bloggang.com mainmenu search
Diarist
ประสบการณ์ชีวิต

ถนนสายนี้มีตะพาบ ก.ม.ที่ 234 ความดีที่คู่ควรแก่การไหว้
โจทย์โดยคุณ เรียวรุ้ง
ขอแปลงโจทย์เล็กน้อยเพื่อเขียน
ประสบการณ์ชีวิตของตัวเองค่ะ



 

********************************************************** เมื่อเราเป็นเด็กเล็กๆ แม่สอนให้ไหว้หลายอย่างโดยไม่ต้องรอให้ใครเตือน เช่นพระสงฆ์ พระพุทธรูป หรือผ่านวัดใหญ่ๆคู่บ้านคู่เมืองก็ต้องไหว้ แต่ผ่านมาสักสามสิบปี ความเชื่อนี้ก็สั่นคลอนลงทุกวันด้วยพระสงฆ์ไม่น่าศรัทธาเหมือนเมื่อเราเป็นเด็กเล็กๆ อย่าว่าแต่เราจะไม่ค่อยไหว้พระที่เจอตามถนนเลย แม่ก็ไม่ค่อยไหว้เหมือนกัน จนในที่สุด ถ้าเราไหว้พระที่เจอตามที่ต่างๆ คนจะมองแบบ "พิลึกจริง" เราและคนทั่วๆไปจึงเลิกไหว้พระสงฆ์ที่เจอตามถนนหนทางไปด้วยประการฉะนี้

การไหว้ตามประเพณีดั้งเดิมของไทยจึงย่อหย่อนลงไปเรื่อยๆ แม้แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกอะไรหากว่าคนที่ควรไหว้เราจะมิได้ทำตามที่สมควรต้องทำ

เหตุหนึ่งที่ยืนยันว่าเราเป็นเช่นที่ว่าจริงๆก็ตอนที่เราแต่งงานแล้วจะมีลูกคนแรก ตอนนั้นเรายังอยู่บ้านพ่อแม่เราแต่สามีอยากให้ลูกคนแรกไปเกิดที่บ้านคุณปู่คุณย่าซึ่งพี่น้องเขาชอบเด็ก เอาลูกเล็กๆของเพื่อนบ้านมาช่วยเลี้ยงให้เวลาพ่อแม่ของเด็กไม่มีคนช่วยดู สามีเราหวังพึ่งพี่น้องดูแลลูกเวลาเราไปทำงานทั้งที่เราก็เตรียมพี่เลี้ยงไว้แล้ว เขาไว้ใจพี่น้องมากกว่า เราก็ตามใจ ย้ายมาอยู่บ้านเขาที่มีพี่สาวคนโตแก่กว่าเรา 10 ปี และน้องสาวสี่คน สองคนแรกแก่กว่าเรา คนที่สามและที่สี่อ่อนกว่า

เรื่องราวทั้งหลายทั้งปวงที่จะเล่าต่อไปนี้ เราค้นพบความจริงในภายหลัง แต่จะเล่าเป็นเหตุเป็นผลต่อกันไปเลย เพื่อไม่ให้เยิ่นเย้อมากความ

พี่สาวคนโตนั้นเกรงว่าน้องชายพาครอบครัวไปอยู่แล้วจะฮุบสมบัติที่เป็นที่ทางทำเลดีเพราะคุณบิดาสามีเราเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มีบรรดาศักดิ์พอสมควร จึงยุยงน้องๆทั้งสี่คนรวมทั้งลูกๆของเธอด้วยให้ไม่ชอบเรา น้องสาวสองคนแรกแก่กว่าเรา ไม่ไหว้เราทั้งที่โดยศักดิ์ของพี่สะใภ้แล้ว เขาต้องไหว้เรา เอาน่า เราขี้เกียจคิดอะไรมาก แค่แพ้ท้องก็จะบ้าตายแล้ว ส่วนน้องสาวคนที่สามอ่อนกว่าเรา ถือเอาตามพี่สองคน ไม่ไหว้เหมือนกัน พี่ชายไม่ชอบใจ แต่เราบอกว่า อย่าให้มีเรื่องเลย ไม่สำคัญสำหรับเราหรอก ใครจะไหว้หรือไม่ไหว้ก็ไม่ทำให้เรามีกินมากขึ้นหรือน้อยลง แล้วเราก็ไม่คิดจะอยู่ที่นั่นไปตลอดชีวิต เราเป็นลูกโทน ไม่คุ้นกับชีวิตที่ต้องมีพี่น้องสังคญาติแวดล้อมยั้วเยี้ยไปหมด ยังดีที่น้องคนสุดท้องดีกับเราเสมอต้นเสมอปลายมาจนบัดนี้

แล้ววันเวลาที่เราจะได้หลุดออกจากบ้านนั้นก็มาถึง อยู่ได้แค่ไม่กี่เดือนเอง วันที่เราต้องกลับไปทำงานหลังจากลาพักหลังคลอดมาหนึ่งเดือน พอกำหนดมีดังนั้น พี่เลี้ยงของลูกชื่อทองดีก็ขอลากลับบ้านต่างจังหวัด เราถามว่า แล้วจะกลับมาไหม ทองดีบอกว่า ถ้าเรายังอยู่ที่นั่น เขาไม่กลับ เราก็นึกไปแค่ว่าเพราะทองดีเป็นคนของเรา พี่น้องของสามีเราก็คงไม่ดีด้วย ทองดีคงอึดอัด เราก็บอกว่า จะต้องกลับบ้านก็กลับไปก่อน ยังงัยแล้วเราจะส่งข่าว

