Group Blog
All Blog
|
กษัตริย์ของอิสราเอล (๓) อาณาจักรตอนใต้ อิสราเอลใต้ ยูดาห์เป็นประเทศเล็กๆ ครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของอิสราเอล แต่ถูกแบ่งแยกออกไป หลังจากการปกครองของกษัตริย์โซโลมอนเสร็จสิ้นลง อิสราเอลได้แบ่งแยกการปกครองเป็นสองส่วนคืออาณาจักรตอนเหนือและตอนใต้ ประเทศเพื่อนบ้านใหญ่ๆรอบๆอยากได้ยูดาห์ไปเป็นเมืองขึ้น ในสมัยที่เยโฮซาฟัดปกครองยูดาห์ เขาให้ประชาชนละทิ้งรูปเคารพทั้งหมดและเสริมสร้างกองทัพให้แข็งแรงขึ้น ทรงรู้ว่ากองทัพของพระองค์เล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับกองทัพของอัมโมน โมอับ พวกภูเขาเสอีร์ ดังนั้นเยโฮซาฟัดรู้ว่ากองทัพของพระองค์ไม่สามารถสู้รบกับพวกนั้นได้จึงได้รวบรวมประชาชนให้หันเข้าหาพระเจ้าเพื่อขอให้พระองค์ช่วย ทรงรู้ว่าพระเจ้าทำการอัศจรรย์เพื่อช่วยประชากรของพระองค์ วันหนึ่งมีผู้สื่อข่าวมาบอกว่าสามประเทศกำลังมาโจมตียูดาห์ เขาประกาศให้ประชาชนอดอาหารและอธิษฐานต่อพระเจ้า และเขาได้ไปที่วิหารเพื่ออธิษฐาน 2 พศด.20:3-12 เขาบอกว่าศัตรูจะมาโจมตียูดาห์ ทันใดนั้นพระวิญญานได้ลงมาสถิตย์กับชายผู้หนึ่ง บอกว่า "อย่ากลัวเลย..การสงครามเป็นของพระเจ้า" ข้อ15 ทุกคนได้คุกเข่าอธิษฐานขอบคุณพระเจ้า วันรุ่งขึ้นทหารอิสราเอลเตรียมพร้อมจะเผชิญศัตรู เมื่อกองทัพเคลื่อนออกไปเขาเริ่มร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ทันใดนั้นทหารของอัมโมนกับโมอับก็สู้รบกับกองทัพภูเขาเสอีร์ เมื่อพ่ายแพ้กัน กองทัพอัมโมนกับกองทัพภูเขาเสอีร์ได้เริ่มต่อสู้กันเอง เมื่อกองทัพของอิสราเอลมาถึงก็พบสามกองทัพตายหมดแล้ว และทิ้งทรัพย์สินสิ่งของไว้มากมาย ต้องเก็บถึง สามวัน ในวันที่สี่ เขาได้นำสิ่งของที่รบมาไปเก็บที่หุบเขาเบราคาร์ มาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อเยโฮซาฟัดกลับถึงพระวิหารเขาได้มาขอบคุณพระเจ้า และใช้เครื่องดนตรีในการสรรเสริญพระเจ้า 2 พศด.20:28 และไม่มีประเทศใดกล้ามาโจมตีอิสราเอลอีกเลยในสมัยเยโฮซาฟัด .............................................................................................................................. กษัตริย์อาหัสเป็นกษัตริย์ที่ชั่วร้าย ทรงส่งเสริมให้ไหว้รูปเคารพ เอาบุตรของพระองค์มาเผาบูชาแก่พระเหล่านั้น เมื่อซีเรียโจมตียูดาห์ ทรงไปขอความช่วยเหลือจากอัสซีเรีย และนำเอาทองคำและเงินจากพระนิเวศไปมอบให้ทิกลัสปิเลเสอร์ ราชาแห่งอัสซีเรียด้วย เขาเป็นกษัตริย์ที่ชั่วร้ายมาก ............................................................................................................................. หลังจากนั้นไม่นาน เอเซคียาห์โอรสของอาหัสได้ขึ้นครองราช เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ (พระมารดาของพระองค์เป็นบุตรสาวของผู้พยากรณ์) ตลอดประวัติศาสตร์ยูดาห์กว่า100ปี เฮเซคียาห์เป็นกษัตริย์องค์เดียวที่ซื่อสัตย์แต่เขาก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ความเชื่อและคำอธิษฐานของเฮเซคียาห์ทำให้พระเจ้ารักษาเขาและเมืองของเขาให้พ้นจากอัสซีเรียคุกคาม กษัตริย์เอเซคียาห์ทรงปกครองร่วมกับกษัตริย์อาหัสพระบิดานาน14ปี ปกครองด้วยตนเอง18ปีและปกครองร่วมกับมนัสเสห์ราชโอรสเป็นเวลา11ปี รวมที่ทรงครองราชย์ 43 ปี ขณะที่พระองค์ครองราชย์อิสราเอลเหนือถูกทำลายทำให้พระองค์หันมาปฎิรูปบ้านเมืองให้หันกลับมาหาพระเจ้า เมื่อขึ้นครองราชย์สิ่งแรกที่ทำคือทรงได้ไปเปิดวิหารของพระเจ้า ซึ่งว่างเปล่าและอับชื้นเพราะไม่มีการถวายเครื่องบูชามาหลายปี ครั้งหนึ่งท่ีนี่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมจากแท่นบูชาและเต็มไปด้วยบรรยากาศของการนมัสการพระเจ้า แต่ตอนนี้มีแต่ความหนาวเย็น อับชื้น เพราะชาวอิสราเอลละเลยการนมัสการพระเจ้าแม้นแต่ปุโรหิตและคนเลวีก็ละเลยหน้าที่ของตนในการนำคนกลับมาหาพระเจ้า (ชนชาติอิสราเอลตอนเหนือได้หันออกจากพระเจ้าและพระเจ้าให้อัสซีเรีย(กษัตริย์ซากอน)มาโจมตี กวาดต้อนผู้คนออกจากดินแดนพันธสัญญา และขณะนี้ประชาชนยูดาห์ก็ไม่ยอมเชื่อฟังพระเจ้าหลายอย่าง ถ้ายังดื้อดึงต่อไป การพิพากษาจะมาถึงพวกเขา **อิสราเอลเหนือถูกทำลายได้150ปี อิสราเอลใต้จึงถูกทำลาย) เริ่มด้วยกษัตริย์เฮเซคียาห์ได้นำปุโรหิต คนเลวีมาพูดกับผู้นำให้กลับใจมาหาพระเจ้าเพราะผู้นำเหล่านี้ทำให้พระเจ้าผิดหวัง พวกเขาไม่เคยทำหน้าที่อย่างถูกต้อง เขาไม่มีความรับผิดชอบที่จะนำคนหันกลับมาหาพระเจ้า และสุดท้ายพวกผู้นำเหล่านี้ได้เชื่อฟังเฮเซคียาห์ๆจึงบอกให้พวกเขาชำระตัวให้บริสุทธิ์ และพวกปุโรหิตและคนเลวีก็เชื่อฟังเฮเซคียาห์และได้ทำตามเพราะเขารู้ว่าพวกเขาไม่ได้ทำหน้าที่และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ประชาชนยูดาห์และไม่ได้สอนพระวจนะของพระเจ้าเลย สิ่งแรกที่ต้องทำคือการทำความสะอาดพระวิหารซึ่งใช้เวลานานถึงสิบหกวัน และโยนรูปเคารพทิ้ง ทำความสะอาดภาชนะบริสุทธิ์ใหม่ ซ่อมแซมและนำกลับไปวางที่เดิม จุดตะเกียงให้มีแสงสวาง แล้วกษัตริย์เฮเซคียาห์ได้เชิญปุโรหิต และคนเลวีทำพิธีนมัสการพระเจ้า ถวายเครื่องบูชา สารภาพบาป