กว่าจะได้เป็น Manager ในอเมริกา (2)
หลังจากที่ พลาดจากการสมัครงานร้านอาหรไทย มา ก็สมัครงานไปเรื่อย แล้วก็มี Grocery store ชื่อ HEB ซึ่งอยู่ใกล้ อพาร์ตเม้นต์ตอนนั้น
ตัดสินใจเดินเข้าไปขอใบสมัครงาน แล้วก็ให้พี่โจอี้จัดการกรอกให้ ไม่มีประสบการณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น แต่.....ก็ได้รับการเรียกเข้าไปสัมภาษณ์
ดีใจมากตอนนั้น คิดว่า ฝรั่งเขายังให้โอกาสเรา แต่คนไทยด้วยกันไม่ให้ฦโอกาสกันบ้างเลย แต่ก็ไม่ได้ว่าร้านไทยไม่ดี ก็เข้าใจเขาเหมือนกัน
จากนัน ก็ไปสัมภาษณ์ ครั้งแรก กลัวมากจริง ๆ ถ้าอยากรู้ความรู้ความรู้สึกตอนสมัครงานครั้งแรก ก็เข้าไปอ่านในบันทึกเก่า ได้นะคะ
สัมภาษณ์แค่งาน ง่าย ๆ แต่ต้องสอบสัมภาษณ์ ถึง 3 ครั้ง กว่าจะได้งาน แต่ก็สู้ จนได้งาน แผนก Deli ที่ Grocery store ต้องเริ่มเรียนรู้ทุกอย่างใหม่หมด
มันยากแสนยาก สำหรับคนไม่เก่งภาษาอย่างเรา แต่ก็พยายามอย่างสุดความสามารถ เท่าที่จะทำได้
ผ่านไป ก็เริ่มดีขึ้น ดีขึ้น ทำงานจนได้รับตำแหน่งพนักงานดีเด่น อยู่ ครั้งหนึ่งในชีวิต ทำงาน ครึ่งชีวิต ที่เมืองไทย ไม่เคยได้รับตำแหน่ง
แบบนี้ แหม๊ มันช่างภูมิใจจริง ๆ จากนั้น
จากนั้นก็ทำงานมาแบบ เรียนรู้ไปด้วย จะเป็นคน ชอบ ทำ ชอบ ถาม ถึงจะไม่ใช่หน้าที่ของเรา ก็อยากจะลองทำ ขอเขาเข้าไปทำ ลองกับตัวเอง
อย่างที่เขาว่า " สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น ถ้าอยากทำเป็น ต้องลงมือทำ" เอ....สุภาสิต ที่ไหนวุ๊ย.......
ทำงานนี้มาตลอด จนย่างเข้าปีที่ 3 (เออ....ทำงานทนน๊ะเรา) อยู่ที่เมืองไทยก็ไม่เคยเปลี่ยนงานเลยคะ ทำงาน ตั้แต่สาวยันแก่ 17 ปีเต็ม ก่อนจะ
มาอยู่อเมริกา พอเข้าปีที่ 3 หัวหน้า ก็มาถามเราว่า อยากไปเป็น Manager อย่างเขามั๊ย ยูเนี่ย สามารถน๊ะ หัวหน้าบอกว่า เราเรียนรู้ได้เร็ว และก็ทำงานดี
ทางบริษัท เขาเปิดให้พนักงาน ได้ไต่เต้า ขึ้นมาเป็นระดับหัวหน้า ด้วย การเปิดการเรียน การสอน ที่จะต้องผ่าน ขั้นตอนมากมาย กว่าจะเรียนจบ และมาเป็น
Manager ได้
เราก็ เฮ้ย....อย่างเราเนี่ยน๊ะ ก็กลับมาบ้านมาปรึกษาพี่โจ พี่โจอี้ ก็บอกว่า ยูทำได้อยู่แล้ว ถ้ายูอยาก ก้าวหน้า นี่แหละ เป็นบันได ขั้นต่อไป ซึ่งจะทำให้
อนาคนของเรา ดีขึ้นน๊ะ เราก็เห็นด้วยกับพี่โจ ก็เป็นอันว่า จะลองสมัคร เป็น Manager
การที่จะสมัครเรียน ทางบริษัท ต้องดูว่า บุคคลนั้น ประวัติ ต้องดี ไม่ติดลบ เพราะ่ว่า แต่ละปี เขาจะมีคะแนน การทำงานของแต่ละคนเก็บ File ไว้
นี่เราผ่านแน่นอน ต่อไป ต้องให้ UD แต่ละ สาขา เป็นผู้ เซนต์ รับรองการทำงานของเรา ในใบสมัคร พร้อม Comment การทำงานของเราด้วย ซึ่งอันนี้
เราก็ผ่านฉลุย แล้วถึงจะเสร็จสิ้นขั้นตอน การกรอกใบสมัคร
บริษัท จะเปิดสมัคร ปีละ 2 รุ่นเท่านั้น ถ้าพลาด ก็ต้องไปสมัครครั้งต่อไป เราสมัครปี 2551 เราต้องผ่านขั้นตอน มากมาย การสัมภาษณ์ มี 3 ครั้ง
