+-+ OncE UPoN'-'a MaN +-+ รักนะ.. คนอ่าน เข้ามาดู.. โดนใจ ออกไป.. อย่าลืมกัน
Summary for Best of the Year 2012 ..Please CLICK!!

"Tokyo Tower : Mom and Me, & Sometimes Dad" ... หนังรักที่ดีที่สุดของคนรัก'แม่'



เมื่อ 2 ปีก่อน เคยมีหนังญี่ปุ่นอุ่นละไมอยู่เรื่องหนึ่ง ได้เข้าฉาย(แบบเล็กๆ)ในบ้านเรา ...ซึ่งมีเรื่องราวเป็นความสัมพันธ์ของพ่อลูกคู่หนึ่ง ที่คนลูกจากไปอยู่ในเมืองใหญ่ เพื่ออยากจะสานฝันของตัวเองให้ประสบความสำเร็จ หากสุดท้าย ก็กลายเป็นล้มเหลว และจำใจต้องกลับบ้านมาหาพ่อที่ห่างหายไม่เจอหน้ากันนาน เพื่อช่วยงานใหญ่ครั้งสำคัญ ...หนังเรื่องนั้นมีชื่อเรื่องว่า "The Village Album"

หนังเรื่องที่ว่านั้น เป็นหนังดรามาที่ดีอีกเรื่อง ที่พูดถึงประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและลูก... ที่คนหนึ่งก็ทำตัววางเฉยเหมือนไม่สนใจ ขณะอีกคนก็ไม่ยอมพูดอะไร ถ้ามันไม่น่ามีทางจะทำอะไรให้ดียิ่งขึ้น ...เมื่อการมองหน้าไม่อาจจะติดได้เพียงแค่ชั่วเวลาประเดี๋ยวเดียว สุดท้ายแล้ว สิ่งที่พ่อลูกได้ทำร่วมกันเป็นครั้งสุดท้าย ก็กลายเป็นตัวประสานรอยร้าวอย่างดี ซึ่งทำให้คนทั้งสองกลับมามองหน้า และเข้าใจกันอีกครั้งหนึ่ง

อาจแม้ว่าหนังญี่ปุ่นเรื่องล่าสุดที่กำลังฉาย(แบบเล็กๆเช่นกัน)ในวันนี้ อย่าง "Tokyo Tower : Mom and Me, & Sometimes Dad" จะไม่ได้มีประเด็นหลักๆเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ที่แตกร้าว เช่นเดียวกับ The Village Album ก็ตาม ...แต่ถ้าพูดถึงหนังที่มีลักษณะของแบ็คกราวด์ที่คล้ายคลึง ก็ดูใกล้เคียงกันไม่น้อยเลย ...หากเพียงจะต่างออกไป ที่หนังเรื่องใหม่ เสนอความอุ่นละไม ผ่านการแสดงความรักระหว่างแม่ กับ ลูก



"โบกุ"... เป็นหนึ่งในหนุ่มวัยทำงานคนเมืองหลวงโตเกียว ที่รับจ๊อบทำงานอย่างหลากหลาย โดยไม่สนถึงความเหนื่อยยากที่ต้องเผชิญ ...ซึ่งทั้งหมดที่เขาทำนี้ ไม่ใช่แค่เพื่อเงินในการมีไว้ใช้มีไว้กินอย่างเดียว หากยังทำไปเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณของผู้เป็นแม่ ซึ่งเคยตรากตรำทำงานหนัก เพื่อหวังจะให้ลูกชายของตัวเองได้เรียนจบ รับปริญญา และมีอนาคตที่ดีกว่าที่แม่เป็นอยู่



Tokyo Tower ...ตัดสลับเรื่องราวระหว่างช่วงเวลาปัจจุบันที่ แม่ของโบกุ เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ใกล้วันจากโลกเข้าไปเรื่อยๆ และห้วงเวลาเมื่อ โบกุ ยังเด็ก จนเติบโตเข้าสู่มัธยม ขึ้นมหาลัย และเดินหน้าสู้งาน ทั้งในตอนที่เขาเหลวแหลก หรือเปลี่ยนแปลงให้ตัวเองมุ่งมั่น จนก็เวียนกลับมาสู่ปัจจุบันในที่สุด ...ความเป็นจริงแล้ว เนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้ ก็ไม่ได้ไปแหวกขนบหนังดราม่า ทั่วๆไป ที่เรามักจะสามารถเดาเหตุการณ์ได้ไปเป็นตอนๆ ...และนั่นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่เราน่าจะรู้ถึงจุดสุดท้ายของชีวิตตัวละครคนสำคัญจะเป็นอย่างไร