ขอพระเจ้ายกโทษ และนำเครื่องดนตรีมาเล่นในการนมัสการ นับเป็นการเริ่มต้นนมัสการอีกคร้ง พวกผู้นำได้นำเครื่องถวายมาถวาย ประชาชนนำสัตวบูชา และเครื่องบูชาโมทนาถวายแด่พระเจ้า ต่อมาก็ถวายเครื่องเผาบูชา กษัตริย์เฮเซคียาต้องการถือปัสคาและอยากให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วม จึงทำจดหมายเชิญชาวอิสราเอลที่หลงเหลือจากการกวาดต้อนของอัสซีเรีย ส่วนมากจะเยาะเย้ยผู้สื่อข่าวมีเพียงคนส่วนน้อยที่มาร่วมพิธี แต่ทั่วแคว้นยูดาห์พระเจ้าทรงทำให้ประชาชนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่จะทำตามพระราชาสั่ง ตามพระวจนะของพระเจ้า 2 พศด. 30:12 เพราะเทศกาลปัสคาเตือนให้ชาอิสราเอลระลึกถึงวันที่พระเจ้าช่วยเหลือพวกเขา นำออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ และชาวอียิปต์ที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้า บุตรหัวปีของพวกเขาจึงตายหมดแต่ทูตแห่งความตายได้ผ่านบ้านของครอบครัวคนอิสราเอลไป หลังจากเสร็จสิ้นเทศกาลปัสคาคนอิสราเอลได้นำรูปเคารพออกมาทำลายทิ้งเสียและได้นำพืชผักผลไม้บางส่วนของเขามายังวิหารของพระเจ้าเพื่อมอบแก่ปุโรหิตและคนเลวี เพื่อพวกเขาจะได้ไม่ต้องไปประกอบอาชีพส่วนตัวแต่รับใช้อยู่ในวิหาร เมื่ออัสซีเรียซึ่งยึดครองอิสราเอลตอนเหนือและกวาดต้อนอิสราเอลไปเป็นเชลยนั้น(ชาวอัสซีเรียปกครองเชลยอย่างโหดร้าย พวกเขาทรมานเชลยด้วยความบันเทิงโดยทำให้เชลยตาบอด ตัดชิ้นส่วนของร่างกายหรือถลกหนังออกเป็นชิ้นๆจนกว่าเชลยจะตาย ถ้าชาวอัสซีเรียต้องการเอาเชลยเป็นทาสเขาจะเจาะจมูกเชลยเอาห่วงใส่ พระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะจัดการกับอัสซีเรียเหมือนที่พวกเขาปฎิบัติต่อผู้อื่น) แต่ยังมีบางส่วนที่เหลืออยู่(สามเมืองและที่กระจัดกระจาย)และยูดาห์ต้องเสียเงินจำนวนมากแก่อัสซีเรียทุกปีเพื่อแลกกับการอยู่อย่างสงบ(เมื่อกษัตริย์ซากอนที่2 ที่ชนะอิสราเอลเหนือ ได้สิ้นพระชนม์ลง ราชโอรสคือเซนนาเคอริบขึ้นครองราชย์ ทำให้เฮเซคียาห์ซึ่งขึ้นครองราชทางใต้ถือโอกาสไม่ส่งเครื่องยรรณาการณืได้ห้าปี) เมื่อเฮเซคียาห์ขึ้นครองราชก็จะเสียให้บ้างเวลาที่อัสซีเรีย(เซนนาคอริบ)ข่มขู่ แต่ก็ไม่ได้เป็นที่พอใจของอัสซีเรีย จึงยกทัพมา แต่ครั้งนี้เฮเซคียาห์ได้หันมาพึ่งพระเจ้า เชนนาเคอริบกษัตริย์แห่งอ้สซีเรียได้ขู่เข็ญชนชาติยูดาห์พร้อมส่งจดหมายบอกว่า ยูดาห์พึ่งพระเจ้าไม่ได้หรอก เพราะอัสซีเรียรบชนะมาหมดแล้วพวกเขาเข้มแข็งกว่ายูดาห์ และดูหมิ่นเยาะเย้ยพระเจ้า แต่เฮเซคียาห์วางใจในพระเจ้า