7 กฎ "แหวกกรอบ" ฝึกวินัยลูกวัยป่วน





ตั้งแต่เป็นแม่ ฉันได้ตั้งกฎที่ล้มเหลวมานับไม่ถ้วน เช่น การขู่ที่ฟังดูน่ากลัวอย่าง "ถ้ายังทำเลอะโซฟาอีก ก็จะไม่ได้กินไอศกรีมในบ้านอีกเลย" หรือการไปห้ามธรรมชาติของมนุษย์อย่าง "อย่าทะเลาะกับพี่อีกนะ" ซึ่งต่างก็ล้มเหลว

และถ้าสังเกตุให้ดีจะพบว่า มีอยู่บางกฎที่เราประกาศใช้โดยไม่ต้องออกแรงเคี่ยวเข็ญอะไรมาก แต่มันกลับได้ผล เมื่อตั้งใจใคร่ครวญดูก็พบว่า กฎเหล่านั้นมักตั้งอยู่ในความสมเหตุสมผล เข้าใจง่าย ชัดเจน ที่สำคัญปฏิบัติได้จริงสำหรับลูก บางข้อฟังดูไม่เหมือนกฎด้วยซ้ำ ทั้งฉันและแม่ๆอีกหลายคนน่ะลองมาแล้ว และรับประกันว่า "เวิร์ค!"


เบื่อเต็มทีแล้วใช่ไหมที่จะต้องขัดแย้ง บ่น หรือตะโกนขอความร่วมมือจากเจ้าตัวเล็กอย่างสิ้นหวัง ถ้าเช่นนั้นมาลองทำตาม 7 เทคนิคมหัศจรรย์เหล่านี้ดู


1. "เวลาแม่ทำงาน (บ้าน) ลูกต้องอยู่ห่างๆนะ ถ้าอยากอยู่ใกล้ก็ต้องช่วยแม่ทำด้วย"


เป้าหมาย : ได้ผู้ช่วย หรือปราศจากตัวก่อกวนเวลาที่คุณกำลังยุ่ง


   ฉันไม่เคยหมดแรงเรื่องงานบ้านเลย ไม่ว่าจะซักผ้า ถูพื้น ขัดห้องน้ำ ฯลฯ แต่จะหมดแรงเอาก็เพราะลูกๆจอมยุ่งนั่นแหล่ะ ขณะที่ฉันกำลังกอบชุดชั้นในใช้แล้วกองพะเนินเพื่อเตรียมซัก เด็กๆก็จะแห่กันมาร้องให้ช่วยหาตุ๊กตาบ้างละ หาเลโก้ชิ้นที่หายไปบ้างละ ยิ่งช่วงที่มี "ลูก" เพิ่มมาเป็น 5 คน เพราะฉันและสามีได้รับเด็กมาเป็นลูกบุญธรรมชั่วคราวเป็นเวลา 2 เดือน ฉันก็เริ่มเบื่อที่จะต้องคอยบอกลูกๆ (ที่เพิ่มจำนวนขึ้น) ว่า ถ้าช่วยแม่พับผ้า อีกเดี๋ยวเดียวเราก็จะได้เล่นกัน เพราะลูกรู้ดีว่า ต่อให้คุณพับเองทั้งหมด ไม่นานคุณก็จะว่างมาเล่นกับเขาอยู่ดี เงื่อนไขแบบนั้นจึงไม่ดึงดูดใจเอาเสียเลย


   อยู่มาวันหนึ่ง ลูกสาวคนโตมานั่งมองฉันทำงานอยู่ใกล้ๆ ระหว่างที่รอให้ฉันช่วยทำอะไรบางอย่าง ฉันเลยนึกวิธีเด็ดๆ โดยนึกถึงธรรมชาติของเด็กสองข้อ


  • เด็กๆอยากอยู่ใกล้กับคุณให้มากที่สุด


  • การบังคับไม่เคยได้ผลดีทั้งกับคุณ ลูก และผลงานที่ทำ


   และแล้วฉันก็บอกลูกไปว่า ถ้าเขานั่งดูอยู่เฉยๆ ก็ไปเล่นที่อื่นซะ ให้เขาเลือกว่าจะอยู่กับแม่และช่วยพับผ้า หรือไม่ได้อยู่กับแม่เลย แล้วเธอก็เลือกอย่างแรก



ทำไมถึงได้ผล : เพราะมันทำให้ลูกรู้สึก (เหมือน) ได้เลือกเอง แต่ที่แท้จริง ทางเลือกของเขาได้อันตรธานไปตั้งแต่แม่ยื่นข้อเสนอแล้วละ เรียกว่าเนียนแบบเหนือเมฆยังไงล่ะ


2. "หลังสองทุ่มแม่ปิดสวิตซ์ละนะ"



