Group Blog
All Blog
|
พระคำของพระเจ้า การที่เราจะรู้ความเป็นมาของพระคัมภีร์เราต้องย้อนไปดูประวัติศาสตร์การเริ่มต้นของชาวอิสราเอล บรรพบุรุษของชนกลุ่มนี้คือ อับราฮาม พระเจ้านำครอบครัวของท่านไปยังดินแดนที่เรียกว่าแผ่นดินคะนาอัน ทรงสัญญากับท่านว่า ลูกหลานของอับราฮามจะอาศัยที่ดินแดนนี้ หลายปีผ่านไป ยาโคบหลานของอับราฮามมีลูกชาย 12 คน พระเจาเปลี่ยนชื่อของยาโคบเป็นอิสราเอล ดังนั้นลูกของท่านทั้งสิบสิงคนจึงถูกเรียกว่า "ลูกหลานของอิสราเอล" และบุตรคนเล็กของท่านชื่อว่า โยเชฟ ได้ถูกขายไปเป็นทาส ที่ประเทศอียิปต์ และต่อมา ครอบครัวของยาโคบและครอบครัวของลูกชายอีกสิบเอ็ดคนได้ย้ายเข้าไปอยู่ที่ประเทศอียิปต์ กับโยเชฟในช่วงที่เกิดการกันดารอาหาร หลังจากนั้นอีกหลายร้อยปีต่อมาจนเป็นชาวอิสราเอลรุ่นหลังๆ ชนชาติอิสราเอลหรืออีกชื่อว่า ชาวฮิบรู ได้ตั้งรกรากในประเทศอียิปต์จนมีลูกหลานเกิดมากมาย ทำให้ชาวอียิปต์กลัวจึงหาทางข่มเหงชาวฮิบรู พระเจ้าได้ช่วยเหลือโดยให้โมเสสนำชนชาตินี้ออกจากประเทศอียิปต์ซึ่งได้ย้ายมาอาศัยในอียิปต์สมัยโยเชฟนานถึง 430 ปี โมเสสได้นำชาวฮิบรูออกจากแผ่นดินอียิปต์ไปยังดินแดนที่พระเจ้าสัญญากับอับราฮามว่าจะยกให้พงศ์พันธ์ของอับราฮามคือแผ่นดินคะนาอัน ในขณะที่เดินทางพระเจ้าได้ประทานบัญญัติสิบประการให้แก่ชาวอิสราเอลเป็นบัญญัติแรกที่พระเจ้าเขียนบนแผ่นศิลา แต่เมื่อโมเสสนำลงมากลับพบว่าชาวอิสราเอลทำบาป ท่านโกรธมากและได้ทำแผ่นศิลานี้แตก พระเจ้าจึงประทานให้ใหม่ คำถาม ; ทำไมต้องมีบัญญัติสำหรับชาวอิสราเอล ลองอภิปรายดูแต่ละความคิด และเหตุผลอีกอย่างคือ ในเวลานั้นคนอิสราเอลอยู่ท่ามกลางคนต่างชาติที่นับถือพระอื่นด้วยและมีการบูชาที่ชั่วร้ายเช่น การประหาบุตรโดยการเผาเพื่อเป็นเครื่องบูชาต่อพระโมเลค พระเจ้าต้องการแยกชนชาติของพระองค์ออกจากการกระทำบาปเหล่านี้ และบัญญัติิบประการเป็นพื้นฐานรวมทั้งกฎบัญญัติอื่นๆ พระคัมภีร์ของคริสเตียนมีทั้งหมด 66 เล่ม มีคนเขียนประมาณ 35-40 คน มีคนหลายอาชีพที่เขียน ใช้เวลาเขียน 1600 ปี เพราะทุกคนเขียนโดยได้รับการทรงนำจากพระเจ้า จึงมีความสอดคล้องไปด้วยกัน คนเขียนคนแรกคือ โมเสส เขียนก่อนพระเยซุมาบังเกิดหลายศตวรรษ จนถึงคนเขียนสุดท้ายคือยอห์น ได้บันทึกนิมิตที่เขาได้เห็นในหนังสือวิวรณ์ หลังจากพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้วประมาณ100ปี พระคัมภีร์มีโครงเรื่องที่สำคัญเรื่องเดียวคือ พระเจ้าและความรอดที่ทรงประทานให้มนุษย์โดยทางพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์ถูกเขียนในสภาพแวดล้อมที่ทนทุกข์ทรมาน บางตอนเขียนในคุกที่โรม บางตอนเขียนโดยนักโทษที่ถูกเนรเทศไปอยู่ที่เกาะแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหลายคนได้บันทึกบนหนังสัตว์บ้าง บนกระดาษหยาบๆบ้าง ต้องใช้ปากกาที่ทำด้วยขนนก ขนเม่น กระดูก และเขียนจากแสงสว่างของตะเกียงดวงเล็กๆหรือแสงสว่างจากเทียนไขที่ริบหรี่ เราจะพบว่า คำพยากรณ์ที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์เป็นความจริง เช่น การพิพากษาเมืองที่ชั่วร้าย เรื่องการประสูติ การวายชนม์ของพระเยซู คำพยากรณ์หลายอย่างสำเร็จแลวและมีหลายอย่างกำลังทะยอยสำเร็จ ดูเปรียบเทียบจากอิสยาห์ 9:6 ลูกา 2:11 โยเอล 2:28-32 กิจการ 2:1-4,14-21 ข้อพิสูจน์ประการที่สามคือ อิทธิพลของพระคัมภีร์ทำให้มนุษย์กินคนกลายเป็นคนปกติ สงบ ไม่มีพิษภัยอีก โดยผ่านทางพระวจนะ ........................................................................................................................ การคัดลอกพระคัมภีร์ ชาวอิสราเอลไม่ได้เชื่อพระเจ้าทุกยุคทุกสมัย ในบางช่วงพวกเขาหันเหไปนับถือพระเจ้าของชาติอื่นทำให้พระวจนะของพระเจ้าถูกละเลยเสียหายข้อความบางส่วนที่บันทึกไว้สูญหายไป สมัยกษัตริย์โยสิยาห์ทรงรักพระเจ้า ทรงฟื้นฟูการนมัสการ ทำความสะอาดและซ่อมแซมวิหารของพระเจ้า ตอนนั้นเองฮิลคียาห์มหาปุโรหิตได้พบหนังสือธนนมบัญญัติ เขาได้คัดลอกธรรมบัญญัติ ส่งถวายต่อกษัตริย์โยสิยาห์ทันที กษัตริย์โยสิยาส์ให้ธรรมาจาย์อ่านธรรมบัญญัติให้ฟังและทรงรู้และเข้าใจถึงความสำคัญของหนังสือธรรมบัญญัติ และเกิดความยำเกรงพระเจ้า พระองค์ทรงต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลง การนมัสการ ดังนั้นพระวจนะได้ถูกเก็บรักษาอีกครั้ง พระคัมภีร์เดิมเขียนด้วยภาษาฮิบรู ในสมัยโบราณเมื่อเอกสารสำคัญหมดอายุหรือเก่าหรือไม่ได้ใช้ คนยิวจะฝังสิ่งเหล่านี้ไว้ แต่การคัดลอกจะทำอย่างอย่างระมัดระวังโดยธรรมมาจารย์หรือพวกอาลักษณ์ ซึ่งมีความสามารถอย่างละเอียดรอบคอบนการคัดสำเนาให้เหมือนต้นฉบับ ในการคัดลอกสำเนาพระวจนะนั้นจะเป็นภาษาฮิบรูและถือว่าเป็นเรื่องบริสุทธิ์ ผู้คัดลอกจะต้องทำความสะอาดปากกาของเขาก่อนจะลงมือคัดลอกคำว่า "พระเจ้า"ทุกครั้ง ผู้เขียนคนแรกได้ใช้ไม้ปลายแหลมเขียนบนดิน