แต่กระนั้น Tokyo Tower ก็ถือเป็นหนังญี่ปุ่นอุ่นละไมอีกเรื่อง ที่ไม่จำเป็นต้องไปสนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในตอนจบ ...เพราะสิ่งที่น่าสนใจกว่านั้น ก็คือ การสร้างอารมณ์ร่วม ในแบบฉบับหนังดีศรีเวทีรางวัล ที่สามารถเอาคนดูได้อยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละนาทีได้ทั้งหมดทั้งมวล



หาก "Always : Sunset on Third Street" เป็นยอดของหนังเมโลดราม่า ที่ใช้สูตรบิวต์อารมณ์แบบเร่งรัด ที่ต้องการสร้างความอึดอัดในใจให้เกิดขึ้นในช่วงฉากเดียวกัน (ซึ่งในภาคสอง ก็ยังทำได้เหมือนเคย เพียงแต่ประทับใจน้อยลง) ...Tokyo Tower ก็เลือกจะแตกต่าง ใช้วิธีการบิวต์แบบค่อยเป็นค่อยไป โดยปล่อยให้คนดูเกิดความตื้นตันด้วยตัวของตัวเอง ซึ่งหากบางคนน้ำตาจะไม่เกิดไหลออกมา ก็ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก

ตอนแรกผมก็เคยคาดคิดเอาไว้ว่า เมโลดรามาแบบ Tokyo Tower ก็น่าจะมาในแนวทางเดียวกับ Always ที่ขายความประทับใจอย่างเด็ดขาด ด้วยการสร้างสถานการณ์ที่บีบให้เราต้องทันทีทันใดกับภาพที่เป็นไป (บทจะฮาก็หัวร่อในบัดนั้น บทจะซึ้งก็เอาให้ตายไปข้าง) ...แต่เมื่อการมาของความประทับใจนั้นเป็นไปอย่างเนิบและเนือย จึงไปเอี่ยวให้ห้วงเวลาของคนดู จะเกิดความเซื่องซึม ที่หนังเชื่องช้า



หากกระนั้นแล้วหนัง ก็ไม่ได้ทำให้ผมต้องหลับใหล ...เรื่องราวความสัมพันธ์ของแม่-ลูก ทางเมโลดรามา ก็สามารถกินกัดเซาะใจได้ถึงที่สุด โดยไม่ต้องมาพยายามยัดไส้ในให้มันมากมาย สิ่งที่เกิดทั้งหมดจึงไม่ใช่ความฟูมฟาย แต่ก็ขายความประทับใจได้เต็มที่ ...อีกเมื่องานกำกับถูกถ่ายทอดให้อารมณ์ที่เป็นธรรมชาติ ทั้งสามารถกับการเอาใจใส่ทุกสิ่งทุกอย่างมารวมความเป็นหนึ่งเดียวกันไว้ จึงเกิดการผูกสัมพันธ์กับคนดู โดยไม่รู้สึกถึงความต้องฝืนแม้แต่น้อย

