เด็กๆ vs "เชื้อโรค" กับพฤติกรรมกวนใจที่ไม่ต้องกังวล





วิธีลัดที่ประหยัดทั้งแรงและเวลา รับรองว่าแม้ไม่ใช่ทางเลือกที่เพอร์เฟ็คท์ แต่เด็กๆก็จะสะอาดและมีสุขภาพที่ดีได้แน่นอน


ในยุคที่มีแต่ข่าวเชื้อโรคร้ายอันน่าหวาดหวั่นดังเช่นทุกวันนี้ พ่อแม่มักรู้สึกผิดถ้าคืนไหนมัวแต่วุ่นจนไม่ได้อาบน้ำให้ลูกๆ หรือหยิบจุกหลอกที่หล่นพื้นกลับเข้าปากลูกไปเลยโดยไม่ได้ล้างเสียก่อน ทั้งที่โลกแห่งความเป็นจริงนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่พ่อแม่จะรักษาความสะอาดเอี่ยมให้ลูกๆได้ตลอด 24 ชั่วโมง แล้วอันที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นให้ได้ด้วย


8 พฤติกรรมต่อไปนี้แม้จะดูเข้าข่ายขอไปที แต่ก็ไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยต่อสุขภาพของเด็กๆเลยแม้แต่น้อย (แถมยังช่วยคุณประหยัดเวลาอันมีค่าได้อีกด้วย) มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง



1. ใช้เบบี้ไวพ์เช็ดมือหลังเปลี่ยนผ้าอ้อมลูก คุณหมอจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคในแอตแลนตายืนยันว่าวิธีทำความสะอาดมือได้ดีที่สุดคือการล้างด้วยสบู่กับน้ำอุ่น แต่ในกรณีจำเป็น เบบี้ไวพ์ก็เป็นตัวเลือกที่ทันใจ แถมยังช่วยขจัดเชื้อโรคส่วนใหญ่ที่ติดมากับอึลูกได้ดีด้วย


คุณหมอแนะนำว่า หากอยากทำความสะอาดมือขณะอยู่นอกบ้านให้หมดจดกว่านั้น ก็ต้องเช็ดอีกรอบโดยใช้ไวพ์โฟมหรือเจลที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้ทำความสะอาดมือของเด็กๆได้ดีด้วยเช่นกัน (แต่ต้องเช็ดเศษสกปรกที่ติดอยู่บนมือลูกด้วยไวพ์แบบธรรมดาก่อน)



2. หยิบของที่หล่นพื้น (เช่น ขวดนม จุกหลอก คุกกี้) ใส่ปากลูก ส่วนใหญ่แล้วการสัมผัสพื้นแค่เดี๋ยวเดียวไม่ใช่เรื่องที่คุณควรกังวล เพราะถ้าเป็นกรณีของการติดเชื้อหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ที่กำลังระบาดอยู่ซึ่งเป็นเชื้อไวรัส พื้นห้องก็เป็นแหล่งเชื้อโรคที่ไม่ได้มีโอกาสเสี่ยงมากไปกว่าพื้นโต๊ะหรือเคาน์เตอร์ในครัวเลย และหากเจ้าตัวเล็กได้รับเชื้อแบคทีเรียผ่านทางปาก คุณหมอเด็กจากนิวเจอร์ซีย์ก็รับรองว่า "กรดในกระพาะจะช่วยปกป้องเขาจากเชื้อส่วนใหญ่ได้ "


การเช็ดของที่หล่นพื้นกับเสื้อของคุณหรือเช็ดด้วยผ้าเช็ดหน้า จะช่วยขจัดเศษสกปรกบางส่วนออกไปได้ และเป็นวิธีทำความสะอาดที่ดี และดีกว่าการเอามา "ล้าง" ในปากคุณเสียอีก