เป้าหมาย : ลูกๆได้นอนตรงเวลา และคุณก็ได้พักกับเขาบ้าง จู่ๆคุณคงไม่ลุกขึ้นมาประกาศต่อหน้าสามีและลูกๆว่า "รีบนอนกันให้เรียบร้อยนะ แม่จะได้พักผ่อนบ้าง" มันคงไม่มีทางเป็นจริงได้แน่ อย่างนั้นลองพลิกคำพูดดูหน่อย ไม่ใช่การสั่งว่าทุกคนต้องทำอะไร แต่ประกาศกฎที่คุณเองจะต้องทำ ความเข้าที่เข้าทางอาจเกิดขึ้นราวปาฏิหาริย์



ตอนนั้นลูกคนโตอายุ 6 ขวบ ส่วนคนสุดท้องเกือบจะ 2 ขวบ ฉันบอกพวกเขาว่า วันนี้กระทรวงแรงงานและสวัสดิการแห่งชาติได้ประกาศกฎใหม่ว่า แม่ทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานใดๆทั้งสิ้นหลังสองทุ่มไปแล้ว แต่แม่ยินดีที่จะอาบน้ำให้ลูกๆ อ่านนิทาน และเล่นกันก่อนนอน ฉันวางท่าทีราวกับเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เหมือนซินเดอเรลลาที่ต้องกลับบ้านก่อนเที่ยงคืนให้ทัน


แล้วจู่ๆทั้งลูกและสามีก็ปรับตัวเข้ากับตารางเวลานอนใหม่ได้รวดเร็วอย่างน่าประหลาดใจ บางครั้งกินข้าวเย็นเสร็จ ลูกก็เตรียมเข้านอนเลยด้วยซ้ำ เพราะอยากมีเวลาอ่านนิทานหรือเล่นกันเยอะๆก่อนจะถึงเวลา "เบรค" ของแม่


ส่วนสามีก็ตระหนักว่า หากปล่อยให้สนุกเพลินเกินสองทุ่ม เขาคนเดียวที่จะต้องเอาลูกเข้านอน จึงให้ความร่วมมืออย่างดี ตอนนี้ลูกสาวคนโตอายุ 11 ขวบแล้ว แม้เวลานอนจะเลื่อนเป็นดึกขึ้น แต่ทุกคนก็ตระหนักดีว่าแม่อย่างฉันไม่ได้เป็นเซเว่น-อีเลฟเว่นที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง (นะยะ)


ทำไมถึงได้ผล : คุณไม่ได้แสดงบท "จอมบงการ" กับใคร คุณแค่มีกฎจะต้องทำตามอย่างเคร่งครัด และจะได้ไม่ต้องโทษใคร ถ้าเราหละหลวมเอง


3. "ได้อะไรก็จงพอใจและอย่าตีโพยตีพาย"



เป้าหมาย : ลาทีศึกช่วงชิงโดนัทอันที่โรยไอซิ่งมากกว่าศึกชิงถ้วยนมที่มีรูปแฮร์รี่ พอตเตอร์ หรือ "ถ้าจะให้เล่น หนูต้องสวมมงกุฎเหมือนกัน"


blockquote> เพื่อนคนหนึ่งของฉันเป็นคุณครูใหญ่โรงเรียนอนุบาลในละแวกบ้าน เธอแนะเราถึงวิธีน่าอัศจรรย์ ที่ตอนนี้เพื่อนหลายคนนำไปใช้กับลูกทั้งในและนอกบ้าน นอกจากจะเป็นคำพูดที่ง่ายและดูมีจังหวะจะโคนแล้ว มันยังสอนเด็กๆให้ตระหนักถึงความจริงที่ว่า "ชีวิตไม่ได้แฟร์ไปเสียทุกเรื่อง" ได้อย่างดี แค่เอาสองประโยคมาเชื่อมกัน ประโยคแรกสื่อว่า ของบางอย่างเราก็เลือกเองไม่ได้ ส่วนประโยคที่สองสอนว่า การตอบสนองที่ดีที่สุด (ต่อสิ่งที่เลือกไม่ได้) คือนิ่งไว้จะดีกว่า

blockquote> แรกๆฉันก็รู้สึกว่า พูดแค่นี้มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือ แต่เมื่อทำแล้วก็พบว่า มันไม่ได้แค่ทำให้เด็กสงบลง แต่มันทำให้พวกเขาคิดได้เองว่า วันนี้แม่บอกให้เขารู้จักพอใจ ในวันพรุ่งนี้คนอื่นๆก็จะต้องยอมสงบเหมือนกัน


