กุ๊ดจัง
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 75 คน [?]




ไม่มีสาระ...จริงๆ นะ..

แต่ถ้าหลวมตัวมาแล้ว จะแอบอ่านก้อไม่ว่ากัน ถ้ารับแนวเถื่อนนิดๆ ถ่อยหน่อยๆ แต่จริงใจได้ ^_^

คิดถึง ถูกใจ ก้อเจิมกันสักนิดนุง แต่ถ้าไม่ถูกใจ มาทางไหนเชิญกลับไปทางนั้น ไม่ต้องเม้นไว้ให้เปลืองมือนะ ฮ่าๆๆ
HighStudio

สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์
บทความ โดย littlemiumiu.com อนุญาตให้ใช้ได้ตาม สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ต้นฉบับ.
อยู่บนพื้นฐานของงานที่ www.littlemiumiu.com.
การอนุญาตนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในสัญญาอนุญาตนี้ อาจมีอยู่ที่ www.littlemiumiu.com
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2556
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
7 พฤษภาคม 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add กุ๊ดจัง's blog to your web]
Links
 

 
เมื่อลูกนกของฉันหัดบิน ปี 2 ตอน 2 บินไปพันพรรณ ไปหาลุงโจน จันได

วันนี้วันที่ 3 แย้ว ถึงตอนกลางคืนจะร้อนมากกกกกกก กว่าจะนอนได้ พัดกันจนไขมันต้นแขนแตกตัว...เแต่ยามเช้าอากาศกลับเย็นๆ สดชื่นนนกำลังดี เด็กตื่นมา วิ่งมารวมตัวกันหน้าลานโรงอาหาร เล่นดิน ขุดหลุมต่อ ทริปนี้ กว่าเด็กๆ จะกลับไป พื้นดินตรงนี้ คงพรุนไปเลย 555 

นางเลิฟที่จะเดินเท้าเปล่า โยนรองเท้าทิ้งไปคนละที่ละทาง 

ระหว่างรออาหารเช้า ปีนบันไดขึ้นมาชั้น 2 โรงอาหาร เป็นห้องสมุดขนาดย่อมๆ มิวมิวนั่งเล่นเปลยวน ชมนกชมไม้  อ่านหนังสือกันไป ข้าวเช้าของมิว คือข้าวลิงน่ะเอง... จำไม่ได้ว่ามื้อเช้าวันนี้คืออะไร เลือนลางละเกิน (แต่ที่สายลมจอย ถ่ายรูปไว้ทุกมื้อ ทำได้ทุกมื้อเลยนะ 5555)

กิจกรรมเช้าวันนี้ ลุงโจน พาเด็กๆ เก็บเมล็ดพันธุ์ เริ่มจาก ดอกแค...อ๊า..ไม่เคยสังเกตเลยว่า ดอกแคมีฝักเมล็ดแห้งๆ แบบนี้ด้วย ไม่เคยสังเกตว่ามันขึ้นมาได้ยังไง รู้แต่เห็นเลี้อยๆ อยู่ข้างรั้วบ้าน

ขะมักขะเม้นบรรจงเก็บเมล็ดกะเพรา

งานเก็บรวบรวมเมล็ดพันธุ์พื้นบ้าน และพัฒนาสายพันธุ์ เป็นงานที่ลุงโจนให้ความสำคัญมาก อันนี้ เป็นเรื่องใหม่ที่เราเพิ่งได้เรียนรู้ ผ่านหนังสือของลุงโจนอะเกน...

