บูชา ๒
การบูชานี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงต่อภิกษุทั้งหลาย ในบาลีที่มานั้น ทรงแสดงว่า การบูชา มี ๒ คือ อามิสบูชา และ ธรรมบูชา (ปฏิบัติบูชา)
คำว่า อามิส ในที่นี้ ได้แก่ปัจจัย ๔ วัตถุ ๑๐ และอารมณ์ ๖
ตามพระวินัย ปัจจัย ๔ ได้แก่ เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค อันบุคคลให้ หรือถวายแก่บุคคลที่ควรบูชา เช่น พระพุทธเจ้า พระสงฆ์ และบิดามารดา เป็นต้น หรือถวายบูชาแก่สถานที่ที่ควรสักการะบูชา เช่น พระสถูปบรรจุพระธาตุ และต้นโพธิ์ เป็นต้น
ตามนัยพระสูตร วัตถู ๑๐ คือ ข้าว น้ำ ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ดอกไม้ ยานพาหนะ เครื่องลูบไล้ ของหอม เครื่องนอน และเครื่องให้แสงสว่าง
ตามนัยพระอภิธรรม อารมณ์ ๖ คือ ให้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธัมมารมณ์
ธรรมบูชา หรือปฏิบัติบูชา ได้แก่ การรักษาศีล และการเจริญภาวนา อันมีปุพพภาคปฏิปทาเป็นเบื้องต้น (บุพพ = เบื้องต้น, ปฏิปทา = ทางดำเนิน, ความประพฤติ) มรรคผลเป็นท่ามกลาง นิพพานเป็นที่สุด
พระพุทธเจ้าทางแสดงอานิสงส์ของการบูชาทั้งสองอย่างนี้ไว้โดยสรุป คือ อามิสบูชามีความเป็นที่รักของผู้ได้รับการบูชา กิตติศัพท์อันดีย่อมฟุ้งไป และตายแล้วย่อมไปสุคติโลกสวรรค์ เป็นต้น เรื่องอานิสงส์ของอามิสบูชา ทรงแสดงไว้ว่า...
... พึงสร้างพระสถูปของพระตภาคตไว้ในทางใหญ่ ๔ แพร่ง ซึ่งชนเหล่าใดจักยกขึ้นซึ่งมาลัย ของหอม หรือจุณ จักอภิวาท หรือจักยังจิตให้เลื่อมใสในพระสถูปนั้น ข้อนี้จักเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขตลอดกาลนาน
ส่วนธรรมบูชา หรือปฏิบัติบูชา ได้รับการสรรเสริญมากกว่า เพราะมีผลดีต่อผู้บูชาโดยตรง คือจักพ้นจากทุกข์ได้ ดังจะเห็นได้จากหลังปลงพระชนมายุสังชาร พวกเทวดาพากันบูชาด้วยของทิพย์ ทั้งดอกไม้และดนตรีทิพย์ เป็นต้น พระองค์กลับตรัสกับพระอานนท์ว่า...
ดูก่อนอานนท์ พระตถาคตจะเชื่อว่าอันบริษัทสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม ด้วยเครื่องสักการะ ประมาณเท่านี้หามิได้ แต่ผู้ใดแล ไม่ว่าจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรืออุบาสิกา เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตามธรรมอยู่ ผู้นั้นย่อมชื่อว่า สักการะ เคารพ นับถือ บูชาเรา ด้วยการบูชาอย่างยิ่ง
การบูชาด้วยธรรม หรือการปฏิบัติบูชานี้ เป็นเช่นเดียวกับที่ตรัสให้ภิกษุทั้งหลายเป็นธรรมทายาท คือจงเป็นผู้รับเอาธรรมที่ตรัสสอนนั้นมาปฏิบัติ ดังที่ตรัสไว้ว่า...
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเป็นธรราทายาท อย่าเป็นอามิสทายาทของเราตถาคต และเธอทั้งหลายจะไม่ถูกวิญญูชนติเตียนว่า สาวกทั้งหลายของพระศาสดาเป็นอามิสทายาท ไม่เป็นธรรมทายาท
ใช่ว่าพระพุทธเจ้าจะไม่สรรเสริญอามิสบูชาก็หาไม่ ทรงสรรเสริญไว้มากมายในรูปของอานิสงส์ของการบริจาคทาน และอานิสงส์ของการบูชาพระสถูป เป็นต้น แต่หากจะนำไปเทียบกับปฏิบัติบูชาแล้ว ย่อมทรงสรรเสริญปฏิบัติบูชาสูงส่งกว่า
ในบรรดาการบูชาด้วยอามิสนั้น ทรงสรรเสริญสังฆทานว่ายอดเยี่ยมกว่าปาฏิบุคคลิกทาน (การให้ทานโดยเฉพาะบุคคล เจาะจงบุคคลที่รับ) ดังที่ทรงตรัสไว้ว่า...
เราไม่กล่าวว่า ปาฏิบุคคลิกทานมีผลมากกว่าของที่ให้แก่สงฆ์ โดยปริยายใด ๆ เลย
เพราะสังฆทานจักทำให้สงฆ์ส่วนรวมดำรงชีพอยู่ได้ และจักได้ไม่หลงไปส่งเสริมภิกษุผู้มีชื่อเสียง แต่ทุศีล ย่ำยีพระศาสนา ทำพระศาสนาให้เสื่อมถอยได้
ส่วนการให้ที่ไม่จัดว่าเป็นบุญ มี ๕ อย่าง โดยทรงแสดงไว้ว่า...
การให้ที่ไม่จัดว่าเป็นบุญ แต่โลกสมมติว่าเป็นบุญ มี ๕ คือ ให้น้ำเมา ๑ ให้มหรสพ ๑ ให้สตรี (แก่ชาย หรือให้ชายแก่สตรี) ๑ ให้โคตัวผู้ (เพื่อผสมพันธุ์) ๑ ให้จิตรกรรม ๑
อรรถกถาอธิบายว่า การให้สร้างอาวาสแล้วทำจิตรกรรมในอาวาสนั้น ย่อมควร..จริงอยู่ ทาน ๕ อย่างนี้ โลกสมมติกันว่าเป็นบุญก็จริง แต่ที่แท้หาเป็นบุญไม่ คือเป็นอกุศลนั่นเอง
เรื่องของการบูชา ก็จบลงแต่เพียงเท่านี้ แต่อย่าให้การบูชาจบลงตามบทความนี้เท่านั้น ขอฝากให้ทุกท่านเริ่มปฏิบัติบูชาเพื่อความสุข สงบ และเพื่อการหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงต่อไป...สาธุ
ขอบคุณ : ความรู้จากหลักธรรมในพระไตรปิฎก
เพลง น่านเจ้า
โย จาธิปนฺนํ ชานาติ โย จ ชานาติ เทสนํ
ผู้ใดรู้โทษที่ตนล่วงละเมิด ๑
ผู้ใดยอมรับรู้โทษที่เขาสารภาพ ๑
คนทั้งสองนี้ ย่อมพร้อมเพรียงกันยิ่งขึ้น
มิตรภาพของเขาย่อมไม่เสื่อมคลาย
ดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขด้วยสติอันนำมาซึ่งปัญญา ตลอดไป...นะคะ