วันที่ 2 Sapporo-> Otaru เที่ยวโอตารุ เมืองมุ้งมิ้งทั้งวันเลยจ้า
นอน รร. Route-inn Sapporo
วันที่ 3 Sapporo
ตะลุยซัปโปโร
นอน รร. Route-inn Sapporo
วันที่ 4 Sapporo -> Furano /Biei
เช้า ส่งกระเป๋าด้วยแมวดำ ล่วงหน้าไปที่โรงแรมในโตเกียว
รับรถเช่า โดยเลือกใช้บริการ Nippon Carrent
เที่ยวละไมไปในทุ่งดอกลาเวนเด้อ
นอนที่ Furano (จองที่พักพลาดไปหน่อย เดี๋ยวจะเล่าว่าทำไมค่ะ)
วันที่ 5 Biei ->Asahidake
เที่ยว Biei
Asahikawa
เช็คอิน Asahidake Onzen
วันที่ 6 Asahidake ->Biei ->Sapporo
เก็บตกสถานที่ต่างๆ (ตามแพลนเดิม คือ เที่ยวในตัวเมือง Asahikawa/ Asahikawa Zoo)
กลับซัปโปโร คืนรถ
นอน รร. Route-inn Sapporo (นอนซ้ำ รร.เดิม 4 คืนเลยอ๊ะ)
วันที่ 7 Sapporo->Tokyo
บินไฟลท์ บ่ายสอง ด้วย Vanilla Air มาโตเกียวจ้า
นั่งรถไฟ Keisei line หวานเย็น มาลง Ueno (ใช้เวลา 80 นาที)
เที่ยวโตเกียวยามค่ำคืนพอกรุบกริบ
Shibuya
พักที่ Hotel Ueno Touganeya
วันที่ 8 Tokyo
จัดเต็ม โตเกียว 1 วัน
ได้แก่ Asakusa /Tokyo Skytree
Shinjuku
พักที่ Hotel Ueno Touganeya
วันที่ 9 Tokyo-> BKK
Ueno /Ameyoko/ตึกม่วง
นั่งรถไฟ Keisei line หวานเย็น จาก Ueno ไปสนามบิน (ใช้เวลา 80 นาที เผื่อเวลารอรถไฟ 30 นาที เผื่อพลาด)
กลับไฟลท์ 6 โมงเย็น ถึงกทม 11 PM
ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนเดินทาง
- วางแผนเดินทางคร่าวๆ พร้อมจองที่พัก (อะแน่นอนอยู่แล้ว) อันนี้ ปวดกะโหลก 5 ดาว เพราะ ส่งผลต่อการจองรถเช่า แล้วไหนจะเรื่องของกระเป๋าเดินทาง ที่มีผลต่อขนาดรถที่จะเช่าอีกด้วย
สุดท้าย จึงออกมาเป็นแพลนตามด้านบนคือ
ส่งกระเป๋ากลับ เหลือเป็น light pack สำหรับ 4 วัน เพื่อจะได้ลดขนาดรถเช่าลงมา เป็นแค่ wagon ธรรมดา เครื่อง 1600 cc สำหรับ 5 ที่นั่ง (รถ 4 ประตูตามปกตินี่แหละ)
โดย ต้องเช็คกับโรงแรมที่โตเกียวด้วยว่า เขารับฝากกระเป๋าไว้ล่วงหน้านานขนาดนั้นไหม 2-3 วัน เพราะถ้า รร. เล็กๆ ไม่มีที่ เขาก็ไม่รับฝากนะ (ก่อนหน้าที่จะตัดสินใจฟังธงโรงแรม เมล์ถามเขาก่อนเรื่องนี้ และ ถามรร.ที่ซัปโปโรเผื่อไว้ด้วยว่า รับฝากไหม ปรากฏ route-inn ไม่รับ)
