bloggang.com mainmenu search


ตอนที่มาทำงานที่ จ.ตากใหม่ๆ เมื่อปลายเดือนกันยายน 2527 กลับบ้าน กทม.แทบทุกอาทิตย์ พออยู่ไปซักระยะก็เป็นกลับทุกสิ้นเดือน เหตุเพราะว่าวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ เริ่มมีกิจกรรมเยอะมากขึ้น มีพี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ชวนไปโน่นไปนี่ สำรวจเมืองตากกัน อีกอย่างกลับบ่อย ๆ ก็เปลืองนะ เงินเดือนข้าราชการซี 3 สมัยนั้น แค่ 2,765 บาท แต่เชื่อมั๊ย นอกจากจะให้แม่เดือนละ 500 จ่ายค่าเช่าหอพัก ใช้จ่ายส่วนตัวแล้ว ก็ยังมีเงินเหลือเก็บทุกเดือน เพราะความที่เป็นเด็ก เป็นน้องใหม่ ไปกินข้าวก็มีแต่คนเลี้ยง มีอยู่ครั้งนึงไปกินข้าว ก็สั่งกับข้าวมา ก็ไม่ได้ถามเค้าว่ามันคืออะไร พี่ที่มากินข้าวด้วยกันถามว่า กินเป็นเหรอ นั่นน่ะ มันปลาไหลผัดเผ็ดนะ โอ้..แม่เจ้า เกือบกินปลาไหลไปแล้วมั๊ยล่ะ






ตอนที่มาอยู่ตาก เป็นคนที่มาทำงานแต่เช้า แล้วเดี๋ยวนี้ก็ยังคงปฏิบัติอยู่ วันไหนมาสาย รู้สึกใจคอไม่ดี ตอนแรกอยู่หอพักนักเรียนมัธยม พอสักพักก็ย้ายไปอยู่หอพักนักเรียนเทคนิค ค่อยโตขึ้นมาหน่อย พี่ที่อยู่ห้องสรรพากรซึ่งเป็นคน กทม.ชวนไป แชร์ค่าห้องกันคนละครึ่ง แต่ก็ไกลจากที่เก่า ต้องนั่งรถสองแถวไปทำงาน ตอนไปทำงานทุกวันจันทร์จะต้องแต่งเครื่องแบบข้าราชการ มีอยู่วันหนึ่ง นั่งอยู่บนรถสองแถว ก็มีผู้ชายคนหนึ่งบอกว่า ครู ๆ ติดอินทรธนูผิด เราก็มองดู อ้าว...แถบอินทรธนูบนบ่าหัวทิ่มนี่นา ก็เลยขอบคุณคุณคนนั้น คนต่างจังหวัดมักจะคิดว่าข้าราชการที่แต่งเครื่องแบบเป็นครูทั้งนั้น นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เวลาแต่งชุดข้าราชการ ก่อนออกจากบ้านต้องตรวจตราความเรียบร้อยให้แน่ใจก่อนทุกครั้ง จำไว้จนขึ้นใจว่า แถบซ้าย ป้ายขวา อินทรธนูต้องไม่หัวทิ่ม สิงห์ต้องหันหน้ามาคุยกัน ไม่ใช่วิ่งกันไปคนละทิศละทาง





มาถึงที่ทำงาน มักจะมาเป็นคนแรก แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนมาเช้ากว่า คน ๆนั้น คือท่านผู้ว่าฯ กาจ รักษ์มณี เวลาเดินเข้าประตูศาลากลางฯ มักจะมีคนแหวกผ้าม่านแอบมองอยู่ทุกเช้า ก็ท่านผู้ว่าฯนั่นแหละ พอเราเดินขึ้นมาถึงชั้นสอง ก็จะเจอท่าน ผู้ว่าฯมายืนรออยู่ตรงมุมบันได ท่านทักทุกวันว่ามาแต่เช้าเชียวนะหนู ท่านมักจะเรียกเราว่า “ไอ้ตัวเล็ก” ไม่เคยเรียกชื่อ เวลาเรียกหา ก็จะเรียก “ไอ้ตัวเล็ก ๆ ” เป็นประจำ จนใคร ๆ ก็รู้ว่าหมายถึงใคร ท่านผู้ว่าฯ ชอบปลูกต้นยูคาลิปตัสมาก ส่งเสริมให้เกษตรกร ชาวบ้าน ปลูกตามหัวไร่ปลายนา ที่รกร้างว่างเปล่า เพราะมันไม่ต้องบำรุงอะไรมาก สามารถเอามาทำกระดาษได้ ที่ว่าง ๆ หน้าศาลากลางก็ปลูกเอาไว้เป็นแถวเชียว แต่พอท่านย้ายไป ผู้ว่าฯใหม่ย้ายมา ก็สั่งตัดหมด เหลือไว้แถวเดียวเท่านั้น








