bloggang.com mainmenu search

ตอนเรียนที่ ม.พ. มีอาจารย์ท่านหนึ่ง สอนวิชาภาษาอังกฤษ (ทราบว่าตอนนี้ท่านเป็นคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มสธ.) เป็นอาจารย์ผู้ชาย ท่านน่ารัก ใจดี และตลกมาก ฉันนั่งอยู่โต๊ะหน้ากับเพื่อนคู่แฝด สอนภาษาอังกฤษก็ต้องออกแอ๊กเซ่นมากเป็นธรรมดา จนน้ำลายกระเด็นเป็นฝอยกระจายมาที่แขนฉัน แล้วก็ไม่รู้เป็นอะไร ท่านชอบมายืนตรงโต๊ะที่ฉันนั่งทุกที  ใหม่ ๆ ก็พอทน แต่นาน ๆ เข้าชักจะไม่ไหว  ด้วยความเกรงใจอาจารย์ ก็หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดฝอยน้ำลายของอาจารย์ที่แขน บังเอิญท่านเห็นเข้าพอดี  นับแต่วันนั้น เวลาสอนภาษาอังกฤษ ท่านจะเอาหนังสือมาปิดปากตัวเอง จนเพื่อน ๆ บอกว่า อาจารย์พูดว่าอะไร มันได้ยินไม่ถนัด  แต่ฉันรู้ว่าเพราะอะไรท่านถึงทำแบบนั้น อิ อิ.. อีกอย่างหนึ่งก็คือ เวลาท่านถามเรื่องภาษาอังกฤษ ท่านมักจะเรียกให้ฉันตอบ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านเรียกฉัน แถมบอกว่าฉันไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง แต่ปรากฏว่า คำถามข้อนั้นยากเกินความสามารถ  ก็เลยตอบท่านไปว่า “ อาจารย์คะ หนูก็ไม่ทราบเหมือนกันจริง ๆ ค่ะ” แป่วววววววววววว  นอกจากอาจารย์ที่สอนภาษาอังกฤษแล้ว ก็ยังมีอาจารย์อีกท่านหนึ่งสอนภาษาฝรั่งเศส ท่านมีวิธีการสอนที่ไม่เหมือนใคร สอนสนุก  ทำให้พวกเราจดจำคำศัพท์ต่าง ๆ ได้ดี แล้วก็ไม่รู้สึกว่ามันยากเลย เวลาเรียนก็หัวเราะกันครึกครื้นตลอดชั่วโมง

 


ตอนเช้า ๆ ก่อนเข้าห้องเรียน ผู้อำนวยการก็มักจะพูดคุยกับนักเรียนหน้าเสาธง บางทีก็ใช้เวลานานมาก แดดก็ร้อน ก่อนจะขึ้นห้องก็ต้องร้องเพลงประจำโรงเรียนก่อน ความที่ยืนมานาน แดดร้อน เราก็พร้อมใจกันร้องซะจนเร็วปรื๋อ จากคำที่ว่า “เรามหาพฤฒาราม...” ก็กลายเป็น “เรา....พฤฒาราม” (เดาออกมั๊ยเอ่ยว่าคำๆ นี้คืออะไร)  ผู้อำนวยการก็ให้ร้องใหม่ คราวนี้เราก็พร้อมใจกันอีกเช่นเคย ร้องซะยานคางยืดยาด แสบมั๊ยล่ะตอนนั้น..ยืนกลางสนามกันต่อกันอีกชั่วโมง หุ หุ

 