ครั้งแรก ถ้าผ่าน ก็จะได้เข้ารอบลึก ๆ นี่ไม่ใช่ของเล่น ๆ เลยน๊ะ ตอนนั้น มีคนไม่ผ่านการสัมภาษณ์ เหมือนกันน๊ะ ฝรั่งด้วยแหละ ทำเอาเราใจแป้ว ไปเหมือนกัน
แต่ก็ผ่านมาด้วยดี แบบ ไม่คาดฝัน ว่าเราทำได้ น่าจะมีบันทึกตอนไปสัมภาษณ์อยู่ ใครอยากอ่านเข้าไปอ่านได้นะคะ
กว่าจะผ่านด่าน 18 อรหัน มาได้ เล่นเอา เหงื่อตก กินข้าว กินปลาไม่ลงเลยทีเดียว มันลุ้นจริง ๆ และแล้ว เรา ผู้หญิงไทยตัวเล็ก ๆ ก็สอบผ่านขั้นตอนต่าง ๆ
มากมาย จนได้เข้าไปเรียนกับพวกฝรั่งเขา แต่ค่าใช้จ่าย ไม่เสียนะคะ ระหว่างที่เรียน หลักสูตร 2 เดือน บริษัท จ่ายเงินให้คะ แต่ไม่ต้องทำงาน เรียนอย่างเดียว
มีค่าเดินทาง ค่าน้ำมันรถเบิกได้
ระหว่างที่เรียน นี่ซิ สุด แสน สาหัส ไอ้เราก็ไม่เก่งภาษาอังกฤษน๊ะ แค่งู ๆ ปลา ๆ ถึงจะจบปริญญาตรี มาก็เหอะ กลับคืนคุณครูไปหมดหลังเรียนจบ
ช่วงนั้น เราต้องเข้าห้องเรีน กลับมาก็ยังต้องมานั่งแปลเอกสารที่เรียนมาในแต่ละวันว่าเขาพูดเกี่ยวกับอะไร เท่ากับเรียน 2 รอบ อันไหนไม่เข้าใจ
ก็มีคุณครูประจำตัว คือ พี่โจอี้ คอยอธิบาย แบบ อังกฤษ ให้เป็นอังกฤษ อีกที คิดซิ เราจะเข้าใจไม๊ อ่ะ โชคดีอีกอย่าง มี Talking-Dict ติดตัวมาด้วย
อันนี้ซื้อมาก่อนมาอยู่อเมริกา ขอบอกว่าคุ้ม สุด ๆ ทุกวันนี้ ยังใช้อยู่เลยน๊ะเออ.......
หลักสูตร 2 เดือน ที่ร่ำเรียน มีทั้งปฎิบัติ และก็ ทฤษฎี เอากันเข้าไป แต่ไม่ท้อน๊ะ ถึงไม่รู้เรื่อง แต่ก็พยายามจะให้มันรู้เรื่อง จริง ๆ ไม่รู้เรื่องซะส่วนมาก
อิอิอิ แล้วก็มีการสอบด้วย เหมือนตอนเรียนหนังสือเลย ไม่ึกว่า จะต้องมาเรียนกันตอนอายุมากมาก อีกครั้ง ช่วงสอบ เป็นช่วงที่เครียดมากมาก
ไอ้ฝรั่งมันอ่านข้อสอบมันเข้าใจ แต่ไอ้เรา อ่านข้อสอบแล้วต้องทำความเข้าใจทั้ง สองชั้น ต้องเข้าใจว่าเขาถามอะไร แล้วก็ต้องมานั่งหาคำตอบอีก
เครียดมากจริง ๆ แอบร้องไห้ ไม่เอาแล้ว ทำไม่ได้ แต่ก็มีพี่โจ คอยปลอบ ใจ ว่า ยูทำได้ อย่ากลัวไปก่อน เขาเชื่อมั่นในตัวศรีภรรยาซะเหลือเกิน
คนไทยอย่างเราซะอย่างทำได้ซิเนอ๊ะ สรุปว่า สอบผ่านคะ แล้วก็ได้มาเป็น ADM (Assistant Deli Manager) ได้รับเงินขึ้นตามตำแหน่ง ไป ซึ่งก็ถือว่า ดี
พอสมควรสำหรับเรา ก็ได้ย้าย Store มาที่ใหม่ คนที่จบมาจะไม่ได้กลับเข้าไปทำใน Store เก่าเด็ดขาด เป็นเพราะว่า เขาเชื่อว่า จะไม่มีเพื่อนร่วมงานเชื่อฟัง
นั่นก็เป็นเหตุผล ที่เราไม่สามารถกลับเข้าไปทำงานที่เดิมได้
จบแค่นี้ก่อนดีกว่า ยืดยาว อาจจะไม่มีใครชอบอ่าน อิอิ แต่จะมาบันทึกต่อน๊ะจ๊ะ
Create Date : 21 เมษายน 2553 |
Last Update : 21 เมษายน 2553 3:23:45 น. |
|
12 comments
|
Counter : 863 Pageviews. |
|
|
ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร?
โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา
จาก //www.bigsedan.com/index.php?topic=5623.0