ทรงบอกประชาชนไม่ให้พูดตอบโต้ ดู 2 พศด. 32:21-22 พระเจ้าส่งทูตสวรรค์เข้าไปในค่ายศัตรู ในเช้าวันรุ่งขึ้นกองทัพอ้สซีเรียตายแทบหมด เชอนาเคอริบหนีกลับเมืองด้วยความอับอาย และถูกฆ่าตายในดินแดนของตนเองขณะที่กราบไหว้รูปเคารพอยู่ อิสราเอลตอนเหนือไม่กลับใจมาหาพระเจ้าและพวกเขามีแต่กษัตริย์ที่ชั่วร้ายทุกพระองค์ขณะที่อิสาเอลตอนใต้(ยูดาห์)ยังมีกษัตริย์ดีบ้างไม่ดีบ้าง ทำให้ประชาชนได้รับการนำให้กลับมาหาพระเจ้าในบางช่วง ทำให้พระเจ้าเมตตายืดเวลาออกไป เฮเซคียาห์ เป็นกษัตริย์ที่รักพระเจ้า ต่อจากนั้นก็มีกษัตริย์ชั่วร้ายสองพระองค์ แล้วไล่ลงมาเรื่อยๆก็มาถึงรัชการของโยสิยาห์ ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่รักพระเจ้า โยสิยาห์นำชาวอิสราเอลทำสัญญากับพระเจ้าว่า พวกเขาจะรักษากฎบัญญัติของพระองค์และได้ทำลายรูปเคารพ และสถานนมัสการให้หมดไป แม้นจะสายเกินกว่าที่จะรักษาประเทศไว้ได้ แต่พระเจ้าก็เหนี่ยวรั้งไว้ไม่ให้ถูกจับเป็นเชลยจนกษัตริย์โยสิยาห์สิ้นพระชนม์แล้ว เพราะพระเจ้าทรงห้ามไม่ให้ชาวอิสราเอลกราบไหว้รูปเคารพและบอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าไม่เชื่อบทบัญญัติของพระองค์ พระเจ้าอดทนและรักให้อภัยอิสราเอเสมอ แม้นแต่การส่งผู้พยากรณ์คอยเตือนพวกเขาให้กลับใจใหม่ พระเจ้าเมตตาอิสราเอลเหมือนบิดาให้อภัยบุตรแต่อิสราเอลได้ลืมความรัก การช่วยเหลือของพระองค์ไปสิ้น ในสมัยของกษัตริย์โฮเซยา อิสราเอลเหนือ มีผู้พยากรณ์ชื่อโฮเซยา ที่พระเจ้าส่งให้มาเตือนอิสราเอล แต่พวกเขาไม่เชื่อฟัง พระเจ้าจึงยอมให้อัสซีเรียภายใต้การนำของ แซลมาเนเสอร์มาตีและกวาดต้อนอิสราเอลไปเป็นเชลยที่อัสซีเลียและมีเดีย ในขณะที่อิสราเอลตอนเหนือถูกกวาดต้อน ทางอิสราเอลใต้(ยูดาห์) ภายใต้การปกครองของกษัตริย์เฮเซคียาห์ ได้หันกลับมาหาพระเจ้าแม้นกษัตริย์อัสซีเรียต้องการยึดครองยูดาห์ด้วยแต่ทำไม่สำเร็จเพราะพระเจ้าปกป้องโดยส่งทูตสวรรค์ไปทำลายกองทัพอัสซีเรีย (เพราะยูดาห์ได้กลับใจมาหาพระเจ้านั่นเอง ขณะที่อิสราเอลตอนเหนือไม่ได้กลับใจมาหาพระเจ้า จึงถูกทำลาย) เมื่อยูดาห์หันกลับมาหาพระเจ้า พระเจ้าทรงคุ้มครองและเจริญรุ่งเรือง จนบาบิโลนที่กำลังรุ่งเรืองแทนอัสซีเรียได้มาเยี่ยมยูดาห์ กษัตริย์เฮเซคีย์ยาห์ทรงต้องการโอ้อวดทรัพย์สมบัติของยูดาห์จึงพาผู้ส่งสารของบาบิโลนเข้าชมทุกสิ่งทุกอย่างในวัง(2พศด.32:24-31) ดังที่ผู้พยากรณ์อิสยาห์ได้ถามกษัตริย์เฮเซคียาห์ว่าผู้ส่งสารจากบาบิโลนเห็นอะไรบ้าง ซึ่งจากการเห็นครั้งนี้ทำให้บาบิโลนต้องการตียูดาห์ กษัตริย์อาสา เยโฮซาฟัส