ตอนสมัยที่ทำงานอยู่ตาก ก็มีเรื่องราวที่น่าจดจำมากมาย ไม่ว่าจะกับผู้บังคับบัญชา หรือแม้แต่กับเพื่อน ๆ พี่ ๆ ในห้องทำงาน นับว่าเราเป็นคนโชคดี ที่มีผู้ใหญ่เอ็นดูและเมตตาอยู่เสมอ สำนักงานจังหวัดสมัยนั้น มีแค่ฝ่ายบริหารงานทั่วไปกับฝ่ายแผนและโครงการเท่านั้น นอกจากจังหวัดชายแดน เช่นที่ตาก เป็นต้น ก็จะมีฝ่ายกิจการพิเศษเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งฝ่าย สำนักงานจังหวัดตากส่วนใหญ่มีแต่ผู้ชาย มีผู้หญิงอยู่ไม่กี่คน คนก็ไม่เยอะ ทำงานก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ สนุกสนาน รักใคร่สามัคคีกันดีมาก ทำให้ทำงานด้วยความสุขและสนุก นับเป็นสถานที่ทำงานที่เรารู้สึกประทับใจมากที่สุด แม้เวลาจะผ่านล่วงเลยมาหลายสิบแล้วก็ตาม ถึงแม้ว่าเราจะทำงานอยู่ฝ่ายกิจการพิเศษ แต่ก็มักจะมาช่วยพี่ ๆ ที่อยู่ฝ่ายแผนเป็นประจำ ก็พี่เค้าใจดี น่ารัก ตลกด้วย ชื่อพี่อี๊ดกะพี่สมยศ เป็นคนอิสานทั้งคู่ แต่มาได้ภรรยาเป็นชาวเหนือ เวลาทำงานดึกดื่นมืดค่ำ พี่เค้าก็จะไปส่งถึงบ้าน รอจนเราเข้าบ้านปิดประตูเรียบร้อยเค้าถึงจะกลับ น่าร๊ากกกกกกกกกที่สุดเลย





ส่วนเจ้าต๋องเพื่อนซี้นั้น ใคร ๆ ก็มักจะแซวว่า เหมือนพ่อกับลูก แล้วก็ชอบเดินไปไหน ๆ ด้วยกัน จนใคร ๆ บอกว่า เจ้าต๋อง น่าจะเอาไอ้เปี๊ยกมันเข้าสะเอวไปด้วย บางทีเราก็ชอบเล่นสนุกกัน มีเครื่องวิทยุ walkie talkie กันคนละเครื่อง เพราะทำงานชายแดน ก็คุยเล่นกันทั้ง ๆ ที่อยู่กันแค่ในห้องกะนอกห้อง มีอยู่ครั้งหนึ่ง เจ้าต๋องขึ้น ฮ. ไปตัดทำลายไร่ฝิ่นกับท่านผู้ว่าฯ ใคร ๆ ก็บอกว่าให้เอากระสอบไปด้วย แล้วให้สวมกระสอบใบนั้นไว้ระหว่างอยู่บนเครื่อง ถ้า ฮ.ตกจะได้รู้ว่าเป็นชิ้นส่วนของใคร สมัยนั้น ฮ.ทหารเก่ามาก ขึ้นทีไรก็เสียวทุกที เพราะมันมีข่าวว่าตกบ่อย และมักจะมีคำพูดฮิตติดปากเวลาใครจะขึ้น ฮ. ไปไหน ๆ ว่า "ไป ฮ.แต่กลับห่อ" กลับจากทำลายไร่ฝิ่น เจ้าต๋องเพื่อนซี้ หอบดอกฝิ่นช่อใหญ่มาให้ มันสีแดงสดดูสวยดี แต่ขอโทษ กลิ่นมันแรงมาก ได้กลิ่นแล้วพาลจะเวียนหัว มึนตึบ เก็บดอกมายังไม่พอ ยังเก็บดอกแก่ ๆ มาด้วย แล้วก็เที่ยวเอาเม็ดมันไปโรยไว้ตามกระถางต้นไม้ หน้าห้องทำงาน ขึ้นกันพรึ่บเชียว แต่มันร้อน มันก็เลยซี้แหง มะงั้นนะ ผู้ว่าฯ ไม่ต้องขึ้น ฮ.ไปตัดฝิ่นบนดอยเลย ตัดมันหน้าห้องทำงานนี่แหล่ะ ชาวเขาไม่ได้ปลูกฝิ่นแล้ว แต่เป็นชาวเรานี่แหล่ะที่ปลูก 5555





