แรงบันดาลใจที่ทำให้ทำบล๊อกนี้ขึ้นมา เพราะอยากจะให้เป็นที่รวมพลแวดวงชาวมหาดไทย คนรู้จักในอดีต และอาจจะรู้จักในอนาคต ได้มาพบปะคุยกัน อีกอย่างเปิดดูเวปหลาย ๆ เวป เค้าก็ทำกันสวย ๆ ทั้งนั้น เราคงจะทำได้เพียงเท่านี้แหล่ะ
นึกครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมา ก็อยากจะบันทึกเรื่องราวดี ๆ ความทรงจำดี ๆ ความประทับใจ ที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตที่ผ่านมา เพราะแน่ใจว่า ต่อไปในภายภาคหน้าอาจจะคงจำเรื่องราวต่าง ๆ ไว้ไม่ได้หมด การบันทึกไว้ในนี้จึงเป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะเก็บเรื่องราวดี ๆ เหล่านั้นไว้ให้ได้นานที่สุดเท่าที่ระบบเทคโนโลยียังคงอยู่
กะว่าจะเขียนตั้งแต่จำความได้ จนมาถึงปัจจุบัน เพราะเท่าที่จำได้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ที่ทำให้อมยิ้มได้ทุกครั้งเมื่อนึกถึง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงดี เอาเป็นว่าเป็นตอน ๆ ดีกว่า (เรื่องจริง ไม่ใช่นิยายนะ) เพราะเรื่องที่จะเล่า ไม่ใช่ความลับ เป็นการเล่าสู่กันฟัง เหมือนคนแก่ที่ชอบนึกย้อนถึงอดีต (ความจริงก็เริ่มจะแก่แล้วล่ะ) เอ้า...ใครอยากจะฟัง เอ้ย...อยากจะอ่าน ก็เชิญเลยจ้ะ ไม่คิดตังค์หรอก (มุขเดิม..อีกแล้วววววว)
วัยเด็ก (ไม่อยากใช้คำนี้เลยอ่ะ ..ก็เดี๋ยวมันก็จะต้องมีวัยอื่น ๆ ตามมา สุดท้ายก็วัยชรา โฮ..โฮ )
เมื่อเกือบ 50 ปี ก่อน (คิดดูละกันว่านานแค่ไหนแล้ว ส่วนใหญ่สมาชิกในเวปนี้คงยังไม่เกิดกันล่ะมั้ง) บ้านตรอกจันทร์เป็นบ้านหลังแรกของพวกเรา ในวัยเด็กฉันมักจะชอบเรื่องที่พ่อ แม่ พี่ ๆ และคนอื่น ๆ เล่าให้ฟัง ฉันมีพี่น้องทั้งหมด 5 คน พวกเราจะอายุห่างกัน 2 ปี ฉันเป็นคนสุดท้อง คนโตเป็นผู้หญิง ชื่อพี่ใหญ่ คนที่ 2 -4 เป็นผู้ชาย ชื่อพี่หรั่ง พี่กี (ทั้งสองคนเสียชีวิตไปแล้ว) พี่วรรษ แล้วก็ฉันเอง สมัยเด็ก ๆ พี่ใหญ่รู้สึกจะรับบทหนักทุกอย่าง ความที่เป็นลูกคนโต แล้วก็เป็นผู้หญิง เลยต้องช่วยแม่เลี้ยงน้อง ๆ อีก 4 คน เค้าก็เลยมีคุณสมบัติของความเป็นแม่บ้านแม่เรือนเต็มตัว ทำเป็นหมดทุกอย่าง ส่วนฉันเป็นน้องคนเล็ก ได้แต่เล่นอย่างเดียว มักจะตามพี่ชายทั้งสามตะลอน ๆ หัวซอยท้ายซอย สมัยเด็ก ๆ มีหนังญี่ปุ่น เรื่องสิบสมิง พวกเราก็จะเล่นเป็นตัวละครในหนัง ตานี้ พี่ ๆ และเพื่อน ๆ ของเค้าไม่ครบ ก็เลยต้องมาลากฉันกับเพื่อนอีกคนเข้าร่วมแก๊งค์ด้วย ไล่ฟันดาบเป็นซามูไรกันสนุกสนานเชียวแหล่ะ อีกอย่างหนึ่งที่พวกเราชอบเล่นกันก็คือ ขุดหลุมทรายตื้น ๆ แล้วก็เอากล่องกระดาษมาแกะให้มันเป็นแผ่น คลุมปากหลุมไว้ แล้วก็เอาทรายกลบปากหลุม แล้วก็เที่ยวไปหลอกให้คนอื่นเดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้น จนเค้าตกลงไปในหลุมกัน พวกเราก็หัวเราะชอบใจกัน เป็นที่สนุกสนาน แต่บางทีก็ตกลงไปเองก็มี นี่แหล่ะหนา ...ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว
บ้านของเราสมัยก่อนอยู่แถวตรอกจันทร์ สะพาน 3 เป็นบ้านไม้สองชั้น เนื้อที่ประมาณ 50 ตารางวา แต่เชื่อมั๊ยว่า ปลูกต้นไม้เยอะมาก มีทั้งไม้ผล ไม้ประดับ ไม้ผลก็เช่น มะม่วง มีทั้งอกร่อง มะม่วงสามฤดู อย่างละหลายต้น ชมพู่แก้มแหม่ม ชมพู่เขียว มีกล้วยไม้ หน้าวัว กุหลาบ เยอะแยะไปหมด แม่บอกว่าปลูกต้นไม้เยอะ ๆ บ้านเราจะได้ไม่ร้อน แถมเรายังได้กินผลของมันตลอดทั้งปี
ตอนเด็ก ๆ แม่จะแบ่งหน้าที่ให้ลูกทุกคน ฉันจำได้ว่า ฉันมีหน้าที่กรอกน้ำใส่ขวด แล้วก็เอาไปแช่ตู้เย็น อีกหน้าที่หนึ่งก็คือ คอยปิดประตูครัวหลังบ้าน แล้วก็ปิดหน้าต่าง ด้านหลังบ้านเป็นป่าอ้อ สมัยก่อน บ้านช่องไม่ติดกันเป็นพรืดแทบจะไม่มีที่หายใจแบบสมัยนี้หรอก ทุกครั้งที่ไปปิดประตูหรือหน้าต่าง มักจะนึกตามประสาเด็ก ๆ อยู่เสมอว่า ขณะที่กำลังเอื้อมมือไปปิดประตู หน้าต่าง ก็จะค่อย ๆ มีคนโผล่ขึ้นมา จ๊ะเอ๋กับเรา บรื๋อออออ... ไม่รู้จะคิดหลอกตัวเองให้กลัวไปทำไม พอปิดเสร็จก็วิ่งตื๋อเข้าห้องรับแขกไปดูหนังดีกว่า เป็นอย่างนี้ทุกครั้งเลย
ตอนเด็ก ๆ เรียนอยู่ โรงเรียนวาสุเทวี หรือเรียกชื่อเป็นภาษาละติน ว่า เรยีนา มุนดิ เป็นโรงเรียนคาทอลิก เครืออุสุริน เครือเดียวกับโรงเรียนมาแตร์เดอี และโรงเรียนเรยีนา เชลี เชียงใหม่ ครอบครัวเราเป็นคาทอลิกจ้ะ เป็นโรงเรียนหญิงล้วน ส่วนพี่ชายทั้งสามคน ก็เรียนอยู่โรงเรียนเปรมฤดีศึกษา ซึ่งอยู่ติดกัน ฉันกับพี่ใหญ่เรียนที่นี่ตั้งแต่ ป.1 ม.ศ.3 (สมัยนี้ไม่มีแล้ว ม.ศ.น่ะ มีแต่ ม.) เวลาไปโรงเรียนก็ไปด้วยกัน สมัยนั้นโรงเรียนมีตึกแค่ 3 ตึก ตึกไม้หลังเก่า 2 ชั้น ตึก 4 ชั้น ซึ่งชั้นที่ 4 เป็นหอประชุม และตึกพักนักเรียนประจำ มีโรงอาหารแบบโปร่งโล่งสบาย มีสนามหญ้ากว้างมาก พอเย็น ๆ จะมีแมลงปอตัวใหญ่ ๆ มาให้พวกเราได้วิ่งไล่จับกัน มีสนามบาสเกตบอล อ้อ..เกือบลืม หลังโรงเรียน มีบ่อน้ำขนาดใหญ่ มีปลาตัวใหญ่ ๆ อยู่เต็มเลย เวลาพัก เด็ก ๆ ชอบไปนั่งดูปลามันโผล่ขึ้นมาหายใจกัน ถัดไปก็จะเป็นชุมชน ซึ่งนักเรียนทุกคนจะต้องทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ตามปรัชญาของโรงเรียน คือ Serviam ภาษาละตินแปลว่าผู้รับใช้ ด้านหลังชุมชนอาทิตย์ละครั้ง หรือสองครั้ง เช่น ไปเลี้ยงเด็กเล็ก ๆ สอนหนังสือมั่ง ส่วนฉันมักจะไปสอนหนังสือเด็ก จนเด็ก ๆ ติดกันงอมแงม เพราะชอบเล่านิทาน