ทำไม การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พื้นบ้าน ถึงสำคัญ...
เพราะเกษตรกรสมัยนี้ ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกในราคาที่สูงมาก รัฐบาลและเอกชนร่วมกันพัฒนาเมล็ดพันธุ์และแจกจ่ายขายให้เกษตรกร นับวันราคาเมล็ดพันธุ์ขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างเช่น เมล็ดแตงโม จากราคากิโลละ 5 บาท เป็น 14-15 บาท ในช่วง 20 ปีก่อน ต่อมาขึ้นมาเป็น 4-5 พันบาท และตอนนี้ ราคาอยู่หลักหมื่น!!  โดย ส่วนมาก เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการพัฒนาจากบริษัทใหญ่ๆ ไม่กี่ บริษัทในโลกนี้ ที่พัฒนาสายพันธุ์ให้ได้ผลผลิตมากๆ ตรงกับความต้องการของตลาด แต่กลับเป็นเมล็ดพันธุ์ที่อ่อนแอ เพราะต้องใช้ควบคู่กับปุ๋ย และยาฆ่าแมลง และยังไม่สามารถที่จะแพร่พันธุ์ หรือขยายพันธุ์ต่อไปให้ได้ผลผลิตดีเหมือนล็อตแรกๆ ได้  มันฮั้วกันไหมล่ะ!!  เมล็ดพันธุ์พื้นบ้าน อาจจะให้ผลไม่ดี ไม่ดก ลูกไม่งาม แต่ว่า ทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมง่ายกว่า สามารถขยายพันธุ์ได้เรื่อยๆ ด้วยข้อดีของมันนี้เอง เราสามารถใช้วิธีคัดเลือกสายพันธุ์ดีตามธรรมชาติ ถ้าต้นไหน ลูกไหน ผลดี หวาน อร่อย เราสามารถคัดเมล็ดพันธุ์ไปปลูก คัดแล้ว คัดอีก ประมาณ 7 ชั่วโคตร เราจะได้สายพันธุ์ที่ดี แบบไม่กลายพันธุ์

จะว่าไป เป็นวงจรอุบาทว์ของเกษตรกร ที่ต้องส่งส่วยให้บริษัทเหล่านี้ทุกๆ ปี เหมือนเป็นทาส กลายๆ และจากวงจรแบบนี้เอง ทำให้เมล็ดพันธุ์พื้นบ้านแท้ๆ ค่อยๆ หายไป  ถ้าไม่มีใครสักคน คอยเก็บ แพร่พันธุ์ และพัฒนาพันธุ์พื้นบ้าน สักวันหนึ่ง เราทุกคน จะต้องตกเป็นทาสกันชนิดถอนตัวไม่ขึ้นอย่างแน่นอน 

"เราต้องเก็บเมล็ดพันธุ์ของตัวเอง เมล็ดพันธุ์ถือเป็นมรดกโลกที่ปู่ย่าตายายเป็นผู้คัดสรรพันธุ์ดี แต่รัฐบาลกับเอกชนพัฒนาทำให้มันอ่อนแอ ลงต้องใช้ปุ๋ย ใช้ยาฆ่าแมลง พวกเราก็ทรยศต่อปู่น่าตายาย เพราะทำให้เมล็ดพันธุ์อ่อนแอลง ต่อไปรุ่นลูกหลานเราก็จะปลูกพืชกินเองไม่ได้แล้ว"

"เราเป็นเหมือนมนุษย์ยุคสุดท้าย ที่เนรคุณค่อบรรพบุรุษ ต่อธรรมชาติ ยิ่งพัฒนามาก เรายิ่งทำลายตัวเองมาก"

"มองลึกๆ ผมว่า เป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะว่าเมื่อเราไปซื้อเมล็ดพันธุ์ตลาดมา มาปลูก 2 ปี แล้วเราหยุดปลูก  พันธุ์นั้นก็จะหายไป และหากลับมาไม่ได้อีก"

บางครั้งลุงโจนออกเสาะแสวงหาเมล็ดพันธุ์พื้นบ้านต่างๆ มารวบรวมไว้ ไม่ว่าจะมะเขือเทศ ผักสลัด ผักต่างๆ นอกจากรวบรวมโดยการปลูกไปกินไป เพื่อเป็นการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ และคัดเลือกพันธุ์ อันไหนที่กินดี กินอร่อย ก็เก็บคัดเลือกเมล็ดไว้ปลูกต่อๆ ไป เพื่อจะได้พันธุ์ที่ดีขึ้นๆ
นอกจากนี้ ยังแจกจ่ายเมล็ดให้ทุกๆคนที่สนใจผ่านไปมา เพื่อให้ช่วยกันเอาไปปลูก ไปขยายพันธุ์ เพื่อให้เมล็ดพันธุ์ได้ปรับตัว งอกงามในดิน ตามสภาพอากาศต่างๆ ในภูมิภาคที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเดินทางไปแห่งหนไหน ลุงโจนจะมีเมล็ดพันธุ์ติดตัวไปด้วยทุกที่ บางทีก็แอบไปซุกซ่อนไว้ตามผืนดินต่างๆ ที่ได้เดินทางไป 
Ref: จากบทสัมภาษณ์ลุงโจน หนังสือ บุก รัง โจน โดยสุดใจ ข่าขันมณี

