bloggang.com mainmenu search



อยู่เมืองตาก ได้อยู่กับนายหลายคน บางคนก็ใจดีมาก เอ็นดูเราอย่างกับเป็นลูก ก็อย่างที่เคยบอกว่า เป็นคนโชคดี ที่มักจะมีผู้ใหญ่เอ็นดูและเมตตา แม้แต่เจ้านายที่ดุที่สุดเท่าที่เคยพบก็ยังเอ็นดู เหตุเพราะว่าเป็นคนพูดน้อยแล้วก็เรียบร้อยด้วยกระมัง ไว้ค่อยเล่ารายละเอียดทีหลังนะ เพราะรู้สึกประทับใจกับนายคนนี้มาก ๆ เลย อยู่ตากรอบแรก 5 ปี กว่า ๆ ตั้งแต่บรรจุรับราชการปี 2527 จนถึงปี 2532 ตอนคำสั่งย้ายออก ยังเล่นน้ำสงกรานต์อยู่เชียงใหม่อยู่เลย ความจริงตั้งแต่มาอยู่ตากก็เขียนขอย้ายตั้งแต่สองปีแรก เขียนส่งไปทุกปีแต่ไม่เคยได้ย้าย จนกระทั่งเข้าปีที่ห้า เพื่อนมาถามว่าปีนี้ไม่ยื่นคำร้องขอย้ายเหรอ ก็เลยเขียนส่ง ๆ ไป ปรากฏว่าได้ย้ายจริง ๆ ความรู้สึกตอนนั้น ไม่อยากย้ายเลย กำลังทำงานสนุกเชียว จะระงับก็ไม่ได้ เพราะคำสั่งก็ออกมาแล้ว





ทำงานที่ตากช่วงนั้น จะทำงานเกี่ยวกับผู้อพยพชาวพม่าและชนกลุ่มน้อย พวกกะเหรี่ยงเชื้อสายพม่า ที่ตากมีศูนย์รับผู้อพยพอยู่ถึง 10 ศูนย์ กระจายอยู่ตามแนวชายแดนไทย – พม่า เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าจะเหลือกี่ศูนย์ ศูนย์ใหญ่ๆ จะอยู่ที่บ้านห้วยกะโหลก อ.แม่สอด และศูนย์ที่ อ.ท่าสองยาง ชื่อแต่ละศูนย์ก็จะเป็นภาษากะเหรี่ยง จังหวัดตากเป็นจังหวัดที่มีแนวชายแดนยาวที่สุด แม่น้ำกั้นพรมแดน ก็คือแม่น้ำเมย บางช่วงก็ตื้น และแคบ เพราะฉะนั้นทั้งชาวไทย พม่า กะเหรี่ยง ก็เลยข้ามไปข้ามมาได้อย่างสบาย พอเกิดเหตุการณ์สู้รบระหว่างทหารพม่า กับชนกลุ่มน้อย ก็จะมีผู้อพยพข้ามเข้ามาฝั่งไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะ ผู้หญิง เด็ก คนชรา พอไทยผลักดันออกไป เดี๋ยวก็ข้ามกลับเข้ามาอีก เพื่อมนุษยธรรม ก็เลยมีความจำเป็นต้องตั้งศูนย์รับผู้อพยพชั่วคราวไว้ตามแนวชายแดน การต่อสู้ระหว่างทหารรัฐบาลพม่า กับชนกลุ่มน้อยชาวเหรี่ยง มีมานานนับสิบ ๆ ปี ปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่ พอเข้าหน้าแล้ง หน้าหนาว ก็เริ่มรบกันแล้ว แต่พอเข้าหน้าฝน บางส่วนก็จะอพยพกลับพม่า ไปทำนากัน แปลกดี วันดีคืนดีก็มีกระสุนปืน ค. ตกเข้ามาฝั่งไทย ทหารไทยก็ต้องตอบโต้ไปบ้าง ร่องรอยของการต่อสู้จะมีให้เห็นอยู่ประปราย เคยไปกินข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใน อ.ท่าสองยาง ปรากฏว่าหลังคาร้านทะลุเป็นรูโหว่เบ่อเริ่มเลย เพราะกระสุนปืน ค.ตกใส่พอดิบพอดี ชีวิตของอพยพชนกลุ่มน้อยชาวกะเหรี่ยง ดู ๆ ไปก็น่าสงสาร หนีการสู้รบตลอดทั้งปี อยู่ที่ไหนมันก็คงไม่มีความสุขเท่ากับได้อยู่บ้านของตัวเองหรอกนะ แต่พม่าก็กดขี่คนพวกนี้น่าดู ถือเป็นพลเมืองชั้นสอง