เฮเซคียาห์และโฮเซยา เป็นกษัตริย์ที่ชอบธรรมของยูดาห์ทรงฟื้นฟูชาวยูดาห์ให้หันกลับมาหาพระเจ้า แต่ยูดาห์ก็ยังทำผิดต่อพระเจ้าสลับไปสลับมาเสมอ .................................................................................................................................. มนัสเสห์ เป็นโอรสของเฮเซคียาห์ ทรงปกครองร่วมกับพระบิดาในช่วงแรก และภายหลังก็ปกครองเอง ทรงเป็นกษัตริย์ที่ชั่วร้ายเหมือนเสด็จปู่คือ อาหัส มนัสเสห์นับถือพระของบาบิโลนและชาวคะนาอัน ทรงนำโอรสของพระองค์มาบูชายัญ(2พกษ.21:6) ทรงไม่ฟังคำเตือนของผู้พยากรณ์ของพระเจ้า ทรงจงใจนำประชาชนมาทำบาป 2 พศด.33 ทรงทำให้พระเจ้าพิโรธ เขาเชื่อทั้งเวทย์มนต์คาถา ถือโชคชะตาราศรี ปรึกษาคนทรงหมอดู ซึ่งพระเจ้าห้ามเด็ดขาด(ลวต. 19:31 ฉธบ.18:9-13) ทรงสร้างเสาหลักของเจ้าแม่อาเซรา (เทวีของคะนาอัน มเหสีของบาอัล ) เสาของเทวีอาร์เซลาจะเป็นเสาไม้ตั้งข้างๆแท่นบูชาพระบาอัล (วนฉ.6:25)เป็นสัญญลักษณ์ของโชคลาภในการทำเกษตรและความอุดมสมบูรณ์ ............................................................................................................................. อิสราเอล(เหนือ)ตกเป็นเชลยของอัสซีเรียนานกว่า 100 ปี ก่อนที่กษัตริย์เยโฮยาคิม(ใต้)ขึ้นปกครองยูดาห์ ในเวลานั้นอาณาจักรบาบิโลนเรืองอำนาจและเริ่มยึดครองอัสซีเรีย ทำให้สิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับอิสราเอลเหนือเมื่อ150ปีก่อนกำลังจะเกิดขึ้นกับอิสราเอลใต้(ยูดาห์) เชลยรุ่นแรกที่ถูกต้อนไปที่บาบิโลนมี ดาเนียลและเพื่อนๆของเขาต่อมาอีกแปดปีก็มีคนอีกจำนวนมากถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลน เมื่อเยโฮยาคิมสิ้นพระชนม์ลง เยโฮยาคีนได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ของยูดาห์ทรงรู้ว่าอีกไม่นานยูดาห์จะต้องถูกยึดครองโดยบาบิโลน เมื่อบาบิโลนเข้าโจมตีพระองค์ตัดสินใจยอมแพ้เพื่อไม่ให้เกิดการนองเลือด ด้วยเหตุนี้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาจึงไม่ทำลายเมืองเยรูซาเลม แต่ได้กวาดต้อนผู้คนที่มีฐานะร่ำรวย พวกนายช่างและทหารกลับไปที่บาบิโลน ทรงต้อนไปประมาณหมื่นคนและเอาภาชนะที่ใช้ในพระวิหารไปห้าพันชิ้น(2 พกษ.25:14-16) ในส่วนของทางยูดาห์นั้นกษัตริย์เนบูคัดเนสซาได้มอบหมายให้ เศเดดียาห์ ดูแลแต่ต้องทำตามคำสั่งของเนบูคัดเนสซาร์ทุกอย่าง(2 พกษ.24:17-18) แต่ผ่านไปได้เพียง9 ปีเศเดดียาห์ได้แข็งข้อต่อบาบิโลน ทำให้เนบูคัสเนสซาร์จึงยกทัพไปจัดการยูดาห์อีกครั้ง