แล้วต่อมาพวกคนยิวพยายามทำหนังสือให้คงทนมากขึ้น ก็เขียนบนกระดาษโบราณ หนังสัตย์ บนเครื่องปั้นดินเผา แผ่นศิลา แผ่นดินเหนียว และแผ่นขี้ผึ้ง รูปแแบจะเป็นหนังสือม้วน บางครั้งยาวถึง 30 ฟุต เื่องจากม้วนหนังสือคัดลอกด้วยมือ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งมีค่ามาก เขาจะเก็บหนังสือไว้ที่ธรรมศาลา พระคัมภีร์ใหม่บันทึกเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซู คำสอน ประวัติคริสตจักร เขียนหลังพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้ว เป็นภาษากรีก ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันทั่วไปสมัยนั้น ในสมัยก่อนหลายคนบันทึกเรื่องราวพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ บางคนอาจะขียนเป็นการบันทึกทางประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า จึงมีกลุ่มคนของพระเจ้ากลุ่มหนึ่งรวมตัวกันขึ้นเพื่อตั้งกฎเกณท์การตรวจสอบพระคัมภีร์ (แคนนอน) ก่อน เพื่อจะยอมรับว่าเล่มใดเขียนโดยการดลใจจากพระเจ้า (2ทธ.3:16) แนนอน หมายถึง อำนาจหรือกฎเกณฑ์ที่ใช้เป็นมาตฐานของความเชื่อและการปฎิบัติ ในราว คศ.400 มีหนังสือหลายเล่มได้รับการคัดเลือกเป็นต้นฉบับเพื่อจะพิมพ์เป็นพระคัมภีร์ฉบับมาตรฐานเหมือนเล่มที่เราใช้อยู่นี้ พีะคัมภีร์เดิมได้พิมพ์ก่อนพระเยซูประสูติ หลังจากพระเยซูประสูติ 500 ปี อิทธิพลของพระคัมภีร์และคริสเตียนแพร่ไปทั่วยุโรป แต่การศึกษาค้นคว่าได้ลดถอยลงในยุคกลาง ซึ่งเรียกว่ายุคมืด เป็นยุคที่มีการเรียนรู้น้อยมาก ไม่มีการอ่าน เขียนหรือสนใจพระคัมภีร์เลย และในยุคกลางยังไม่มีเครื่องพิมพ์ การคัดลอกทำโดยมือ จึงเป็นงานที่หนัก ในทุกสำนักศาสนาจะมีห้องเขียนหนังสือ เพราะคัดลอกแล้วยังมีการตกแต่งลายริมกระดาษให้สวยงาม ในระหว่าง คศ. 500-1000 มีกลุ่มผู้คงแก่เรียนชาวยิว เรียกวา่ แมโซแร็ธ มีหน้าที่คัดลอกพระคัมภีร์เดิมให้สมบูรณ์และถูกต้อง เพื่อให้คนรุ่นหลังๆได้ใช้ต่อไป ในการคัดลอก พวกเขาจะทำด้วยความระมัดระวังอย่างมาก เขาจะตรวจตราทุกถ้อยคำทุกตัวอักษรหากพบมีคำใดผิดจากต้นฉบับแม้นแต่คำเดียว เขาจะทำลายกระดาษแผ่นนั้นทันทีแล้วคัดลอกใหม่และจะตรวจสอบกับต้นฉบับตลอด ผู้คัดลอกจะอ่านแต่ละคำก่อนลงมือเขียน อันนับว่าเป็นความพยายามที่น่ายกย่องยิ่งนักเพราะมือที่ต้องเมื่อยล้า ตาที่ฝ้าฟางไป และแม้นแต่การรักษาพระคำที่บริสุทธิ์เหล่านี้ บางคนต้องเสัยสละแม้นชีวิตเพื่อรักษาพระคำเหล่านี้ เพราะจักพรรดิ์โรมันพยายามกวาดล้างพวกคริสเตียนและเอาพระคัมภีร์ทุกฉบับไปเผาไฟ ในยุคกลางการมีพระคัมภีร์เป็นส่วนตัวถือเป็นความผิดตามกฎหมาย ในคริสจักรจะมีพระคัมภีร์เป็นภาษาลาติน ซึ่งคนส่วนใหญ่จะอ่านภาษาละตินไม่ได้ ในปีคศ.1199คณะสังฆนายกและพวกหัวหน้าพระในคริสตจักรได้ออกกฎว่า พระคัมภีร์จะอ่านได้เฉพาะในภาษาลาตินและแปลโดยพระเท่านั้น ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกเผาไฟตาย มีชายสองคนถูกฆ่าตายเนืองจากลักลอบแปลข้อความบางตอนในพระคัมภีร์ คือชาวอังกฤษชื่อ จอห์น วิคคลิฟ เป็นคนแรกแปลเป็นภาษาอังกฤษทั้งเล่ม ในปี คศ. 1382 เขาถูกเรียกว่าเป็นคนนอกศาสนา(คนนอกรีต คือ คนที่มีความเห็นขัดแย้งกับผู้นำศริสตจักร ศพของเขาถูกขุดขึ้นมาและถูกเผา) หลังจากนั้นอีก50ปี มีคำสั่งให้เผาพระคัมภีร์ที่เขาแปล แต่มีบางคนไมายอมให้ก็ถูกฆ่าตาย ในปีคศ.1536 วิลเลียม ทินเดล ก็แอบแปลพระคัมภีร์เขาถูกจับแขวนคอ เขาได้อธิษฐานว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเปิดตาของกษัตริย์ของอังกฤษ" พระคัมภีร์ที่ทินเดลแปลได้ถูกห้ามนำเข้ามาในประเทศอังกฤษ แต่มีคนแอบลักลอบนำเข้ามาหลายร้อยเล่ม ต่อมาอีก 40 ปี กษัตริย์เจมส์ได้ขึ้นครองราชย์พระองค์ให้มีการแปลพระคัมภีร์จากภาษาเดิมเป็นภาษาอังกฤษ ในปัจจุบันเราควรขอบคุณพระเจ้าที่เรามีอิสระเสรีในการซื้อหาและครอบครองพระคัมภีร์เพราะพระวจนะจะทำให้เราเข้มแข็งและสามารถศึกษาค้นคว้าเข้าใจได้ถ่องแท้ขึ้น ............................................................................................................ พระคัมภึร์ของคนไทย ประเทศไทยเพิ่งจะมีพระคัมภีร์ภาษาไทยมาได้เมื่อร้อยกว่าปีนี่เอง เนื่องจากส่วนใหญ่พระคัมภีร์เขียนเป็นภาษากรีก จึงต้องมีการแปลเป็นภาษาต่างๆเพื่อทุกคนจะอ่านเองและทำความเข้าใจได้ง่าย ในตอนปลายคศง300 ศาสนาคริสต์ได้กลายเป็นศาสนาของจักรวรรดิโรมันจึงต้องใช้เป็นภาษลาติน สำหรับประเทศไทยเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว มิชชันนารีคาธอลิค เห็นว่าควรมีพระคัมภีร์เป็นภาษาไทย จึงได้แปลขึ้นเป้นครั้งแกที่จังหวัดอยุธยา แต่เมื่อพม่ามาตีกรุงศรี ทำให้ต้นฉบับตกน้ำสูญหายไป ในปีค.