และอีกอย่างที่เป็นกลเม็ดเด็ดดวงของ Tokyo Tower ก็คือ การนำเสนอเรื่องราวทุกอย่างบนพื้นฐานความเป็นจริงเข้าว่า... รายละเอียดของสิ่งที่เป็นไป ล้วนแต่เป็นภาพที่เราพบเจอในสังคม มุมมองที่ถูกยกมากล่าวไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นเฉพาะที่ ญี่ปุ่น หากในบ้านเราเอง ก็คุ้นเคยกับมันได้ครือๆ ...ไม่ว่าจะเป็นฉากชนบทที่แฝงความงดงามของมิตรไมตรี , การจากบ้านพลัดถิ่นของผู้คนที่เข้ามาเรียน หรือทำงานในเมือง , การรวมตัวสังสรรค์ที่เน้นเฮฮา ผ่อนคลาย ฯลฯ จนกระทั่ง ลักษณะของตัวละครก็ไม่มีใครคนไหน ที่ถูกบทบังคับให้ต้องแสดงเว่อร์สุดตัว มันจึงทำให้เราเกิดรู้สึกใกล้ชิดกับพวกเขาได้โดยไม่ยากเย็น ...ในขณะที่ Always ก็อาจเคยทำให้เราตกหลุมรักเหล่าๆตัวละครในเรื่องนั้นได้อยู่เช่นกัน แต่การแสดงออกของ ชาวบ้านถนนสายสาม ก็รับรู้ได้ว่า มันก็ยังมีความเว่อร์ที่บทกำหนดมาอยู่ในนั้น



เสน่ห์ของ Tokyo Tower ส่วนหนึ่ง ก็คงต้องยกยอดให้ บรรดานักแสดง ได้ร่วมมีเครดิตเช่นกัน... เพราะความรู้สึกที่มันจริง ให้เราซึมซาบ ก็ล้วนเพราะได้คนที่เข้าใจในตัวละครนั้นๆ มาเล่นได้อย่างเข้าถึง ...หากแต่ถ้าต้องยกย่องว่ายอดเยี่ยมจริงๆ ก็จะมีบทบาทของผู้เป็น "แม่" ที่จับจิตคาแรกเตอร์ ถ่ายทอดได้ถึงหัวใจคนดูสูงสุด ...ซึ่งไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า นักแสดงที่เล่นบทนี้มีถึง 2 คน ทั้งๆที่ความรู้สึกในความต่อเนื่องเหมือนจะหลอกตาเสมอ ว่าเป็นคนเดียวกัน (อันนี้ ต้องยกนิ้วให้คนแคสติ้ง ที่เลือกเอาแม่วัยสาว และวัยชรา ได้ออกมามีหน้าตาที่คล้ายเคียงกันมาก อย่างเนียนๆ)



ยิ่งในช่วงเวลาที่ นักแสดงผู้เป็นแม่ และลูก เข้าคู่กัน ...ตัวเคมีที่เข้ากันถูก เหมือนเป็นแม่-ลูกจริงๆนั้น ได้ก่อให้เกิดฉากที่น่าประทับใจชวนติดตาขึ้นมาอยู่หลายช่วง ไม่ว่าจะเป็น ฉากกินข้าวก่อนจากลา , ฉากที่ลูกไปรับแม่กลับบ้าน , ฉากจับมือจูงข้ามถนน , ฉากแม่ทำครีโม ..เรื่อยไปถึงฉากที่แม่และลูกได้อยู่ด้วยกันเป็นครั้งสุดท้าย (ส่วนตัวผม)ล้วนแล้วก็ไม่อาจจะพยายามห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลได้เลย ...หากแม้อารมณ์ซึ้งโดยรวมส่วนใหญ่ อาจจะถูกส่งออกมาจากการแสดงของคนเป็นแม่ มากกว่าก็จริงอยู่ แต่คนเป็นลูกซึ่งทำหน้าที่ได้เหมาะสม ก็รับรู้และเปล่งการแสดงความรักออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไร้ซึ่งที่ติ

ส่วนคนเป็นพ่อ (ที่มาในบางเวลา..สมชื่อหนัง) ...ก็ถือว่าทำหน้าที่ได้เยี่ยมเช่นกันในฉากที่เขาเข้าร่วม แต่ถ้ามองให้ลึกในแง่ความโดดเด่น ก็ถูกบดบังให้เป็นไปตามความสำคัญ ที่มีความหมายมากกว่าบทสมบททั่วไปในอีกระดับที่ขึ้นมาเล็กน้อย (อันนี้ โทษอะไรก็ไม่ได้...เพราะหนังต้องการเพียงเท่านั้นจริงๆ)