ในครั้งนี้พระเจ้าให้ผู้พยากรณ์เยเรมีย์บอกให้เศเดดียาห์ยอมจำนนแต่เขาไม่เชื่อฟังพระเจ้าและได้สร้างเครื่องล้อมเมืองและปิดประตูแน่นหนา กองทัพของเนบูคัสเนสซาร์จึงล้อมยูดาห์ไว้ไม่ให้เข้าออกได้จนเกิดกันดารอาหารในเยรูซาเลม ทำให้คนในนั้นหนีออกมาทำไร่นอกกำแพงเมือง การกันดารอาหารรุนแรงมากสุดท้ายก็ถูกตีเมืองแตก ครั้งนี้ถูกกวาดต้อนไปหมดเหลือเพียงคนยากจนเท่านั้นที่ถูกทิ้งไว้ให้ทำมาหากินในดินแดนของเขา ส่วนกษัตริย์เศเดดียาห์ได้หลบหนีออกไปแต่โดนจับได้ ลูกชายของพระองค์ถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา และพระองค์ถูกทำให้ตาบอดและโดนต้อนไปบาบิโลน เมืองเยรูซาเลมและกำแพงเมืองถูกเผาทำลายรวมทั้งวิหารที่กษัตริย์โซโลมอนสร้างก็ถูกทำลาย ชาวยิวที่ถูกต้อนไปที่บาบิโลนไม่ได้ถูกกดขี่เหมือนสมัยเป็นทาสในอียิปต์ เพราะคนที่มีความรู้การศึกษาดีได้มีงานทำดีๆเช่นดาเนียลและเพื่อนๆมีตำแหน่งในพระราชวังของเนบูคัดเนสซาร์ ส่วนเชลยชาวยิวส่วนมากอาศัยนอกเมืองห่างจากบาบิโลนไปทางใต้70ก.ม. พวกนี้สามารถมีบ้านเป็นของตนเอง บางคนมีธุรกิจส่วนตัว เมื่อผ่านไปหลายปีชาวยิวหลายคนได้กลายเป็นคนมีฐานะร่ำรวย เพราะพระเจ้าทรงบอกว่าพวกเขาจะเป็นเชลยอยู่70ปี ตลอดเวลาช่วงนี้พระเจ้าส่งผู่พยากรณ์มาสอนและคอยตักเตือนพวกเขา ให้มีความหวังว่าวันหนึ่งจะได้กลับเยรูซาเลม ในระยะเวลาเจ็ดสิบปีนี้มีกษัตริย์ขึ้นมาปกครองหลายองค์ ในสมัยดาเนียล มีกษัตริย์เนบูคัดเนสซาช่วงท้ายรัชสมัยและต่อมากษัตริย์เบลชัสซาร์ขึ้นครอง ได้มีเหตุการณ์หนึ่งในคืนงานเลี้ยงใหญ่ดาเนียลได้แปลความหมายลายพระหัตถ์บนผนังที่เบลชัชซาร์ได้เห็น และในคืนนั้นเช่นกันกษัตริย์อัสซีเรียแห่งเปอร์เซียได้เข้ายึดบาบิโลน ในเวลานี้เองที่ดาเนียลถูกโยนไปในถ้ำสิงโต เพราะเขากล้าที่จะอธิษฐานต่อพระเจ้าผู้เที่ยงแท้ เมื่อใกล้จะครบ70ปีของการเป็นเชลย กษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เชียได้ขึ้นครองราชย์ ตามที่ผู้พยากรณ์อิสยาห์(ก่อนไซรัสเกิดร้อยกว่าปี)ได้กล่าวถึงกษัตริย์ไซรัสนี้ว่า ไซรัสไม่รู้จักพระเจ้าและก็คงไม่ทราบเรื่องคำพยากรณ์นี้ เราไม่ทราบว่าดาเนียลได้บอกไซรัสถึงคำพยากรณ์นี้ไหม(อิสยาห์44:28/45:1-4) P.53 แม้นไซรัสไม่เชื่อพระเจ้าแต่เขาก็มีความปราถนาให้ยิวได้กลับคืนถิ่นเดิมที่ปาเลสไตน์เพื่อซ่อมแซมและสร้างวิหารใหม่ที่เยรูซาเลม ส่วนคนที่ไม่อยากเดินทางกลับก็ช่วยกันบริจาคสิ่งของต่างๆมากมาเช่น เงินทอง ม้า อูฐ ลา เสื้อผ้าและสิ่งจำเป็นอื่นๆ ส่วนกษัตริย์ไซรัสก็ได้มอบของมี่ใช่ในพระวิหารที่เนบูคัสเนสซาได้ยึดมาคืนให้แก่พวกเขา(เอสรา 