bloggang.com mainmenu search

จะว่าไปแล้ว ฉันรู้สึกผูกพันกับโรงเรียนวาสุเทวีมาก แต่ปรากฏว่าไม่เคยไปเยี่ยมเยียนโรงเรียนเก่าเลย พอจบออกมาใหม่ ๆ เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย  ก็ยังรวมเพื่อนๆ ได้ ไปงานศิษย์เก่ากัน   ฉันเรียนที่นี่จนจบ ม.ศ.3   สมัยก่อน จำนวนนักเรียนในแต่ละชั้นไม่มากเหมือนสมัยนี้ อย่างมากก็แค่ชั้นละ 2 ห้อง ห้องละประมาณ 30 คน มากกว่านี้คุณครูคงจะดูแลไม่ไหว แล้วก็ค่อนข้างจะเข้มงวดเรื่องความเป็นระเบียบ การแต่งตัวของนักเรียน

 


สมัยเป็นวัยรุ่น พวกเราก็ชื่นชอบดาราต่างประเทศกันเหมือนสมัยนี้ที่เกาหลีกับญี่ปุ่นกำลังมาแรง  แต่สมัยก่อนญี่ปุ่นน่ะ เรื่องฮิตติดใจวัยรุ่นก็คือเรื่องยูโด พระเอกหล่อมาก เป็นหนังญี่ปุ่นแนวโบราณ ต่อมาก็เป็นเรื่องวัยรุ่นสมัยใหม่ขึ้นมาหน่อย เกี่ยวกับนักเรียนชั้น ม.ปลาย ชื่อเรื่องเคนโด้ ก็ไม่พ้นเรื่องกีฬา  พระเอกก็หล่อ นางเอกก็สวย พระเอกเป็นนักกีฬาเคนโด้ ชื่อ โคยิ ส่วนนางเอกเป็นประธานชมรมเชียร์ ชื่อมิซาโอะ  วัยรุ่นสมัยก่อนถ้าไม่ได้ดูเรื่องนี้นะ เชยมากเลย พระเอกนอกจากจะหล่อแล้ว ยังร้องเพลงเพราะด้วย พวกเราร้องตามกันได้หมด แม้จะไม่เข้าใจก็ตาม ฉันเคยเขียนจดหมายไปขอรูปดาราคนนี้ด้วยล่ะ พี่ใหญ่ก็เคยเขียนไปเหมือนกัน เขียนเป็นภาษาอังกฤษแบบ งู ๆ ปลา ๆ ปรากฏว่า เค้าตอบมาด้วยตัวของเค้าเองเลย ส่งรูปพร้อมลายเซ็นต์มาให้ด้วย  เป็นปลื้มมาก เพราะพี่ใหญ่ได้รับการตอบที่เป็นแบบโรเนียวส่งมา ส่วนของฉันเค้าตอบสด ๆ ด้วยตนเอง น่าเสียดายไม่รู้ว่าเก็บภาพนั้นไว้ไหน มันเป็นภาพประวัติศาสตร์เชียวนะ  หลังจากนั้นก็มีหนังญี่ปุ่นมาฉายในทีวีอีกมากมายหลายเรื่อง  ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องกีฬา  ซึ่งทุกเรื่องมันเว่อร์ มันโม้จนเกินความจริง ใครจะไปกระโดดได้สูงจนเกือบติดหลังคาโรงยิม หรือถีบขอบสระน้ำจนมาเกือบถึงอีกขอบสระอีกฟากหนึ่ง แรงดีชะมัดเลย  บางทีก็กระโดดตัวลอยไขว้กันกลางอากาศตบลูกวอลเล่ย์ แต่พวกเราก็ชอบดู เพราะว่ามันสนุกดี

 


วันที่สอบไล่ ม.ศ.3 วันสุดท้าย เป็นวันที่พวกเราอยู่ที่โรงเรียนกันจนเย็น เพราะว่าต่างคนต่างก็ต้องแยกย้ายกันไปเรียนที่อื่น  โดยเฉพาะพวกนักเรียนประจำ ส่วนมากจะอยู่ต่างจังหวัด ก็คงจะไม่ได้เจอกันอีก แขนเสื้อของแต่ละคนจะเต็มไปด้วยลายเซ็นต์เพื่อน ๆ เพราะว่าเราคงไม่ได้ใส่เสื้อตัวนี้อีกแล้ว เก็บไว้เป็นที่ระลึกพร้อมสมุด friend ship สมุด friend ship เล่มนั้นของฉัน เดี๋ยวนี้ยังอยู่เลย เก่ามาก กระดาษเหลือง แต่ก็ยังเก็บไว้อย่างดี เพราะมันบันทึกความทรงจำดี ๆ ของผองเพื่อนในวัยเด็กไว้ในนั้น

 


ในปี 2518 พอจบ ม.ศ.3 ก็มาต่อ ม.ศ. 4 – 5  ที่โรงเรียนสตรีมหาพฤฒาราม แต่รู้มั้ย ตอนเข้าเรียน ม.ศ. 4 ที่โรงเรียนสตรีมหาพฤฒาราม  ปรากฏว่านักเรียนชั้น ม.ศ.5 ประท้วงกัน เรียกร้องให้ซอยผมได้ ฯลฯ เพราะโรงเรียนนี้ค่อนข้างเข้มงวด ก็เลยถูกสั่งปิดโรงเรียน 7 วัน เป็นข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์เดลินิวส์เลยล่ะ นับเป็นโรงเรียนสตรีโรงเรียนแรกที่มีเหตุการณ์แบบนี้ เรียนที่นี่ก็มีเพื่อนใหม่ มีเพื่อนจากโรงเรียนเก่ามาเรียนด้วยหลายคน เราก็เลยเกาะกลุ่มกันแน่น แต่ปรากฏว่าเพื่อนที่สนิทที่สุดกลายเป็นเพื่อนจากที่อื่น เพราะตัวเท่า ๆ กัน นั่งคู่กัน ไปไหนก็ไปด้วยกัน จนใคร ๆ เรียกเราสองคนว่า คู่แฝด