3. ยอมให้ลูกไม่แปรงฟัน (บ้าง) คุณหมอฟันจากแคนซัสบอกมาว่า ถึงเด็กๆจะไม่ได้แปรงฟันให้สะอาดติดต่อกันสัก 1-2 วัน (หรือคืน) ก็ไม่ได้ทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงอะไร แต่อย่ายอมให้นานกว่านั้นเชียว! และในวันที่ลูกไม่ยอมใช้แปรงสีฟัน คุณก็ต้องคิดทบทวนดูว่าลูกกินอะไรก่อนถึงเวลาเข้านอนบ้าง เพราะถ้าเด็กๆกินอาหารที่เป็นสาเหตุหลักของฟันผุอย่างเช่น คาร์โบไฮเดรตหรืออาหารที่มีความเป็นกรด ก็จำเป็นต้องแปรงฟันให้สะอาดก่อนเข้านอน แต่เด็กบางคนก็ฟันผุง่ายเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นถ้าลูกอุดฟันแล้วก็ต้องแปรงฟันเช้าและก่อนนอนทุกวัน ถ้าไม่ได้แปรงจริงๆ อย่างน้อยก็ต้องพยายามให้เขาบ้วนปากและกลั้วคอให้สะอาดก่อน เพื่อลดความเป็นกรดและทำให้เศษอาหารที่ติดฟันอยู่หลุดออกมา


4. ไม่ได้กวาดบ้านหรือดูดฝุ่น คุณหมอเด็กผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้และระบบภูมิคุ้มกันจากเคนทักกีเห็นว่า "ผมว่าพ่อแม่มักกังวลกับเรื่องฝุ่นกันมากเกินไปหน่อย แต่ฝุ่นที่เรามองเห็นได้ด้วยตาเปล่าไม่ใช่ตัวกระตุ้นที่จะทำให้เด็กๆเป็นโรคภูมิแพ้หรือหอบหืดหรอกนะครับ" เพราะสาเหตุที่แท้จริงคือไรฝุ่นและอนุภาคอื่นๆที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สิ่งเหล่านี้มักสิงสถิตอยู่ตามพรม ที่นอน หมอน มุ้ง และผ้าหุ้มเบาะเฟอร์นิเจอร์ การคลุมที่นอนและหมอนด้วยผ้าคลุมกันไรฝุ่น ซึ่งเดี๋ยวนี้หาซื้อได้ทั่วไปแล้ว และใช้ผ้าปูที่นอนโดยใช้โปรแกรมน้ำร้อนสัปดาห์ละครั้ง จะช่วยควบคุมปริมาณสารก่อภูมิแพ้เหล่านั้นได้


นอกจากนี้การไม่ดูดฝุ่นบ้านยังอาจกลายเป็นเรื่องดีที่คุณคาดไม่ถึง เพราะคุณหมอคนเดิมบอกต่อว่า "การดูดฝุ่นจะยิ่งทำให้เศษละอองที่ทำให้เกิดการระคายเคือง (เช่น รังแคสัตว์และสารก่อภูมิแพ้อื่นๆ) ปลิวว่อนไปทั่วบ้านเลยละครับ" คุณหมอจึงแนะนำให้ใช้เครื่องดูดฝุ่นรุ่นที่ติดแผ่นกรองอากาสคุณภาพสูง (HEPA filter) และถ้าลูกๆเป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว ก็ต้องดูดฝุ่นตอนที่เด็กๆไม่อยู่บ้านนานสัก 2-3 ชั่วโมง สำหรับบริเวณที่มีพื้นผิวเรียบอย่างพื้นปูกระเบื้องหรือพื้นไม้ ก็ให้ใช้ไม้ถูพื้นทำความสะอาดแทน



5. ไม่เปลี่ยนน้ำในอ่างอาบน้ำที่ลูกฉี่ลงไปแล้ว คุณหมอเด็กจากฟลอริดาบอกว่า "ไม่มีเชิ้อโรคในฉี่หรอกค่ะ ฉะนั้นคุณก็ไม่ได้เอาเด็กๆ มาเสี่ยงกับเชื้อโรค เพราะไม่ได้เปลี่ยนน้ำอาบให้" ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ (ที่อาจฟังดูมักง่ายไปหน่อย!) การฉี่ในสระว่ายน้ำสาธารณะจึงสร้างความเสี่ยงต่อสุขภาพของคนในสระแต่เพียงน้อยนิดด้วยเช่นกัน