1:1-7) เมื่อคนพร้อม การเดินทางกลับบ้านครั้งที่หนึ่งโดยการนำของเศรุบบาเบล เดินทางด้วยเท้านานถึงสี่เดือน ก็ถึงดินแดนแห่งพันธสัญญา สิ่งที่พบคือ ซากสลักหักพังกำแพงเมืองถูกทำลายแต่พวกเขาก็ยินดีที่ได้กลับมา และได้สร้างแท่นบูชาพร้อมถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าพร้อมขอบคุณการทรงนำกลับบ้าน หลังจากนั้นประมาณหนึ่งเดือนประชาชนได้ช่วยกันวางรากพระวิหาร ได้จ้างช่างไม่ช่างอิฐช่างปูน ใช้เนื้อสัตว์ซื้อไม้สนสีดา และน้ำมันจากเลบานอน เมื่อก่อตั้งบานพระวิหารเสร็จก็เข้ามาประชุมเพื่อนมัสการพระเจ้า การก่อนสร้างซ่อมแซมใช้เวลาถึงยี่สิบปี มีอุปสรรคมากมายบางครั้งชงักหยุดไประยะหนึ่งแล้วมาสร้างต่อเพราะพระเจ้าส่งผู้พยากรณ์มาหนุนใจการก่อสร้างจึงเริ่มใหม่อีกครั้งจนสำเร็จ ( **เนหะมีย์ต้องเผชิญปัญหามากมายในครั้งแรกๆอิสราเอลตื่นเต้นกระตือรือล้นในการก่อสร้างดี แต่เมื่อมีคนนอกพยายามข่มขู่ขัดขวางการทำงานบอกให้หยุดก่อสร้างมิฉนั้นจะทำร้าย ทำให้หลายคนท้อใจเลิกลาไป แ่ต่เนหะมีย์ไม่ยอม เขาอธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า พระเจ้าช่วยพวกเขาและงานก่อสร้างได้เสร็จเรา)เมื่อพระวิหารสร้างเสร็จ ประชาชนได้ถวายเครื่องบูชาทำพิธีถวายพระวิหารแด่พระเจ้าพร้อมถือปัสคา จิตใจของประชาชนได้กลับมาหาพระเจ้าอีกครั้ง พระเจ้าได้รักษาสัญญาของพระองค์ที่จะนำอิสราเอลคืนถิ่น(เอสรา6:21-22) ................................................................................................................... **เนหะมีย์ เป็นเชลยยิวที่มาเป็นเชลยที่เปอร์เซีย มีหน้าที่เชิญถ้วยเสวยของกษัตริย์อารทาเซอร์ซิส และเขาต้องเป็นผู้ชิมทั้งหมดก่อนถวาย วันหนึ่งพระราชาสังเกตุเขาหน้าตาเศร้าหมองจึงถามว่าทำไมเศร้าโศรก เขารู้ว่า เยรูซาเลมถูกทำลายพินาศย่อยยับ แม้นเศรุบาเบลและเอสราจะนำคนไปซ่อมแซมแต่ก็มีอุปสรรทำให้การซ่อมแซมไม่สำเร็จ (เนหะมีย์1:3) แต่เขาก็ไม่กล้าทูลกษัตริย์เพราะกลัวว่ากษัตริย์ไม่พอพระทัยและจะคิดว่าพวกยิวจะก่อกบฎอาจสั่งประหารเขาเสีย เขารู้ว่าพระเจ้าต้องการให้สร้างพระวิหารขึ้นใหม่เขาจึงอธิษฐานพระเจ้าและขอให้เขากล้าพอที่จะทูลกษัตริย์ (เนหะมีย์2:6-9) rพระเจ้าตอบคำอธิษฐาน และเห็นด้วย พร้อมมอบไม้สำหรับทำประตูเมืองและออกหนังสือขออณุญาตเดินทางผ่านมณฑลต่างๆไปจนถึงยูดาห์และให้ทหารไปด้วยเพื่อช่วยปกป้องภัย จากการเดินทางเปอร์เซียไปเยรูซาเลม เมื่อเนหะมีย์ถงเยรูซาเลมแล้วเขาพักเหนื่อยสามวันคืนหนึ่งเขาพาทหารสำรวจกำแพงรอบเยรูซาเลมดูความเสียหาย