ที่พันพรรณ จึงมีศูนย์เก็บเมล็ดพันธุ์ที่ลุงโจนเฝ้าเก็บ หมุนเวียนสับเปลี่ยนเมล็ดออกไปแจกจ่าย ปลูก บางครั้งก็มีคนส่งมาให้บ้าง 

เป็นอีกแง่มุมนึง ที่เราไม่เคยรู้ถึงความสำคัญมาก่อนเลยจริงๆ 

ลุงโจนชี้ให้เด็กๆ ดูผักชนิดต่างๆ ผักโขม ผักหวาน ผักพื้นบ้านต่างๆ 

แรงงานเด็ก จัดการเอาเมล็ดออกจากฝัก คัดแยก และแจกจ่ายใส่ถุงกลับบ้านกันไป 

ช่วงบ่ายของวันเด็กๆ ได้ทดลองปลูกต้นไม้ วิธีการปลูก การแยกต้นกล้าไปปลูกต่อ และได้ลองผสมสี ทาบ้านดินด้วย (แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา แม่คอพับคออ่อน เด็กบ้านนี้ก็ไม่สนใจ เพราะ อากาศร้อนมากกกกกก) กิจกรรมวันนี้ก็ดำเนินต่อไป ตกเย็น เล่นน้ำอีกเหมียนเดิมมม...

ก่อนกินข้าว ชวนเด็กๆ แวะไปสำรวจทุ่งข้าวโพดอะเกน...เตะฝุ่นกันกระจาย อาบน้ำมาทำไม T_T


ค่ำๆ ลุงโจนเปิดสารคดีให้เด็กๆ ดู เกี่ยวกับวงจรอาหาร อุตสาหกรรมอาหาร ในโลกนี้  แรกๆ ก็ดูสนใจดี หลังๆ ดูไปสักพัก มิวมิวเดินมาบอกว่า แม่...อยากกินมาม่าอะ Smiley

ตกดึก เรานอนนนน พัดๆๆๆๆๆๆๆ อะเกน ไม่รู้วันนี้เริ่มชินกับอากาศร้อนๆ นอนไม่มีพัดลม หรืออากาศมันเย็นขึ้น เหมือนฝนตกที่ไกลๆ แต่พันพรรณ ยังแห้งกรอบเหมียนเดิมมม ลิ้นห้อยกันทั้งแม่ทั้งลูก

หลอกเด็ก ให้ลืมร้อน

เช้าวันที่ 4 ไฮไลท์ของวันนี้ ก่อนหนีกลับกรุง คือเดินป่า
ตอนบ่ายๆ เราจะต้องชิ่งกลับกรุงเทพกัน เนื่องจากมีภาระกิจต้องไปทำงานต่อ ปีนี้ อดอยู่จนจบค่ายเยยย....แหงะ 


เริ่มต้นจากสวนลิ้นจี่....
ฮ๊า...อะไรนะ ไหนเขาว่าแถวนี้ อุทยานแห่งชาติ...เดินๆ เข้าไปลึกหน่อย ภูเขาบางลูก ก็มีต้นลิ้นจี่ ลำใย ทั้งภูเขาเลยอะ....คือออ เอร่อออ สมบัติของชาติ  ใครวะถางปลูกซะเรียบเยย  

ร้อน แห้ง แดง ฝุ่น 

อากาศร้อนมากกกกกกกกกกก  พักเหนื่อย กลางทาง ระยะทางไม่ไกลมาก 3 โล ได้มั้ง ปกติ มิวเดิน 2 กิโลทางราบชิวๆ อันนี้ขึ้นเขา นิดหน่อย ง๊องแง๊งให้อุ้มบ้าง เพราะมันร้อนนนมากกกก
ลุงโจนชี้ชวนให้ดูต้นไผ่ ที่หน้าฝนจะแตกหน่อไม้ออกมาให้ชาวบ้านเก็บไปขายเหลือเฟือ

กิ่งเขียวๆ ที่เลื้อยบนพื้นแบบนี้ คือต้นกลอย ถ้าเข้าป่าไปแล้วไม่มีอะไรจะกิน ก็ให้ขุดหัวใต้ดินออกมาแช่น้ำไว้ 3-4  วัน ให้หัวกลอยคลายพิษเมาก่อน ถึงจะนำมาทำอาหารได้ เคยกินแต่ถั่วทอดกลอย เพิ่งจะเคยเห็นต้นมันเหมือนกัน หน้าตาเป็นแบบนี้นะเอง 