6. ใช้น้ำลายตัวเองเช็ดคราบสกปรกที่หน้าลูก แม้น้ำลายจะไม่ใช่ตัวเลือกในการทำความสะอาดที่ดีที่สุด เพราะอาจเป็นตัวแพร่เชื้อโรคได้ แต่ก็มีคุณสมบัติต่อต้านเชื้อแบคทีเรียบางอย่าง ทั้งยังช่วยปกป้องและชะล้างฟันและช่องปากของคุณด้วย คุณหมอเด็กคนเดียวกับที่รับรองเรื่องฉี่ปลอดเชื้อบอกต่อว่า "ก็เหมือนกับการจุ๊บลูกนั่นแหล่ะค่ะ...คือถ้าคุณไม่ได้ป่วยอยู่ ก็ไม่น่าต่อสุขภาพของลูกแต่อย่างไร" สรุปง่ายๆได้ว่า ถ้าคุณใช้น้ำลายเพียงเล็กน้อยเช็ดเฉพาะคราบสกปรกที่หน้าลูก (ไม่ได้เอาไปเช็ดส่วนอื่นที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากกว่านั้น เช่น เอาไปป้ายตาลูก) ก็ไม่น่าจะเป็นอันตรายแต่อย่างใด


7. ให้ลูกใช้แขนเสื้อต่างผ้าเช็ดหน้า คุณหมอเด็กเจ้าเก่าจากนิวแฮมป์เชียร์รับรองว่า "คราบแห้งกรังที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าลูกไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพแน่นอนค่ะ เพราะน้ำมูกหรือน้ำลายที่แห้งแล้วไม่อาจแพร่เชื้อได้หรอก" ถ้าคุณไม่มีกระดาษทิชชูอยู่ใกล้มือ การใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำมูกก็ยังดีกว่าการปล่อยให้มันย้อยหยดไปทั่ว โดยเฉพาะในจุดที่มีคนใช้หรือต้องสัมผัสเป็นประจำ ซึ่งอาจทำให้เชื้อโรคแพร่สู่คนเหล่านั้นได้


8. ไม่ใช้เบบี้ไวพ์เช็ดให้ลูก ตอนเปลี่ยนผ้าอ้อมที่เปื้อนฉี่ ถ้าในผ้าอ้อมมีแต่ฉี่แค่อย่างเดียว คุณก็ไม่จำเป็นต้องเช็ดด้วยเบบี้ไวพ์ทุกครั้งหรอก คุณหมอเด็กจากนิวเจอร์ซีย์คนเดิมให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า "เดี๋ยวนี้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปซึมซับได้ดีมาก ฉันว่าแทบไม่มีฉี่ค้างที่ผิวเด็กเลยล่ะค่ะ" และฉี่ก็ยังปลอดเชื้อด้วย การปล่อยให้ฉี่แค่เล็กน้อยแห้งติดผิวจึงไม่น่าจะทำให้เกิดการระคายเคือง ยกเว้นในกรณีที่ลูกมีผื่นผ้าอ้อมอยู่แล้ว (ซึ่งจะทำให้เกิดการระคายเคืองได้ง่ายขึ้น) หรือมีอึปนอยู่ในผ้าอ้อมด้วย ที่สำคัญคือ ต้องระวังเรื่องความชื้น ไม่ว่าคุณจะใช้เบบี้ไวพ์เช็ดก้ให้ลูกหรือไม่ ก็ต้องปล่อยให้เขาผึ่งลมโดนอากาศบ้าง ไม่ใช่รีบใส่ผ้าอ้อมผืนใหม่ทันที


คุณหมอเด็กจากนิวเจอร์ซีย์ให้คำแนะนำส่งท้ายว่า "พยายามอย่าคิดมากเรื่องการรักษาความสะอาดให้เด็กๆเลยนะคะ" คุณหมอเด็กและคุณแม่ลูกสามผู้นี้เคยต้องพยายามไม่ใส่ใจเมื่อเห็นเจ้าลูกชายวัยอยากลองคว้าเศษผักซึ่งหล่นอยู่ที่พื้นร้านอาหารเข้าปากน้อยๆของตัวเอง "ถ้าร่างกายคนเรา 'ไว' ขนาดนั้นจริงๆ เราคงป่วยกันตลอดเวลาแล้วละค่ะ






Create Date : 08 มีนาคม 2551
Last Update : 17 มีนาคม 2551 21:28:57 น. 0 comments
Counter : 401 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

แม่น้องแปงแปง
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]






แป๊ว แม่น้องแปงแปง






Photo Flipbook Slideshow Maker


Photo Flipbook Slideshow Maker


Photo Flipbook Slideshow Maker





Group Blog
 
<<
มีนาคม 2551
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
8 มีนาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่น้องแปงแปง's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.