แล้วเรียกทุกคนมาประชุมกันบอกว่าพระราชาสนับสนุนและมอบไม้มาให้ ทุกคนดีใจจึงทำงานต่อ มีคนท้องถิ่นแถบนั้นไม่พอใจที่เห็นยิวกลับมาซ่อมกำแพงเมืองต่อ คือ สันบาลลัสชาวสะมาเรีย โทบีอาห์คนอัมโมนและเกเซมคนอาหรับ พวกนี้ได้เยาะเย้ยให้ได้อายจะได้ท้อใจหยุดก่อสร้างแต่เนหะมีย์ตอบโต้พวกเขาหนักว่า พระเจ้าจะทรงช่วยให้สำเร็จ ท่านไม่มีสิทธิแตะต้องเมืองนี้เลย เนหะมีย์ได้ทูลขอต่อพระเจ้าให้ทรงหยุดคำเยาะเย้ยและหันการเยาะเย้ยกลับไปที่ศัตรู ชาวยิวทำงานต่อจนกำแพงเสร็จได้ครึ่งหนึ่งแล้ว พวกศัตรูเห็นยิวไม่หยุดก่อสร้างจึงวางแผนก่อกวน ชาวยิวได้บอกเนหะมีย์ถึงอุปสรรค เนหะมีย์จึงประชุมและบอกอย่ากลัวเลยพระเจ้าอยู่ด้วย ให้แบ่งคนงานเป็นสองกลุ่ม พวกหนึ่งทำงาน อีกพวกคอยระวังศัตรู แยกย้ายไปตามจุดต่างๆ เมื่อมีศัตรูมาโจมตีให้เป่าเขาสัตว์ เพื่อได้ยอนสัญญานให้ทุกคนมารวมกันเพื่อต่อสู้ศัตรู ทำให้ใช้เวลาแค่ 52 วัน กำแพงก็สร้างเสร็จ พวกศัตรูประหลาดใจที่รู้ว่ากำแพงเสร็จเร็วกว่าที่คาดคิด เขารู้ว่าพระเจ้าช่วยคนยิว พวกเขาจึงไม่กล้าอีกเลย ................................................................................................................................ ............................................................................................................................... เพิ่มเติม : ยูดาห์คืออิสราเอลใต้ แม้นจะเป็นหนึ่งในสิบสองเผ่าของอิสราเอล แต่ยูดาห์มักจะถูกกล่าวแยกออกมา อาจจะหลายเหตุผลเช่น ยูดาห์เป็นเผ่าที่ใหญ่ที่สุด (กดว.1:20-46) และกษัตริย์ส่วนใหญ่มาจากเผ่านี้ และเผ่ายูดาห์จะเป็นเผ่าที่กลับมารื้อฟื้นเยรูซาเลมที่ถูกทำลาย นอกจากนั้นพระเมสสิยาห์ก็เกิดจากเผ่านี้ด้วย(มีคา 5:2) ............................................................................................................................ ในส่วนของหัวข้อกษัตริย์อิสราเอลตอนที่๑๒๓ มันจะโยงไปมา อาจขอเวลาที่จะเขียนเพิ่มเติมให้วันหลังน่ะค่ะ ที่มา : จากคู่มือครูธัญญาทิพย์ เมื่อกษัตริย์.. อมตธรรมร่วมสมัยภาคอธิบาย และหนังสือคู่มือศึกษาพระคัมภีร์อื่นๆ |
jewelmoda
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 108 คน [?] ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่อยากทำงานด้านเด็ก อยากเป็นครู แต่กลับต้องไปทำงานแบงค์ เมื่อขอเออรี่ออกมา ขอหาข้อมูลเกี่ยวกับเด็ก เพื่อการพัฒนาเด็กไทย Myspace angels graphics
Friends Blog
|