นอกจากจะทำงานกับชนกลุ่มน้อยแล้ว ก็ยังมีพวกชาวพม่าที่มาอยู่ในไทยนาน ๆ พวกนี้สร้างเนื้อสร้างตัว มีบ้านช่อง แต่งงานกับคนไทย มีลูกมีหลาน เราเรียกว่าผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า เวลาที่พวกนี้จะไปไหน ก็ต้องมาขออนุญาตออกเขตจังหวัดก่อน เหตุผลยอดฮิตคือไปเยี่ยมญาติที่ป่วย ที่เชียงใหม่บ้าง แม่ฮ่องสอนบ้าง จำไม่ได้ว่าอนุญาตครั้งละกี่วัน แล้วก็ต้องคอยเช็คกับอำเภอว่ากลับมารึยัง บางทีขอไปจังหวัดนี้แต่ไปโผล่จังหวัดโน้น ก็โดนจับ เพราะพวกนี้จะต้องถือหนังสืออนุญาตของจังหวัดติดตัวไปด้วยเสมอ อยู่กันมานานจนรู้จักคุ้นเคยกันดี เคยทำเรื่องขอสัญชาติไทยให้กับลูกหลานพวกนี้ด้วย เกิดที่เมืองไทย โตที่เมืองไทย เรียนหนังสือที่เมืองไทย จิตใจเป็นไทยไปแล้ว แต่ก็ยังคงมีสัญชาติพม่า พ่อแม่ก็คงอยากให้ลูกหลานได้สบายกัน จึงมาทำเรื่องขอสัญชาติไทย







เราทำงานอยู่ฝ่ายกิจการพิเศษหรือเรียกชื่อเต็ม ๆ ว่า “ศูนย์อำนวยการปฏิบัติต่อบุคคลเข้าเมืองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย” เรียกย่อ ๆ ว่า “ศป.บก.” ก็จะมีการติดต่อกับพวกองค์การการกุศล และฝ่ายทหารอยู่เสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งผู้ใหญ่ที่ส่วนกลางมาตรวจงานที่ตาก เราก็เดินเข้าเดินออก จนมีพี่คนหนึ่งถามหัวหน้าเราว่า เราอยู่องค์การฯอะไร พี่เค้าบอกว่านั่นน่ะ ลูกน้องผมเอง เอ...หน้าตาเราเหมือนพวกองค์การการกุศลเหรอเนี่ย เราต้องทำเรื่องขอต่อวีซ่าให้กับเจ้าหน้าที่ขององค์การการกุศล อนุญาตให้ครั้งละ 6 เดือน เจ้าหน้าที่ขององค์การฯ ส่วนใหญ่จะเป็นอาสาสมัคร ซึ่งมักจะเป็นหมอหรือพยาบาล เป็นชาวฝรั่งเศสซะส่วนมาก พวกนี้มาทำงานเพื่อช่วยเหลือผู้อพยพ แล้วก็จะสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเรื่อย ๆ นอกจากเจ้าหน้าที่ขององค์การการกุศลแล้ว ก็ยังต้องติดต่อกับทหารด้วย ฝ่ายกิจการพิเศษ ถ้าติดต่อกับฝ่ายทหาร จะมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ศูนย์สั่งการชายแดนไทย – พม่า จังหวัดตาก” หรือเรียกย่อ ๆว่า “ศส.ชทพ.จ.ตาก” ขึ้นอยู่กับกองทัพภาคที่ 3 ส่วน ศป.บก.ขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทย เหมือนสวมหมวก 2 ใบ เวลาเรียกก็สับสนอยู่เหมือนกัน ตอนนั้นมีพี่คนหนึ่งเป็นทหารสังกัดกองพลรบพิเศษ กองทัพภาคที่ 3 แต่ที่ทำงานพี่เค้าอยู่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ยศร้อยโท ชื่อพี่ติ๋ว มานั่งทำงานประจำอยู่ด้วยกัน ใหม่ ๆ พี่เค้าคงเซ็งเหมือนกัน มานั่ง ๆ ไม่มีอะไรให้ทำ แต่อยู่ ๆ พี่เค้าก็หายไป พอมารู้อีกทีอยู่ร่มเกล้าโน่น เค้าเป็นพวกป่าหวายน่ะ รบแบบกองโจร พลร่ม อยู่แต่ในป่าเป็นส่วนใหญ่ เค้าเคยเล่าให้ฟังว่าตอนฝึกกระโดดร่ม บางคนกลัวไม่ยอมกระโดด ครูฝึกต้องถีบลงมาจากเครื่อง จนทำให้เกิดการช๊อคกลางอากาศ พวกเพื่อน ๆ ต้องรีบโดดตามลงมา เพื่อช่วยกระตุกร่มให้กาง ไม่งั้นก็ซี้แหง แก๋ พี่เค้าพูดภาษาพม่าได้ด้วย บางทีพี่เค้าก็หายไปเป็นเดือน ๆ เขียนจดหมายมาบอกว่าอยู่ในป่าแม่ฮ่องสอน ไม่ต้องเขียนตอบไป เพราะไม่มีที่อยู่แน่นอน แค่อยากบอกให้รู้ว่าอยู่ที่ไหน สบายดี ไม่ต้องเป็นห่วงเท่านั้น บางทีเค้ากลับกรุงเทพฯ ก็โทรไปหาที่บ้าน แต่ปรากฏว่า เราไม่ได้กลับบ้านก็เลยไม่ได้คุยกัน พี่เค้านิสัยดี หล่อเหมือนพระเอกหนังจีนเลยล่ะ... (พี่เค้าบอกว่ายังงั้น...แต่ก็จริงนะ)







