หินยักษ์เดินได้
รูปปั้นหินขนาดยักษ์ของชาวโพลินีเซีย บนเกาะอีสเตอร์ ที่มีขนาดเกาะ 163 ตารางกิโลเมตร (หรือเนื้อที่ประมาณ 101,875 ไร่) มีขนาดน้ำหนักมากที่สุด 74 ตันและสูงกว่า 10 เมตร อาจจะเพียงแค่ "เดิน" ออกจากเหมืองหิน ตามทฤษฎีวิพากษ์ใหม่ที่แสดงให้เห็นว่า ร่างมนุษย์เสาหินขนาดยักษ์ ถูกเคลื่อนย้ายไปยังทุกจุดของเกาะ
รูปแบบของการทดลองทางโบราณคดี ที่ประกอบด้วยทีมงานท้องถิ่น และนักวิจัยสหรัฐได้แสดงให้เห็นว่า รูปปั้นขนาดใหญ่ที่รู้จักกันในนามว่า MOAI สามารถเคลื่อนย้ายจากทางด้านข้าง ด้วยคนจำนวนเล็กน้อยเช่นเดียวกับวิธีการย้ายตู้เย็น
" พวกเราสร้างได้สร้างแบบจำลองสามมิติ ตามแบบอย่างรูปแบบเดิมหนักขนาด 4.35 ตัน เลียนแบบรูปปั้นที่มีอยู่แต่เดิมแล้ว และแสดงให้เห็นว่าการวางตำแหน่งตรง จุดศูนย์กลาง(ศูนย์ถ่วง) ของรูปปั้น ปล่อยให้มันขยับไปข้างหน้า และแกว่งจากด้านหนึ่งไปอีกด้าน ทำให้รูปปั้นเดินได้ " Carl Lipo นักโบราณคดีจาก มหาวิทยาลัยรัฐแคลิฟอร์เนียลองบีช กับเพื่อนร่วมงาน Tery Hunt จากมหาวิทยาลัยฮาวาย ในฮอนโนลูลู ได้เขียนบทความลงในวารสารวิทยาศาสตร์โบราณคดี The Statues That Walked
ผลการวิเคราะห์ ไม่มีมนุษย์ต่างดาวมาเยี่ยมเกาะอีสเตอร์
รูปปั้นขนาดยักษ์จำนวนเกือบ 1,000 รูป ที่ยืนตระหง่านอยู่บนระยะไกลที่ Rano Rarakuซึ่งเป็นชื่อพื้นเมืองของเกาะอีสเตอร์ มีขนาดความสูงตั้งแต่ 6 ถึง 33 ฟุต รูปจำลองหินร่างมนุษย์จะมีรูปร่างลักษณะ ส่วนบนของหินจะมีหัวขนาดใหญ่ ใบหูยาวและเม้มริมฝีปาก
นักวิชาการหลายนายได้ถกเถียงกันมานานแล้วว่า รูปปั้นขนาดหลายตันเหล่านี้จะถูกย้ายจากเหมืองหิน ใน Rano Raraku ที่เป็นภูเขาไฟที่ดับแล้ว โดยพวกมันจะถูกแกะสลักขึ้นมา แล้วขนย้ายผ่านเส้นทางภูมิประเทศ ที่ขรุขระของเกาะมาได้อย่างไร
แม่ว่าจะมีข้อเรียกร้องมากมายหลายเรื่อง ตั้งแต่เรื่องการเข้าไปแทรกแซง/ รบกวนเป็นกรณีพิเศษกับรูปปั้นในแหล่งกำเนิด อย่างไรก็ตามนักโบราณคดีส่วนใหญ่ ยอมรับว่ารูปปั้นหินขนาดมหึมาที่ถูกย้าย โดยการเลื่อนไถลพวกมันมาตามท่อนซุง ในการทำเช่นนี้กับรูปปั้น Rapa Nui คนพื้นเมืองบนเกาะ จะต้องทำลายไม้ในป่าจนหมดเกาะ จึงจะำนำไม้มาใช้งานดังกล่าวได้
อย่างไรก็ตามทีมของ Carl Lipo ได้เสนอหลักฐานใหม่ที่ท้าทายว่า " พัฒนาการที่ยาวนานของ การทำลายสิ่งแวดล้อมของคน และการล่มสลายของประชากร ก่อนการติดต่อกับพวกคนยุโรป " แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีเบาะแส หรือร่องรอยถึงวิธีการขนย้ายหินยักษ์มาก่อน จากการสรุปเปรียบเทียบของพวกเขาว่า วิศวกรการบินสามารถอธิบาย เกี่ยวกับเรื่องการบินได้ แต่คุณคงไม่ต้องการให้ ใครก็ได้มาขับเครื่องบินให้กับคุณ
