงมาก 2100 บาท..คิดว่า แพงขนาดนี้ หาที่เรียนทำเองเลยดีกว่าค่ะ เผื่อเกิดเรียนไปเรียนมาแล้วชอบ จะได้เพ้นท์ขายเองซะเลย ..ในที่สุดก็ใช้เวลาเป็นปีๆ เรียนเพ้นท์ มาตลอด ผลงานเพ้นท์ที่ทำเอง มีเยอะมากค่ะ สะสมจนเอามาโชว์ที่ชั้นวางของได้เต็มทุกชั้น...
นี่ละค่ะที่บอกว่า..ไม่มีอะไรที่คนเราจะทำแล้วทำไม่ได้..มันอยู่ที่ใจค่ะ
ปีนี้ฉันกำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยการเปิดรร.สอนงานhandmade ฉันสะสมประสบการณ์เรื่องงานฝีมือมามากแล้ว พร้อมที่จะทำงานในสิ่งที่ตัวเองรักและเลือกแล้ว..
ไดอารี่ที่ล่าสุดก่อนไดอารี่นี้..เป็นทุกข์เรื่องของการยึดติดคนที่เรารัก รักมาก และวันหนึ่งแต่ละคนเดินออกจากชีวิตของฉันไป นี่คือทุกข์ค่ะ..ทุกข์ของคนขาดกำลังใจ ทุกข์ของคนที่กลัวการอยู่คนเดียว ทุกข์นี้เป็นความทุกข์ที่อยู่ลึกลงใต้ขั้วหัวใจ เป็นความกลัว กลัวความเหงา กลัวความว้าเหว่ กลัวโดดเดียว วันหนึ่งสิ่งที่กลัวลึกๆในใจก็ปรากฏออกมา..ทุกข์ของคนไม่มีปัญญาซื้อไอโฟน4s ใช้เพียงคนเดียวในกลุ่ม"รักหนักแน่น" เลยถูกบีบให้ออกจากกลุ่มโดยปริยาย ...ปี2555ปีที่แล้ว ร้องไห้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปลายปีเลยค่ะ ..
คนที่ฉันรักหลายๆคนเดินออกไปจากชีวิต...ปีที่แล้ว เป็นปีที่หนักมากจริงๆ..เรื่องของคนมีความสำคัญกับชีวิตของฉันมากกว่าเงินทอง เงินทองหมดแล้วหาใหม่ได้ แต่เรื่องของคน ทำลายความรู้สึกดีๆแล้วเรียกกลับมายากค่ะ...

แต่วันนี้เรื่องของคนฉันผ่านไปได้อีกแล้ว...เป็นอีกบทเรียนชีวิตที่ได้เรียนรู้ว่า "การยึดมั่นถือมั่น เป็นทุกข์ " วันนี้ฉันปล่อยวางเรื่องของคนได้แล้ว..แต่กว่าจะผ่านไปได้ เสียน้ำตาไปมากมาย และการฟังธรรมะ กับการไปปฏิบัติวิปัสสนากรรรมฐาน ก็ทำให้ฉันหลุดพ้นทุกข์ในเรื่องของคนไปได้จริงๆค่ะ (ลองเข้าไปอ่านเรื่องราวของคนในไดอารี่ก่อนหน้านี้ดู จะเข้าใจชีวิตของคนที่เคยยึดมั่นถือมั่นเรื่องคนมากๆดูนะคะ) ...
เอาละ.."ลาทีปีเก่า ทุกข์โศกเศร้าหมดสิ้นกันที..ชีวิตเคยร้าวฤดี ขออย่าให้มีในปีใหม่..ขอพรพระทั้งโลก ช่วยดับโศกให้สดใส..สิ่งร้ายให้หายไป เริ่มต้นใหม่ให้ดีเอย " ของกมล ทัพคัลไลย ..
เริ่มต้นใหม่ สูดลมหายใจลึกๆ ..พร้อมจะสู้ชีวิตต่อแล้วค่ะ หลังจากที่ก่อนปีใหม่นี้ คืนวันที่29 ถึงบ่ายวันที่30 ร้องไห้ข้ามวันข้ามคืน เป็นเรื่องที่ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าปัญหานี้มันจะมีขึ้น (เรื่องราวอยู่ในไดอารี่ก่อนไดอารี่นี้ค่ะ)
ฉันกำลังจะเริ่มลืมตาอ้าปากอีกครั้ง หลังจากที่ชีวิตของการทำงานล้มเหลว..แต่"ล้มแล้วลุกค่ะ" ..