เรียนจบที่นี่ ก็มาสอบเอ็นทรานส์ได้ที่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตปทุมวัน  แถว ๆ ถนนอังรีดูนังต์ (พวกเราเรียกว่า ถนนอีรุงตุงนัง) ย่านสยามสแควร์ ติดกับโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และโรงเรียนสาธิตปทุมวัน  ปัจจุบันวิทยาเขตนี้ยุบไปแล้ว  เรียนคณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาและวรรณคดีอังกฤษ โทภาษาฝรั่งเศส  เอกนี้มีคนเรียนอยู่ 21 คน มีผู้ชายอยู่ 2 คน แล้วสองคนนี้ก็เรียนเก่งทั้งคู่เลย ตอนเช้าไปเรียน ต้องหยุดยืนเคารพธงชาติถึง 3 ครั้ง ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โรงเรียนสาธิตปทุมวัน สุดท้ายก็ที่ มศว.ปทุมวัน (ทำไมไม่เข้าเรียนพร้อม ๆ กันก็ไม่รู้นะ)  ตอนเรียนปีหนึ่งที่ มศว.ปทุมวัน จะเป็นประเพณีของที่นี่ ที่นักศึกษาทุกคนจะต้องวิ่งหรือเดินทางไกล สิบกิโลเมตร จำได้ว่าไปแถวนครนายก แรก ๆ ก็แรงดีอยู่หรอก  สักพักก็ไม่ไหว ค่อย ๆ เดินไป ขาแทบลาก กลับบ้านแทบจะก้าวขาไม่ออก ปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัวเป็นเวลาหลายวัน  ตอนรับน้องใหม่ก็สนุกดี สมัยนั้นไม่มีเหตุรุนแรงเหมือนสมัยนี้ พี่ ๆ รับน้องใหม่ด้วยความรักและความอบอุ่น มีแต่ความสนุกสนาน ปีสองอาจจะรับน้องมากหน่อย มีด่านเยอะ ปีสามก็ค่อย ๆ ลดลง ยิ่งปีสี่นี่ น่ารักสุดๆ เพราะรู้ว่าน้อง ๆ เจอด่านอะไรมาบ้าง บางด่านก็ให้ดื่มน้ำขม ๆ แต่งหน้าแต่งตาเลอะเทอะ จับผูกจุก มัดแกละ พอมาเจอพี่ ๆ ปีสี่ ก็ให้ดื่มน้ำหวาน พวกเราก็ดื่มกันอัก ๆ เอาผ้าเย็นมาเช็ดหน้าเช็ดตา หวีผมให้ใหม่ แล้วเราก็ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันเรื่อยมา 

 


เมื่อก่อนมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มี 8 วิทยาเขต คือประสานมิตร ปทุมวัน พลศึกษา บางเขน บางแสน พิษณุโลก มหาสารคาม และสงขลา ตอนปีหนึ่งเป็นประเพณีของ มศว.ปทุมวัน และ มศว.บางแสน ที่จะต้องมาแข่งกีฬาเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างกัน โดยชาวปีหนึ่ง มศว.ปทุมวัน จะไปพักแรมที่ มศว.บางแสน พอไปถึง จะมีชาวบางแสนมายืนรอต้อนรับ พวกเราแต่ละคนก็จะมีของขวัญที่เตรียมมาอยู่ในมือ เจอใครคนแรกก็ต้องแลกของขวัญกัน ซึ่งจะมีชื่อ ที่อยู่เสร็จสรรพ ให้เราได้มีโอกาสติดต่อกันในภายหน้า  ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ  เพราะวันที่รับปริญญา เราก็รับพร้อมกัน เพื่อนคนนี้ยังจำฉันได้ เอาของขวัญมาให้ จนเรียนจบ ทำงานแล้ว เราก็ยังติดต่อกันอยู่

 