ทำไมถึงได้ผล : เพราะมันเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ลง เหมือนเป็นคาถาที่คนยุคไหนก็ต้องยอมจำนน ได้ผลกว่าการถกเถียงเรื่องนามธรรมอย่าง "ความยุติธรรม" ที่ดูจะไม่จบสิ้น ยิ่งพูดขณะเกิดสถานการณ์ ยิ่งเห็นภาพ

4. "ค่อยไปร้องเต้นกันบนรถนะจ๊ะ"



เป้าหมาย : ความสงบเงียบ โดยเฉพาะในภาวะฉุกเฉิน

blockquote> เคยไหมเวลาที่ต้องใช้สมาธิสุดขีด ขณะที่มีเสียงเพลงเจื้อยแจ้วแสบหูดังอยู่ข้างๆอย่างต่อเนื่อง "สตรอว์เบอร์รี่หนึ่งลูก แล้วก็...สตรอว์เบอร์รี่สองลูก แล้วก็...สตรอว์เบอร์รี่สามลูก..." ซ้ำไปซ้ำมาอยู่นั้น ถ้ามีสตรอว์เบอร์รี่อยู่แถวนั้นจริงๆ คงอยากขยำให้เละไปเลยเดี๋ยวนั้น

blockquote> ฉันเองก็อยากได้ยินเสียงเซ็งแซ่แห่งความสุขของลูกนะ เพียงแต่ในบางจังหวะบางสถานการณ์มันก็ทำให้ฉันรู้สึกตกอยู่ในฐานะ "เหยื่อ" เหมือนกัน จนตบะแตกต้องตะโกนห้ามหรือดุออกไปขณะที่พวกเขากำลังสนุกสนาน อย่างเช่นเวลาที่ฉันกำลังคุญโทรศัพท์เรื่องสำคัญอยู่นั่นไง

blockquote> ฉันลองแก้ไขเหตุการณ์โดยให้ความสนใจพวกเขาสักครู่หนึ่ง แล้วจึงบอกพวกเขาด้วยท่าทีสงบว่า ถ้าอยากจะตีเกราะเคาะกลองต่อเต็มที่ให้รอเอาไว้ตอนขึ้นรถก่อน ยังไม่ใช่ตรงนี้ตอนนี้ ทั้งยังใช้วิธีเดียวกันนี้เวลาที่เขาหวีดร้องหรืออารมณ์ขึ้นที่ไหนสักแห่งด้วย

blockquote> ลูกชายจอมวีนวัย 4 ขวบของเพื่อนฉันก็ชอบใช้เสียงหวีดร้องคร่ำครวญ เพื่อเรียกความสนใจอยู่บ่อยๆจนเธอต้องพูดว่า "ไว้ลูกพร้อมที่จะพูดดีๆเมื่อไร แม่ก็จะพร้อมฟังเมื่อนั้น" แล้วเดินจากห้องนั้นไป


ทำไมถึงได้ผล : เพราะมันเป็นการให้ทางเลือกมากกว่าจะห้ามให้หยุดโดยสิ้นเชิง และไม่ได้บ่งบอกว่าคุณต่อต้านในสิ่งที่เขาทำ

5. "เราจะไม่เถียงกันเรื่องเงิน"


เป้าหมาย : ยุติการขอนู่นนี่อย่างพร่ำเพรื่อของลูก


blockquote> กฎนี้ต้องใช้อย่างสม่ำเสมอ หลักการพื้นฐานคือ คุณบอกลูกว่า "ได้" หรือ "ไม่ได้" เมื่อถูกลูกกวนให้ซื้อนู่นนี่ แต่จะไม่อธิบายถกเถียงกันยืดยาวถึงเหตุผล ถ้าลูกประท้วง เพียงแต่ย้ำคำเดิมอย่างสงบนิ่งประดุจนักพรตผู้ทรงศีลว่า "เรื่องนี้เราจะไม่ทะเลาะกัน" กุญแจแห่งความสำเร็จคือ คุณต้องเชื่อมั่นว่าได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว และไม่ใช้อารมณ์เด็ดขาด ทำอย่างเดียวคือย้ำคำเดิมอย่างเยือกเย็น


blockquote> วิธีนี้นำไปสู่ประโยชน์สองประการคือ ในอนาคตเมื่อลูกใช้จ่ายเงินของเขาเอง วิธีการของคุณจะช่วยให้เขารู้จักคิดและเลือกอย่างคุ้มค่า (และในวันนี้ไม่ว่าคุณจะยอมหรือไม่ยอมซื้อให้ ควรแนะนำหรืออธิบายให้ลูกฟังถึงวิธีเลือกอย่างฉลาดด้วยก็จะดี) ประโยชน์อีกประการก็คือ ลูกอาจเลือกถูกบ้างผิดบ้างในวันนี้ แต่ท้ายสุดเขาก็จะเรียนรูถึงการยับยั้งชั่งใจเอง การช็อปปิ้งกับลูกน้อยจะสนุกขึ้นมากโขทีเดียว