ฉันคิดว่าเวลาเยี่ยวยาทุกอย่างแล้ว..ฉันกำลังจะเริ่มต้นของการทำงานใหม่อีกครั้ง กำลังจะเปิดรร. สอนงาน Handmade ไม่อยากตั้งความหวังว่าจะมีคนมาเรียนมากมาย แต่ขอทำในสิ่งที่ใจรัก เพียงแค่นั่งมองผลงานที่เกิดจากฝีมือของตัวเองก็มีความสุขแล้วค่ะ..ยังไม่ทันเริ่ม ปัญหาอุปสรรคมันมีขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่มีความตั้งใจที่จะทำแล้วค่ะ.
ปัญหาล่าสุดคือ มีพวกคนเมาและวินมอเตอร์ไซค์พยายามจะเข้ามาในห้องเรียนที่ฉันกำลังตกแต่งอยู่ ทำท่าว่าจะเข้ามาช่วยจัดห้อง ทั้งๆที่พื้นที่บริเวณนี้เป็นพื้นที่ส่วนบุคคล เป็นอพาร์ตเม้นท์ของแม่ คนพวกนี้ถือวิสาสะแสดงตัวว่าเป็นเจ้าถิ่น คิดจะมาไถ่เงินจากฉัน เงินไม่มีให้หรอกค่ะ จะมาเอาเงินจากคนล้มละลาย เฮ้อ..ชีวิตหน่อชีวิต กรรมยังชดใช้ไม่หมดมั๊งคะค่ะ ปัญหาและอุปสรรคเข้ามาเรื่อยๆ แค่เจอเหตุการณ์ครั้งเดียวนี้ก็ทำให้จิตตก ร้องไห้ข้ามวันข้ามคืนมาแล้ว
ขอโชว์รูปห้องเรียนเล็กๆ..ที่ฉันกำลังจะเปิดสอนก่อนนะคะ



ปีนี้เป็นปีแรกที่ได้ไปสวดมนต์ข้ามปี..(สิ่งที่เคยกลัวคือ ทุกปีฉันจะมีน้องกล้วยอยู่ด้วยกันทุกปีใหม่ ถึงใครจะไม่ว่างมาปาร์ตี้ปีใหม่ แต่ยังไงก็มีกล้วยที่อยู่กับฉัน กลัวว่าปีใหม่ต่อไปฉันจะต้องอยู่บ้านคนเดียว กลัวมาก กลัวความเหงา ความว้าเหว่ )และแล้ว สิ่งที่คิดว่ากลัวก็หายไปได้เอง เวลาช่วยให้เราใช้สติ ธรรม ช่วยให้เราหาทางออกของชีวิตได้....
การได้ไปสวดมนต์ข้ามปี ทำให้เติมพลังให้จิต เหมือนการไปชาร์ตแบตที่กำลังจะหมด ..
ภาพบรรยากาศสวดมนต์ข้ามปี 31/12/55ค่ะ



นี่ละค่ะประวัติย่อๆของ คนที่มีนามปากกาว่า
"ซ่อนทรายแก้ว"
การดูตัว..เป็นเพราะความเป็นห่วงของพ่อแม่ ห่วงว่าเมื่อไหร่ที่ไม่มีพ่อแม่แล้ว ใครจะดูแลลูกต่อจากพ่อแม่ ฉันเคยบอกพ่อแม่แล้วค่ะว่า "การที่ไม่มีคู่ เป็นบุญที่สุดแล้วค่ะ " ฉันไม่อยากมีความทุกข์เพิ่มอีกแล้ว การที่ได้อยู่คนเดียว ไม่มีหวง ไม่มีภาระ และที่สำคัญมีเวลาปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่ ฉันเดินไปในทางธรรมแล้วค่ะ ไม่คิดจะมีคู่หรือแต่งงาน นี่ไม่ใช่เพราะผิดหวังในความรักแล้วปิดตัวเองแบบที่ใครๆพูด..จริงๆแล้ว ความทุกข์ที่ผ่านมาตั้งหากค่ะ ที่ทำให้ฉันไม่อยากมีความทุกข์เพิ่มขึ้นมาอีก "ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ "เคยได้ยินกันมั๊ยค๊ะ ธรรมนิยายเกี่ยวกับพระอานนท์ ลองหาอ่านหาฟังดูค่ะ ฉันไม่อยากมีหวงเพิ่ม ไม่อยากสร้างวิบากกรรมต่อ ตอนนี้หวงของฉันคือพ่อ แม่ พี่เน และน้องน้อท แค่4คนฉันยังไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งจะทำใจได้มั๊ยถ้าขาดใครซักคนไปจริงๆ..