ถ้าจะให้ผมต้องค้นหาความผิดธรรมชาติสักอย่าง ที่เกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้แล้ว... ก็คงจะมีเพียงสิ่งเดียวที่ผมรู้สึกว่ามันไม่เชิงเป็นจริงนัก กับในส่วนอุปนิสัยคาแรกเตอร์ของ แม่พระเอก ที่บทสร้างภาพให้ดูเป็นคนใจดีอยู่เสมอ ถึงต่อให้ลูกทำผิดกันจะๆ ก็ไม่เคยมีการดุด่าว่ากล่าว ลงไม้ลงมือ เลยสักครั้ง



ที่ผมคิดอย่างนั้น(เป็นการส่วนตัว) ก็น่าจะไปเกี่ยวกับความเป็นจริงในชีวิตของการเป็นลูกคนในสมัยนี้ ที่เน้นการรักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี จะสั่งสอนดีๆ ต้องเอาให้หลาบจำ ...ซึ่งมันก็ช่างดูขัดแย้ง กับภาพที่ผมได้เห็นผู้เป็นแม่ในหนัง ไม่มีกะจิตกะใจ จะทำร้ายลูกเลยแม้แต่การใช้คำพูด ...ถึงจะต้องยอมรับและเข้าใจว่า เธอก็เป็นแค่ตัวละครที่บทหนังเขียนขึ้นให้เป็นอย่างนั้น แต่ถ้าจะถามว่า แม่คนไหนบนโลก เป็นแม่อย่างในหนังทุกกระเบียดนิ้ว ก็เชื่อว่ายากจะมีอยู่ได้ในสังคมปัจจุบัน (หรือกระทั่งกับย้อนไปสู่สังคมสักร้อยปีก่อน ก็คงจะหาได้ง่ายกว่า ขึ้นมาอีกเล็กน้อย)

แต่สุดท้าย ในท้ายที่สุด ...สิ่งที่หนังสื่อออกมาอย่างเต็มเปี่ยมในความดีงาม ก็ยังทำให้ผมเลือกที่จะเชื่อมั่นว่า แม่ของลูกทุกๆคน(ไม่ว่าจะใจดี หรือใจร้ายในบางเวลา) ย่อมมีสิ่งหนึ่งที่เป็นเหมือนๆกัน ...มันก็คือ ความรู้สึกอันปรารถนาดี ซึ่งพร้อมจะทุ่มเท (และทุ่มทุน..เงินทอง) ทุกอย่างให้ลูกเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่คนดีที่น่าภาคภูมิใจกันแทบทั้งนั้น ...หรือต่อให้ลูก(บางคน)จะไม่เอาไหน มีแต่เอาความเลวเข้าข่มเหง สำหรับคนเป็นแม่แล้วก็อาจเจ็บปวดใจ แต่จะให้ทำยังไง พยายามสักแค่ไหน ก็ยังยากจะทิ้งลูกตัวเองได้ลงคอ

ขึ้นชื่อว่า คนเป็นแม่ ผู้ให้กำเนิด ที่เคยอุ้มรักมา 9 เดือน และใช้ชีวิตกับลูกอีกนับสิบๆปีแล้ว ...ต่อให้เธอจะต้องมาตายจากในวันเร็ววันพรุ่ง ก็คงไม่วายจะยังคิดถึง ลูก จนถึงเสี้ยววินาทีสุดท้ายของชีวิต

ถ้าจะยกให้ The Village Album เป็นหนังความสัมพันธ์พ่อ-ลูกแห่งชาติญี่ปุ่น (ซึ่งผมเคยได้ดูมาแล้ว) ที่ดีที่สุด ...Tokyo Tower : Mom, Me & Sometimes Dad ก็จะต้องถูกจัดอยู่ในกรณีเดียวกัน ที่มีแต่เปลี่ยนไปใช้คำว่า แม่-ลูก แทน



"Tokyo Tower : Mom and Me, & Sometimes Dad" ...นี่คือ หนังอุ่นไอรักสุดงดงามแห่งปี สำหรับลูกที่รักแม่ และเทิดทูนแม่ ...หรือต่อให้คุณอาจจะเป็นคนที่ชอบทำร้ายจิตใจแม่ ก็ต้องรู้สึกรู้สำนึกถึงบุญคุณความห่วงใยที่ผู้เป็นแม่เคยมีแก่คุณเสมอมา ...และ นี่คือ หนัง "ต้องดู" สำหรับทุกๆคน ครับผม

ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง...ฉายวันนี้ที่ Apex สยามสแควร์ และ House ครับ

เกรด A ... {}

"สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนังได้ที่ //vreview.yarisme.com พร้อมลุ้นรับบัตร Major M Cash มูลค่า 500 บาท จำนวน 8 ใบ ทุกเดือน"




ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว-แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว)-ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกัน

ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...
1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ




 

Create Date : 07 พฤษภาคม 2551
11 comments
Last Update : 7 พฤษภาคม 2551 0:35:04 น.
Counter : 6045 Pageviews.

 

อ่า..ได้ดูแว่บๆ เหมือนกันคับ ทางทีวีจ่ายตังค์
ตอนที่คุณแม่กับคุณเพื่อนชาย...

เห็นแล้วอยากดูต่อ แต่ไม่รู้จะหาที่ไหน

 

โดย: Nagano 7 พฤษภาคม 2551 1:18:44 น.  

 

เป้นหนังที่เราชอบมากๆเลย
ร้องไห้มากจริงๆ
เเต่ก็รู้สึกดี
รู้สึกว่า ก่อนที่อะไรจะสายเกินไป
เราควรรีบที่จะทำ เพื่อคนที่เรารัก

 

โดย: This road is mine 7 พฤษภาคม 2551 1:19:45 น.  

 

เขียนได้โดนใจมากเลยครับ

เรื่องนี้ทำผมร้องไห้หลายตอนมาก
เรื่องที่ดูเหมือนปกติ แต่ซึมเข้าไปในใจและติดอยู่นานทีเดียว
เป็นภาพยนต์ที่ชอบมากๆอีกเรื่องหนึ่ง

 

โดย: ป้อจาย 7 พฤษภาคม 2551 19:57:24 น.  

 

เอ่อ .... ขนาดนั้นเลยเหรอครับ

ผมว่าหนังแม่ลูกผูกพันที่ดีกว่าเรื่องนี้มีอีกเยอะมากนะครับ สงสัยคุณ once คงต้องดูหนังให้เยอะขึ้นแล้วกระมัง อิอิ

 

โดย: joblovenuk 10 พฤษภาคม 2551 9:20:22 น.  

 

+ พอหนังมันเป็น drama-realistic เลยทำให้ออกมาในโทน Village album มากกว่า Always ทั้ง 2 ภาคที่ดูจะเป็น Melodrama แบบการ์ตูนๆ ไปหน่อยอ่ะครับ คือมาคนละโทนกันว่างั้นเหอะ

+ ที่พี่อ่านข้อมูลมา เห็นว่าคนที่แสดงเป็นแม่ ช่วงวัยสาวกับวัยชรา เค้าเป็นแม่ลูกกันจริงๆ นะครับ เวลาคนดูดูหนัง ถึงรู้สึกว่าเค้าเป็นคนๆ เดียวกันไงอ่า ... แต่ก็ช่างแสดงเก่งทั้งแม่ทั้งลูกจริงๆ เนาะ

 

โดย: บลูยอชท์ 14 พฤษภาคม 2551 19:21:22 น.  

 

เขียนดีมากๆ
อ่านแล้วรู้สึกถึงตัวละครตลอดจนเนื้อเรื่องได้ระดับนึงเลยทีเดียว
ต้องหามาดู
ขอบคุณมากที่หาหนังดีๆมาเผื่อพวกเรา

 

โดย: ตุ๊กตารอยทราย IP: 124.120.201.196 29 พฤษภาคม 2551 6:01:19 น.  

 

ผมชอบนะ น้ำตาซึมหลายชอบ หนังมันเนิบๆเอื่อยๆดี

ปล. ผมน้ำตาแตกกับฉาก พระเอกนั่งรถไฟไปเรียน แล้วร้องไห้

นึกถึงตัวเองตอนจากบ้านนอกมาเรียนเตรียมอุดม เหมือนกันเลย T_T

 

โดย: Reiter IP: 64.62.138.102 21 มิถุนายน 2551 22:08:28 น.  