นักวิจัยได้ตรวจสอบการที่รูปปั้น ถูกนำมาวางไว้ในตำแหน่งหลากหลาย ที่ประสบความสำเร็จบนพื้นที่รอบเกาะและที่อื่นๆ บนเกาะ จะอยู่รอบ ๆ ด้านข้างของถนนของเกาะ โดยวางรูปปั้นในแบบการวางสุ่มอย่างเห็นได้ชัด
เหตผลของ Carl Lipo คือ การที่วางตำแหน่งของ MOAI ไม่ถูกต้องสมบูรณ์เป็นระเบียบบนถนน แสดงให้เห็นว่าพวกมันบางส่วนล้มลงมา จากตำแหน่งที่ตั้งให้ยืนขึ้นไว้ ทำให้มันไม่สอดคล้องกับทฤษฎีที่ว่า พวกมันถูกกลิ้งมาบนท่อนไม้ซุง
"รูปปั้นส่วนมากที่พบ จะมีร่องรอยว่าหน้าคว่ำลง เมื่ออยู่บนถนนลาดลงเนิน และพวกมันจะมีร่องรอยว่า จะหงายหลัง เมื่ออยู่บนทางขึ้นเนิน"
เพื่อทดสอบสมมติฐานดังกล่าว Carl Lipo และเพื่อนร่วมงาน ได้สร้างรูปปั้นคอนกรีตขึ้นมา ขนาดหน้ำหนัก 4.35 ตัน ซึ่งพวกเขากล่าวว่า "ใช้แบบจำลองปรับตามสัดส่วน ที่ถูกต้องของรูปปั้น MOAI ที่เป็นรูปจริงและเหมาะสม สำหรับการเคลื่อนย้าย "
แล้วพวกเขาทำการทดสอบ การเคลื่อนไหวบนเส้นทางตรง ที่ไร่ Kualoa ในฮาวาย
พร้อมกับร้องเพลง "้heave- ho" ทีมงาน 18 คนได้จัดการ ให้รูปปั้นยักษ์เดินได้ ด้วยเชือกป่านสามเส้นดึงรั้งไว้ทั้งสามด้าน
ผลการวิเคราะห์ ชาวเกาะอีสเตอร์รักษาโรคอัลไซเมอร์หรือไม่ ? หมายเหตุ เป็นการเล่นคำว่าถ้าคนเราถูกเชือกผูกสามเส้นรอบหัว โอกาสจะหลง ๆ ลืม ๆ ไม่ทำตามคำสั่งคงเป็นไปไม่ได้ เชือกป่านเส้นหนึ่งจะถูกผูกติด ที่ด้านหลังบนที่อยู่ด้านบนของหัวเหนือลูกตา เพื่อป้องกันไม่ให้รูปปั้นล้มไปทางด้านหน้า ส่วนเชือกป่านอีกสองเส้นผูกติด กับตำแหน่งเดิมที่ดวงตา ด้วยการผ่อนรั้งให้เชือกป่านหย่อนหรือตึกทั้งสองข้าง และดึงสลับไปมาเหมือนการเดินแฟชั่นของหินรูปปั้น
Carl Lipo กล่าวว่า " เชือกแต่ละเส้นทำให้รูปปั้นก้าวย่างได้ ภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง รูปปั้นเดินทางได้ถึง 100 เมตร " ซึ่งมีความเป็นไปได้สำหรับการขนย้าย ด้วยวิธีการนี้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยประชากรชาวเกาะจำนวนไม่มากนัก ในช่วงว่างเว้นจากภาระกิจงานประจำวันแล้ว
เป็นวิธีการใหม่ที่แตกต่างกับพัฒนาการ ที่นิยมกันว่าใช้ล้อเลื่อนกลิ้ง หรือการเลื่อนของต้นไม้ มีหลักฐานแสดงว่ารูปปั้น MOAI ใช้หลักวิศวกรรมโดยเฉพาะเพื่อการเดิน รูปปั้นในตำแหน่งที่ตั้งตรง ทำให้เดินได้ด้วยใช้เชือก แรงงานมนุษย์ และการทำให้ทางเดินสะดวกเท่านั้น" นักวิจัยกล่าวสรุป
พวกเขาสังเกตและพบว่า วัสดุสำหรับการผลิตเชือก มีความอุดมสมบูรณ์ทั่วไปบนเกาะ เริ่มตั้งแต่พวกเขาทำจากเชือก จากไม้พุ่มยืนต้น ดังนั้น "การทำรูปปั้นและการขนส่งแบบนี้ จึงไม่อาจเชื่อมโยงไปถึงการตัดไม้ทำลายป่า"
"พยานหลักฐานหลายแห่ง ที่ประกอบด้วยหลักวิศวกรรม ที่แยบยลเพื่อทำให้รูปปั้นเดินได้ เป็นการชี้ชัดว่า ชาวเกาะอีสเตอร์ มีประวัติศาสตร์ความสำเร็จที่น่าทึ่ง ในสถานที่ไม่น่าจะเหมาะสมที่สุด" พวกเขาให้ข้อสรุปไว้