ชีวิตของฉันไม่เคยหวังที่จะพึ่งใคร ดูแลและช่วยเหลือตัวเองมาตลอด และด้วยวัยตอนนี้มันเลยช่วงที่จะมีครอบครัวแล้วค่ะ..มันเป็นช่วงของคนเข้าวัดเข้าวาแล้วค่ะ ฉันละความโลภ ความหลงได้แล้ว เหลือแต่ความโกรธที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากต่อไปค่ะ อยากตัดภพตัดชาติเกิดให้สั้นลง การเกิดเป็นทุกข์ เข็มทิศชีวิตเดินไปเรื่อยๆ ฉันใช้เวลาทุกวินาทีให้มีค่า การปรนนิบัติดูแลพ่อแม่ เป็นหน้าที่หลักและสำคัญที่สุดในชีวิตของฉัน
แต่ฉันพยายามบอกพ่อแม่ว่า " ไม่ต้องเป็นห่วงแนนค่ะ แนนเป็นคนเดียวที่จะไม่ลำบาก เพราะความกตัญญูตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ แนนเชื่อมั่นอย่างนั้นค่ะ .. และการที่แนนเริ่มเดินไปในทางธรรม เริ่มเข้าใจธรรมะ และตั้งเป้าหมายของชีวิตว่าจะสะสมบุญให้มากๆ จะตั้งใจปฏิบัติกรรมฐาน ชาตินี้เป็นทุกข์ชาติสุดท้ายของแนนแล้วค่ะ ...แนนกำลังชดใช้กรรมเก่า หรือหนี้กรรมของชาติที่แล้วให้หมดภายในชาตินี้ ...พร้อมทั้งเวลาในปัจจุบันและอนาคตจะสะสมบุญไปเรื่อยๆ ...บั่นปลายชีวิตของแนนจะมีความสุขขึ้นค่ะ เพราะบุญที่กำลังสะสมในช่วงกลางของชีวิตตอนนี้จะส่งผลในบั่นปลายชีวิต..ฉะนั้น พ่อกับแม่ไม่ต้องห่วงแนนค่ะ..ชีวิตของแนนจะดีขึ้นค่ะ" รับรองจากจิตใต้สำนึกของตัวเองจริงๆค่ะ และเชื่อมั่นในความดีค่ะ เป้าหมายสุดท้ายของชีวิตหลังจากหน้าที่ที่สำคัญหมดลง คือตัดโลกภายนอกปฏิบัติธรรมอย่างเดียวค่ะ
พ่อเป็นฮีโร่ของฉัน พ่อรักลูกมากเหลือเกิน แค่ฉันจิตตกกลับบ้านร้องไห้ข้ามวันข้ามคืนเพราะ เจอคนเมาเข้ามาในห้องเรียนที่ฉันกำลังจะเปิด วันรุ่งขึ้น(วันที่ฉันไปวัด ไปสวดมนต์ข้ามปี ..พ่อ..ไปที่อพาร์ตเม้นท์แล้วเรียกไอ้พวกขี้เมามาคุย ..พ่อบอกว่า " พ่อสอนลูกให้ช่วยเหลือตัวเอง ทำอะไรด้วยตัวเองมาตลอด ไม่ต้องพึงพาหรืออาศัยใคร ฉะนั้น ขอร้องอย่าเข้าไปในอพาร์ตเม้นท์อีกซึ่งลูกของพ่อกำลังจะเปิดรร.สอนงานฝีมือ เค้าทำของเค้าเองได้ ไม่ต้องไปช่วย..(ไอ้พวกขี้เมาเค้าจะเข้ามาช่วยยกตู้ ซึ่งพวกเราก็ยกกันเองมาตลอด) ขอความร่วมมือกันหน่อยนะ และขออย่าให้มานั่งดื่มเหล้าหน้าอพาร์ตเม้นท์นี้ มันเป็นบรรยกาศที่ไม่ดีมากๆ สำหรับคนที่จะเข้ามาเรียน " พ่อคนเดียวเข้าไปเรียกพวกนี้มาคุย พ่อเป็นฮีโร่ของแนนจริงๆเลยค่ะ...(ลูกข้าใครอย่าแตะจริงๆ..แต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ )

ขอให้มีลูกค้าเยอะแยะ
อยากไปเรียนบ้างค่ะ
คุณแนนบอกรายละเอียดหน่อยนะคะ
เวลาเรียน ค่าเรียน อุปกรณ์ อะไรทำนองนี้
ขอให้ปีนี้เป็นปีที่มีความสุขนะคะ