วิธีแก้ปัญหาอีกอันนึง ถ้า รร. ไม่รับฝาก คือ เก็บไว้ในล็อคเกอร์กระเป๋าสถานนีซัปโปโร แต่ก็คงหลายบาทอยู่ เนื่องจากกระเป๋าแต่ละคนก็ไม่ใช่เล็กๆ ถ้าใช้คนละตู้ ราคาพอๆ กับส่งไปโตเกียวน่ะแหละ เผลอๆ แพงกว่าอีก แล้วขากลับ ยังต้องแบกกระเป๋าใหญ่จากซัปโปโร ไปสนามบิน ถึงนาริตะ ก็ต้องแบกอีก
การส่งไปล่วงหน้า ทำให้เราซื้อของช็อปปิ้งบางส่วน พวกขนม ของฝากซัปโปโร ตั้งแต่วันที่เที่ยวในซัปโปโร เพื่อกลับมาแพคกระเป๋า และส่งไปโดยไม่ต้องแบกเอง เดินทางชีลๆ ตัวปลิวสบาย (แต่ต้องคำนวนเสื้อผ้า สภาพอากาศให้ดีด้วยนะ ผ้าเช็ดตัว อะไรแบบนี้ เช็ค รร.ด้วยว่ามีให้ใช้ป่าว เพราะเมื่อเราสละกระเป๋าไปบ้านนอกแล้ว ไม่เจอห้างให้ช็อบเลย)
- ทำใบขับขี่สากลให้เรียบร้อย
นับว่า แพลนด้านบน ที่เอามาแปะให้ดู เป็นแพลนเที่ยวสนุก เที่ยวสบาย เที่ยวครบรสชาติ เลยล่ะจ้า (ถ้าสภาพอากาศดีๆ วันที่กลับจากภูเขาเข้าเมือง ไม่จำเป็นต้องย้อนทางเดิม ไปหาที่เที่ยวใหม่ๆ ได้อีกนะนี่)
ยกเว้นแต่ว่า ที่พัก ที่ Furano ของทริปนี้ เลือกอยู่ในเมือง พลาดไปหน่อย จริงๆ แล้ว ถ้าเราเลือกนอน pension หรือที่พัก ที่อยู่ไกลออกไป ระหว่างทาง Furano ไป Biei จะไม่ต้องขับรถย้อนไปมา เที่ยวเก็บๆ ไปจากใต้ขึ้นเหนือ แล้วนอนกลางทาง จะดีกว่า ได้ชมวิว เต็มๆ ด้วย ไม่ต้องกังวลว่าจะอยู่ในซอกหลืบเขา เพราะยังไง เราเช่ารถขับ ไม่จำเป็นต้องนอนในเมือง ใกล้สถานนีอะไร
ยังดีว่าที่พักขับรถย้อนไม่ไกลมาก (40 กิโล แต่ใช้เวลานานหน่อยเพราะถนนเล็ก) และประหยัด เพราะ pension สวยๆ ราคาไม่เบาเหมือนกัน
หาของกินง่าย เพราะอยู่ในเมือง ขาดเหลืออะไรก็ยังพอซื้อได้
ไม่ต้องตุนเสบียง มีซุปเปอร์เล็กๆ ในฟุราโน ให้ช็อบก่อนไปขึ้นเขา Asahidake
อย่างอันนี้ที่ติวเตอร์ตู่รีวิวไว้ ก็แพงกว่าที่เราพัก พอสมควร ตามไปลองอ่านดูจ้า
//pantip.com/topic/30961370
เอ้า ได้รู้แพลนกันคร่าวๆ แล้วเตรียมตัวววววว....
เราบินไฟลท์ เช้า 6.00 น. ด้วยสายการบินเดลต้า ค่ะ ก็ไปถึงสนามบินกันแต่เช้าตรู่ สภาพหน้าตาอย่าให้โชว์ คือ ไม่ได้นอน ถึงสนามบิน ตีสาม ออกจากบ้านตีสองกว่า นั่งรอขึ้นเครื่องอะไรก็ตรงเวลา แต่ว่าจะได้ออกจากสุวรรณภูมิ ต่อคิวเทคออฟกันชม.กว่าเห็นจะได้ หลับจนตื่นมาคิดว่าลอยล่องอยู่บนท้องฟ้าที่ไหนได้ ล้อยังติดพื้นอยู่เลย.....
เริ่มคิดในใจ เครื่องจะดีเลย์เยอะไม๊น๊า เพราะเราเผื่อเวลาต่อไฟลท์ไป 3 ชม. นี่เลท ไป 1 ชม. กว่า แล้ว...อืมมมมม...