ส่วนราชการต่างๆ ที่อยู่บนศาลากลางจังหวัด ส่วนใหญ่จะรู้จักกันหมด โดยเฉพาะสำนักงานจังหวัดและที่ทำการปกครองจังหวัด ซึ่งเปรียบเสมือนมือซ้าย – ขวา ของผู้ว่าราชการจังหวัด สำนักงานจังหวัด ทำงานเกี่ยวข้องกับงานด้านวิชาการ จึงเปรียบเสมือนฝ่ายบุ๋น ในขณะที่ที่ทำการปกครองจังหวัด ทำงานด้านบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาชน จึงเปรียบเสมือนฝ่ายบู๊ สมัยก่อนที่ทำการปกครองจังหวัด มักจะมีอาสาสมัครชาวต่างชาติมาทำงานอยู่ด้วยเป็นประจำ ตอนนั้น จำได้ว่า เป็นอาสาสมัครชาวอเมริกัน ชื่อ ทอม พวกเราก็มักจะช่วยกันสอนภาษาไทยให้ทอม จนกระทั่งวันหนึ่งต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯด้วยกัน พี่จ่าจังหวัด ก็มาบอกว่า ให้เราช่วยดูแลทอมหน่อยนะ เรียกแท็กซี่ให้ทอมด้วย เพราะจะต้องไปติดต่อราชการที่กรมการปกครอง ระหว่างอยู่บนรถทัวร์ก็คุยกันมาตลอด แต่พอถึงหมอชิตในช่วงเช้ามืด ลงจากรถ นายทอมเดินตามลงมาใกล้ ๆ เดินผ่านคิวรถแท๊คซี่ ก็ได้ยินเสียงผิวปาก กิ๊วก๊าวกันใหญ่ เสียงหัวเราะกันคิกคักๆ แรกๆ ก็ไม่ได้นึกเอะใจอะไร นึกสงสัยในใจว่า เค้าหัวเราะกันทำไม แต่...เสียงผิวปากมันไม่หยุด มานึกได้ ....งานเข้าแล้วซิเรา เลยรีบเดินจ้ำอ้าวๆ นายทอมไม่รู้ รีบเดินตามมาอย่างรวดเร็ว เราก็เลยบอกว่า ทอม ยูไปเดินห่างๆ ไอ หน่อยได้มั๊ย นายทอมไม่เข้าใจ ถามว่า ทำไม ตะกี้บนรถเรายังคุยกันอยู่ดีๆเลย แล้วทำไมพอลงจากรถ จะมาทำเหมือนไม่รู้จักกันล่ะ พอเดินพ้นจากหมอชิต ก็เลยต้องอธิบายให้นายทอมเข้าใจว่า คนพวกนั้น...เค้าคิดว่าไอเป็นพวกเมียเช่าน่ะซิ ยิ่งตัวเล็ก ๆ ดำๆ แบบนี้ มันสเปคฝรั่งซะด้วย นายทอม อมยิ้ม หัวเราะ หึๆ แล้วบอกว่า OH I SEE