เดินต่อไปอีกสักพักนึง โอววว....หายเหนื่อย เจอน้ำตกสารรุ้ง 
เป็นน้ำตกคนประดิษฐ ธรรมชาติช่วยต่อเติม ฉาบปูนให้เป็นทางน้ำ แล้วหินปูนมาเกาะๆ  น้ำเย็นฉ่ำตกมาจากด้านบน..นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องเดินกลับเปียกๆ ฝุ่นตลบ คงเล่นด้วยแล้วอ่า...อยากกกกกกกปีนขึ้นไปม๊างง

เด็กๆ เริงร่า ปีนขึ้นไปด้านบนสุดๆ ให้น้ำตกใส่หัว ชื่นฉ่ำ

เด็กเบบี๋ไม่ยอมขึ้น เล่นอยู่ด้านล่าง

หนุ่มน้อย พอลก้า น่าร๊ากกก


รังผึ้งป่า.....อันนี้ไม่มีตัวละ  ปกติชาวบ้านเค้าจะเก็บกันหน้าร้อน ประมาณเดือนเมษา ตีผึ้งเสร็จ ชาวบ้านได้เงิน เอาไปเที่ยวสงกรานต์ต่อ น้ำผึ้งที่พันพรรณ หอมมากกกกกกกก น้ำผึ้งเกสรดอกไม้อะ ซื้อมาขวดจิ๋วๆ ขวดนึงกว่าจะถึงกรุงเทพ โดนแฮ๊บไปเปิดราดน้ำปั่นกินทุกวันหมดไปครึ่งขวด -_-''

เดินกลับทางเดิม  เด็กๆ เกาะครูโกะ กันใหญ่

มีเด็กอู้ ใช้แรงงานครู Smiley

เหงื่อแตก แบกน้ำไป ลิตรกว่าๆ หมด เหลือติดก้นขวดกลับมานิดนุง
ทุกคนหิวโซกลับมาหม่ำๆ ข้าวเหนียวส้มตำ เห็ดทอด มื้อนี้อร่อยยยยยยยเป็นพิเศษ เพราะใช้แรงงานกันหนักหน่วงตอนเช้า กินอิ่มเตรียมตัวแพคเป๋ากลับบ้าน

บ่ายสอง รถสองแถวมารับไปสนามบินนนน....โฮววววว....แม่ลูกวิ่งหาโค้กใส่น้ำแข็งก่อนอย่างแรกเลย อะบาดมาก 555555555 

จบทริปกันไปแบบหนุกหนาน ปนร้อนผะผ่าวแบบขนพองสยองเกล้า 

หน้าบ้านไม้ไผ่ที่เรานอน จะมีหลุมดินใส่น้ำใหญ่ๆ เดาว่า เอาไว้ทำบ้านดินหลังข้างๆที่ยังไม่เสร็จ เวลาเดินกลับบ้าน เจ้ามิวมันจะต้องเดินไปยืนหน้าหลุม จิ้นว่าเปิดแก๊ส ทำกับข้าว กวนๆ คนๆ กำลังทำซุป เดินผ่านทีก็คนที กลางคืน พอเดินกลับบ้านจะไปนอน จะขึ้นบันไดอยู่ละ แม่นึกได้ ถามมิวว่า...จะไปนอนแล้ว ไม่ปิดแก๊สหรอ ไอ่เด็กนี่ก็บ้าจี้ บอก แม่ๆ เดี๋ยวมานะ...แล้ววิ่งจู๊ดด ไป ทำท่าหรี่ไฟ คนๆ ในหลุมดิน ก่อนจะทำหน้าฟินๆ ยิ้มกรุ้มกริ่มเดินกลับมา ละมันเป็นแบบนี้ทุกวัน ต้องหรี่เตาก่อนนอน...ตลกโคด 