ตลอดเวลาที่เรียนอยู่ที่นี่สี่ปี มีความทรงจำดี ๆ ของผองเพื่อนเกิดขึ้นมากมาย พวกเราที่เรียนเอกภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ว่าจะมีแต่เรียนวิชาโทภาษาฝรั่งเศสเท่านั้น ยังมีแบ่งเป็นวิชาโทบริหารธุรกิจด้วย แต่เพื่อนสนิทเป็นเพื่อนที่เรียนโทบริหารธุรกิจ ในกลุ่มเรามีกัน 4 สาว โดยฉันเป็นคนเดียวที่เรียนวิชาโท ภาษาฝรั่งเศส ส่วนเพื่อนผู้ชายที่มีอยู่สองหน่อ ก็สนิทเหมือนกัน ฉันชอบล้อนามสกุลเค้า คนหนึ่งชื่อถนอม นามสกุล เทียนสว่างชัย ก็เปลี่ยนให้เป็น เทียนดับชัย ส่วนอีกคนชื่อวิจิตร ขำคม ก็เปลี่ยนใหม่ เป็น ขำก๊าก ๆ  ตอนเรียนหนังสือ ถนอมเป็นคนที่ชอบร้องเพลงของ BEE GEES มาก ๆ เค้ามักจะมาร้องให้ฉันฟังอยู่บ่อย ๆ ใหม่ ๆ ก็พอฟังได้ บ่อยเข้าก็ชักจะรำคาญ  แต่เป็นคนประเภทขี้เกรงใจคน จะบอกเพื่อนตรง ๆ ก็ไม่กล้า  ก็เลยแกล้งเอามือปิดหู แล้วบอกเพื่อนว่าเป็นซาวน์อะเบ้าท์ สีหน้าก็ปั้นยิ้มไปเรื่อยเปื่อย แต่ในใจน่ะ บอกว่า ฉันทนฟังเธอมานานแล้วนะ  เพื่อนมารู้ทีหลัง เพราะฉันเปิดเผยความจริงไว้ในสมุด Friend ship ดูเอาเถอะปิดบังกันมาตั้งหลายปี แต่ถนอม เพื่อนคนนี้เค้าตัดผมคล้าย Andy Gibbs  พอฉันเรียกเค้าว่า Andy Gibbs  ก็ยิ่งหน้าบานใหญ่ ร้องเพลงไม่หยุดเชียว พอปีสี่เราก็เรียนวิชาแปลก ๆ ด้วยกัน 2 คน วิชามัคคุเทศก์ ที่ว่าแปลกก็คือ ไม่ได้ไปฝึกเป็นไกด์ที่ไหนหรอก แต่วาดการ์ตูนบอกเรื่องราว ให้คนดูเข้าใจโดยไม่ต้องมีคำพูดหรือคำบรรยายใดๆ  ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า เวลาว่างของเราสองคนไม่ตรงกับเพื่อนที่เค้าลงวิชานี้  ก็เลยต้องแยกมาเรียนต่างหาก  แถมยังได้ A อีกด้วยนะ แปลกมั๊ยล่ะ...

 


ปีสี่ปีสุดท้าย เวลาว่างค่อนข้างมาก เพราะไม่ค่อยมีเรียน เก็บหน่วยกิตจนเกินที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดไว้ในหลักสูตร  แต่ก็ไปเรียนทุกวัน เพราะจะได้เจอเพื่อน ๆ บางทีก็นั่งคุยกัน เขียนสมุด Friendship ไปเดินเล่นแถวสยามสแควร์ (สยามสแควร์เป็นแหล่งบันเทิงของวัยรุ่นมาตั้งแต่เมื่อ 30 ปีก่อนแล้วนะ ขอบอก) ปีสี่นี่กลายเป็นว่าทุกคนต่างก็สนิทสนมกันหมด เคยเป็นกลุ่ม ๆ ละ 4-5 คน ก็กลายเป็นกลุ่มใหญ่ เพื่อนของฉัน นายถนอม ได้รับเลือกเป็นประธานนักศึกษาตอนอยู่ปีสี่ด้วย  เป็นที่เชิดหน้าชูตาของคณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาและวรรณคดีอังกฤษ เป็นยิ่งนัก  แถมยังเนื้อหอม เป็นที่หมายปองของน้อง ๆ สาว ๆ ในมหาวิทยาลัยหลายคน  จำได้ว่า วันที่เราพาน้องปีหนึ่งไปรับน้องใหม่ของคณะที่ชะอำ มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งเป็นลม นายถนอมของเราก็แสดงความเป็นสุภาพบุรุษ แสดงความเป็นพี่ที่ต้องรับผิดชอบดูแลน้อง ๆ อุ้มน้องคนนั้นวิ่งขึ้นรถ พาไปโรงพยาบาลอย่างด่วนจี๋  พวกเราต่างก็นึกในใจว่า นายถนอม อุ้มน้องเค้าไหวเหรอ ตัวก็พอ ๆ กัน แต่ก็อ่ะนะ เป็นประธานนักศึกษา ก็ต้องหยั่งงี้แหล่ะ นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา นายถนอม ก็กลายเป็น Hero ของสาว ๆ ไปโดยปริยาย ปล่อยให้นายวิจิตร อิจฉาจนน้ำตาซึมSmiley

 



 




Free TextEditor










Create Date :06 พฤษภาคม 2552 Last Update :2 สิงหาคม 2553 11:16:39 น. Counter : Pageviews. Comments :13