สามีเราก็บอกว่า ไม่ต้องห่วงหรอก พี่สาวและน้องๆเขาดูแลลูกเราได้ แต่การก็ไม่เป็นดังนั้น ทุกคนอ้างความจำเป็นว่ารับดูแลพี่ปูช่วงเราไปทำงานไม่ได้ คนหนึ่งไม่ค่อยสบาย อีกคนไม่ว่าง ที่เหลือไม่กล้าอุ้มกลัวหลุดมือ ทั้งที่ตอนนั้นก็รับเลี้ยงลูกเพื่อนบ้านอยู่คนหนึ่งแล้ว

สามีเราฟังแล้วก็ไม่ว่าอย่างไร จนสองสามวันต่อมา พี่น้องและหลานๆยั้วเยี้ยกลุ่มนี้ก็มีธุระต้องออกจากบ้านไปพร้อมกัน พอพวกนี้ออกไปพ้นบ้านก็มีรถบรรทุกคันหนึ่งมาจอดหน้าบ้าน คนขับรถเข้ามาช่วยสามีเรารื้อตู้เสื้อผ้าและเตียง ขนขึ้นรถ รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของเรา ไม่ทิ้งไว้แม้แต่ชิ้นเดียว ก่อนออกจากบ้านนั้นมา สามีเราอุ้มพี่ปูแล้วจูงเราไปไหว้ลารูปคุณปู่คุณย่า น้ำตาคลอจนเราใจหาย

เราได้กลับมาอยู่บ้านพ่อแม่เรา ก่อนจะมีบ้านเองในที่สุด ทองดีกลับมาเลี้ยงพี่ปูอีกหลายปีก่อนจะบอกแม่เราว่า ระหว่างที่พี่สาวสามีเราช่วยอาบน้ำให้พี่ปูบ้าง ก็คงอยากเอาไปเล่นเฮฮากันน่ะแหละ ครั้งหนึ่งทำหลุดมือ พี่ปูสำลักน้ำแต่ไม่เป็นไร อิคุณป้ายังชมว่า ไอ้นี่หัวแข็งดี พอเราเล่าเรื่องนี้ให้สามีฟัง ความผูกพันที่เขามีให้พี่และน้องๆก็ขาดผึงลงสิ้นเชิง

แต่พี่สาวเขาก็เส้นโลหิตแตกเสียชีวิตไม่นานต่อจากนั้น เราก็ไปงานศพกันโดยไม่ได้ทักทายใคร ที่ทางที่น่าจะมีราคากลับถูกเวนคืนทำทางด่วน ได้รับเงินชดเชยรวมกับที่ขายส่วนที่เหลือเองก็ได้มาแบ่งกันคนละไม่กี่ล้าน สามีเราก็รับส่วนของเขา ปกติเราเข้าใจว่า เขามักให้พี่และน้องๆแบ่งกันไปเอง เพราะเชื่อว่าตัวเองเอาตัวรอดแล้ว น้องๆมีแต่คนสุดท้องที่มีครอบครัว นอกนั้นโสดสนิทหมด จำเป็นต้องมีฐานะทางการเงินให้เลี้ยงตัวได้ต่อไป เราเลยถามว่า จะเอาด้วยเหรอ เขาบอกว่าเงินของพ่อแม่ เขาจะเก็บไว้ให้ลูกๆ

น้องๆของเขาก็ต้องไปหาที่อยู่ใหม่ ไม่กล้ารบกวนพี่ชาย ลำบากกันมากพอดู จนกระทั่งน้องคนรองจากสามีเราป่วยมาก ทั้งสามคนก็พากันมาเยี่ยมพี่ชาย ก็คงอยากมาขอโทษ สามีเราก็คงคิดได้ว่า อายุมากแล้ว จะตายจากกันในไม่ช้า ไม่ควรโกรธเคืองกันจนไม่ดูดำดูดี พอเข้ามากันในบ้าน เราก็หลีกอยู่ด้านหนึ่งประสาไม่ใช่คนสำคัญ เขามาหาพี่ชายเขานะ แต่สามคนนั้นไหว้พี่ชายแล้วก็ไหว้เราอย่างลูกผู้ดีมีสกุลเลยที่เดียวเจียวไข่ 55 อิเรานี่แหละที่พ่อไม่มีบรรดาศักดิ์ รับไหว้เงอะงะเพราะนึกไม่ถึง ทำไม่ถูก

พอพวกนั้นลากลับไปแล้ว เราถามสามีว่า ทำไมเขาเกิดจะไหว้เราหลังจากผ่านไปเกือบ 50 ปี คำตอบคือ เพราะเราดีด้วยมาตลอด เราบอกว่า ไม่ใช่ เราไม่เคยทำอะไร สามีบอกว่า เฉยๆได้ทุกอย่าง ไม่อยากได้อยากดีอะไรทั้งนั้นนั่นแหละ ดีที่สุดแล้ว และสรุปให้ยิ้มๆว่า ความดีที่คู่ควรแก่การไหว้

แต่เราว่า คนบางคนก็ทำสิ่งที่ไม่สมควรทำทั้งที่รู้ก็เพราะหูเบาและทิฏฐิมานะ
 
 
Diarist
ขอบคุณของแต่งบล็อกจากอินเทอร์เน็ต
Create Date :15 สิงหาคม 2562 Last Update :19 สิงหาคม 2562 19:05:01 น. Counter : 920 Pageviews. Comments :29