 

ผมดูพรีวิวหนัง ก็ซึ้งจะแย่อยู่แล้วอ่ะครับ

 

โดย: BooM IP: 158.108.92.68 27 มิถุนายน 2551 12:27:47 น.  

 

เป็นหนังที่ทำให้ผมร้องไห้เยอะมากก
ดูรอบสองก้อยังน้ำตาไหล...

เป็นดีวีดีสุดหวงของผมเรยละ

 

โดย: taku IP: 124.120.63.125 25 สิงหาคม 2551 21:17:42 น.  

 

ดูแล้วร้องไห้เยอะมากครับ สุดๆแล้วอะ เกิดมาไม่เคยเสียน้ำตาให้เรื่องใดมากเท่านี้เลย สุดๆจริงๆ

 

โดย: YoiChi_KunG 22 มกราคม 2552 1:58:21 น.  

 

แม่วัยสาวกับแม่วัยชรา นอกจอคาอเป็นแม่ลูกกันจริงๆค่ะ

 

โดย: Sirin IP: 115.87.129.186 23 ตุลาคม 2563 16:23:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


OncE UPoN'-'a MaN
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์

คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี
พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ
พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา
พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!)

ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว

ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก

ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ

once_upon.a.man@hotmail.com


My @ http://twitter.com/once_upon_a_man

ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่าน

ผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย

ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน

ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ

OncE UPoN'-'a MaN on Facebook
Blog ใหม่ล่าสด..สด
"VieTrio & Friends" ... เพื่อนร้อง พี่น้องเล่น เป็นเพลงเพราะเสนาะหู
"Lady Antebellum : Need You Now" ... ลูกทุ่งแบบมะกัน แต่สีสันระดับโลก
"The Social Network" ... วันนี้ คุณรู้จัก Facebook ดีพอแล้วหรือยัง?
"Harry Potter and the Deathly Hallows : Part I" ... ฉันต้องเปิด เพื่อจะปิด!
"Scrubb : Kid" ... คำตอบของเพลงอินดี้ที่ฟังง่าย อยู่ในอัลบั้มนี้แล้ว
"Due Date" ... รวมกันเราต้องอยู่ (กรุณา)อย่าทิ้งตูเป็นอันขาด!!?
"B.o.B. Presents: The Adventures of Bobby Ray" ... อาจเป็นฮิปฮอปหน้าใหม่ แต่ไม่ขอยึดติดความฮิป
"RED" ... โตอย่างสมวัย แก่อย่างมีคุณภาพ และจงระห่ำอย่างไม่เหลืออะไรจะเสีย!
"ห้องตรงข้าม หัวใจตรงกัน" ... (หนังสั้น)แบบตัวเต็ม ที่ไม่มีอะไรมากมาย แต่ก็ยังมีความจริงใจ!
"ห้องตรงข้าม หัวใจตรงกัน" ... กับตัวอย่างน้ำจิ้ม ของหนังสั้นที่คงจะมีอะไรๆอยู่ในนั้น
"อินทรีแดง" ... สมศักดิ์ศรีที่ได้กลับมา ..วีรบุรุษที่หนังไทยต้องการ!
"ชั่วฟ้าดินสลาย" ... เมื่อคำ “รัก” มีค่าเท่าคำว่า “ร้าย” คงทำลายคนทั้งหลายให้วายวอด
"Resident Evil : Afterlife" ... สงครามยังไม่จบ ยังต้องนับศพซอมบี้จนเบื่อกันไปข้าง!!
"Lula : Twist" ... เพลงฟังชวนเพลิน จากคนเพลินๆ ที่ชื่อ 'ลุลา'
"Piranha 3D" ... กัดกระจุย เลือดกระจาย สามมิติกระเจิง!!!
"CHARICE" ... เพชรน้ำงามเม็ดเล็กแห่ง ‘เอเชีย’ ที่คู่ควรกับการเจียระไนโดย ‘อเมริกา’
"กวน มึน โฮ" ... ความรัก อาจแพ้บ้างอะไรบ้าง แต่ ความ ‘เห็นแก่ตัว’ เอาชนะได้ทุกสิ่ง!
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2551
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
7 พฤษภาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add OncE UPoN'-'a MaN's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.