ก่อนที่ย้ายจากจังหวัดตาก ก็มีการสู้รบระหว่างทหารพม่ากับนักศึกษาพม่า มีนักศึกษาพม่าอพยพหนีภัยเข้ามาอยู่ในจังหวัดตาก ก็เลยต้องจัดศูนย์พักพิงชั่วคราวไว้ที่บริเวณสนามบินเก่า มีมาอยู่หลายร้อยคน พี่ติ๋วเลยมีงานทำมากขึ้น เพราะต้องคอยเป็นล่าม พี่และเพื่อน ๆ เค้าที่มาทำงาน ก็พักอยู่ที่สนามบินด้วยเหมือนกัน จนผู้ว่าฯ และข้าราชการ จ.ตากหลายคน ได้รับเชิญจากรัฐบาลพม่า ให้ไปพม่า พี่เค้าก็ไปด้วย ขากลับก็ยังอุตส่าห์หอบภาพเขียนที่วาดบนไม้แผ่นใหญ่จากพม่ามาให้เราด้วย ยังเก็บไว้เลย ... ป่านนี้ ไม่รู้ว่าพี่เค้าไปอยู่ไหนแล้ว เพราะพอย้าย ก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย คงจะก้าวหน้า มียศสูงขึ้นเยอะแล้วล่ะ





นี่คือเรื่องกุ๊กกิิ๊กสมัยตอนทำงานใหม่ ๆ  มันเป็นเรื่องน่ารัก ๆ ขำ ๆ สมัยทำงานใหม่ ๆ ตอนนั้นน่ะ มีเพื่อนคนหนึ่งทำงานอยู่ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา จบจาก ม.เกษตรศาสตร์ เวลาเรากลับกรุงเทพฯ เค้ามักจะให้เราโทรไปหาเพื่อนเค้าที่เป็น อจ.พละ สอนอยู่ ม.เกษตร ฝากบอกเรื่องโน้นเรื่องนี้อยู่เป็นประจำ จนมีอยู่วันหนึ่ง เค้ามาบอกว่า เพื่อนเค้าอยากเห็นเรา เพราะฟังเสียงมาตั้งนานแล้ว เสียงน่ารักมากเลย ไอ้เรานะ...ขำก๊าก ๆ บอกว่าเอารูปมือเราไปดูก่อนมั๊ย ก่อนที่จะเห็นหน้า แบบนี้เค้าเรียกว่าหลงเสียงนาง ใช่ป่าว แต่เจ้าเพื่อนเราคนนี้ ก็นัดแนะให้เรากับเพื่อนเค้ามาเจอกัน แหม...จะเจอกับ อจ.พละ ดันมานัดสาวที่หน้าสนามกีฬาหัวหมาก ชวนไปดูแข่งขันตระกร้อ ปรากฏว่ายืนรอกันคนละประตู เลยไม่ได้เจอกัน อิอิ... แล้วก็ยังมีอีกคนนึง เป็นปลัดอำเภอ (คนที่เราไปค้างที่บ้านพักของเค้าที่ อ.ท่าสองยางกับเพื่อนๆ) คนนี้เรียบร้อย ไม่ค่อยพูด ต่างคน ต่างก็ไม่ค่อยพูด เลยไม่มีอะไรก้าวหน้า แต่รู้จากเพื่อนบอก ว่าเค้าคิดอย่างไรกับเรา ความที่เป็นคนพูดน้อย เรียบร้อย ไม่ช่างพูด ได้แต่ยิ้มไปก็ยิ้มมา แหม...ไม่งั้นนะ คงเป็นคุณนายไปแล้ว อิอิ













555 เอารูปนี้มาลง ทำให้นึกถึงตอนนั้น หลังผ้าม่านนั้นคือแผนที่ทางยุทธศาตร์ ีมีพิกัดแผนที่ จึงต้องมีผ้าม่านปิดกั้นไว้ เพราะมันเป็นเรื่องลับ มีอยู่วันหนึ่งเปิดผ้าม่านออก โอ๊ะโอ๋...มีข้าศึกเกาะอยู่หนึ่งตัว เบ่อเริ่มเชียว เจ้าตุ๊กแก 555 ไอ้เรานะ ก็นั่งประจำ ดีนะที่มันไม่กระโดดเกาะบ่าน่ะ คิดแล้วหยองจริงๆ












Create Date :24 กันยายน 2553 Last Update :19 สิงหาคม 2558 13:16:07 น. Counter : Pageviews. Comments :27