นั่งๆ ไปก็คิดได้ว่า เอ๊ะ....ลืมดูว่า ซวยแระ วนิลาแอร์ ขึ้นที่เทอมินัลไหน แล้วเราจะลงเทอมินัลไหน....(ลืมเรื่องสำคัญได้ไงฟระ)
ถามแอร์ แอร์ก็ไม่รู้ แสดงว่า คนละเทอมินัลกะเดลต้า ถ้างั้น ต้องรับกระเป๋า ผ่านตม. ออกมาหาทางเปลี่ยนเทอมินัลอีก.....อืมมมมมมมมมมม ถ้า ตม. คนเยอะ ก็มีลุ้นได้วิ่งกันจร้าาาา...เฮือกกกก
โชคดีมาก กัปตันเหยียบคันเร่ง เราถึงเลทกว่าเวลาไปครึ่งชั่วโมง และ ตม. ตอนบ่ายคนไม่เยอะ (เท่าตอนเช้าๆ ที่ไฟลท์แห่กันลง) รับกระเป๋าออกมา ถามเจ้าหน้าที่ เขาบอกว่า Vanila Air Terminal2 จร้าาา เราก็พยายามมองหาป้าย เค้าบอกให้นั่งรถเมล์ ฟรี เบอร์ 6 นี่แหละ ขึ้นรถมาก็สังเกตป้ายดีๆ นะคะ เพราะว่า ถึงจะพาเรามาเทอมินัล 2 เหมือนกัน แต่ก็มีป้าย Domestic สายการบิน โน้นนี้นั้น อีกป้าย เป็น Domestic Inter ลงผิดเดี๋ยวจะต้องเสียเวลารอรถอีก
ปรากฏว่า พอมาถึง แถวเค้าเตอร์เช็คอินยาวมากกกกก เราก็ต่อไป นานมากกกกกเหมือนกัน พอไปถึงที่โหลดกระเป๋า เจ้าหน้าที่บอกว่า เรามาเร็วไป 5 นาที ไฟลท์เรายังไม่ถึงเวลา ห๊าาาาาาา....อัลลัยยยยย รอมาเกือบครึ่ง ชม. ได้
จ่ะ ต่อแถวใหม่ จ่ะ....คนญี่ปุ่น เที่ยงตรงมั่กๆ 5 นาที ก็ไม่ยอมให้เรายืนรอแถวนั้น..T_T
ไม่มีงวงมาเทียบ ต้องต่อรถบัส มาลงใกล้ๆ เครื่อง นี่ถ้ามาเช็คอินเลทนะเมิงเอ้ยยยย...วิ่งกันมันส์
ออกจากสนามบินชิโตเสะ แบบมึนๆ งงๆ หาทางเดินทางเข้าเมือง สรุป เติมตังค์บัตร SUICA ใช้ได้ แล้วพวกนาง 5 คน ก็วิ่งถลาขึ้นรถไฟ กันแบบไม่ได้อ่านสรุปว่าเป็น ตู้ Reserved Seat จร้า....ยืนก็ได้ 40 นาที หลังจากนั่งบนเครื่องตูดบานมากว่า 10 ชม.
ถึงโรงแรม เช็คอิน เก็บกระเป๋า สองทุ่มนิดๆ ได้ วิวจาก รร.มองไปเห็นสถานนีซัปโปโรเลยค่ะ ใกล้มากกกก
Sapporo Route Inn Ekimae Kitaguchi อยู่ทางออกทิศเหนือของสถานี คืนละ 1800 บาทต่อคน รวมอาหารเช้า
ยืนหน้าสถานีซัปโปโร มองไปเห็นโรงแรมเลยค่ะ ตึกน้ำตาลๆ นั่น มีมินิมาร์ทใกล้ๆ หลายแบรนด์ให้เลือก ทั้ง เซเว่น ลอว์สัน
เราอยู่ที่นี่ทั้งหมด 4 คืน แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาเลย 55555
เอาเป็นว่า สะอาด บริการดี เก็บเตียง เก็บห้องให้ทุกวัน (เก็บของที่เราทำรก เอามาเรียงไว้ให้เป๊ะๆ ด้วย) อาหารเช้าเยอะ หลากหลาย อร่อยยยยยยยมากกกก ถูกใจเอาไป 10 กะโหลกเลย
สองทุ่มห้างปิดหมดแล้วค่ะ....เมย์มุมิ แผนกหาข้อมูลของกินประจำทริป นำเสนอ สถานที่ ชั้น 10 ตึก ESTA ใกล้ๆ สถานนีซัปโปโร เป็นเหมือนแหล่งรวมราเมนชื่อดังมาเปิดไว้ที่เดียว ชื่อ Sapporo Ramen Kyōwakoku เปิดถึง สี่ทุ่มมั้งนะ
มีหลายร้าน แต่แจ๊กพอตมาตกที่ ร้านนี้
Shirakaba Sansau Ramen
(มารู้ทีหลังว่าดังมากเหมือนกัน ทีเด็ดคือ ไข่ต้มที่กินได้ไม่อั้น และน้ำซุปรสชาติเจ้มจ้นสุดๆ)