ศ.1818 ภรรยาของอโดนิราม จัดสัน ซึ่งเป็นมิชชันนารีของพม่า ได้พบเชลยศึกชาวไทย เขามีภาระใจในการประกาศกับเชลยศึกไทย เขาจึงเรียนภาษาไทยกับพวกเชลยศึกและเริ่มแปลคำเทศนาบนภูเขา และเรื่องอื่นๆในมัทธิว เพราะการเข้ามาประกาศในไทยยากมาก (แต่ไม่ได้พิมพ์เป็นเล่ม ) ต่อมาในคศ. 1828 มีมิชชันนารีโปแตสแต้นท์เข้ามาในไทย คือศจ.คาร์ล กุตสลาฟ เอ็ม.ดี. และ ศ๗.ยากอบ ทอมลิน เมื่อได้รับอนุญาตให้ประกาศพระกิตติคุณได้ ท่านเริ่มจากการประกาศคนจีนในไทยก่อนเพราะเคยเรียนภาษาจีนตั้งแต่อยู่ในยุโรป และทราบว่ามีคนจีนอยู่ในไทยมาก ท่านได้นำยารักษาโรค พระคัมภีร์จีนไปแจก แม้นคนจีนเหล่านี้อ่านไม่ออกแต่ก็ได้มีการแจกจ่ายไปอย่างรวดเร็ว และคนจีนจะตามไปฟังเมื่อมีการประกาศที่ไหน ทำให้มีคนไม่พอใจ พยายามกลั่นแกล้งไปบอกรัฐบาลไทยว่า มิชชันนารียุให้คนจีนกระก้างกระเดื่อง และแกล้งปล่อยข่าวลือว่า ใครรับพระคัมภีร์จะโดนลงโทษ ต่อมามีการพิสูจน์ว่าไม่จริง แต่ก็ยังมีคนต้องการให้ท่านถูกขับไล่ออกนอกประเทศ จนทั่านต้องขออนุญาติรัฐบาลไทยให้อนุญาตให้ประกาศได้ต่อไปเหมือนแคธอลิค และสุดท้ายก็ได้รับอนุญาตอีกครั้ง ต่อมา อาจารย์ทั้งสองทานก็ได้แปลพระกิตติคุณที่งสี่เล่ม มัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น จากภาษาจีนเป็นภาษาไทย ในการแปลนี้ได้ชาวจีนชื่อ คิง และชาวพม่าชื่อ โหน มาช่วยเพราะทั้งสองคนมีความรู้ภาษาจีนและไทยเป็นอย่างดี จนสุดท้ายได้แปลออกมาจนจบพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่จบทั้งเล่ม หลังจากนั้นศจ.โรบินสันได้ทำแท่นพิมพ์ภาษาไทยที่ทำด้วยไม้เป็นครั้งแรกแต่พิมพ์ได้ช้ามาก ค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นในปีคศ. 1836 มิชชันนารีสั่งแท่นพิมพ์ที่ทันสมัยที่สุดเข้ามาในประเทศไทย สิ่งพิมพ์ครั้งแรกคือ "พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์"พิมพ์ออกมา 4000 ฉบับ ในเวลาเดียวกัน ศจ. กุสตาฟ ได้แปลพระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่ม และพิมพ์พระธรรมลูกาในคศ.1893 จนครบพระคัมภีร์ทั้งเล่มและพิมพ์พระคัมภีร์เดิมในคศ .1896 ที่ประเทศสิงค์โปร์ และมีการปรับปรุงอีกครั้งในคศ. 1954 การแก้ไขทำโดยกรรมการยกร่างคำแปล 3 คน กรรมการตรวจสอบแก้ไข ฉบับยกร่าง 8 คน และกรรมการที่ปรึกษาอีก 25คน ใช้เวลานาน 13ปี ในการแก้ไขให้ถูกต้องต้นฉบับท่ี่สุด โดยได้ยกร่างภาคพันธสัญญาเดิมกับต้นฉบับฮิบรู และต้นฉบับภาษไทยเปรียบเทียบกับต้นฉบับภาษากรีก ในปีคศ.1971 ได้พิมพ์พระคัมภีร์ฉบับสมบูรณ์เป็นเล่มที่ใช้ปัจจุบัน (แม้นจะมีการปรับปรุงอีกก็ยังอิงฉบับเดิม) เหตุผลของการปรับปรุงแก้ไข 1 ความผิดพลาดในการคัดลอก บางทีคำบางคำหรือหน้าบางหน้าอาจลบหรือตกหล่นไป หมึกอาจจางไปหรือลายมืออ่านยาก 2 ต้นฉบับที่แปลครั้งก่อนๆ เมื่อค้นพบต้นฉบับที่แปลก่อน ผู้ปรับปรุงได้พยายามที่จะนำมาเปรียบเทียบ เพื่อให้ใกล้เคียงต้นฉบับเดิม ให้มากที่สุด เช่นม้วนหนังสือที่ทะเลตาย ในปีคศ. 1947 3 คนเรียนรู้ภาษษกรีกโบราณได้ดีขึ้น เพราะการแปลหรือการเรียนรู้ความหมายของเนื้อหาที่ได้จากต้นฉบับเดิมจะได้ความถูกต้องดีกว่า เราควรจะขอบคุณพระเจ้าสำหรับคนที่รักภาษาและแปลพระคำของพระเจ้าไว้ แราควรจะจดจำและใส่ใจต่อความสำคัญของพระคัมภีร์และให้พระวจนะเหล่านี้ฝังอยู่ในชีวิตและเติบโตในชีวิตของเรา ที่มา ธัญญทิพย์ฉบับประถมปลายและเนื้อหาเพิ่มเติมจากหลายแหล่ง J2-1 และบางส่วนจากครูมดแดงสรุปมาจากที่อื่น "ข้าพระองค์ได้สะสมพระดำรัสของพระองค์ไว้ในใจของข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะไม่ทำบาปต่อพระองค์ สดุดี 119: 11" พระคัมภีร์กับหนูๆ เด็กในวัยประถมปลาย ถ้าให้ศึกษาพระคัมภีร์ตั้งแต่ปฐมกาลจนจบวิวรณ์ อาจดูว่าหนักและยากไป แต่ถ้าอ่านและทำความเข้าใจไปเรื่อยๆจบหมดก็วนอ่านกันใหม่ ไม่เร่งรีบเพื่อให้จบแต่อ่านด้วยใจที่อยากค้นคว้าหาคำตอบ ใคร่ครวญ ทำความเข้าใจพื้นฐานและวัตถุประสงค์ของพระคัมภีร์ ก็สามารถทำได้ แต่ปัจจุบัน เวลาของการเรียน ติวพิเศษ เกมส์ เพื่อนฝูง ทำให้เด็กๆเหลือเวลาสำหรับพระเจ้าน้อยจนแทบไม่มี แต่่พ่อแม่ (ครูมดแดงเชื่อว่า ในบ้านของเด็ก คุณพ่อแม่คือคุณครูรวีที่ดีที่สุดของลูก)สามารถพูดกระตุ้นให้เค้าระลึกเสมอว่า อย่างไรก็ตาม พระเจ้าคือคำตอบของทุกสิ่ง ถ้าไม่อ่านหรือค้นหา แล้วเราจะเอาคำตอบมาจากไหน จากเพื่อนๆหรือ(คิดให้ดี) ดู เฉลยธรรมบัญญัติ 6:6-9, โยชูวา 1:8 "พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพระองค์และเป็นความสว่างแก่มรรคาของข้าพระองค์ สดด.119:105" โมเสสเน้นว่า จะต้องสอนพระวจนะอย่างเอาใจใส่ทุกๆวัน ประเพณีคนยิวในสมัยโมเสสนั้น เขาจะเขียนคำที่สำคัญเกี่ยวกับคุณธรรมหรือความเชื่อลงบนหนังแกะผูกไว้ที่ข้อมือหรือหน้าผาก บนเสาหรือประตูบ้าน เพื่อจะมองเห็นง่าย และอ่านอยู่เสมอไม่ให้ลืม และโมเสสต้องการให้ชนอิสราเอลจดจำบัญญัติ10ประการของพระเจ้าด้วยวิธีนี้เช่นกัน ในปัจจุบันเราจะเห็นมีการทำการ์ดเล็กๆเขียข้อพระธรรมเพื่อท่องจำและติดตัวไปด้วย