พูดถึงการนั่งรถทัวร์กลับบ้านนั้น ก็ไม่วายมีเรื่องเล่าอีก สมัยก่อนมีรถทัวร์ปรับอากาศ กรุงเทพ - ตาก แค่ 2 บริษัท คือ ถาวรฟาร์ม กับทันจิตต์ทัวร์ ซึ่งบรรดาลูกค้าต่างก็ให้สโลแกนประจำบริษัทกันว่า "ถาวรฟาร์ม ล้อหลัง แซงล้อหน้า" ส่วนทันจิตต์ทัวร์ ก็ "หลับสบาย ตายสนิท ต้องทันจิตต์ทัวร์" แต่ก็นะ ทำไงได้ ไม่มีตัวเลือกมากไปกว่านี้ ก็จำเป็นอ่ะ คนเรา ถ้าดวงถึงฆาต อยู่ที่ไหนก็คงหนีไม่พ้น คิดแบบนี้จะได้สบายใจ ทุกครั้งที่กลับบ้านกรุงเทพฯ ก็มักจะเดินทางคนเดียว ไปเที่ยวประมาณสี่ทุ่ม ก็จะถึงหมอชิต (เก่า) ประมาณตีห้ากว่าๆ ขากลับก็จะมาประมาณเที่ยงวันอาทิตย์ มาถึงตากก็ประมาณหกโมงเย็นกว่าๆ ก็จะมีเจ้าติ๋ม น้องที่อยู่ด้วยกันมารับที่บริษัททัวร์  มีอยู่ครั้งหนึ่ง เดินทางกลับบ้านคนเดียว นั่งด้านในริมหน้าต่าง ก็มีชายหนุ่มมานั่งด้วย เค้ามากัน 3 คน อีก 2 คนนั่งด้านหลัง ส่วนเค้ามานั่งคู่กับเรา เรารู้ว่าเค้าต้องเป็นทหาร ดูจากลักษณะท่าทาง และการแต่งตัว แถมยังหน้าตาดีหล่อมากอีกด้วย นั่งด้วยกัน เค้าก็ชวนคุย ถามโน่น ถามนี่ เรียกเราว่าน้อง นึกในใจ ดูจากหน้าตา เค้าน่าจะอายุน้อยกว่าเรา มาเรียกเราว่าน้อง พอดึกๆ ก็เลิกคุย ต่างคนต่างหลับ เอาผ้าห่มบนรถทัวร์มาห่ม ห่มไปสักพักก็ร้อน เพราะแอร์ไม่เย็น ก็เอาออก แล้วก็หลับต่อ พอตื่นมาอีกที เอ๊ะ...ทำไมผ้าห่มมาคลุมตัวอีก ก็เอาออกแล้วนี่นา แอร์ไม่เย็น ก็เอาผ้าห่มออกอีก เป็นแบบนี้ 2 ครั้ง จนครั้งที่ 3 ตานี้ เลยรู้ว่าทำไมผ้าห่มจึงมาห่มตัว เพราะชายหนุ่มที่นั่งมาข้างๆ เอาผ้าห่มมาห่มให้ ตอนที่เรารู้สึกตัวพอดี เพราะเค้าไม่เอาผ้าห่มมาห่มให้ธรรมดา เค้าเหน็บชายผ้าห่มไว้ด้านหลังด้วย กลัวผ้าห่มจะหลุดอีก เราเลยบอกเค้าว่า ขอบคุณค่ะ มันร้อนเพราะแอร์มันไม่เย็นค่ะ เค้าก็บอกว่า กลัวน้องจะหนาว เดี๋ยวจะไม่สบาย...พอถึงหมอชิต เค้ายังโบกมือบ๊ายบายเราอีกด้วย น้องเอ้ย...ถ้ารู้อายุพี่ แล้วจะหนาว ...



การไปทำงานที่ตาก ก็นับว่าเป็นการไปต่างจังหวัดครั้งแรกในชีวิต ได้รู้ได้เห็นถึงวิถีชีวิตที่แตกต่างจากคนในเมืองหลวงโดยสิ้นเชิง ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ที่เราไม่เคยได้รู้ได้เห็น สภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศที่แตกต่างกัน ศาลากลางจังหวัดตาก ตั้งอยู่ในทำเลที่สวยมาก ด้านหน้ามองออกไปก็จะเป็นถนนพหลโยธิน เห็นรถที่วิ่งขึ้น – ล่อง นี่แหล่ะคือถนนที่จะพาเรากลับบ้าน ทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ด้านหลังมองออกไปก็จะเป็นทิวเขาสูงยาวเหยียด ได้บรรยากาศมาก ๆ เวลามองทอดสายตาไปไกล ๆ ชวนให้คิดถึงบ้านทุกที อากาศที่ตากร้อนมาก หน้าร้อนก็ร้อนสุด ๆ หน้าหนาวก็หนาวสุด ๆ เหมือนกัน สมัยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เครื่องปรับอากาศยังราคาแพง ยังไม่ค่อยใช้กันแพร่หลายในราชการ จะติดตั้งก็แต่เฉพาะในห้องนาย ๆ เท่านั้น ห้องทำงานของพวกเราก็มีแต่พัดลม เวลาออกไปทานข้าวกลางวัน พอกลับเข้ามาในศาลากลาง ก็ต้องไปโอบเสาหินอ่อนตรงห้องโถงด้านล่างศาลากลาง ก่อนขึ้นห้องทำงาน ทำแบบนี้แทบทุกคน เพราะมันเย็นดี htmlentities(' >')