 


เรียนที่นี่ก็สนุกไปอีกแบบ เพราะห้องของเราเป็นห้องพิเศษที่รวมนักเรียน 3 โปรแกรมไว้ด้วยกัน คือ ศิลป์ฝรั่งเศส (ฉันเรียนโปรแกรมนี้) ศิลป์เยอรมัน  และทั่วไป จึงเรียกว่า ห้อง P 3,4,5 เรียนวิชาปกติ ก็จะเรียนด้วยกัน แต่พอแยกโปรแกรม ก็จะแยกย้ายกันไป เป็นห้องเดียวที่เดินเรียน แต่สมัยอยู่วาสุเทวี เดินเรียนย้ายห้องประจำ จนถุงเท้าดำปี๋ แล้วก็รองเท้าหายบ่อย ๆ  ฉันชอบภาษาอังกฤษ เกลียดวิชาคำนวณ เกลียดอะไรที่เป็นตัวเลขที่สุด เห็นแล้วมึนทุกที จึงชอบพวกภาษา การขีด ๆ เขียน ๆ แต่งกลอน อะไรทำนองเนี๊ยะ  ตอนเป็นนักเรียนวิชาการประพันธ์ได้ เกรด 4  ตลอด แต่เดี๋ยวนี้ นานๆ เข้า เริ่มฝืด นึกคำไม่ค่อยออก เรื่องของภาษาก็เหมือนกัน เรียนจบมา คืนครู คืนอาจารย์หมด (กลัวคุณครูไม่เหลืออะไรไว้สอนน้อง ๆ ต่อ เพราะให้เรามาจนหมด อิอิ) ยิ่งมาทำงาน แทบจะไม่ได้ใช้เลย ทำงานคนละเรื่องกับที่เรียนมาเลย

 


ตอนวัยรุ่นก็มีเรื่องกุ๊กกิ๊กเหมือนกันนะ แต่ดูตลกซะมากว่า  เพราะว่าตัวเองเป็นคนเรียบร้อย ไม่ค่อยพูด แต่เพื่อน ๆ บอกว่าเป็นคนตลกแบบน่ารัก ตลกซื่อ ๆ เวลาเพื่อนแกล้ง  หรือแหย่  ก็ไม่เคยโกรธเลย เพื่อน ๆ ก็เลยชอบนิสัยแบบนี้ของฉัน   ที่พูดถึงเรื่องกุ๊กกิ๊กในวัยเด็กก็คือ ตอนเรียนที่มหาพฤฒาราม  เวลากลับบ้าน จะต้องเดินผ่านหน้าโรงเรียนพระแม่มารี ก็จะมีหนุ่มน้อยคนหนึ่งส่งยิ้มให้ฉันทุกวัน เค้าต้องมาช่วยแม่ขายของ บ้านของเค้าก็อยู่ใกล้บ้านฉัน เค้าเรียนอยู่โรงเรียนวัดสุทธิวราราม ชั้นเดียวกัน ทุกครั้งที่เดินผ่าน เค้าจะยิ้มให้ทุกที แต่เราไม่เคยคุยกันเลย  จนหลัง ๆ ฉันชักเอะใจ รู้สึกแปลก ๆ ตานี้เวลากลับบ้าน พอใกล้ถึงโรงเรียนพระแม่มารี ก็จะข้ามถนนไปเดินอีกฝั่งหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่ฝั่งนั้นแดดก็ร้อน จนกระทั่งวันหนึ่ง สอบไล่ ม.ศ.5 เสร็จ  แม่ใช้ให้ไปตลาด ขณะที่กำลังซื้อมะม่วงอยู่ ก็ได้ยินเสียงพูดลอย ๆ มาว่า “มะม่วงหวานจัง ขอกินหน่อยได้มั๊ย”  หันไปเจอเค้ากำลังยิ้มเผล่อยู่ ท่ามกลางเพื่อน ๆ ของเค้าหลายคน แต่เค้าไม่ได้เป็นคนพูดหรอกนะ เพื่อนเค้าตังหากที่เป็นคนพูดแทน ฉันก็อายม้วนต้วน รีบกลับบ้านเลย คิดดูแล้ว เค้าเป็นคนที่มีความพยายามมากเหมือนกันนะ ยิ้มให้เราอยู่ได้ตั้งสองปี   พอจบ ม.ศ.5 ก็ย้ายจากบ้านตรอกจันทร์ มาอยู่หมู่บ้านเสรี แถวรามคำแหง ก็เลยไม่เจอกันอีกเลย  อ้อ ..แล้วก็มีอีกคนหนึ่ง คนนี้เจอกันบนรถสองแถวตอนเช้าบ่อย ๆ  เรียนอยู่โรงเรียนเทพศิรินทร์ เจอกันทีไร เค้าก็ช่วยหิ้วกระเป๋าให้ทุกที แต่ก็ไม่เคยพูดกันอีกแหล่ะ นอกจากคำว่า “ขอบคุณ”  เรื่องกุ๊กกิ๊ก ก็เอวังด้วยประการฉะนี้ Smiley

 



 




Free TextEditor






Create Date :04 มีนาคม 2552 Last Update :2 สิงหาคม 2553 11:15:48 น. Counter : Pageviews. Comments :5