bloggang.com mainmenu search





A Penny For Your Thoughts No. 68
I feel grateful to you
I'm free after 7th October until 3rd November krub.
Looking fwd to go to the Zoo with you kub.

One more question....
Why they use... photo by Khunya, Photo by KuTing, Photo by Darha, Photo by Mungkood...
Why not be "photoed by ..."?
I'm curious to know kub.

โดย: คุณย่า 5 กรกฎาคม 2549 22:59:36 น.
xxxxxxxxxxxxxx

A Penny For Your Thoughts No. 69

พอพิมพ์เสร็จ submit แล้วรู้สึกว่า photoed by มันดูแปลก ๆ แหม่ง ๆ ทะแม่ง ๆ ชอบก๊ล
จะสงสัยไปทามมายนะเรา อายเค้าอ่า
โดย: คุณย่า 5 กรกฎาคม 2549 23:06:25 น.
xxxxxxxxxxxxx

Photo by Ku Ting


คูทิง ตอบ:

เริ่มที่ คำว่า"อาย" ก่อนดีกว่า .......
อุปสรรคของ "การเรียนรู้" ของคนไทยทุกยุคทุกสมัย คือ "ความอาย"
"พูดอะไรออกมา....อายมั้ย?"
"รู้จักอายซะมั่งสิ"
"ถามอะไรโง่ๆ"
นี่คือคำที่เรา "ต้องเลิกใช้"

คำว่า "อาย" ภาษาไทย มี สองความหมาย คือ
1) รู้สึก อาย เขิน และ 2) (ได้)อาย
เรามักใช้กันเพี้ยน ในภาษาอังกฤษ เพราะ เรามักจะใช้ คำว่า shy คำเดียว

ในภาษาอังกฤษ
1) นิสัยความ ขี้อาย ขี้เขิน ที่คิดได้ตอนนี้ มี สองคำ คือคำว่า shy และ coy
คำว่า shy ให้ความหมายว่า ขี้อาย เขิน เกิดจาก ไม่กล้า ไม่มั่นใจ
ส่วน coy คือ อากัปกิริยา ขี้อาย เขิน โดยเฉพาะใน วัยรุ่น
ดังที่โดดเด่นก้อ อาการยิ้มเขินๆ ของ Lady Diana นั่นละใช่เลย

และ ยังมีคำว่า uncomfortable อีก
ที่ใช้ครอบจักรวาล เมื่อ เขินจนอกจะแตก ชักจะอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
"ไม่สดวกใจ" "ไม่สบายใจ" ว่างั้นเถอะ

ส่วน
2) การรู้สึก(ได้)อาย หรือ อับอาย
คือ อายไปแล้ว หน้าแตก กาวตราช้างแปะไม่อยู่ ไล่ไปจนถึง เสียหน้า อับอาย ขายหน้า
เราใช้คำว่า embarrassed

ดังนั้น
ที่คุณย่าบอกว่า
"นู๋อายจังค่ะ ที่ถามคำถามนี้"
ถามว่า จะใช้ shy หรือ embarrassed ล่ะ?


Photo by Ku Ting


ตอบว่า
a) ถ้า คุณย่า "มีนิสัยขี้อาย" เกินกว่าที่จะถาม ...
"เป็นคนขี้อายไม่กล้าถามเป็นนิสัย"..ไม่ใช่แค่หนนี้หนเดียว..ก้อนี่
I am too shy to ask.....
อย่าง คูทิงนี่ ไม่คู่ควรกับคำว่า shy หรือ "ขี้อาย"
เพราะทุกคนที่รู้จักจะบอกว่า "มันนะเหรอ?...อายเป็นที่ไหน"

b) ถ้าคุณย่า ยอมรับว่า "นู๋ไม่ได้ขี้อายนะ" แต่ "นู๋อายจังที่ต้องถามคำถามที่ฟังดูโง๊โง่แบบนี้"
แต่อายยังงัย...นู๋ก้อจะถามอยู่ดี....เพราะความอยากรู้ขงนู๋ มันมากกว่าความอายตรงนี้....
ความอายเดี๋ยวก้อหาย....เดี๋ยวเพื่อนๆก้อลืม....
แต่ ความไม่รู้ของนู๋เนี่ยะ...เนี่ยะ...นู๋ไม่ถาม...นู๋ก้อจะไม่รู้อยู่งั้น....มันคาใจนู๋ ...
ดังนั้น..นู๋คิดดีแล้ว...นู๋ยอมอายก้อได้ฟร่ะ..นู๋ก้อจะพูดว่า
I am embarrassed to ask such a "dumb question".
นู๋ก้อรู้สึกอายมากนะที่ต้องถามคำถามโง่ๆแบบนี้...



Photo by Ku Ting


และ คำตอบที่เรามักจะมีให้กัน ก้อคือ
Don't be. It is actually a very good question
and I am glad you asked.

คู ทิง ไม่เคยอายที่จะถาม ...ใครจะว่า "เปิ่น" ก้อไม่สนใจ...
เพราะ ถูกสอนมาตั้งแต่เล็กๆเลยว่า
The only "dumb question" is the one that's not asked.
แปลเป็นไทยง่ายๆว่า
คำถามที่ "โง่" ก้อคือ เจ้า "คำถามที่ไม่ได้ถูกถามนั่นแหละ"....
และ "คนที่ไม่กล้าถาม" ยัง "ช่วยกันโง่" อยู่
(dumb ให้สองความหมาย คือ "โง่" "เป็นใบ้/ไม่พูด")



Photo by Ku Ting



ในฐานะผู้สอน....
ถ้ามีใครถามอะไรที่แม้แต่เรา...ยังอดคิดไม่ได้ว่า...ไม่รู้ได้ขนาดนี้เชียวหรือนี่...
เราก้อต้องบอกตัวเองว่า
ถ้ามีคนคนนึงออกมายอมรับว่าไม่รู้..รับรองได้ว่า..ที่นั่งๆอยู่นี่....ต้องมีที่ไม่รู้อีกหลายคน..
หลบซ่อนอยู่....อิกเยอะ..