ตอนเย็นหลังเลิกงาน พวกเราชอบไปนั่งกินข้าวเหนียวส้มตำกันริมแม่น้ำปิง นั่งดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้ายามเย็น สวย โรแมนติคสุด ๆ เลย แม่น้ำปิงเป็นแม่น้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตชาวตาก ช่วงแม่น้ำที่ผ่านเมืองตากมีความกว้างมาก ช่วงหน้าแล้ง น้ำจะแห้งขอด สามารถลงเล่นเตะฟุตบอลได้เลยล่ะ มีสะพานไม้ เรียกว่าสะพานสมโภชรัตนโกสินทร์ 200 ปี เชื่อมต่อระหว่างฝั่งตลาดกับฝั่ง ต.ป่ามะม่วง จะให้รถมอเตอร์ไซต์กับรถจักรยานข้ามเท่านั้น ถ้าเป็นรถใหญ่ๆ จะต้องข้ามสะพานกิตติขจร เวลาขับรถมอเตอร์ไซต์ข้ามสะพาน จะตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะสะพานมันไหว เอนไปเอนมา ต้องค่อย ๆ ไป แต่ก็ไม่ได้เป็นคนขี่หรอกนะ เป็นคนซ้อนซะมากกว่า มีคนบอกว่าถ้าใครได้เล่นน้ำในแม่น้ำปิงเกินกว่า 3 ครั้ง จะต้องกลับมาอยู่ตากอีก ซึ่งก็เห็นจะจริง เพราะเราเล่นน้ำในแม่น้ำปิงเป็นสิบ ๆ ครั้ง เลยได้กลับมาอยู่ตากอีกรอบหลังจากที่ย้ายออกไป 5 ปี แต่กลับมาคราวนี้มีเรือพ่วงมาด้วย 1 ลำ ...อิอิ พี่ ๆ ที่ได้เจอกันอีกรอบบอกว่า เห็นมั๊ยให้ย้ายไปตั้งนานแล้ว ก็ไม่ไป อยู่มาตั้ง 5 ปีกว่า ๆ ถ้าย้ายไปก่อนหน้านี้ อาจจะมี เรือพ่วง 2 ลำ แล้วก็ได้




เทศกาลสงกรานต์ทางเหนือเป็นเทศกาลที่เราว่าน่าสนุกที่สุดเลย ตอนอยู่กรุงเทพฯ ก็ไม่ค่อยได้เล่นอะไรกับเค้าเท่าไหร่หรอก พอมาอยู่ตาก พอถึงวันสงกรานต์ก็จะมีพิธีรดน้ำดำหัวผู้ว่าฯ รองผู้ว่าฯ ปลัดจังหวัด ข้าราชการในจังหวัดก็จะเดินแห่ไปรดน้ำขอพรจากนาย ๆ ทั้งหลาย สุดท้ายก็มาที่จวนผู้ว่าฯ จำได้ว่า ในจวนมีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่ง ประเพณีสงกรานต์ก็จะมีการละเล่นสนุกสนาน ร้องรำทำเพลง ดื่มกินกันบ้างตามสมควร พวกผู้ชายเวลาเมาได้ที่ก็มักจะทำอะไรแผลง ๆ จับพรรคพวกโยนลงบ่อกัน เราเองก็หวั่น ๆ กลัวจะมีใครมาจับโยนลงบ่อ เพราะว่ายน้ำไม่เป็น เลยแอบ ๆ อยู่ข้างหลังพี่ ๆ เค้า ปรากฏว่าเจ้าต๋องตัวดี มาจากไหนก็ไม่รู้ อุ้มเราโยนลงบ่อเลย ความรู้สึกตอนนั้นกลัวจับใจ เพราะว่ายน้ำไม่เป็น ถึงแม้ว่าบ่อน้ำจะไม่ลึกก็เถอะ คนอื่น ๆ เล่นแบบนี้กันมาตั้งเยอะ แต่พอเราถูกโยนลงบ่อ ท่านผู้ว่าฯ ก็ดุ บอกให้เลิกเล่น ลูกเค้าเป็นอะไรจะว่ายังไง ตอนนั้นโกรธเจ้าต๋องมาก พอขึ้นจากบ่อได้ ทั้งดึงทั้งฉุดเจ้าต๋อง ผลักลงไปในบ่อน้ำ นี่ถ้าถีบได้ คงถีบไปนานแล้ว เจ้าต๋องลงไปยืนในบ่อได้อย่างสบาย ส่วนเราซิ จมหายไปเลย ได้ยินแต่เสียงเรียก เปี๊ยก ๆ แว่ว อยู่ในโสตประสาท





วันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ ถ้าไม่ได้ไปไหน ก็จะขี่มอเตอร์ไซต์ไปเที่ยวน้ำตกลานสาง ซึ่งห่างจากตัวเมืองประมาณสิบกว่ากิโล แต่กว่าจะถึงน้ำตก เล่นเอาแขนไหม้เกรียม ก็มันร้อนอ่ะ หัวหน้าสำนักงานจังหวัดชอบให้พวกเราไปเที่ยวพักผ่อนกันในช่วงวันหยุด เพื่อสร้างความสมัครสมานสามัคคี บางทีก็ขึ้นไปสถานีทดลองพืชสวนดอยมูเซอร์ ไปเขื่อนภูมิพล อ.สามเงา ลงแพล่องแม่น้ำปิงกัน ไปเกาะวาเลนไทน์ ก็สนุกดีนะ มีอยู่ครั้งหนึ่งชวนกันไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่ อ.ท่าสองยาง กับเพื่อน ๆ สาว ๆ รวม 5 คน ทำงานเลิกเย็นวันศุกร์ นั่งรถตู้เที่ยวสุดท้ายไปแม่สอด จากแม่สอดก็ไม่มีรถเข้าท่าสองยางแล้ว ก็ต้องโบกรถกัน ไปโบกรถคันหนึ่งเป็นรถปิคอัพ ของ ตชด. เค้าก็ยินดีให้ไปด้วย แต่บอกว่า ท้ายรถผมมีสิ่งนี้อยู่ ก็ชะโงกหน้าเข้าไปดูกัน โอ๊ะ...มีโลงศพค่ะ คลุมธงชาติอยู่ด้วย ก็เลยยิ้มปุเลี่ยน ๆ กัน บอกว่าไม่เป็นไร แต่เราก็มีรถไปท่าสองยางคืนนั้นจนได้ คืนนั้นพวกเราก็ไปพักที่บ้านพี่ที่เป็นปลัดฯป้องกันกับเพื่อนที่เป็นปลัดอำเภอ อ.ท่าสองยาง (พี่คนนี้แยกย้ายจากกันยี่สิบกว่าปี ก็มาเจอกันอีก ที่นครนายก เค้ามาเป็นปลัดอาวุโส อ.เมืองนครนายก แล้วก็ยังจำกันได้ด้วย) ที่ อ.ท่าสองยางยุงชุมมาก โดนยุงกัดจนตัวลายกันเป็นแถว แต่ก็ไม่มีใครเป็นอะไร เพราะเพื่อนที่เป็นปลัดอำเภอ ให้กินยาควินินดักไว้ก่อนแล้ว ไม่ต้องกลัวเป็นไข้มาลาเรีย วันรุ่งขึ้นก็ไปดูทะเลหมอกที่แม่ระเมิง ไปเที่ยวถ้ำแม่อุสุ ชีวิตตอนอยู่ตากก็สนุกทั้งการทำงานและก็ได้เที่ยวตามที่ต่าง ๆ ด้วย ....เรื่องของเมืองตากยังไม่จบแค่นี้หรอกนะ คงต้องมีอีกหลายตอน ไว้จะมาเล่าใหม่นะจ้ะ...










Create Date :24 กันยายน 2553 Last Update :28 สิงหาคม 2558 10:49:32 น. Counter : Pageviews. Comments :19