เจ้ามิวมิว ที่ตอนเล่นขุดคุ้ยดิน พี่ๆ ยกให้เธอเป็น หัวหน้าใหญ่ แม่แอบดูเด็กๆ เวลาเล่นกันก็ขำดี เพราะเธอชอบแอบสั่ง แอบบงการชาวบ้าน แต่พี่ๆ ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก มีพี่มาสมัครเป็นลูกน้อง เพราะเธอตัวเล็กจิ๋วๆ อารมณ์ประมาณว่า ทำๆตามมันไปเหอะ 555
ใครจะเล่นกะชั้นก็เล่น ใครไม่เล่นด้วย ชั้นก็ไม่แคร์ ชั้นเล่นของชั้นคนเดียวก็ได้ เพลินเพลินไป โดยเฉพาะ อิความคิดแบบพิเรนๆ จินตนาการบรรเจิด เนี่ย บางทีก็แอบคิดว่า ลูกกรูแง๋...เอ็งหลอกใช้พี่ให้เดินไปเดินมา เอากระบวยไปตักน้ำมาราดพื้นเล่น แล้ววิ๊ดว๊าย กรี๊ดกันเสียงดังลั่น จิ้นว่าเป็นน้ำมัน น้ำมันไหล ส่องไฟฉายเล่นกันให้เปลืองถ่านเล่น แต่แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ถ่านหมด พื้นเปียก ตัวสกปรก มันล้างได้ ซื้อใหม่ได้ แต่ช่วงเวลาสนุกๆ อารมณ์สนุกๆ เพี้ยนๆ ของเด็ก มันย้อนกลับมาไม่ได้

แม่แอบดูเด็กจิ๋วดูแลความรู้สึกคนรอบข้าง....แม่แค่บอกว่าเพื่อนเศร้านะ เพื่อนไม่มีเพื่อนเล่น เธอจะทำยังไง ถึงแม่จะไม่ได้บอกว่าต้องทำยังไง แต่เธอก็มีวิธีของตัวเอง 

แม่ไม่ได้บอกให้เธอแบ่งปัน แต่เธอเอาขนมที่เธอมีเกือบทั้งหมด ไปเดินแจกเพื่อนๆ บนรถไฟ เพราะ พี่ๆ เอาขนมมาแจกให้เธอ(จิงๆ เป็นขนมที่คุณครูเตรียมมา แล้วพี่ๆมาช่วยเดินแจก)
ถ้าเธออยากเล่นอะไรที่มันยากๆ อย่างการ์ดเกมส์ แม่รู้ว่าเธอเล่นไม่เป็นหรอก ไม่เคยเล่น ไม่เคยสอนให้เล่น นับเลขยังไม่ค่อยจะถูก แต่ก็ปล่อยให้ไปเล่น เธอก็เนียนๆ ไปเล่นได้แฮะ อยู่ได้ไม่มีศึกสงครามกับใคร (คือ ต่อให้โดนโกงชีก็คงไม่รู้ตัว 5555)
แม่ปล่อยให้เธอช่วยดูแลน้อง แบ่งปันให้พี่ ผลัดกันเล่น ปล่อยวางบ้าง อะไรที่มันไม่ใช่เรื่องจะต้องมาแย่งกัน ถ้าเธอให้เค้าไป แล้วเค้าฟิน แค่เธอไปหาอะไรเล่น หาอะไรอย่างอื่นทำ เธอก็มีความสุขได้หมือนกัน เอ็งจะไปแย่งกันทำไม 

นี่คงเป็นสิ่งที่มิวมิวได้เรียนรู้ นอกเหนือไปจาก ได้นอนที่ร้อนๆ ลำบากๆ ได้นั่งรถไฟสนุกสนาน ได้เล่นน้ำใสไหลเย็น ได้เก็บเมล็ดพืช ได้ขุดดินเนื้อตัวมอมแมมทั้งวันโดยแม่ไม่บ่น 555555555555




Create Date : 07 พฤษภาคม 2556
Last Update : 8 พฤษภาคม 2556 9:15:51 น. 2 comments
Counter : 5852 Pageviews.

 
นอกจากจะได้ออกไปสัมผัสธรรมชาติ
เรียนรู้นั่นโน่นนี่แล้ว
สิ่งสำคัญคือการที่เด็กๆ ได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันนี่แหละ

มิวมิวเก่งมาก


โดย: กาน้ำชากะเชี่ยนหมาก วันที่: 8 พฤษภาคม 2556 เวลา:10:46:47 น.  

 
สนใจจะไปเป็นอาสาสมัคร
ที่นั่นมีปลั๊กไฟให้ชาทแบตโทสับไม๊คะ


โดย: pailin IP: 110.78.145.217 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2556 เวลา:11:27:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.