จำไว้ว่าการเรียนภาษา...เหมือนทุกอย่าง...ต้องเรียนจากความผิดพลาด
Learning through "trial" and "error"
ถ้ากลัว "อาย" หรือ "ถูกฮา"
ก้อไม่มีวัน "เป็น" อย่าว่าแต่ "เก่ง" เลย

(ปรับความเข้าใจ: ERROR ไม่อ่านว่า เออ-เร่อ
ขอให้อ่านว่า อ๊ะร่ะ สั้นๆ)

จะบอกให้ว่า พวกชอบที่ "ฮาคนอื่น" นี่...เวลาที่ใครถามอะไรเปิ่นๆ...
มักเป็นพวกที่ไม่รู้มั้นกัน...แต่ "ทำอมภูมิ"...
แล้วพอ ครู อาจารย์ วิทยากรตอบ ก้อจะ...พยักเพยิด...
ทำทีว่า "ข้ารู้มานานแล้ว"...
ถ้า เรา ไม่ตอบ...แกล้งถามคนแบบนี้..เค้าจะเลี่ยงว่า
"อาจารย์ ตอบดีกว่าครับ คงชัดเจนกว่าผมแน่นอน"
พวกนี้...แนะว่า...ปล่อยให้ "เฮ" ไปเหอะ...
ชาตินี้ ทำเป็นอย่างเดียว คือ "รอเฮคนอื่น"



Photo by Ku Ting


สำหรับ Photoed by Kun Ya ที่ถามว่าทำไมมันแปลกๆ
ตอบว่า ที่มันแปลก เพราะ
1) ไม่เห็นใครเค้าใช้กัน...ละมัง...
2) photo ไม่ใช้เป็น verb
เอามาแปะด้วย ed เป็น photoed ตำรวจไม่จับ แต่ไม่ถูก
3) เอาหละ....กลับมาที่
Photo by Khun Ya
มันมีที่มา .... ไม่ใช่ว่า ... นึกจะใช้ก้อใช้ ... ซะงั้น
ก่อนอื่น .... เราควรทราบว่า ... เพื่อความกระชับชัดเจน...
พูดภาษาชาวบ้านก้อคือ .. มันคือประโยค "ลดรูป"
ตัดคำที่ "รุ่งริ่ง" ออกให้หมด .... มอง "ปร๊าดเดียว" ได้ใจความทั้งหมดไม่ผิดเพี้ยน
เป็น "รหัส" ที่ "คนในวงการเดียวกัน" จะเข้าใจเหมือนกัน
นี่เป็นภาษาผู้สื่อข่าว ... ที่คนทั่วไปเอามาใช้ .. แลบเข้ามาใน internet อีกเช่นกัน



Photo by Ku Ting


มาดูกันชัดๆ นะคะ...... ว่า Photo by Khun Ya มีคำไหนถูกตัดออกไปบ้าง
(This) Photo(graph) (was taken) by Khun Ya

มาลงท้ายที่ "การใช้"
ถ้าเราแปะชื่อที่ข้างรูป ... ติดขอบ...บน ใต้ ซ้าย ขวา มักจะเขียน แต่ ....ชื่อ และนามสกุล ผู้ถ่ายภาพ
ทีนี้ต้องมีคนสงสัยว่า...อ้าว...เกิดเป็น "คำอธิบายใต้ภาพ" ล่ะ มิสับสนฤ?
ตอบว่า สำหรับ caption นั้น ...เราเว้นห่างจาก ขอบล่าง อย่างน้อยก้อ 2 หุน ถึง ครึ่งเซนต์ โดยประมาณ
และ อาจนำชื่อ ช่างภาพ แปะด้านซ้าย หรือ ขวาของภาพ โดยไม่ต้องมี Photo by ก้อได้

หาก เป็นการให้ credit ในสิ่งตีพิมพ์
ใต้ title หรือ ชื่อบทความ เราจะเขียนดังนี้
Story: Saroj Palakawong Na Ayuttaya
Photos : Padtom Pitarungsi

หรือ

Story by Saroj Palakawong Na Ayuttaya
Photos by Padtom Pitarungsi

ง่ายๆ แต่เผลอเรอได้....มี ภาพเดียว ...อย่าลืม ..เขียนว่า Photo
มี มี 2 ภาพขึ้นไป.....เขียนว่า Photos
ตัว s นี่สำคัญนะคะ


Photo by Ku Ting

คนที่สวยมากที่สุด...ต้องเอาไว้ท้ายจ๊า.....
"รัศมี" ของ "โสม" จะได้ไม่บดบังคนอื่นๆเค้า

Story by Ku Ting
Photos by KuTung
เขียนแบบนี้ ซ้ำซาก มักไม่ทำ นอกจากว่า format เป็นหยั่งงี้

แบบนี้ สบายตา สบายใจกว่าจ๊ะ
Story and Photos by Ku Ting
Create Date :06 กรกฎาคม 2549 Last Update :8 กรกฎาคม 2549 12:20:49 น. Counter : Pageviews. Comments :72