ที่มา
//news.discovery.com/history/easter-island-statues-walked-121025.html //www.nature.com/news/easter-island-statues-walked-out-of-quarry-1.11613
การขนย้ายแบบทฤษฏีเดิม มีการคัดค้านและโต้แย้งจากAnne Van Tilburg ผู้อำนวยการ สถาบันโครงการรูปปั้นของอีสเตอร์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย , ลอสแองแจลลิส Director of the Easter Island Statue Project at the University of California, Los Angeles " รูปร่างของรูปปั้นและแบบของทีม Carl Lipo ไม่ได้สัดส่วนและถูกต้องเหมือนสำเนารูปั้น MOAI " ดังนั้น ข้อสรุปใด ๆ ที่ได้มา อาจจะไม่เกี่ยวข้องกันเลย เพราะการสร้างรูปปั้นยักษ์ควรมีความเป็นอิสระ จากบริบททางโบราณคดี และควรคิดว่า เวลาที่คุณทำสิ่งใด ที่คุณใส่ใจ ควรพิจารณาว่ามันเป็นเรื่องจินตนาการ และนอกเหนือจากเกณฑ์วัดทางวิทยาศาสตร์ Anne Van Tilburg และทีมงานได้แสดงให้เห็นว่า MOAI สามารถเคลื่อนย้ายด้วยการใช้ไม้และล้อเลื่อน
แต่ทั้งนี้ Carl Lipo ยังยืนยันเหมือนเดิมว่า รูปปั้นดูเหมือนมีไว้สำหรับเดิน ศูนย์กลางของรูปปั้นอยู่กึ่งกลาง ทั้งแนวตั้งและแนวนอน ตำแหน่งเอนไปข้างหน้าเล็กน้อย ให้ได้ศูนย์บนแกนจากด้านหน้าไปด้านหลัง ทำให้มันง่ายที่จะพลิกรูปปั้นหินให้กลับไปกลับมาได้ง่าย นอกจากนี้การที่รูปปั้น มีหัวที่ค่อนข้างกว้างและยาว ทำให้พวกมันมีเสถียรภาพเวลาเดิน "ทำไมมันเจ๋งอย่างนี้ รูปร่างของหินยักษ์ได้สะท้อนให้เห็นถึง วิศวกรรมที่แท้จริงของคน Rapa Nui พวกเขาได้สร้างสิ่งเหล่านี้ให้ทำแบบเช่นนี้ "
ภาพประทับใจที่ยั่งยืนของคนทั่วไป คือ หัวลึกลับบนเกาะอีสเตอร์ ที่มีแต่หัวคนขนาดยักษ์ แต่แล้วมันเป็นเรื่องค่อนข้างตกใจ/แปลกใจ เมื่อมีการค้นพบและมีมุมมองใหม่เกิดขึ้นว่า ภายใต้หัวคนขนาดยักษ์ พบว่าด้านล่างของหัวคนขนาดยักษ์ มีส่วนของร่างกายยื่นลงไปอีกหลายฟุต ลงไปที่พื้นดินของเกาะอีสเตอร์ ผู้อำนวนการโครงการ Jo Anne Van Tilburg กล่าวว่า โครงการรูปปั้นบนเกาะอีสเตอร์ ที่ได้รับอนุญาตให้ทำการขุดแต่งจำนวนสองรูป ได้รับการขุดแต่งอย่างระมัดระวัง ในการขุดค้นพบหลักฐานว่า รูปปั้นจำนวนสองรูปที่สูงประมาณ 7 เมตร ที่บางทีนักท่องเที่ยวนับหลายร้อยคน หรือบางทีนักท่องเที่ยวนับหมื่นคน ที่มาเยี่ยมเยือนเกาะอีสเตอร์แห่งนี้ ยังไม่เคยพบเห็นหรือรู้เรื่องดังกล่าวนี้ จะต้องประหลาดใจที่รู้เรื่องนี้ แน่นอน นอกจากจะเห็น เพียงแต่หัวรูปปั้นคนของเกาะอีสเตอร์ ยังมีส่วนของร่างกายอยู่ด้านล่างด้วย เรื่องที่สำคัญมากกว่านั้นคือ พวกเราค้นพบ การบริหารจัดการที่เยี่ยมยอด/ยิ่งใหญ่ เกี่ยวกับเทคนิคทางวิศวกรรมแบบโบราณของ Rapa Nui นอกเหนือไปจากนั้นทีมงานยังค้นพบอีกว่า สิ่งสกปรกและเศษซากบางส่วน ก่อนที่จะฝังรูปปั้นหัวคนขนาดยักษ์ บริเวณด้านบนจะถูกทำความสะอาดให้เรียบร้อยก่อน เพื่อไม่ให้มีการหลงเหลืออยู่ในที่บริเวณนั้นก่อน ที่จะทำการกลบฝัง ตรวจสอบ หรือ อำนวยความสะดวก ในด้านการบริหารจัดการรูปปั้นหัวคน รูปปั้นเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นในแหล่งหิน แล้วนำมาวางให้ยืนบนทางเท้า หลุมตั้งเสาหินจะถูกเจาะลงไปในชั้นหินดินทรายเพื่อเป็นฐานราก โดยการช่วยค้ำยันให้ตรงจากลำต้นของต้นไม้ เชือกใช้งานต่าง ๆ เพื่อกำหนดทิศทาง มีร่องรอยถูกตัดทิ้งลงในฐานรากรอบ ๆ หลุมตั้งเสาหิน เสาหิน(รูปปั้นหัวคน) เชือก, หินต่าง ๆ และอุปกรณ์ประเภทต่าง ๆ ของเครื่องมือหิน ถูกนำมาใช้ในงานนี้ทั้งหมด ในการแกะสลักรูปปั้นและการยกรูปปั้นให้ตั้งตรง เกาะอีสเตอร์เป็นเกาะที่ห่างไกล หนึ่งในเกาะที่ห่างไกลในโลก ได้ซุกซ่อนตัวเองอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ เกาะที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านของชาวโปลีนีเซีย ซึ่งเป็นกลุ่มชนที่ยังคงความลึกลับในประวัติศาสตร์ ดูเหมือนว่าพวกเขามีแนวโน้มแล่นเรือไปยังเกาะด้วยเรือแคนู ด้วยระยะทาง 1,500 ไมล์ เดินทางผ่านเหนือน่านน้ำ และแล้วเมื่อ พวกเขาขึ้นฝั่งได้ ก็เริ่มลงมือแกะสลักรูปปั้นหินยักษ์อย่างไม่ท้อถอย เรื่องนี้นำไปสู่ความหายนะของพวกเขาเอง เมื่อตอนที่ชาวยุโรปค้นพบเกาะนี้ในข่วงปี 1700 ชาวเกาะได้ตัดโค่นต้นไม้ใหญ่เกือบหมดทั้งเกาะแล้ว เพื่อช่วยในการก่อสร้างรูปปั้น และทำให้เกิดผลกระทบในระบบนิเวศวิทยาของเกาะ นำไปสู่การเสื่อมโทรมของเกาะอีสเตอร์ ที่มาจากการกระทำของพวกเขาเองทั้งสิ้น ทีมงานยังค้นพบว่ามีพิธีกรรมหลายอย่าง ที่มีความสัมพันธ์กับรูปปั้นหัวคนอย่างแน่นอน บนเว็บไซต์ของโครงการดังกล่าว Jo Anne Van Tilburg กล่าวว่า เราพบเม็ดสีแดงในปริมาณมาก บางส่วนของเม็ดสีนี้ที่อาจจะใช้ ในการขีดเขียนบนรูปปั้น หรือพิธีกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับรูปปั้น และแล้วในที่สุดและอาจจะเป็นเรื่องที่ปวดร้าวที่สุด เราพบว่าหินรองรับด้านล่างของทางเท้า ที่เป็นที่วางรูปปั้นหินแกะรูปหนึ่ง ที่ได้ฝังหรือจมลงในพื้นดินแล้ว มีการแกะสลักสัญลักษณ์รูปพระจันทร์เสี้ยว ที่มีความหมายถึงการเป็นตัวแทนเรือแคนู หรือ vaka รวมทั้งด้านหลังของรูปปั้นหัวคนทั้งสองรูป ที่ได้รับอนุญาตให้ขุดแต่ง) จะเต็มไปด้วยร่องรอยการแกะสลักลวดลายหลายแห่ง ลวดลายเหล่านี้ต่างคือ Vaka ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างสัญลักษณ์ vaka หรือการระบุตัวตนศิลปินที่ทำการแกะสลัก หรือกลุ่มที่เป็นเจ้าของรูปปั้น ได้แนะนำให้ทำร่องรอย/ลวดลายไว้ ที่มา
Create Date : 05 พฤศจิกายน 2555
2 comments
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2557 17:30:04 น.
Counter : 1465 Pageviews.