ทำไมถึงได้ผล : เพราะมันเบี่ยงความสนใจจากการร้องเพื่อจะเอา (ของเล่น ขนม ฯลฯ) ให้ได้ มาเป็นเรื่องของนโยบายการเงินแทน ไม่ต้องมาสาธยายว่า ทำไมไม่ควรกินหมากฝรั่ง ทำไมถึงควรพอได้แล้วสำหรับของเล่นกิ๊กก๊อกที่ทำจากพลาสติก และปลูกสำนึกลูกในเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งคือ การจับจ่ายของครอบครัว


6. "แม่ฟังไม่เข้าใจสักนิด เวลาหนูตะโกนแบบนั้น"


เป้าหมาย : หยุดการหวีดร้อง ตะโกน หรือคำพูดหยาบคาย

blockquote> ข้อนี้ต้องใช้ความสม่ำเสมอและเคร่งครัดยิ่งขึ้นไปอีกจึงจะได้ผล วิธีการไม่ยาก แค่ประกาศออกไปเลยว่า คุณไม่เข้าใจ เวลาที่ลูกสั่ง (มากกว่าการ "ขอ" ดีๆ) หรือทำพฤติกรรม เช่น หวีดร้อง หรือพูดแข็งกระด้างแบบที่คุณไม่ชอบ การกระซิบกลับช่วยลดดีกรีสถานการณ์ร้อนๆให้เย็นลงได้ พูดคำเดิม 2-3 ครั้งอย่างใจเย็น ห้ามหลุด "วอลุ่ม" เป็นอันขาด จอมวีนตัวน้อยของคุณกำลังต้องการความสนใจและต้นแบบที่ดี วิธีนุ่มนวลนี้ใช้ได้ทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน


ทำไมถึงได้ผล : ลูกได้เรียนรู้ว่ามีวิธีการพูดดีๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ และเป็นการแสดงออกอย่างชัดแจ้ง (แต่ไม่ต้องเสียแรงมาก) ว่า คุณไม่ยอมรับพฤติกรรมที่ไม่สุภาพไม่ว่าจะในกรณีใด

7. "ความเบื่อไม่มีในโลกหรอก"


เป้าหมาย : ให้ลูกหยุดพร่ำบ่นแต่คำว่า " เบื่อ " และรู้จักหาวิธีให้ตัวเองสนุกสนานเพลิดเพลิน

blockquote> นี่เป็นอีกข้อหนึ่งที่เพื่อนของฉันที่เป็นคุณพ่อแนะนำมา เขาเล่าว่า ครั้งแรกที่ลูกสาวบ่นว่าเบื่อ เขาพูดออกไปว่า ความเบื่อไม่มีอยู่จริง และเดี๋ยวนี้จะเติมไปอีกนิดคือ "คนที่ไร้จินตนาการ..." หรือ "คนสมองเฉื่อยชาเท่านั้นแหล่ะที่จะเบื่อได้" น่าประหลาดที่ลูกไม่เคยโต้กลับว่า "ก็มันเบื่อมากจริงๆนี่" มีแค่คำอุทานอย่าง "พ่อ...อะ" แค่นี้ความฮาก็ส่งตรงถึงลูกทันใด ลูกหายเบื่ออย่างที่คุณต้องการได้ทันที


ทำไมถึงได้ผล : แค่นั่งใคร่ครวญว่าสิ่งที่มีอยู่จะไม่มีอยู่ในเวลาเดียวกันอย่างที่พ่อพูดได้อย่างไร ความเบื่อก็ได้หายไปแล้ว คุณยังไม่ต้องเผชิญการต่อรองอย่าง "ต้องเอาของเล่นมาให้หนู ไม่อย่างนั้นก็ยอมให้ดูทีวีซะดีๆ" ทั้งยังช่วยให้ลูกได้เรียนรู้ที่จะอยู่ที่ใดก็ได้อย่างเพลิดเพลิน ท้ายสุดเขาจะรู้เองว่า ความเบื่อไม่มีในโลกจริงๆ ของขวัญชิ้นนี้จะมีค่าสำหรับลูกรักไปตลอดชีวิตไปทีเดียว






Create Date : 07 มีนาคม 2551
Last Update : 8 มีนาคม 2551 19:53:09 น. 0 comments
Counter : 373 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

แม่น้องแปงแปง
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]






แป๊ว แม่น้องแปงแปง






Photo Flipbook Slideshow Maker


Photo Flipbook Slideshow Maker


Photo Flipbook Slideshow Maker





Group Blog
 
<<
มีนาคม 2551
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
7 มีนาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่น้องแปงแปง's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.