นั่งว่างที่ไหนก็ยกขึ้นมาท่อง ที่บ้านก็มีภาพข้อพระคำติดอยู่ หากเราถือรักษาพระวจนะด้วยความสัตย์ชื่อ พระเจ้าสัญญาว่าเราจะพบความสำเร็จในชีวิต อาจไม่ใช่ความร่ำรวยแต่เป็นการจัดเตรียมทุกสิ่งที่จำเป็นแก่ชีวิตเราในทุกๆวัน ใน2ธิโมธี 3:16-17 ได้เอ่ยถึงประโยชน์สี่ทางที่จะได้รับ คือ การสั่งสอน ตักเตือน ว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำดีทุกอย่าง แม้นแต่พระเยซูก็ใช้ขอพระคัมภีร์ในการต่อสู้กับมารคือ เฉลยธรรมบัญญัติ 8:3,6:16,6-13 {อยากจะหนุนใจให้ทุกคนท่องข้อท่องจำไว้แยะๆ เพราะเมื่ออายุมากขึ้นจะเริ่มจำไม่ค่อยได้ ตกๆหล่น (โดยเฉพาะปัจจุบันมีการปรับปรุงสำนวนของพระคัมภีร์บ่อย ทำให้ต้องท่องตามฉบับใหม่ๆที่คริสตจักรเปลี่ยนฉบับไปด้วย ทำให้เดี๋ยวนี้สับสนกับข้อท่องจำฉบับเก่าฉบับใหม่มาก) แต่ถ้าท่องตั้งแต่เด็กๆมันจะจำตลอดไป แม้นจะเปลี่ยนฉบับปรับปรุงกี่ครั้ง มันก็ยังเนื้อหาเดิมเพียงแต่เปลี่ยนสำนวนไปบ้าง} เมื่อมารซาตานทดลอง เราจะได้มีข้อพระคำของพระเจ้าช่วยปกป้องไม่ให้ตกเข้าไปในหลุมของการทำบาป และนอกจากนั้นเราต้องช่วยกันบอกคนอื่นๆให้ได้รับรู้ข่าวประเสริฐด้วย เมื่อเราเป็นพยานแก่คนอื่นเราก้ควรที่จะรู้พระวจนะเป็นอย่างดี เช่นตอนที่พระวิญญานนำฟิลิปไปเป็นพยานกับขันทีชาวเอธิโอเปียซึ่งกำลังอ่านพระวจนะและมีข้อสงสัยอยู่นั้น ฟิลิปได้เข้าไปอธิบายและบอกเรื่องพระเยซูทำให้เขารับเชื่อและรับบัพติสมา เพราะฟิลิปอ่านและศึกษาพระวจนะ พระวิญญานจึงใช้เขาได้ (กจ.8:26-38) อย่างน้อยพกพระัมภีร์เล่มเล็กๆหรือดาวโหลดลงมือถือเพื่อเปิดใช้อ่านได้ ข้อพระธรมที่ใช้ในการเป็นพยาน 1ยอห์น 4:9ม โรม 3:26ม โรม 6:23, เอเฟซัส 2:8-9, โรม 10:9, กิจการ 3:19, ยอห์น 3:16, ยากอบ 4:17, โรม 5:8, ยอห์น 1:12, 1เปโตร 2:24, กิจการ 16:13 หน้าที่ของคริสเตียนทุกคน คือ การเป็นพยาน บอกเรื่องความรอดแก่ทุกคนให้ได้พบกับพระเยซูคริสต์ ข้าพระองค์ได้สะสมพระดำรัสของพระองค์ไว้ในใจของข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะได้ไม่ทำบาปต่อพระองค์ สดด. 119:11 |
jewelmoda
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 108 คน [?] ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่อยากทำงานด้านเด็ก อยากเป็นครู แต่กลับต้องไปทำงานแบงค์ เมื่อขอเออรี่ออกมา ขอหาข้อมูลเกี่ยวกับเด็ก เพื่อการพัฒนาเด็กไทย Myspace angels graphics
Friends Blog
|