เวลาพักย่อยแบ่งเป็น 2 ช่วง คือเช้ากับบ่าย แล้วก็พักกลางวัน ที่ รร.จะมีลูกชิ้นปิ้ง อร่อยมาก สมัยก่อนตอนอยู่ ป. 1 ได้ตังค์ไป รร.วันละ 1 บาท เอาข้าวไปกิน แล้วก็เพิ่มขึ้นปีละสลึง ลูกชิ้นปิ้งก็สองไม้สลึง(เด็กสมัยนี้รู้จักเหรียญสลึงมั๊ยเอ่ย คงจะรู้จัก แต่มันคงจะไม่มีค่า ไม่เหมือนแบ้งค์ร้อยแบ้งค์พัน) เวลากินลูกชิ้นปิ้ง ก็แสนนนนนนนนจะลำบาก เพราะบรรดาคุณหมา ๆ ทั้งหลายในโรงเรียน ก็นั่งน้ำลายหยดติ๋ง ๆ จ้องลูกชิ้นปิ้งกันตาเป็นมัน ใหม่ ๆ ด้วยความที่ไม่ค่อยระมัดระวังตัวกัน บางทีลูกชิ้นปิ้งในมือเรา ก็หายวับไปกับตา เข้าไปอยู่ในปากคุณหมา ๆ ทั้งหลาย จะไปแย่งกลับคืนมาก็ดูกะไรอยู่ สงสารก็เฉพาะน้องๆ ตัวเล็ก ๆ (รวมทั้งตัวเองด้วย ก็เกิดมาเตี้ย) ลูกชิ้นถูกคุณหมางาบเอาไปกินเป็นประจำ แต่ถึงกระนั้นก็เถอะนะ พวกเราที่ตัวสูง ๆ ก็มักจะถูกคุณหมาที่เคยเป็นนักกีฬากระโดดสูงมาก่อน แย่งลูกชิ้นไปกินหน้าตาเฉย แบบไม่อายผีสางเทวดา (ทำไมไม่ซื้อกินเองฟะ) ขนาดชูไม้ลูกชิ้นอยู่เหนือหัว ก็ยังไม่พ้น ตอนหลังก็เลยต้องหาที่กินลูกชิ้นใหม่ ขึ้นไปยืนกินบนเก้าอี้ บนโต๊ะ กันเลย จนมาแมร์มาเห็น หนู ๆ ไม่เรียบร้อยกันเลย ลงมา ลงมา
มีเรื่องสนุกเยอะแยะมากมาย บางทีก็เหมือนเป็นวัฏจักร เด็กสมัยก่อนเล่นอะไร ก็มักจะฮิตเล่นกันทั้งบ้านทั้งเมือง เด็กสมัยนี้ก็เหมือนกัน เพราะเคยเห็นลูกสาวเล่นกับลูกพี่ชายที่อยู่ภูเก็ต แล้วก็หลานที่อยู่เชียงใหม่ ก็สามารถเล่นกันได้ ทั้ง ๆ ที่อยู่กันคนละภาค ก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่ามันแพร่กระจายไปได้อย่างไร สมัยที่ฉันเด็ก ๆ การละเล่นที่ฮิตที่สุดก็คือหมากเก็บ จะเล่นกันทั้งโรงเรียน นั่งกันเป็นวง ๆ เต็มระเบียงหน้าห้องไปหมดในช่วงพักเที่ยง แต่ละคนฝีมือไม่เบาเลย พอหมากเก็บเริ่มตกยุค ก็หันมาเล่นกระโดดหนังยางกัน เต็มพรืดสนามหญ้าเลย กระโดดทีกระโปรงก็เปิดพรึ่บ ๆ แต่พวกเราก็มีวิธีการป้องกัน โดยใส่กางเกงขาสั้นไว้ในกระโปรง สมัยก่อนกางเกงขาสั้นก็ไม่สั้นจุ๊ดจู๋แบบสมัยนี้หรอก กระโปรงก็ต้องยาวคลุมเข่า แต่ฉันไม่ค่อยได้เล่นหรอก ก็โดดไม่ถึงอ่ะ นอกจากจะเล่นกับคนที่ตัวเท่า ๆ กัน การเล่นกระโดดหนังยางของพวกเรา ก็ไม่รอดพ้นจากสายตามาแมร์ไปได้เลย มาแมร์คงปล่อยให้เล่นมาพักใหญ่จนหนำใจแล้วกระมัง ก็ค่อยมายึดหนังยาง ห้ามเล่นเด็ดขาด ใครเอาหนังยางมาก็โดนยึด หักคะแนนความประพฤติ ก็เลยกลับมาเล่นหมากเก็บ แล้วก็วิวัฒนาการจากใช้ก้อนหิน มาเป็นตะเกียบไม้
วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ แล้วจะมาเล่าต่อจ้ะ
Free TextEditor
แวะมาทักทาย เรื่องเล่าสนุกดี วันหลังขอแวะมาอ่านอีกนะคะ
โดย: ข้าวกับดิน 18 กุมภาพันธ์ 2552 16:49:24 น.
โดย: p_pyai 18 กุมภาพันธ์ 2552 19:47:31 น.
โดย: คุณนายทหารเรือ 18 กุมภาพันธ์ 2552 23:34:58 น.